อยากให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ แต่...
โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 29 พฤศจิกายน 2550 15:53 น.
บอกตามตรงนะครับว่า ผมไม่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์สักครั้งเดียว สมัยที่คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะคนบ้านเดียวกัน ผมกลับเป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์คุณชวนมากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งนี้ด้วยภาระหน้าที่และทัศนคติที่แตกต่างกันเหนือสิ่งอื่นใด
ตอนที่คุณชวน กลับมาเป็นนายกฯ ครั้งที่ 2 เจอคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี กระเซ้าเอาว่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิมให้ผมเอาบทความเก่าที่เคยเขียนถึงคุณชวนกลับมาใช้ได้เลย
แต่มาวันนี้ เมื่อได้รับบทเรียนจากรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสุรยุทธ์ ผมกลับเห็นแง่มุมดีๆของรัฐบาลชวนไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าคุณชวน ซึ่งควรจะเป็นน้าชวน อาชวนของผมจะเป็น "ชวน เชื่องช้า"ก็ตามที ที่สำคัญที่สุดของประชาธิปัตย์ยุคชวน หลีกภัย ก็คือ การก่อเกิดของนักการเมืองหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิสิทธิ์กลายเป็นความหวังของพรรคได้รับการสนับสนุนจากคุณชวนให้มีบทบาทและเติบใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งรับรู้กันว่า เขาคือตัวตายตัวแทนของชวน หลีกภัย
และคนอื่นๆ ก็คงคิดไม่ต่างจากนั้น หลังจากเห็นบทบาท ลีลา และท่วงท่าของเขาในสภา กระทั่งถูกคาดหวังว่า นี่คือคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศในอนาคต
คุณสมัคร สุนทรเวช ซึ่งบัดนี้กลายเป็นนอมินีของทักษิณก็ยังยอมรับว่า เคยสวมบทอะแซหวุ่นกี้ และทำนายทายทักไว้ว่า หากรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีอภิสิทธิ์คนนี้แหละที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า
ตอนที่ทักษิณเข้ามาสู่อำนาจใหม่ และผมยังหลงเชียร์เพราะเชื่อว่า รวยแล้วไม่โกง และตอนนั้นใครต่อใครก็เชื่อกันว่า ทักษิณจะเป็นนายกฯ ได้ถึง 3-4 สมัย ผมยังเขียนไว้ว่า สำหรับคุณอภิสิทธิ์ต่อให้ทักษิณเป็นนายกฯ สัก 20 ปี ก็ยังไม่สาย เพราะถึงเวลานั้นคุณอภิสิทธิ์ก็ยังอายุแค่ 55-56 ปี
เมื่อประชาธิปัตย์ผลัดใบจากคุณชวน สู่คุณบัญญัติ บรรทัดฐาน มาสู่คนหนุ่มอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ให้เรียกว่าคนหนุ่มอย่างไรได้ เพราะคุณอภิสิทธิ์มีอายุน้อยกว่าผมเสียด้วยซ้ำ (มากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ลองทายดูนะครับ) ผมก็จับตามองว่า ประชาธิปัตย์ยุคนี้น่าจะปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์เสียใหม่ให้แตกต่างจากประชาธิปัตย์ยุคเก่าไปได้บ้าง
หากใครถามว่า ภาพลักษณ์ประชาธิปัตย์ยุคเก่าคืออะไร คำตอบสั้นๆ ก็คือว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท ทำนองนั้น ผมอยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์มีทีมงานที่เข้มแข็งเก่งทั้งปริยัติและปฏิบัติ มากกว่านักพูดฝีปากเอก ผมอยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายที่จะสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนและปฏิบัติได้จริงมากกว่าเดินไปตามครรลองของระบบราชการ
และเมื่อทักษิณจากไปด้วยผลกรรมของตัวเอง โอกาสของอภิสิทธิ์ก็มาถึงเร็วกว่ากำหนด แต่ภาพของอภิสิทธิ์วันนี้กลับไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับหัวหน้าพรรคการเมืองคนอื่นๆ ผมคิดว่า วัยไม่ใช่ความหมาย แต่เพราะเรายังหาจุดขายของอภิสิทธิ์ไม่เจอ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอภิสิทธิ์ไม่ได้ผ่านบทพิสูจน์ในงานบริหารมามากนัก เมื่อเทียบกับสุวิทย์ คุณกิตติ ที่ประกาศว่า เป็นรองนายกฯ มาแล้ว 5 ครั้ง รัฐมนตรี 8 กระทรวง
ซ้ำร้ายกว่านั้นอภิสิทธิ์ยังมีเงาของชวน หลีกภัย บดทับอยู่ มีคนมองว่า อภิสิทธิ์ เป็น "ชวน 2" มากกว่ามองว่าเป็นตัวอภิสิทธิ์เอง ซึ่งจะทำอย่างไรที่อภิสิทธิ์จะสลัดภาพนี้ให้พ้น แต่ยังคงเก็บความเป็นคนยึดเหตุผลและเจ้าหลักการเอาไว้
เพราะผมยอมรับแล้วว่า ชวน เชื่องช้า แต่ยึดมั่นในหลักการ ยังไงก็ดีกว่าทักษิณกับสุรยุทธ์ ที่คนหนึ่งถูกโค่นลงไปด้วยข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน กับอีกคนหนึ่งที่หายใจไปวันๆ เพียงแต่อภิสิทธิ์ต้องเก็บเอาความเชื่องช้าของคุณชวนมาเป็นบทเรียน แต่เมื่อโอกาสของอภิสิทธิ์มาถึง ในห้วงเวลาที่อภิสิทธิ์ยังไม่ได้แสดงภาวะผู้นำออกมาให้เห็นได้อย่างเด่นชัด เมื่อรวมกับลีลาและบุคลิกอันสุภาพ นอบน้อมด้วยแล้ว ก็ทำให้มีเสียงวิจารณ์ว่า การให้สัมภาษณ์ของเขาเมื่อปรากฎสู่สาธารณะ ยังขาดความขึงขัง จริงจัง เด็ดขาดออกมาให้เห็น แถมแคมเปญของพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำออกมาขายตัวอภิสิทธิ์โดดๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่เพียงพอที่จะให้ประชาชนเชื่อว่า จะฝากความหวังไว้กับประชาธิปัตย์ได้อย่างไร
บุคลิกของอภิสิทธิ์ที่ดูจะขาดความขึงขัง เด็ดขาด นั่นน่าจะพลิกอีกด้านให้กลายเป็นจุดขายถึงความลุ่มลึก สุขุมได้ ชี้ให้เห็นถึงผลเสียที่คนส่วนใหญ่เคยชินกับชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราวของนักการเมือง เมื่อบวกกับภาพลักษณ์ที่ยึดมั่นในหลักการ และซื่อสัตย์สุจริตแบบชวน หลีกภัยด้วยแล้ว ส่วนนี้ก็จะกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่ประชาธิปัตย์ต้องพิสูจน์ให้เห็นก็คือ ทีมเวิร์คที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาธิปัตย์จะทำอย่างไรกับนโยบายประชานิยมที่ทักษิณสร้างไว้และกลายเป็นยาเสพติดของประชาชนไปแล้ว
แม้ประชาธิปัตย์จะเคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคไทยรักไทยว่า เป็นนโยบายประชานิยมที่สร้างความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผันเงินของรัฐอย่างไร้เป้าหมาย เป็นการใช้งบประมาณของรัฐมาซื้อเสียง ทำให้ประชาชนไม่เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเอง แต่แบมือขอเงินจากรัฐ จนขาดวินัยการใช้เงินทำให้ตนเองและครอบครัวเป็นหนี้เป็นสินท่วมตัว
แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ยาพิษประชานิยมที่ทักษิณประเคนให้ประชาชนในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท ที่ชาวบ้านกู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จะกู้ไปใช้ทำอะไรก็ได้ เงินโครงการ SML อีกหมู่บ้านละ 200,000 300,000 บาท แบบให้เปล่า พร้อมกับประกาศชัดว่า จังหวัดไหนเลือกพรรคทั้งจังหวัด จะได้เงินงบประมาณก่อน กลายเป็นสิ่งที่ชาวบ้านขาดไม่ได้อีกต่อไป เพราะตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราเสียโอกาสที่จะอธิบายให้ชาวบ้านรับทราบถึงผลเสียของนโยบายประชานิยม เพราะความไม่เอาไหนของรัฐบาลสุรยุทธ์ และ คมช.ที่คอร์รัปชันเวลาและโอกาสของประเทศชาติไป
เมื่อรู้ว่า ประชาชนเสพติดนโยบายประชานิยมหลายพรรคจึงแห่กันประกาศนโยบายลดแหลกแจกแถมกับประชาชนตามรอยเท้าทักษิณ ไม่มีใครสนใจว่าผลเสียที่จะตามมาคืออะไร จะเอาเงินมาจากไหน ประชาธิปัตย์ก็จำเป็นเดินตามแนวทางนี้ แต่บางทีแค่แผนปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วันที่ชูมาเป็นจุดขายก็อาจจะยังไม่เพียงพอ
เพราะสิ่งที่ประชาชนน่าจะอยากรู้มากกว่านั้นก็คือ หลังจาก 99 วัน หากเรามีนายกรัฐมนตรีชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแล้ว นโยบายที่แจ่มชัดและทีมงานที่เข้มแข็งอยู่ตรงไหน มีใครบ้าง
ทีมงานของอภิสิทธิ์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ต่างประเทศ คือ ใคร มีนโยบายอย่างไร สิ่งนี้ต่างหากที่ต้องเร่งนำเสนอออกมามากกว่าการขายตัวอภิสิทธิ์เพียงอย่างเดียว อย่าปฏิเสธง่ายๆว่า เพราะรัฐบาลชุดหน้าต้องเป็นรัฐบาลผสมจึงยังไม่สามารถกำหนดทีมงานด้านต่างๆ ที่ชัดเจนได้ เพราะนั่นเท่ากับความไม่พร้อมของพรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้ามาบริหารประเทศ
ผมอยากออกไปเลือกอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ แต่ขอความชัดเจนกว่านี้หน่อยสิครับ โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต้องลบฝันร้ายของประชาชนในยุคที่ธารินทร์ นิมมานเหมินท์บริหารประเทศออกไปให้ได้ http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000141879มุมมองของคนไม่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์.....
"บอกตามตรงนะครับว่า ผมไม่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์สักครั้งเดียว
สมัยที่คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะคนบ้านเดียวกัน
ผมกลับเป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์คุณชวนมากที่สุดคนหนึ่ง
ทั้งนี้ด้วยภาระหน้าที่และทัศนคติที่แตกต่างกันเหนือสิ่งอื่นใด.........."