การถือครองป่าเขายายเที่ยง ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์โดย ปรีชา สุวรรณทัต1. ข้อเท็จจริงมีว่า ประมาณปี พ.ศ.2536-2537 นายเบ้า สินนอก ได้ขายที่ดินให้แก่
นายนพดล พิทักษ์วานิชย์ จำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกมีเนื้อที่ 14 ไร่ และแปลง
ที่ 2 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน เป็นพื้นที่ติดต่อกันโดยขายให้ในราคา 600,000 บาท
ปี 2540 เปลี่ยนผู้ถือครองที่ดินเป็น พล.ต.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์
ต่อมาปี พ.ศ. 2545 เปลี่ยนผู้ถือครองเป็น พ.อ.หญิงจิตราวดี จุลานนท์ และได้ยื่น
เสียภาษีบำรุงท้องที่ ภทบ.5 ตลอดมา
ที่ดินดังกล่าวอยู่ในท้องที่หมู่ 6 ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา กรมป่าไม้ประกาศ
เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อ พ.ศ.2507 ในปีที่ประกาศใช้
พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 โดยครอบคลุมพื้นที่ป่าเขาเตียง เขาเขื่อนลั่น
และเขายายเที่ยง และต่อมาในปี พ.ศ.2535 กรมป่าไม้ได้ทำการจำแนกประเภทของ
ป่าเพื่อจัดที่ดินทำกินให้แก่ราษฎร กรมป่าไม้ได้จำแนกพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้เป็นพื้นที่
ป่าโซน C (โซนอนุรักษ์) ซึ่ง
เป็นพื้นที่ที่สงวนใช้เป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่อนุญาตให้นำพื้นที่
ป่าไม้ดังกล่าวไปจัดเป็นพื้นที่ทำกินแก่ราษฎร2. เมื่อมีการกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ผู้เขียนจะต้องคิดถึงทฤษฎี
ของการแยกประเภทความผิดอาญาเพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยและเข้าใจปัญหา
ตามสภาพและพฤติการณ์ของการกระทำและผู้กระทำความผิดเสียก่อน
ในกรณีนี้ได้แก่การแบ่งแยกประเภทความผิด ความแตกต่างในแง่ของกฎหมายตาม
ภาษาละติน ออกเป็น 2 อย่าง คือ
mala in se. delits naturels คือ "ความผิดในตัวเอง" และ
mala prohibita, delits artificiels ou de temp et de lieu คือความผิดที่มี
กฎหมายห้ามตามพฤติการณ์ และกาลเทศะ
mala คือความผิด
ส่วน in se ก็ตรงกับคำว่า อินทรีย อินทรีย์ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน
พ.ศ. 2542 ได้ให้คำอธิบายว่า ร่างกายและจิตใจ เช่น สำรวมอินทรีย์ สติปัญญา
ความรู้สึก อินทรียสังวร
สำรวมอินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้าย ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง
ดมกลิ่น ลิ้มรสถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ
ความผิดที่เป็น mala in se จึงเป็นความผิดที่กระทำโดยเจตนา หรือมีเจตนาทุจริต
ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึก ในการที่กระทำ มีอายตนะคือมีเครื่องรู้ และสิ่งที่รู้ว่าการกระทำ
นั้นเป็นความผิด หรือมีเถยจิตเป็นโจร
ส่วนความผิดที่เป็น mala prohibita หมายถึง ความผิดนั้น ไม่ใช่ความผิดอาญาใน
ตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะกฎหมายห้าม ซึ่งบางคนอาจไม่ทราบว่า การกระทำ
เช่นนั้นเป็นความผิด เช่น คนต่างด้าวที่เพิ่งเข้ามาในราชอาณาจักร หรือคนที่อยู่ห่าง
ไกล ไม่ทราบถึงกฎหมายที่ประกาศใช้ใหม่
เมื่อมีสภาพและพฤติการณ์ ทั้ง 2 ประการ แสดงว่าผู้กระทำความผิดอาจไม่รู้กฎหมาย
จริงๆ เพราะเป็นกฎหมายพิเศษ ที่บัญญัติความผิดขึ้นเฉพาะท้องถิ่น เฉพาะชั่วคราว
จึงไม่ใช่ความผิดในตัวเอง ดังเช่น ความผิดที่เป็น mala in se ที่ได้อธิบายมาแล้ว
ข้างต้น
แต่ทั้งความผิดที่เป็น mala prohibita และ mala in se ก็ล้วนเป็นการกระทำที่เป็น
ความผิดเหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันตรงที่ถ้าเป็น mala prohibita แล้ว ศาลอาจยอม
ให้พิสูจน์ว่าผู้กระทำความผิดอาจไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด และศาล
อาจลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายระบุไว้ในกฎหมายเท่าใดก็ได้ จะไม่ลดโทษให้ก็ได้
แต่ข้อสำคัญ
จะไม่ลงโทษเลยไม่ได้ เพราะยังเป็นความผิดอาญาอยู่ เพียงแต่ไม่มี
"เถยจิตเป็นโจร" เหมือน mala in se
กรณีของท่าน พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ในขณะนี้ ก็ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและ
ประกอบตามคำให้สัมภาษณ์ของท่านที่มีอยู่ 2 ตอนที่สำคัญดังนี้
"เรื่องนี้ผมยินดีที่จะให้ตรวจสอบ และอย่างที่เคยพูดไว้แล้วว่า ถ้ามีปัญหาก็ไม่มีอะไร
มากมาย เราก็พร้อมที่จะคืน เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากมาย ถ้าผิดผมก็ยินดีที่
จะไม่ใช้พื้นที่ ผมเรียนตรงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง ถ้าจะให้ผิดถึงกับว่าเป็นความผิดทาง
ด้านการเมืองผมก็ยินดี เพราะผมไม่ได้มีอะไรยึดติดอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าผมสมควรที่จะออก
ผมก็พร้อม ไม่มีอะไรขัดข้องเลย"
และอีกตอนหนึ่งที่สำคัญว่า
"มันก็เป็นพื้นที่อย่างนี้อยู่แล้ว
เราก็ทราบดีว่าเป็นพื้นที่ที่ "ก้ำกึ่ง" แต่ก็ได้ดำเนินการ
อย่างถูกต้องตามขั้นตอน คือได้จ่ายเงินให้กับชาวบ้านเพื่อไปขอใช้พื้นที่ เพราะเรา
ไม่ได้เป็นเจ้าของสิทธิ ผู้ถือสิทธิที่ดินดังกล่าวก็ยังมีอยู่ และผมก็เข้าไปทำประโยชน์
อย่างต่อเนื่อง คือเข้าไปปลูกต้นไม้ ปรับปรุงพื้นที่ ซึ่งแต่เดิมไม่ได้ทำอะไร เป็นเพียง
ทุ่งหญ้าคา ก็ได้เข้าไปทำเกษตรกรรมจนมีสภาพอย่างที่สื่อมวลชนได้เห็นในปัจจุบัน
ว่า มีทั้งต้นไม้ และผลไม้ต่างๆ"
3. การไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติเป็นความผิด จึงต่างกับการไม่รู้ข้อเท็จจริง ถ้าไม่รู้ข้อ
เท็จจริงแล้ว สามารถแก้ตัวได้ เพราะเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นองค์
ประกอบของความผิด กฎหมายถือว่าไม่มีเจตนา จึงไม่เป็นความผิดอาญา ไม่ว่า
จะเป็น mala prohibita หรือ mala in se
การไม่รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด (ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรค 3) ที่ถือว่าผู้กระทำไม่มีเจตนาจึงไม่เป็นความผิดอาญาดังคำ
พิพากษาศาลฎีกาที่เป็นบรรทัดฐานดังนี้
ฎีกาที่ 1266/2515 ไม่รู้ว่าที่ดินที่ใดเป็นป่าสงวนไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507
ฎีกาที่ 2907 ถึง 2928/2517 เข้าใจว่าที่ดินที่จำเลย ไถ ทำนาเป็นที่ดินที่จำเลยมี
สิทธิครอบครอง ไม่รู้ว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 360
ฎีกาที่ 320/2515 ประกาศ กฎกระทรวง คำสั่ง ระเบียบ หรือข้อบังคับต่างๆ ที่ออก
โดยฝ่ายบริหาร ไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย การไม่รู้บทบัญญัติเหล่านี้ ต้องถือว่าเป็นการ
ไม่รู้ข้อเท็จจริง เท่ากับไม่มีเจตนา (ฎีกาที่ 660/2492 และที่ 1347/2505)
แต่ความ
เข้าใจผิด ที่อ้างว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้ จะต้องมีเหตุผลอันสมควรด้วย (resonable)
แต่คำรับของท่านพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ว่า เราก็ทราบดีว่าเป็นพื้นที่ที่ "ก้ำกึ่ง"
คำพูดนี้จึงเป็นการปิดปากไม่ให้ท่านเถียงและแก้ตัวว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นป่าสงวน
ตามพระราชกฤษฎีกา เมื่อ พ.ศ.2507
รีบปลงอาบัติเสียเถอะครับ มติชน วันที่ 02 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10524http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0140020150&day=2007/01/02คุณ ปุถุชน คงไม่บอกว่า
อ.ปรีชา กลายเป็นพวก รักทักษิณ ไปแล้ว หรอกนะคะ
ผิดคือผิด เหตุใดต้องบิดเบือนให้ถูก ตามอำเภอใจ?
แล้วจะต่างอะไรกับที่ว่าผู้อื่นใช้ "กติกู"?