ในบรรดารมต.ของรัฐบาลชุดนี้ อุ๋ยเป็นคนที่ออกอาการมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาการ..เครียด..หวาดผวา..กล้า..บ้าระห่ำ และ จ๋อย
จากเรื่องที่ดินรัชดา มาเรื่องหวย จนถึงเมื่อวานนี้ กลับกลอกไปมาเรื่อง..มาตรการปกป้องค่าเงินบาท แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า
อุ๋ย..ไม่เก่งหากเทียบกับคุณสมคิดแล้ว นาทีนี้ต้องถือว่าเป็นรอง ทั้งลีลาและความคิดอ่านครับ
ส่วนผู้ว่าธปท.คนใหม่ ท่านธาริสา เป็นผู้หญิง เป็นลูกน้องเก่า คงทำอะไรไม่ได้ หรือ ไม่กล้าทำ ได้แต่เออๆ ออๆ เหมือนโดนกำกับการแสดง ไม่ได้บอกว่าเธอไม่เก่ง แต่เธอไม่กล้าเอากำปั้นทุบโต๊ะใส่อุ๋ยแน่นอน
เรื่องมาตรการแบงค์ชาติที่ออกมาเพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท กลายเป็นกำจัดนักลงทุนต่างชาติไปเสียฉิบ ตลาดหุ้นวอดวายภายในวันเดียว ต่างชาติขายสุทธิกว่า 25000ล้าน ดัชนีลบกว่า 100จุด อาการลุกลามไปยังตลาดทุนของภูมิภาคทั้งหมด แดงเถือกโดยถ้วนทั่วกัน เพราะ..
อุ๋ยแท้ๆแม้จะออกมาตรการผ่อนปรนในตอนเย็น กลับลำนิดๆ ให้ การนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่ต้องเข้าข่ายสำรอง 30% ก็ตามทีเถอะ
แต่ไฟได้ไหม้ไปแล้วเกือบถึงหลังคา มาดับตอนนี้ ใช่ว่า บ้านหลังนั้นจะไม่เสียหาย ยังไงๆ ก็ต้องเสียค่าซ่อมแซมหลายบาท อาจมากกว่าสร้างบ้านใหม่เสียด้วยซ้ำไปเรามาดูกันซิว่า ทำไมผมถึงบอกว่า..
อุ๋ยไม่เก่งประการแรก..การออกมาตรการยับยั้งการเก็งกำไรค่าเงินทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดที่มักถูกนำมาใช้ในลำดับแรกๆ คือ
นโยบายดอกเบี้ยง่ายที่สุดคือ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง ในภาวะปกติที่กระทำกันคือ ลดหรือเพิ่มครั้งละไม่เกิน 0.25% แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ทันตาเห็น ก็ให้ลดทันที 0.5% ตรงนี้ความเสียหายในเรื่องผลกระทบไม่มากนัก เพราะนักลงทุนในตลาดเงินทั้งภายในและนอกประเทศเขาคาดการณ์กันอยู่แล้วว่า เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท อย่างไรเสีย แบงค์ชาติต้องออกมาตรการใดมาตรการหนึ่งมาสกัดกั้นอย่างแน่นอน
ที่สำคัญ..มาตรการทางการเงินโดยใช้อัตราดอกเบี้ยนี้ เป็นที่ยอมรับได้ของประชาคมโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศทั้งหลาย
ถ้าใช้มาตรการลดอัตราดอกเบี้ยแล้วไม่ได้ผล ค่อยว่ากันอีกที เพิ่มยาให้แรงขึ้นอีก แต่อย่างน้อยควรได้ทดลองใช้ก่อน ไม่ใช่ คนป่วยไข้หวัดมาให้หมอรักษา ยังไม่ทันให้ทานยาแก้หวัด ก็ส่งไปฉายรังสีซะแล้ว
ที่ไม่ใช้มาตรการนี้ก่อน ผมคิดว่า เพราะอุ๋ยห่วงผลกระทบด้านอื่นที่ไม่ใช่เรื่องค่าเงินมากกว่า เพราะเป็นที่รู้ๆ กันว่า ประเทศไทยเรากำลังเป็นดาวรุ่งในตลาดเงินโลก เรื่อง ตราสารหนี้ ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลง 0.5% แน่นอนว่า ตราสารหนี้ใหม่ๆ จะไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติแน่นอน อุ๋ยกับแบงค์พาณิชย์นี่เป็นสองร่างแต่หัวใจเดียวกันนะครับ
ผลกระทบอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้น คือ ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะตอนนี้เงินเฟ้อของเราก็ต่ำ และมาตรการดอกเบี้ยก็เป็นมาตรการชั่วคราว อีก 3 เดือนก็ปรับใหม่ได้ครับ ดูดีมานด์ ซัพพลายของเงินทุนหมุนเวียนอีกที
ประการที่สอง..การใช้ Retained Deposit 30% นี่ ไม่ทราบว่า เอาสูตรนี้มาจากไหน? ใครจะบ้าเอาเงินมาลงทุนระยะสั้นๆ 100 แต่ใช้เงินได้แค่ 30 ล่ะครับ แม้จะตั้งใจว่าจะลงทุนยาวกว่า 1 ปีก็ตามเหอะ แต่ในสันดานของนักลงทุนเพื่อหวังผลประโยชน์จากการลงทุน อะไรๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะที่เป็น กลยุทธการลงทุน (Strategic Plan) ไม่ใช่นโยบายการลงทุน (Policy Plan)
ในโลกนี้เคยมีประเทศที่ใช้มาตรการนี้อยู่ไม่กี่แห่ง เช่น มาเลย์ ชิลี น่าจะศึกษาดูก่อนนะครับว่า เขาทำแล้วสำเร็จสมประสงค์ หรือว่า เจ็บตัว ส่วนใหญ่ก็เจ็บตัวทั้งนั้น ดังนั้น ถ้าเราจะทำมั่งก็ไม่ว่า แต่ไม่ลองตรึกตรองดูล่ะว่า ถ้ามันดี ทำไมทั่วโลกไม่ใช้มาตรการนี้สกัดกั้นล่ะ
เอาล่ะ..
สมมุติว่า ถึงอย่างไรก็ศึกษาแล้ว อยากใช้มาตรการนี้ ก็ต้องมาคิดอีกทีว่า ทำไมต้องแรงถึง 30% เอาแค่ 10% ก็พอแล้ว เพราะอย่าลืมว่า ต้องดำรงเงินฝากเอาไว้ 10% โดยไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเวลา 1 ปี สำหรับเงินทุนก้อนใหญ่ๆ ถือว่า มหาศาลได้เช่นกัน
ถ้าวันนั้น ประกาศ Retained Deposit 10% ผมเชื่อว่า นักลงทุนต่างประเทศจะใช้วิจารณญาณแบบชั่งใจ เพราะหากทิ้งประเทศไทยไป เขาต้องตัดขาดทุนในตลาดทุนและตลาดเงินจำนวนมหาศาล อาจใช้กลยุทธในการ อยู่เฉยๆ (Wait and See Strategy) ไม่ทำอะไรกับเงินทุนที่ลงไปแล้ว แต่รั้งรอที่จะนำก้อนใหม่เข้ามา นั่น..
เป็นสิ่งที่แบงค์ชาติต้องการให้เป็นมิใช่หรือ?ประการที่สาม..ตอนบ่ายอุ๋ยยังคุยแบบปากกล้าขาสั่นอยู่เลยว่า ไม่กังวลเรื่องผลกระทบในตลาดหุ้นเพราะคาดการณ์เอาไว้แล้ว และจะไม่ปรับเปลี่ยนมาตรการนี้อย่างแน่นอน แต่ตอนเย็น..แถลงข่าวแบบหน้าจ๋อย (เหมือนตอนถอนร่างหวยบนดินเลย) ยอมรับว่าจำเป็นต้องผ่อนปรนมาตรการลงบ้างเพื่อรักษาตลาดทุนเอาไว้ เพราะสัญญาณจากตัวแทนนักลงทุนต่างชาติผ่านโบรกเกอร์หลายรายบอกว่า
ขายหมดหน้าตัก แน่นอน และประเทศไทยต้องเตรียมเงินมาดูดซับส่วนนี้อีกนับแสนล้านบาทให้ได้ นอกจากนี้ เจพี มอร์แกน ขาใหญ่ ยังทำบทวิเคราะห์ปรับทิศทางความน่าลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้เป็น ลบ เท่ากับเตือนนักลุงทุนต่างชาติทั้งหลายว่า อย่าเข้ามาเด็ดขาด
ถามว่า ตลาดหุ้นขาดนักเก็งกำไรต่างชาติอยู่ได้ไหม? ตอบได้เลยว่า..อยู่ได้ครับ แต่การขยายตัวของดัชนีและการพัฒนาตลาดทุนไทยจะไม่เกิดขึ้น ก็เหมือนๆ กับ เอา SET ไปทำให้เป็น MAI นั่นแหละ
ความไม่เก่งของอุ๋ยในการกลับลำน่าจะอยู่ที่..
--ความไม่เด็ดขาด ไม่รอบคอบ ซึ่งไม่ใช่บุคคลิกของผู้บริหารการเงินการคลังระดับชาติ
--การนำเงินเข้ามาลงทุนระยะสั้นในประเทศไทย กองทุน และสถาบันการเงินต่างๆ ไม่มีที่ไหนหรอกครับ (ยกเว้นระดับกิ๊กก๊อกแบบใต้หวัน และฝรั่งหัวดำ) ที่มุ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเดียว นักลงทุนที่ดีจะกระจายการลงทุนไปยังตลาดทุน และตลาดเงิน รวมทั้งการเก็งกำไรค่าเงิน ในอัตราส่วนต่างๆ กัน เพื่อกระจายความเสี่ยง และโยกย้ายสับเปลี่ยนเงินจากตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่งอย่างรวดเร็ว กลับไปกลับมาได้ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด ซึ่งเรียกว่า ความยืดหยุ่นในการลงทุน (Elasticity) ดังนั้น อย่างหวังว่า เขาจะยอมให้อุ๋ยมัดแขนมัดขา แยกการลงทุนเป็นส่วนๆ ไปไม่ให้ไขว้กันไปมานะครับ
ประการที่สี่..นักลงทุนในสหรัฐอเมริกา และบางประเทศในยุโรป เขาไม่นำเงินมาลงทุนในประเทศที่มีการจำกัดสิทธิ์ในการลงทุนอย่างเสรีนะครับ ตรงนี้ต้องคำนึงเอาไว้ด้วย ไม่งั้นก็จะได้แต่ฝรั่งหัวดำ และอาตี๋ในย่านนี้เท่านั้น
สุดท้ายนี้..
ผมยังคิดว่า โชคดีของประเทศที่คมช.ไม่ได้เลือกอุ๋ยเป็นนายกเสียแต่ตอนนั้น แต่เป็นโชคร้ายของประเทศที่อุ๋ยดันมากำกับดูแลนโยบายการเงินการคลังอยู่ต่อไป อย่างน้อยก็อีกหนึ่งปี