บทความ ถอดเทปจากการอภิปรายเรื่อง
"ภาระของเดือนตุลา ในวาระครบรอบ 25 ปี 6 ตุลาคม 2519
จัดขึ้นที่ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2544
ศ.ดร. ธงชัย วินิจจะกูล
คุณจินดา ทองสินธุ์ บิดาของจารุพงษ์ ทองสินธุ์ หนึ่งในผู้เสียชีวิตในอาชญากรรมเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้ปรารภกับเพื่อนฝูงของจารุพงษ์ ว่าอยากได้กระดูกลูกชายกลับไปไว้ที่บ้าน
คุณจินดา เฝ้ารอลูกชายเป็นเวลา 20 ปีจึงได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตแล้ว แต่ 5 ปีต่อมาก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าร่างของเขาอยู่ที่ไหนนับแต่เวลาที่เขาจากไป
คุณแม่ลิ้ม - คุณพ่อจินดา ทองสินธุ์
พ่อและแม่ของจารุพงษ์ ทองสินธุ์
ผู้รอคอยการกลับบ้านของลูกถึง 20 ปี กว่าจะทราบว่าลูกชายคนนี้เสียชีวิตแล้ว
ในเหตุการณ์นองเลือดวันที่ 6 ตุลาคม 2519
วันนี้เรารู้แล้วว่า จารุพงษ์ เป็นหนึ่งใน "ชายไทยไม่ทราบชื่อ" ผู้ถูกทำร้ายจนจำหน้าไม่ได้ และไม่มีหลักฐานอื่นระบุตัวผู้ตายจึงไม่ได้รับศพไป ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับมูลนิธิปอเต็กตึ้งจึง "จัดการตามประเพณี" ไปตั้งแต่ ปี 2519.
ผมพบคุณพ่อ จินดา เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา เรียนให้ท่านทราบว่าผมเชื่อว่าผมรู้แล้วว่าศพของจารุพงษ์อยู่ที่ไหน แต่คงไม่มีใครหากระดูกของเขาเจออีกแล้ว.
25 ปีหลัง 6 ตุลา คุณพ่อจินดา เดินทางกลับสุราษฎร์มือเปล่าอีกครั้ง.
ถึงเดือนตุลาของทุกปี มีการรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลาทั้งสองกรณีกันอีกครั้ง.
ปีนี้เข้าใจว่าคงทำกันเอิกเกริกเป็นพิเศษเพราะตัวเลข 25 สำหรับ 6 ตุลาและเพราะจะมีการเปิดอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
คงมีปาฐกถา สุนทรพจน์ กล่าวย้ำถึงการสืบทอดเจตนารมณ์เดือนตุลาตามแต่จะให้ความหมายกัน และคงมีการอภิปรายถึงปัญหาในปัจจุบันและอานาคตว่า "คนเดือนตุลา" น่าจะทำอะไรบ้างในขอบข่ายของเจตนารมณ์นั้น เช่น ปัญาหาเอกราช ประชาธิปไตย คนยากจน สิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน ฯลฯ
เรามักเน้นย้ำเสมอว่า คนเดือนตุลา หมกมุ่นอยู่กับอดีตไม่ได้ ต้องเดินหน้าสืบทอดเจตนารมณ์ มีบทบาทแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต บางคนเรียกว่าเป็น "กรรม" อย่างหนึ่งของคนเหล่านี้ที่รู้สึกต้องแบกโลกไว้ตลอดชีวิต ทิ้งไปไม่ได้ และไม่อยากทิ้ง.
ปณิธานมุ่งมั่นดังกล่าวเป็นเรื่องดีจนไม่จำเป็นต้องขยายความอีก
ปัญหามีอยู่ว่าการหมกมุ่นกับปัจจุบันและอนาคต ทำให้เราดูเบาต่อภาระกิจในอดีตไปหรือเปล่า?
คนจำนวนมาก (รวมทั้งคนเดือนตุลาจำนวนหนึ่ง) อาจเห็นการชำระสะสางอดีตเป็นแค่เรื่องทางวิชาการที่ไม่มีผลรูปธรรมชัดเจนต่อ ปัจจุบันและอนาคตหรืออาจขัดขวางเสียด้วยซ้ำ
นายสมัคร สุนทรเวช จึงชนะเลือกตั้งท่วมท้น !
หลายคนจึงมักพูดทำนองว่า บ้านเมืองดำเนินมาดีเข้ารูปเข้ารอยแล้ว จะย้อนอดีตทำไมกัน
คนเหล่านี้คงเห็นการหากระดูกเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
เรื่องราวอีกสักร้อยสองร้อยกระดูกที่จบชีวิตไปท่ามกลางการเมืองเมื่อ 20-30 ปีก่อนก็คงไม่สลักสำคัญนักสำหรับพวกเขา
แต่คนเหล่านี้มิได้ปฏิเสธความสำคัญของอดีตอย่างที่มักเข้าใจกัน พวกเขาชื่นชมภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ (ของเจ้า) อย่างเอิกเกริกจนโลกแทบจะหยุดหมุน ขะมักเขม้นกับการประท้วงและขัดขวางประวัติศาสตร์ที่ไม่เข้าหูเข้าตาของพวกเขา ไม่ว่าจะผลิตโดย ฝรั่ง พม่า เขมร หรือ คนไทยเอง
พวกเขาพอใจที่จะเสพประวัติศาสตร์ที่เป็นยากล่อมประสาทให้เคลิ้มไปตามๆกันและปฏิเสธอดีตที่เขาอยากจะถือว่าเป็น ฝันร้าย
สงครามความทรงจำยังไม่สิ้นสุด มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
รำลึก 6 ตุลา (อีกแล้ว) ทำไมกัน ?
หนึ่ง เพราะการสะสางอดีตที่เป็นบาดแผล เป็นการต่อสู้ในปริมณฑลของความทรงจำทางสังคมที่เพิ่งเริ่มต้น
สอง เพราะการชำระความเจ็บปวดค้างคาใจ เป็นเงื่อนไขสำคัญแก่ผู้คนนับหมื่นที่ถูกทำร้ายในวันนั้น และกลายมาเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยในแทบทุกวงการ เพื่อเรียกพลังชีวิตของเขากลับคืนมาและเติมพลังให้พวกเขายินดีรับกรรมแบกโลก ต่อไปตามแต่ปรารถนา
สาม-สี่-ห้า หลายคนอาจต้องการทำความจริงให้กระจ่างอย่างหมดจด อาจต้ดงการหาตัวผู้รับผิดชอบต่ออาชญากรรม และอื่นๆ
บาดแผลในอดีตกลายเป็นพลังสำหรับปัจจุบันและอนาคตได้อย่างไร?
ผมเรียกความเจ็บปวดอันเป็นประสบการณ์ร่วมของผู้ถูกทำร้ายโดยตรงโดยอ้อม เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ว่าเป็น "บาดแผล" หรือ "trauma" ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างได้ว่าเป็นความเจ็บปวดที่ค้างคาใจ.
ความเจ็บปวดที่ค้างคาใจของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นโศกนาฏกรรมระดับส่วนบุคคล ครอบครัว หรือใหญ่โตอย่าง 6 ตุลา คือสภาวะที่ชีวิตของเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องๆหนึ่ง จากนั้นบาดแผลหรือเรื่องค้างคาใจเกิดได้ 2 แบบ
1 เรื่องๆนั้นไม่มีใครอยากฟัง ไม่มีใครยอมฟัง ไม่มีพื้นที่ ไม่มีที่ยืน ขืนเล่าให้ใครฟัง ก็อาจกลายเป็นตัวประหลาด ถูกรังเกียจ เป็น*****จั*** ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เรื่องของเรา จากมุมมองของเรา ตามที่เราเข้าใจ ถูกกดเก็บไว้ ถูกปิดบัง ถูกปราบปราม ถูกลืมหรือหลบเลี่ยงไม่ยอมรับว่ามีอยู่จริง ไม่ยอมให้เราเล่าเรื่องที่เราต้องการจะเล่า แต่สังคมปฏิเสธเรื่องและปฏิเสธเรา
2 เรื่องที่เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งนั้น ดำเนินไปอยู่ดีๆ ก็ถูกตัดบท หยุดมันเสียดื้อๆ แขวนเท้งเต้งไม่มีตอนจบ มนุษย์เราอยู่ได้ด้วยการฟังเรื่องราวต่างๆและเข้าใจโลกด้วยเรื่องราวนับร้อยนับพัน วันแล้ววันเล่า เราอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเรื่องราวที่ช่วยหล่อหลอมชีวิตปกติ เรามักอึดอัดเวลาที่เราได้ฟัง ได้ดู ได้อ่านเรื่องราวที่ค้างเติ่งไม่มีตอนจบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นฝ่ายคุณธรรม (ตามสายตาเรา) ถูกรังแกสารพัด แล้วถูกตัดบทสั่งให้จบแค่นั้น เราคงเขียนประท้วง ด่าผู้เขียนหรือคนจัด ในกรณีของพวกเรายิ่งทารุณกว่านั้น คือเราเป็นสาวนหนึ่งของเรื่องที่ฝ่ายของเรา (ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าเป็นฝ่ายธรรมะ) ถูกทำร้ายรังแก แล้วรัฐไทย สังคมไทย บอกว่าพอแล้ว ปล่อยมันค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
ครั้นจะขอต่อเรื่องให้จบ หรือขอแค่เล่าเรื่องของเราให้สังคมไทยได้ฟัง ก็มักถูกปราบปรามให้หยุดพูดเรื่องเก่าๆเสียที
เรื่องคาใจนับร้อยนับพันในชีวิตปกติก็น่าอึดอัดพออยู่แล้ว ครั้นเรื่องคาใจนั้นคือ โศกนาฏกรรมที่เกิดกับคนนับหมื่น ที่เราเองเป็นส่วนหนึ่ง นี่คือบาดแผลที่เป็น trauma
นี่คือ บาดแผล 6 ตุลา
สังคมไทยไม่รู้จักว่าจะจัดการกับ trauma อย่างไร ผมไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเขายอมรับว่ามีอยู่หรือเปล่า ดีแต่บอกปัดความเจ็บปวดค้างคาใจของคนนับหมื่นเพื่อความสงบสุขลมๆแล้งๆของคนจำนวนล้าน
พวกเราแต่ละคนดำเนินชีวิตมาได้ด้วยการรู้จักจัดการกับบาดแผลค้างคาใจไปในแบบ ต่างๆกัน ต่างคนต่างมรทางของตนเอง แต่ส่วนมากเก็บเรื่องของเราที่เราอยากจะบอกแก่สังคมไทยไว้ในซอกหลืบที่คนอื่ นเข้าไม่ถึงเพราะไม่รู้ว่าเข้าจะเห็นเราเป็น*****แผ่นดินหรือเปล่า นานวันเข้า บางคนก็ปฏิเสธแม้กระทั่งเรื่องของตนเอง ทั้งๆที่เรื่องที่ถูกซุกเก็บไว้เงียบๆนั้นอาจเป็นช่วงสำคัญที่สุดของชีวิตเข า
การเคลื่อนไหวและการรำลึก 20 ปี 6 ตุลา คือ ภาวะที่เราพร้อมใจกันออกมาเล่าเรื่องของเราที่ถูกฆาตกรรมทำร้ายโดยรัฐ จนกระทั้งสังคมยอมรับฟังและยอมให้เราเล่าเรื่องของเราได้อย่างมั่นใจเป็นตัวของตัวเอง เราช่วยกันสร้างพื้นที่ สร้างที่ยืนของความทรวจำแบบของเราเองขึ้นมาในสังคมไทย
และที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่เราแต่ละคนเดินออกมาจากซอกมุมที่ขังตัวตนของเราไว้เสียนาน ออกมาฟ้อง ออกมาร้องไห้อย่างไม่ต้องอาย ไม่ต้องแคร์ว่าใครจะคิดอย่างไร
ในครั้งนั้นการที่หลายคนรู้สึกว่า "ดีใจที่มีวันนี้จนได้" คือภาวะที่แต่ละคนเรียกความเป็นตัวตนของตนเองกลับมาอย่างครบถ้วน ในเมื่อไม่ต้องซุกซ่อนอดีตหรือตัดมันขาดจากปัจจุบัน ในเมื่อชีวิตไม่หายไปครึ่งหนึ่ง อดีตกับปัจจุบันของแต่ละชีวิตสมานกันเข้าเป็นตัวตนของชีวิตหนึ่งๆอย่างครบถ้วน คนๆนั้นย่อมมีพลัง ความเข้มแข็งที่จะดำเนินชีวิตในปัจจุบัน และกลายเป็นพลังที่มีคุณค่า แก่การจะทำอะไรก็ตามในปัจจุบันและอนาคต
การต่อสู้กับความเจ็บปวดในอดีต เป็นสงครามความทรงจำที่แยกไม่ได้ระหว่างการต่อสู้ระดับสังคมกับระดับปัจเจก เพราะทั้งสาเหตุ กระบวนการ และผลการต่อสู้นี้มีอยู่ในทั้ง 2 ระดับอย่างแยกกันไม่ออก
เกิดอะไรขึ้นในการำลึก 20 ปี 6 ตุลา เมื่อ ปี 2539
ขออธิบาย การสะสางอดีตที่เป็นบาดแผลด้วยการย้อนพิจารณาการรำลึก 20 ปี 6 ตุลาเมื่อ ปี 2539. ประเด็นสำคัญที่สุด คือความสัมพันธ์ระหว่างการบุกเบิกพื้นที่ของความทรงจำทางสังคม กับบทบาทของความทรงจำของชีวิตเล็กๆน้อยๆ จำนวนมาก
มีเหตุปัจจัยทางการเมือง สังคมและเวลาอันเหมาะเจาะหลายประการ ที่ช่วยให้เกิดการยอมรับพื้นที่ของความทรงจำและเรื่องเล่า 6 ตุลา จากมุมมองของผู้รับเคราะห์ในการเคลื่อนไหวเมื่อปี 2539 แต่ในที่นี้ขอข้ามประเด็นไป ขอพิจารณาเฉพาะกิจกรรมการเคลื่อนไหวในครั้งนั้น
ท่ามกลางการทะเลาะเบาะแว้งอย่างหนักในหมู่ผู้จัดงาน กิจกรรมต่างๆสามารถก่อให้เกิดการปฏิบัติการของความทรงจำ 2 แบบ 2 ระดับ
ระดับที่ 1 (แบบที่ 1) คือการประมวลรื้อฟื้น และพยายามสถาปนาภาพรวม หรือภาพหลักๆของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือ เรียกว่า เรื่องเล่าหลักของบรรดาผู้รับเคราะห์ (master narrative of the victims)
นิทรรศการ วิดิโอ และเรื่องราวมากมายในสื่อมวลชน หน้าหนังสือพิมพ์ หลายเดือนก่อนหน้างานรำลึกและระหว่าง 2 วันที่จัดงาน นำเสนอภาพหลักๆของเหตุการณ์ว่าเกิดการฆ่าสังหารโหดอย่างเหลือเชื่อโดยกลไกของรัฐ
เรื่องหลัก ของ 6 ตุลา คือ เรื่องของอาชญากรรมโดยรัฐไทย
(นี่ตรงข้ามสุดขั้วกับเรื่อง 6 ตุลา ฉบับทางการเมื่อ ปี 2519 และระยะใกล้หลังจากนี้)
แต่การสถาปนาภาพรวมเรื่องเล่าหลักของเรา ไม่ได้หมายความว่าความจริงถูกเปิดเผยหมด มิได้หมายความว่าเกิดความกระจ่างหมด น้ำยังท่วมอยู่เต็มปาก
ขีดจำกัด ณ วันนี้ ยังอยู่ตรงนั้น 1
สังคมไทยยอมรับฟังเรื่องอัปลักษณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่สังคมไทยกลับไปต้องการให้จัดการกับอาชญากรรมด้วยการหาคนรับผิดมารับผิดชอบ
ขีดจำกัด ณ วันนี้ ยังอยู่ตรงนั้น 2
เพราะสังคมไทยยอมให้เรื่องเล่าของเราพอมีที่ยืนได้อย่างไม่ต้องหลบซ่อน แต่กลับไม่ต้องการให้อดีตเกี่ยวข้องกับปัจจุบัน
ขีดจำกัด ณ วันนี้ ยังอยู่ตรงนั้น 3
กล่าวอีกอย่างได้ว่า เราสามารถทะลุทลวงความเงียบที่ปกคลุมมา 20 ปี พอที่จะสามารถเล่าเรื่องของเราได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวจะถูกปฏิเสธ
แต่ยังอีกไกลกว่าขีดจำกัดทั้งหลายจะหมดไป หรืกอาจไม่มีทางหมดไป ก็เป็นได้
ระดับที่ 2 (แบบที่ 2) คือการเปิดโอกาสให้ความสำคัญแก่ความทรงจำ เรื่องราวของบาดแผลระดับปัจเจก เฉพาะราย เฉพาะคน ที่เป็นส่วนหนึ่งของภาพหลักเล่าเรื่อง
ในความเป็นจริง เรื่องเล่าหลักก่อรูปร่างด้วยพลังของเรื่องราวเฉพาะรายจำนวนมาก ที่ได้รับการถ่ายทอดทั้งในหมู่พวกเราเองและที่รายงานออกสู่สาธารณะ
การรำลึกที่มีแต่เรื่องใหญ่ๆภาพรวม จะจืดเป็นแค่พิธีกรรมที่ไม่ค่ยมีพลัง ไม่ค่อยมีชีวิต กลายเป็นงาน "พอเป็นพิธี" จริงๆตามตัวอักษร
การรำลึกที่มีพลังและสำเร็จ จะต้องสามารถทำให้ผู้เข้าร่วม (ทั้งผู้มีประสบการณ์โดยตรงด้วยตัวเอง และผู้มารับรู้) สามารถรับรู้และรู้สึกได้ด้วยตัวเอง แต่ละคน ( ขอย้ำว่า แต่ละคน) สามารถเข้าใจ เข้าถึงความรู้สึกของผู้คนได้ในแบบของตนเอง เรื่องเล่าระดับเล็กๆ ของผู้คนเล็กๆที่มีหน้าตา ชีวิตจิตใจ มีครอบครัว เดินเหินปกติ มีพลังที่สามารถเชื่อมต่อกับประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมแต่ละคนได้เอง
สำหรับพวกเรา การรำลึกที่มีพลังและสำเร็จ จะต้องเปิดโอกาสให้เราผูกพันเรื่องราวของตัวเองเข้ากับภาพรวมหรืกเรื่องเล่า หลักได้ จะต้องเปิดโกาสให้เรามีที่ยืนอยู่ภายในเรื่องใหญ่ เพื่อที่เราจะสามารถดำเนินเรื่องต่อไปตามความเข้าใจของแต่ละคนเองไม่ว่าจะพบ คำตอบแล้วหรือยังแสวงหาอยู่ ก็สามารถต่อชีวิตอดีตกับปัจจุบันได้อย่างพอใจไม่โดดเดี่ยว
งานรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นชัยชนะ มักละเลยความทรงจำระดับปัจเจกเพราะเรื่องเล่าหลักพบตอนจบแล้วไม่ค้างเติ่ง จึงมักเป็นงานเฉลิมฉลองเอิกเกริก
แต่เหตุการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรมค้างเติ่ง มักทำให้แต่ละชีวิตที่เสียไปหนักอึ้ง และชีวิตที่ยังอยู่อ่อนเรี่ยวแรงด้วยความเจ็บปวดคาใจ การรำลึกจึงต้องสนใจให้ความสำคัญกับความทรงจำของแต่ละคน
หยุดแค่เรื่องหลักๆไม่ได้
เมื่อ 5 ปีก่อน กิจกรรมที่มีพลังมีผลต่อเราแต่ละคน และยังส่งผลต่อเรื่องเล่าหลัก คือ การเสวนาที่แต่ละคนได้เล่าเรื่องของเราอย่างเปิดเผย มีคนฟัง ร่วมรับรู้ความรู้สึก และสังคมรับฟัง
คือ การตระเวนขุดหากระดูกสหายที่เสียไปที่ละคนที่ละคน ใส่โกฎิเล็กๆเก็บไว้ แล้วสร้างสถูปให้พวกเขา อันนี้เริ่มมาตั้งแต่ก่อนรำลึก 20 ปีเสียอีก และเป็นตัวอย่างดีมากๆแม้จะไม่เคยเป็นข่าวเลยก็ตาม เป้าหมายอยู่ที่แต่ละคนที่เข้าร่วม สาธรณชนรู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ไม่ป็นไร
คือการตามหา พ่อ-แม่ จารุพงษ์ และครอบครัวญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต ที่เราละเลยมาเป็นเวลานาน
คือพิธีศพสัญญลักษณ์ ผู้เสียชีวิตแต่ละคนที่ชื่อ มีชีวิต มีหน้ตา เป็นมนุษย์เหมือนคนไทยอื่นๆ ไม่ใช่*****ศัตรูหรือผีคอมมิวนิสต์ พวกเราได้มีโอกาสร่วมงานศพให้เกียรติเขาอย่างสง่างาม เปิดเผยเสียที มีโอกาสวางดอกไม้จันทร์ด้วยมือของเราเอง บอกลาเขาอีกครั้งด้วยตัวเราเอง
อนุสาวรีย์ อนุสรณ์ที่มีพลังจะต้องสามารถสื่อถึงภาพรวม เรื่องเล่าหลักของเหตุการณ์หรือบุคคลที่เราต้องรำลึกถึง และจะต้องมีวิธีการที่สามารถทำให้ผู้ดู ผู้มารับรู้ และผู้มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์นั้น สามารถเชื่อมเรื่องราวของตนเอง ความทรงจำของตนเองเข้าไปอยู่ในเรื่องใหญ่นั้นได้ในแบบที่ตนต้องการ จนสามารถรู้สึกถึงคุณค่าและความหมายที่ตนเข้าใจ
เราควรเอาใจใส่เรื่องราวระดับเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือไม่ก็ตาม จะต้องไม่หยุดแค่ภาพใหญ่ หรืกงานพิธี ที่ดีที่สุดคือ การเพิ่มพลังตอกย้ำภาพใหญ่ เรื่องหลักด้วยเรื่องราวเล็กๆ ของชีวิตเล็กๆ ที่มีชีวิตจิตใจเหมือนผู้คนธรรมดา ทั้งหลายในโลกเพราะนี่คือวิธีที่ความทรงจำและเรื่องราวของเราจะสามารถสื่อกับสาธารณชนเดินดินเหมือนกัน
การรำลึก 6 ตุลาปีนี้ ปีหน้า ปีต่อๆไป จึงไม่ควรหยุดที่ภาพรวม เรื่องราวหลักๆของเหตุการณ์ แต่ควรให้ความสำคัญกับ แต่ละชีวิต ที่เสียไปและที่มาเข้าร่วม เราควรให้ครอบครัวของผู้ที่เสียไปรู้ว่า เรารำลึกถึงคนที่เขารัก และเราพยายามทำให้สังคมรู้จักรำลึกถึงเขาด้วย ไม่ใช่แค่ภาพรวมในนาม วีรชน 6 ตุลา (หรือ อะไรก็ตามที)
นี่คือ 20 ปี 6 ตุลา เมื่อ 5 ปี ก่อน
ภาระของ "คนเดือนตุลา" ขณะนี้และอนาคตใกล้ๆ "คนเดือนตุลา" เป็นชุมชนที่ผูกพันกันด้วยอดีต
ความคาดหวัง เสียงเรียกร้อง ความผิดหวัง เสียงประชดประชัน ต่อคนเดือนตุลา มีอยู่บ่อยๆ หลายคนคงนึกหมั่นใส้คนพวกนี้มานานแล้ว
ร้อยทั้งร้อยเป็นความคาดหวังและผิดหวังกับหมั่นใส้กับบทบาทของพวกเขาในปัจจุบัน
คนเดือนตุลาก็มักคาดหวังและผิดหวังกันเองว่าน่าจะทำโน่นไม่ทำนี่ในปัจจุบัน
แต่ "คนเดือนตุลา" เป็นชุมชนอุปโลกน์ที่ผูกพันกันด้วยอดีต พวกเขามีปัจจุบันและอนาคตที่แตกต่างกันมากมายลิบลับจนยากจะหาจุดร่วมที่สามา รถเป็นปฏิบัติการที่ร่วมกันได้
ความสำคัญของชุมชนที่ผูกพันกันด้วยอดีต คือการแปรประสบการณ์ร่วมที่เจ็บปวดให้กลายเป็นพลังชีวิตที่มีคุณค่าสำหรับแต่ละคน อันผูกพันกับอดีตนั้น พลังชีวิตนี้ย่อมมีคุณูปการต่อปัจจุบันและอนาคต
อย่างที่คนเดือนตุลามักกล่าวว่า พวกเขามีกรรมที่ยินดีรับคือ ทำยังไงๆก็สลัดความรับผิดชอบแบกโลกเอาไว้ออกไปไม่ได้
แต่ชุมชนนี้มิได้ผูกพันกันด้วยปัจจุบันและอนาคต พวกเขาจึงแปรพลังชีวิต ออกไปแบกโลกในวิถีทางต่างๆด้วยความคิดต่างๆนาๆ จนแทบจะเรียกว่า ต่างคนต่างเดิน
ยิ่งความเป็นคนหัวแข็ง กรำมาแล้วหลายศึก ทำให้พวกเขาต่างมีความเป็นตัวของตัวเองสูง (ซึ่งต่างสุดขั้วกับชีวิตภายใต้การนำพรรคเมื่อ 20 กว่าปีก่อน) อาจเรียกได้ว่ามีทางเดิน 11 ทาง สำหรับคนเดือนตุลา ทุกๆ 10 คน
แม้แต่เจตนารมณ์ ก็เป็นแนวทางกว้างๆที่เข้าใจตีความและแปรเป็นปฏิบัติการไปได้ต่างๆนาๆลิบลับ สมมติว่าไม่มีใครละทิ้งวิญญาณเดือนตุลาเลยสักคนเดียว พวกเขาก็ยังสามารถสังกัดพรรคการเมืองได้ทุกพรรค และกลุ่มองค์กรเอกชนอีกหลายร้อย บวกกับผู้ไม่ต้องการเข้าข้างใครเลยอีกหลายพัน
ใครพยายามเอาความเป็น "คนเดือนตุลา" ที่หมายถึงชุมชนหรือคนกลุ่มนี้โดยรวมไปผูกพันกับภาระกิจปัจจุบันและอนาคต จึงประสบปัญหา ดูไม่เข้าท่าสักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจับคอรัปชั่นหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองกรณีใดๆ
ความคาดหวังคนกลุ่มนี้โดยรวมว่า ควรทำอะไรในปัจจุบันและอนาคต มีแต่จะจบลงด้วยความผิดหวังและการเสียดสีเย้ยหยัน เพราะในขณะที่บางคนอาจคล้อยตามความคาดหวังนั้น จะพบว่าอีกหลายคนไม่เอาด้วยอย่างแข็งขัน
แต่นี่กลับมิได้หมายความว่า คนเดือนตุลา แต่ละคนควรตัดขาดตนเองออกจากปัจจุบันและอนาคต
ตรงกันข้าม
การยอมรับกรรมอย่างร่วมรับผิดชอบต่อสังคมเป็นทรัพย์อันหาค่ามิได้
แต่เราควรเลิกคาดคั้นและคาดหวังคนเดือนตุลาในเชิงองค์รวม กับภารกิจในปัจจุบันและอนาคตเสียที เลิกจับแพะชนแกะว่ากรณีพวกเขาบางคนในคณะรัฐบาลจะหมายถึงจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
ปล่อยให้พวกเขาเป็นปัจเจกบุคคลที่มีทั้งพลังความคิดและยินดีอุทิศชีวิตรับกรรมเพื่อรับใช้ประชาชนตามที่เขาเข้าใจ ก็น่าจะเกินพอแล้ว
อดีตของพวกเขาจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้พวกเขาอยู่เฉยไม่ได้ และไม่ยอมแพ้ชีวิตง่ายๆอีกต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะขัดแย้งแตกต่างกันขนาดไหนในปัจจุบัน พวกเขาเปลี่ยนอดีตที่ผูกพันอยู่ด้วยกันไม่ได้เสียแล้ว
แต่ไม่ว่าจะมีอดีตผูกพันกันขนาดไหน ปัจจุบันและอนาคตเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล
อาจมีภารกิจปัจจุบันและอนาคตที่ คนเดือนตุลา สามารถร่วมเดินทางเดียวกันได้อีกอย่างมีเอกภาพมีพลัง ก็มักจะเป็นสิ่งที่ผูกโยงกับอดีตอยู่ดี (เช่น กรณี ถนอม สมัคร เป็นต้น) หรือตรงกับเจตนารมณ์พื้นฐาน (เช่นต่อต้าน เผด็จการทหารในเดือน พฤษภาคม 2535 ศัตรูเก่าของความเป็นคนเดือนตุลา) หรือสอดคล้องกับอุดมคติอย่างกว้างขวางที่สุด (เช่น สนับสนุนสมัชชาคนจน)
แน่นอนว่า กิจกรรมประเภทเปิดเวทีพูดคุยกัน ฟังเสกสรรค์อีกสัก 10 รอบเกี่ยวกับปัจจุบันและอนาคตก็ย่อมทำได้และมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่อย่าคาดหวังว่าจะเกิดขบวนการแจ่มชัดของคนเดือนตุลา(ยกเว้นเฉพาะกิจเฉพาะก รณีดังตัวอย่างในย่อหน้ก่อน)
ในอีกด้านหนึ่ง ภาระของชุมชนคนเดือนตุลา น่าจะเป็นภาระเกี่ยวกับอดีต
สงครามความทรงจำยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
การต่อสู้เพื่อความทรงจำในอนาคต
1 ผมไม่ค่อยห่วงการสร้างความยอมรับด้วยภาพใหญ่ หรือเรื่องหลัก
เชื่อว่าการรำลึกทุกครั้ง เราจะทำสิ่งนี้ คิดกิจกรรมเพื่อการนี้ออกไม่ยาก การพูดถึง 6 ตุลาไม่ว่าระดับใดจะตอกย้ำภาพใหญ่เรื่องเล่าหลัก ยังไงๆก็จะยังได้รับการถ่ายทอดตอกย้ำเสมอๆ
การค้นหารายละเอียดของเรื่องใหญ่ เช่น รูปการแสดงละคร ใครสั่ง ตชด เข้ากรุง ฯลฯ ก็ยังน่าค้นหากันต่อไป
ภาวะน้ำท่วมปากยังเป็นขีดจำกัดที่ต้องต่อสู้ท้าทาย
2 ผมอยากให้พวกเราใส่ใจกับเรื่องราวระดับเล็กๆ ความทรงจำของแต่ละคน และเอาใจใส่กับชีวิตความเป็นไปของผู้รับเคราะห์แต่ละรายๆ
- เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตและครอบครัวที่ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจากวันนั้นถึงวันนี้
- ตกลงเรารู้ไหมว่า ตายกี่คน? บ้านเขาอยู่ไหน? ครอบครัวเขาเป็นอย่างไร?
- เรื่องเล็กๆเช่น ช่วยกันหากระดูกจารุพงษ์ให้คุณพ่อของเขา
พลังของเรื่องเล็กๆจะช่วยตอกย้ำและสร้างที่ยืนให้แก่เรื่องใหญ่ว่าด้วยอาชญากรรมของรัฐให้สังคมรับรู้และดำรงอยู่ต่อไปได้อีกนาน
ในอีกแง่หนึ่ง เหตุผลที่เราควรสนใจเรื่องของชีวิตเล็กๆจำนวนมากมายก็คือเราไม่ทำไม่ได้
เรื่องราวของหลายชีวิตหลายครอบครัวที่มีบาดแผลค้างคาใจ การทั้งการที่เราน่าจะพยายามช่วยกันหาตอนจบให้กับชีวิตเหล่านั้น แม้ว่าจะจบอย่างเศร้าๆก็ตามที จะเป็นสิ่งเตือนใจเราไปตลอดชีวิตว่า เรามีหนี้ต้องชดใช้ไม่มีวันหมดสิ้น แผ่นดินนี้ยังมีบัญชีตามค้างชำระอีกมากมายเหลือเกิน
นี่เป็นภาระของเราแต่ละคนในฐานะคนเดือนตุลาที่ยังมีชีวิตอยู่
3 ผมเสนอให้ขยายขอบข่ายชุมชนคนเดือนตุลา คืออยากให้คิดถึงผู้รับเคราะห์เสียหายไม่ใช่แค่เช้าวันที่ 6 เท่านั้น
เหตุการณ์ 6 ตุลา แยกไม่ออกจากความรุนแรงและฆาตการรมทางการเมืองมากมายก่อนหน้านั้น พื้นที่และการยอมรับที่เราเริ่มจะได้รับไม่ควรทำให้เรามองข้าม หลงลืมกรณีอื่นๆที่เล็กและเงียบเสียยิ่งกว่า 6 ตุลา
- เรื่องราวของ อาจารย์ บุญสนอง บุณโยทยาน
- อมเรศ ปรีดา สำราญ หลวงพ่อ อินถา วิชัย เกตุศรีพงษา ชุมพร ทุมไมย 4 คนที่สยามแสควร์ อีก 30-40-50 คนหรือมากกว่านั้น
เราน่าจะช่วยรวบรวม เขียนเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้สังคมไทยรับรู้ด้วยหรืออย่างน้อยก็บันทึกไว้ เป็นหลักฐานให้ลูกหลานมีโอกาสรับรู้มากขึ้น
เราน่าจะเชิญครอบครัวของเขาเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการรำลึกเดือนตุลาทุกครั้ง
4 ผมอยากเห็นพวกเราเองที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่าปล่อยให้ความทรงจำส่วนตัวของเราเอง เลือนหายหรือถูกลบด้วยเรื่องหลักๆ เราควรบันทึกเรื่องราวของเราเองด้วย 5 ปีก่อน ผมเคยคิดว่าจะมีการเขียนออกมามากมาย แต่การเขียนเป็นเรื่องยาก ผมคาดหวังมากเกินไปเอง การสืบพยานอย่างที่ อ.ชลธิชา และ อ.ใจ ได้ทำไปก็เป็นการบันทึกเรื่องราวเล็กๆ 60 กว่าเรื่อง
เรามาสร้างโครงการกันไหม เช่น "5 ตุลา : 1 คน : 1 ตลับ อดีต เพื่อวันข้างหน้า" วันที่ 5 ตุลาปีนี้ พร้อมใจกันต่างคนต่างนั่งลง บันทึกลงเทปเรื่องราวของตนเอง แล้ววันที่ 6 ตุลา เราเอามารวมกัน
ทำไม วันที่ 5?
อยากให้อาศัยการรำลึกถึงวันรุ่งขึ้น เป็นเครื่องเตือนใจว่าถ้าเราไม่ทำ แล้วเกิดพรุ่งนี้ มันหายไปเฉยๆ เรื่องเราของเรา ความทรงจำของเรา ก็จะหายไปพร้อมกับชีวิตเรา (ถ้าเห็นด้วย เราอาจฝากกรรมการตั้งคำถามง่ายๆ แค่ 2-3 ข้อพอเป็นแนวให้ เริ่มพูดออก เช่น
-คุณ อยู่ตรงไหน เช้าวันนั้น
-คุณเห็นอะไร หรือรู้ข่าวแล้วรู้สึกอย่างไร
-ก่อน 6 ตุลา คุณ ทำอะไร
-หลัง 6 ตุลา ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร เป็นต้น)
จากนั้นใครจะพูดอะไรลงเทป ขอเชิญตามสบาย
5 ในเมื่อสงครามความทรงจำ จะสู้กันระยะยาว เราต้องอาศัยการสร้างฐานข้อมูล การสะสมเรื่องราว และการผลิตสื่อที่ทรงอิทธิพล กว่างานวัฒนธรรมประจำปีที่ธรรมศาสตร์
เรื่องสื่อ เช่น สารคดีเล่าเหตุการณ์ หรือเล่าเรื่องชีวิตต่างๆ ในแง่มุมต่างๆ หลายคนคงเข้าใจดีกว่าผมมากนัก
นอกจากเรื่องสื่อแล้ว สถาบันที่มีไว้สู้กันในเรื่องความทรงจำระยะยาว อย่างเช่น การสะสมและบริการเอกสารข้อมูล มีความสำคัญมาก
หอจดหมายเหตุ ธรรมศาสตร์ เก็บเอกสาร โปสเตอร์ เทป ที่เป็นข้อมูลแก่อนาคต เราน่าจะคิดถึงภาระกิจระยะยาว รู้กันอีกหลายรุ่นในประวัติศาสตร์ ใครที่ไม่เข้าใจว่าการต่อสู้กันยาวๆด้วยเอกสารข้อมูลจะส่งผลอะไร ขอให้คิดถึงการรื้อฟื้นความสำคัญของ ปรีดี พนมยงค์
น่ายินดีที่ระยะหลัง หอจดหมายเหตุ เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น และมีผู้ที่ส่งเอกสารเข้าไปเก็บไว้ที่นั่นมากขึ้น เน้นความสำคัญของหอจดหมายเหตุมากขึ้น
แต่ยังมีอีกมากที่น่าจะทำได้
บันทึกเทป 5 ตุลา รวบรวมเสร็จ ส่งเข้าไปเลย แต่ละคน มีอะไรอยากส่งเข้าร่วมสงครามความทรงจำระยะยาวไหม?
ยังมีเอกสารข้อมูลสำคัญๆ เกี่ยวกับ 6 ตุลา ที่รอการเก็บรักษาไม่ให้ชำรุดทรุดโทรม และรอการรวบรวมเข้ามาเพื่อเปิดบริการและเผยแพร่ให้กว้างขวาง
สงครามความทรงจำเรื่อง 6 ตุลา ต้องต่อสู้กันยาวๆ
ถ้าคุณจะสู้กันถึงลูกหลาน เราต้องพูดต้องบันทึกเรื่องราวของเรา
เราไม่ควรห่วงว่าเด็กรุ่นหลัง จะเข้าใจถูกหรือผิด เราควรเชื่อมั่นว่า เราเล่าเรื่องของเราอย่างซื่อสัตย์ ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องบันทึกเรื่องที่เราไม่ได้รู้เห็นเองเพียงเพื่อหวังให้อนาคตเข้าข้างเรา ถ้าเราเชื่อมั่นว่า เราไม่ผิด ความซ้ายสุดกู่สักแค่ไหนก็ตามที และการมีอุดมคติไม่ใช่ความผิดที่รัฐต้องเข่นฆ่า เราเล่าเรื่องของเราอย่างบริสุทธิ์ใจ ปล่อยให้อนาคตตัดสิน
เราต้องเชื่อมั่นว่า ความทรงจำวันนี้ คือ อาวุธที่ดีที่สุดสำหรับวันข้างหน้า