เพลงน้ำตาแสงไต้ เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง "พันท้ายนรสิงห์"
ที่จัดแสดงที่ศาลาเฉลิมไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ โดยคณะศิวารมณ์
ประพันธ์ทำนองโดยสง่า อารัมภีร โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงเขมรไทรโยค
และเพลงลาวครวญ ผู้ขับร้องคนแรกคือ สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์
คำร้อง : มารุต – เนรมิตร ทำนอง : สง่า อารัมภีร นวลเจ้าพี่เอย คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ
ถ้อยคำเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย
น้ำตาอาบแก้ม เพียงแซมเพชรไสว
แวววับจับหัวใจ เคล้าแสงไต้งามจับตา
นวลแสงเพชร เกล็ดแก้วอันล้ำค่า
ยามเมื่อแสงไฟส่องมา แวววาวชวนชื่นชม
น้ำตาแสงไต้ ดื่มใจพี่ร้าวระบม
ไม่อยากพรากขวัญภิรมย์ จำใจข่มใจไปจากนวล
ที่มาของเพลงนี้มาจากการร่ำลาระหว่างพันท้ายนรสิงห์กับภรรยาคือ "นวล"
ก่อนที่พันท้ายนรสิงห์ จะไปทำหน้าที่ในการเป็นนายท้ายเรือเรือพระที่นั่ง
ซึ่งหลังจากการสั่งลาครั้งนั้น ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นคือ
เหตุการณ์ใน พ.ศ.๒๒๔๖ - ๒๒๕๒ สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่๘
ประพาสปากน้ำสาครบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสาคร) ด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชย
มีพันท้ายนรสิงห์เป็นนายท้าย พันท้ายนรสิงห์เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองอ่างทอง
การเสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามคลอง
บริเวณดังกล่าวมีความคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่ง
อย่างระมัดระวังแต่ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ
พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่าความผิดครั้งนี้ถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี
ซึ่งกำหนดว่าถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก
ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสียจึงกราบทูลพระกรุณาน้อมรับโทษตามพระราชประเพณี
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ ทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท
จึงพระราชทานอภัยโทษให้
แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศรีษะตน เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่าทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดิน และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป พระองค์ทรงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน แม้สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ จะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใด
ก็ทรงจำพระทัยปฎิบัติตามพระราชกำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์
แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น
ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล แล้วทรงพระราชดำริว่าคลองโคกขามคดเคี้ยว
นักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง
สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย"
ต่อมาเปลี่ยนเป็น "คลองมหาชัย"
ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิม ซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี ภาพวาดฝีมือ อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ปี พ.ศ.๒๕๔๓ น้ำตาแสงไต้ คือ น้ำตาของ "นวล" ที่กระทบกับแสงของไต้ คำว่า "ไต้" มาจาก
(ขอบคุณ...คุณบุญปลีกไว้ด้วยค่ะ สำหรับอธิบายความหมายคำว่าไต้) สำหรับไต้นั้น ใช้ไม้ผุคลุกน้ำมันยางให้ชุ่มแล้วห่อด้วยใบเตยแห้ง
กาบ หมากหรือเปลือกเสม็ด มัดทำเป็นท่อนยาวๆ เรียงกันว่าไต้เสม็ด
ไต้อีกชนิดหนึ่งทำด้วยชันคลุกเคล้ากับน้ำมันยาง แล้วห่อทำเป็นท่อน
เรียกกันว่าไต้ชัน ไต้ ชนิดนี้ไม่สู้นิยมใช้กัน เพราะให้แสงสว่างน้อยและมักดับง่าย
ส่วนขี้ไต้ เป็นส่วนที่จุดไฟติด มีขายแยกเพื่อเอาไว้ก่อเต่าถ่านด้วย