Page 4 of 760

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:18 am
by noona
noway2know wrote :D
คุณ Noona ค่ะ ชอบดูโดเรม่อนเหมือนกันค่ะ
พอๆกับชอบหนังสือเจ้าชายน้อย
เอาหนังสือมาฝากค่ะ เข้าไปอ่านได้นะค่ะ
ในนั้นมี เจ้าชายน้อย, มานะ มานี ปิติ ชูใจ,การเดินทางของส่วนที่หายไป,มองโลกผ่านปู่,
http://www.baanpud.net/download/ebook/[/color]


ขอบคุณค่ะ อยากถามต่อว่า คุณ noway2know เคยอ่าน หนังสือ มานะ มานี ปิติ ชูใจ ตอนโตมั๊ยค่ะ ตอนนั้นได้ข่าวว่าผู้เขียน เขียนต่อตอนโต จำไม่ได้ว่าใช้ชื่อหนังสือว่าอะไร หาซื้อได้ที่ไหน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 4 - 5 ปีมาแล้วนะคะ :D

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:47 am
by noway2know
บทสัมภาษณ์ อาจารย์ รัชนี ศรีไพวรรณ ในหนังสือ A Day
ผู้เขียนหนังสือเรื่อง มานะ มานี ปิติ ชูใจ
มานะ มานี ปิติ ชูใจ ตอนโต หนังสือ A Day ปี 2544


Image

ในระหว่างที่พวกเรายกมือไหว้ และกล่าวสวัสดี เพื่อร่ำลาอาจารย์รัชนี หลังจากที่ได้พูดคุยอย่างอบอุ่นกับท่านมา ครึ่งค่อนวัน จู่ๆ อาจารย์ก็เดินมาส่งเราที่รถ ยื่นกระดาษสามแผ่นที่มีลายมือเขียนสวยเป็นระเบียบให้ พร้อมกับกล่าวว่า "นี่คือ 'มานะ มานี ปิติ ชูใจ' ตอนใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครได้อ่าน พวกหนูไม่อยากรู้เรื่องเพื่อนเก่าเลยเหรอ ว่าตอนนี้ พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง?...

" หากมีคำพูดใดที่สามารถอธิบายความรู้สึกได้ดีกว่า 'ตื้นตัน' ฉันคงไม่ลังเลที่จะหยิบมาใช้ อธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้น พร้อมกันหรือยัง ที่จะอ่านเรื่องราวของ 'เพื่อนเก่า' ของเราแต่ละคนอีกครั้ง? แล้ว.....เราก็ได้ พบกัน (มานะ มานี พ.ศ. 2544) รัชนี ศรีไพวรรณ

จะมีใครสักกี่คนที่ทราบว่าตัวละครหลายๆตัว แท้ที่จริงแล้วมีนามสกุลปรากฏในเรื่องด้วย เช่น มานี มีนามสกุลว่า รักเผ่าไทย, ปิติ พิทักษ์ถิ่น, วีระ ประสงค์สุข, ดวงแก้ว ใจหวัง และชูใจ เลิศล้ำ
ภาพประกอบในเรื่องมีคนวาดทั้งหมด 3 ท่าน หนึ่งในนั้น คือ คุณเตรียม ชาชุมพร นักวาดการ์ตูนและนิยายภาพชื่อดังแห่งชัยพฤกษ์การ์ตูน ซึ่งได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ครูประจำชั้นที่ปรากฏในเรื่องมี 2 คน คือ คุณครูไพลิน เป็นครูประจำชั้นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ปีที่ 3

อีกคน คือ คุณครูกมล เป็นครูประจำชั้นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงปีที่ 6
แบบเรียนนี้ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องราวของเด็กๆ เท่านั้นแต่ยังมีพระเอกกับนางเอกด้วย ซึ่งก็คือ เกษตรอำเภอที่ชื่อว่า "ทวีป" และคุณครู "ไพลิน" สองหนุ่มสาวพบกันครั้งแรกเมื่อคราวไฟไหม้ตลาด เด็กๆ เป็นตัวเชื่อมให้ได้รู้จักและแต่งงาน ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน

โดยปกติแล้วหมากับแมวมักจะเป็นคู่อริกันเสมอ แต่ในแบบเรียนเล่มนี้ "เจ้าโต" กับ "สีเทา" หยอกเล่นกันด้วยความเป็นกันเองเหมือนไม่มีพรหมแดนแห่งความเป็นศัตรู
ครั้งหนึ่ง "ปิติ" เคยถูกสลากออมสินเป็นเงินจำนวน 1 หมื่นบาท ซึ่งเงินส่วนนี้เขาได้นำไปซื้อลูกม้าตัวใหม่และตั้งชื่อให้ว่า "เจ้านิล" ซึ่งทดแทนเจ้าแก่ที่ตายไป

"เจ้าจ๋อ" ลิงของวีระเป็นลิงแสม ชอบถอนขนลูกไก่ และยังเกลียดกลิ่นกะปิ
วีระจัดเป็นเด็กที่ค่อนข้างอาภัพ พ่อของเขาเป็นทหารและตายในสนามรบตั้งแต่
วีระยังอยู่ในท้อง ส่วนแม่ของเขาก็ตรอมใจตายตามพ่อเขาไปหลังจากที่คลอดวีระได้ 15 วัน ชีวิตทั้งหมดของวีระจึงอยู่กับลุงตั้งแต่เกิด

"เพชร" มีบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี
ส่วนบ้านเกิดของ "ดวงแก้ว"อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี


บทบาทของ "จันทร" ที่คนส่วนใหญ่จำได้คือ เด็กหญิงที่มีขาพิการ แต่มีใครทราบบ้างว่าในตอนท้ายของเรื่อง เธอได้รับคัดเลือกให้ร้องเพลง"ความฝันอันสูงสุด" และยังอ่านทำนองเสนาะหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้แพทย์หลวง! รับตัวไปรับการผ่าตัดขาที่กรุงเทพฯ จนหายเป็นปกติ

ในงานกาชาดของจังหวัด ห้องของครูกมลนำขนมออกขายเพื่อเอากำไร โดยตั้งชื่อขนมเสียใหม่ ซึ่งแสดงถึงความช่างคิดของผู้ประพันธ์ดังนี้

กล้วยฉาบ ตั้งชื่อว่า เหรียญทองชวนลิ้ม
ข้าวเม่าหมี่ ตั้งชื่อว่า สาวน้อยเลือกคู่
ทองม้วน ตั้งชื่อว่า ม้วนเสื่อนางพญา
ทองหยอด ตั้งชื่อว่า น้ำค้างทอง
ถั่วอบเนย ตั้งชื่อว่า ถั่วอบโอชา
ขนมกง ตั้งชื่อว่า ล้อรถพระอาทิตย์


"ชูใจ" อยู่กับย่าและอามาตั้งแต่เล็ก โดยที่เธอไม่รู้ราบละเอียดใดๆ เกี่ยวกับพ่อและแม่แท้ๆ ของเธอเลย ความจริงก็คือพ่อของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ชูใจอายุ 1 ขวบ ส่วนแม่ก็อาศัยอยู่ต่างประเทศ ในตอนท้ายของแบบเรียน แม่ของชูใจบินกลับมารับให้ชูใจไปอยู่ด้วยกัน แต่ชูใจเลือกที่จะอยู่กับย่า ซึ่งเลี้ยงตนมาตลอดตั้งเด็ก

นอกจากเรื่องที่ "เจ้าแก่" ตายจะเป็นตอนที่เรียกน้ำตาของเด็กๆ แล้ว
ยังมีตอนหนึ่งซึ่งเศร้าไม่แพ้กัน นั่นคือ "แม่จ๋า" เป็นตอนที่แม่ของ"เพชร"
ตายเพราะถูกงูกัด ขณะไปเก็บหน่อไม้


"มานะ" เป็นเด็กเรียนดี และเป็นคนเดียวในเรื่องที่ได้ไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่กรุงเทพฯ

ส่วน "มานี" ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ได้รับคัดเลือกให้เป็นรองประธานนักเรียนของโรงเรียน


Image

แล้ว...เราก็ได้พบกัน
(มานะ มานี พ.ศ. 2544)
รัชนี ศรีไพวรรณ


แพทย์หญิงมานี รักเผ่าไทย ออกจากห้องคนไข้คนสุดท้ายเมื่อเวลา 16.55 น.
พยาบาลที่รออยู่หน้าห้องรายงานว่า มีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาคอยพบอยู่ที่ห้องพักร่วมสองชั่วโมงแล้ว มานีรู้สึกตื่นแต้นจนแทบระงับไม่ไหว เธอขอบใจนางพยาบาลคนนั้นพลางถอดเสื้อคลุมและส่งเครื่องมือแพทย์ให้ แล้วรีบเข้าไปล้างมือในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด มานีรู้ดีว่าสุภาพสตรีคนนั้นคือ ชูใจ

ชูใจเพื่อนรักที่ไม่ได้พบกันเลยตลอดเวลา 17 ปี แม้จะได้ส่งข่าวคราวโทรศัพท์ถึงกันและได้เห็นภาพถ่ายอยู่เสมอ ก็ไม่ดีใจเท่าจะได้พบกันในวันนี้

เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ 6 แล้ว พ่อของมานีก็ส่งเธอไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่กรุงเทพมหานครเช่นเดียวกับ มานะ ส่วนชูใจเรียนต่อที่โรงเรียนประจำอำเภอ แล้วทั้งสองก็ไม่ได้พบกันอีกเลยเพราะย่าของชูใจเสียชีวิต แม่ของชูใจมารับเธอไปอยู่ด้วยที่เพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย พ่อเลี้ยงของชูใจเป็นประธานบริษัทเครื่องหนังที่ร่ำรวย เขาเป็นหมันจึงรักชูใจเหมือนลูกแท้ๆของเขา

ชูใจมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ เธอเรียนต่อด้านการออกแบบเครื่องหนังและทำงานในบริษัทของพ่อเลี้ยงนั่นเอง และแต่งงานกับลูกชายรองประธานบริษัท ซึ่งทำงานอยู่ด้วยกัน

วันนี้ชูใจมีโอกาสได้กลับมาประเทศไทยเพื่อไปร่วมฉลองพิธีการแต่งงานของปิติที่จังหวัดลำปางในอีกสองวันที่จะถึง นี้

ปิติเรียนสำเร็จจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้พบกับเจ้าสาวของเขา ระหว่างเรียนด้วยกัน เจ้าสาวของปิติเป็นลูกสาวชาวสวนผู้มั่งคั่งของจังหวัดลำปาง

เมื่อมานีผลักบังตาเข้าไป สุภาพสตรีที่นั่งกระวนกระวายอยู่โผเข้ามากอด
ทั้งสองกอดกันแน่นหัวเราะพลางร้องไห้พลางด้วยความดีใจสุดขีด
"มานีจ๋า ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน"

"ฉันก็เหมือนกันจ้ะ ชูใจ เธอน่าจะชวนปีเตอร์มาด้วย" มานีพูดถึงสามีของชูใจ
ชูใจคลายวงแขนออก จ้องมองเพื่อนรักทั้งๆ ที่น้ำตายังนองหน้า


"ปีเตอร์เหรอจ๊ะ เขาอยากมาจะแย่ แต่ตอนนี้ไม่ว่าง คราวหน้ามานีแต่งงาน
ฉันพาเขามาด้วยแน่ๆ" มานีหัวเราะ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้ชูใจและตนเอง จูงเพื่อนไปนั่งที่เก้าอี้ "ฉันคงไม่มีวันนั้นหรอกจ๊ะ"

"อะไรกัน? เธอน่ะทั้งสวย ทั้งดี จันทรเขาเล่าให้ฟังหมดแล้วล่ะ"
"อ้าว ไปพบจันทรกับเพชรมาแล้วเหรอ นี่เธอมานานแล้วซี ไหนว่าจะนอนพักซักงีบ เครื่องลงเมื่อตีสี่ไม่ใช่เหรอ"

"ใครจะไปงีบลงล่ะจ๊ะ หัวใจมันร่ำร้องอยากพบเพื่อนๆ อากับอาสะใภ้ไปหาฉันที่โรงแรมเมื่อแปดโมง! ฉันก็เลยมากับอา ไปบ้านอา ไปกราบคุณแม่ของเธอ คุณพ่อยังไม่กลับจากทำงาน ไปบ้านปิติเจอแต่แม่ของปิติเหมือนกัน แล้วก็ไปบ้านจันทรกับเพชร ร้านของเขาใหญ่โตดีนะ น้าของเขาก็มอบให้จันทรกับเพชรดูแลร้าน ลูกคนเล็กของเขาน่ารักนะ อีกสองคนไปโรงเรียนเลยยังไม่ได้พบ

ถ้าฉันไม่มีทางจะมีลูกได้ ฉันจะขอลูกของจันทรไปเลี้ยง ไม่รู้เขาจะให้หรือเปล่า! "
ชูใจคุยจ้ออย่างมีความสุข


"คงให้นะเพราะจันทรกับเพชรก็รักและไว้ใจชูใจมาก เออ....เสียดายครูไพลินกับคุณอาทวีปย้ายไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว เธอเลยไม่ได้พบ"

"นึกถึงความหลังแล้วมีความสุขจัง ถ้าย่ายังอยู่ก็ดีนะ ยายของปิติก็เสียแล้ว
พี่มานะอกหักแล้วยังหาใหม่ไม่ได้เหรอจ๊ะ ติดยศพันตรีแล้วไม่ใช่หรือ กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยไหม แล้วพี่เขาจะกลับลำปางกับเราไหมจ๊ะ"

มานีหัวเราะเบาๆ "พี่มานะเขามีคนรักใหม่แล้ว แต่ไม่รู้จะแต่งงานกันเมื่อไหร่
อาจจะได้พาปีเตอร์มาเร็วๆนี้ก็ได้นะ วันนี้วันศุกร์พี่มานะมาไม่ได้ พรุ่งนี้เขาจะมาแต่เช้า ไปกับเราด้วย"

"พี่วีระซินะ น่าสงสาร คนดีๆไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย" ชูใจรำพึงอย่างสลดใจ
"เขามีภรรยาไม่ดีจ๊ะ เลยกลายเป็นคนขี้เมาหยำเป เสียสติ! เลอะเลือน
เพชรต้องดูแลลุงกับป้าแทน เพชรเป็นคนดีมาก ฐานะของเขาดีทีเดียว
น้องๆได้เรียนสูงๆทุกคน"

"ตอนเขากับจันทรแต่งงานกัน ไม่มีใครบอกฉันเลย" ชูใจตัดพ้อ


"เขาไม่ยอมให้บอกจ๊ะ มีสตางค์แล้วจะพาลูกๆไปเยี่ยมเธอเอง"
"ขอให้จริงเถอะ เธอก็เหมือนกัน บอกว่าจะไป จะไป ไม่เห็นไปสักที" ชูใจควักค้อน
"เพิร์ธน่ะน่าอยู่น่าเที่ยวนะ ฉันไปเที่ยวมาหลายแห่งแล้ว ไม่ชอบใจเท่าเพิร์ธเลย ฉันชอบไปที่บุญที่วัดโพธิญาณกับแม่บ่อยๆ บางทีพ่อก็ไปด้วย พ่อเลี้ยงของฉันเป็นพุทธศาสนิกชนไปแล้วรู้ไหม"
มานีหัวเราะชอบใจ "ชูใจยังใช้ภาษาไทยได้ดีอยู่นะ จากไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว"

"ฉันพูดภาษาไทยกับแม่เสมอ แต่เรื่องเขียนนี่สิ ต้องขอบใจมานีที่เขียนจดหมายถึงฉันอยู่เรื่อยๆ ทำให้ฉันได้อ่านและเขียนภาษาไทย ไม่ลืมภาษาไทย พจนานุกรมที่เธอส่งไปให้น่ะ ฉันใช้อยู่เสมอเวลาเขียนจดหมายถึงเธอ
ม่ายงั้นคงเหมือนกับโคลงโลกนิติที่ว่า อักขระห้าวันหนี เลยจ๊ะ"

"ชูใจหิวไหมจ๊ะ" มานีถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่หรอกจ๊ะ ก่อนมาหาเธอ จันทรเขาทำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ให้ทาน อร่อยจังเลย
ไม่ได้ทานนานแล้ว"
"เย็นนี้เราก็จะไปทานข้าวที่บ้านจันทร เธอจะกลับไปค้างที่โรงแรมหรือเปล่าจ๊ะ"

"เรื่องอะไร? " ชูใจค้อน "ฉันเตรียมกระเป๋ามาแล้ว นอนกับเธอ พรุ่งนี้เราก็ไปลำปางกันเลย เพชรเขาจะขับรถพาไป แต่ทางโรงแรมเขาบริการเอง"

"ปิติคงตื่นเต้นดีใจมากนะ นี่คงจะอยากมาหาพวกเราเต็มแก่ ถ้าไม่ติดว่าจะต้องเป็นเจ้าบ่าว"
"ฉันโทรไปหาเขาแล้ว" ชูใจพูดยิ้มๆ
"ดีใจมากเลย เสียงเอะอะโล้งเล้งตามเคย นี่เดี๋ยวคงโทรมาหาพวกเรา"

"ถ้าเช่นนั้น เราไปบ้านจันทรกันดีกว่านะ" มานีพูดพลางลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ
"เดี๋ยวจะวานให้รถโรงพยาบาลไปส่ง ฉันไม่มีรถ ใช้แต่จักรยาน"


"ไม่ต้องหรอกค่ะ ท่านรองผู้อำนวยการผู้แสนมัธยัสถ์ ฉันมีรถตู้ของโรงแรมมาส่งและคอยรับใช้อยู่ตลอดเวลา ตามคำสั่งของแด๊ด..เอ๊ย...ของพ่อ พ่อจองโรงแรมให้และสั่งให้โรงแรมบริการทุกอย่าง ของฝากเธอก็อยู่ในรถ ฉันมีกระเป๋าถือเก๋ๆ ที่ฉันออกแบบเองมาฝากเธอด้วยล่ะ"

"เฮ้อ...คนมีสตางค์ล่ะก็ เนรมิตอะไรได้ทุกอย่างนะ" มานีพูดยิ้มๆ
"ชดเชยกับที่ฉันเคยลำบากเมื่อเล็ก ๆ ไงล่ะ แหม คิดถึงย่าจังเลย"

ทั้งสองเดินเกี่ยวก้อยคุยกันไปยังที่จอดรถ ซึ่งมีรถคันหรูของโรงแรมมีชื่อจอดอยู่

"เธอสั่งงานไว้เรียบร้อยแล้วหรือ จะพักร้อนตั้งอาทิตย์เชียวนะ เห็นจันทรบอกว่าเธอเป็นหมอที่เอาใจใส่ห่วงงานมาก แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้อำนวยการแล้วก็ตาม คนทั้งอำเภอรักเธอ ชอบเธอมากนี่ เมื่อตอนโรคฉี่หนูระบาดเขาว่าเธอไม่ได้หลับได้นอนเลยนี่ใช่ไหมจ๊ะ"

"จ๊ะ ตอนนั้นแย่หน่อย หมอ พยาบาล เหน็ดเหนื่อยกันทุกคน ตอนนี้ค่อยยังชั่ว
ถ้าเธอมาตอนนั้นหรือปิติแต่งงานตอนนั้น ฉันคงลำบากใจเหมือนกัน" เมื่อทั้งสองขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว

รถคันงามก็ออกจากโรงพยาบาลมุ่งไปสู่ตัวเมือง มานีกับชูใจนั่งคุยไปตลอดทาง
สมกับความรักความคิดถึงที่มีต่อกัน มิตรภาพอันอบอุ่นเมื่อเยาว์วัยหวนกลับมาสู่หัวใจของคนทั้งสอง


ชูใจมองเพื่อนรักแล้วพูดเบาๆว่า "แล้วเราก็ได้พบกันนะ มานี แต่อีกไม่กี่วันเราก็ต้องจากกัน"

"แล้วเราก็จะได้พบกันอีกไม่ใช่หรือชูใจ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็จะได้พบกันแน่นอน"
"แน่นอนจ๊ะ มานี เราจะได้พบกัน"
ชูใจตอบพร้อมยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อนึกถึงเวลาแห่งความเบิกบานที่จะ ได้อยู่กับเพื่อนรักตลอดสัปดาห์นี้...


แล้ว....เราก็ได้พบกัน :D

http://www.manager.co.th/campus/ViewNews.aspx?NewsID=8083314186929

Image

Image

Image

Image

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 1:11 am
by noona
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ คุณ noway2know :D หนังสือ A Day ปี 2544 เกือบสิบปีเชียวนะ แต่เพิ่งได้อ่าน อายจัง :D
ต้องขอบคุณ อาจารย์ รัชนี มาก ๆ เลยที่ทำให้ได้รู้ว่า โตขึ้นพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง มีทุกข์ สุขเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ชูใจ อยู่ที่ เพิร์ธ เหมือนเพื่อนของหนูนาตอนนี้เลย :D

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 1:25 am
by noway2know
ไม่เป็นไรค่ะ คุณ Noona :D
ไว้ถ้าอีกคนว่าง จะให้ทำวางไว้ให้ดาวโหลดใน ebook นะค่ะ
แต่ต้องรอว่างก่อนค่ะ ebook เพื่อนเป็นคนทำให้นะค่ะ ที่เอามาโพส

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 8:38 am
by khundaan
เห็นคุณบุญปลีกกะคุณ noway...นำของสะสมเเละของเล่นเก่าๆมาลงก็ให้บังเอิญว่า เข้าทางผม(อีกแระ) ตอนนี้ผมก็สะสมของเก่าของเล่นของโบราณ เก่าบ้างใหม่บ้าง และก็เอาลงขายในเน็ตด้วย บางอย่างก็สั่งซื้อจากเน็ตครับ ไม่ทราบว่าที่ทั้งสองท่านนำมาลง สะสมเองเปล่าครับ สวยดี

นี้เป็นคอลเลคชั่นเล็กๆน้อยๆในร้านผม บางอย่างก็ถูขายไปบ้างแล้วครับ อิอิ :mrgreen: :mrgreen:

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 8:57 am
by khundaan
บุญปลีก wrote:
noway2know wrote:


ขอบคุณ คุณnoway2know ที่เอื้อเฟื้อด้านข้อมูลครับ


คิงส์คัพครั้งนั้น(ผมได้ดูครับ ๔่ายทอดที่วี)ประสพความสำเร็จในเรื่องคนดูครับ แต่เรื่องการจัดการและมาตรฐานความปลอดภัย ล้มเหลวสิ้เชิง คือทางฝ่ายจัดการแข่งขันทำมัยถึงปล่อยให้ผู้ชมเข้าไปจนล้นสนาม เกือบเข้าสนาม ลองคิดูครับว่าถ้ามีผู้ชมเลือดร้อนที่ไม่พอใจนักเตะ หรือกรรมการอาจจะวิ่งเข้าไปทำร้ายโดยง่ายดาย หรือถ้าอัฒจรรย์รับนำ้หนักไม่ไหวพังลงมาจะกลายเป็นโศกนาถตกรรมแน่นอน ถ้าเป็นมาตรฐานฟีฟ่าจริงๆ นัดนั้นเราไม่ได้เตะแน่นอน ;) ;)


noway2know wrote:ไม่เป็นไรค่ะ คุณบุญปลีก ด้วยความยินดีค่ะ :D
คุณ Noona ค่ะ ชอบดูโดเรม่อนเหมือนกันค่ะ
พอๆกับชอบหนังสือเจ้าชายน้อย
เอาหนังสือมาฝากค่ะ เข้าไปอ่านได้นะค่ะ
ในนั้นมี เจ้าชายน้อย, มานะ มานี ปิติ ชูใจ,การเดินทางของส่วนที่หายไป,มองโลกผ่านปู่,
http://www.baanpud.net/download/ebook/


“สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา หากด้วยหัวใจ ” เจ้าชายน้อย

Image

“ นี่คือความลับของฉัน

มันเป็นเรื่องธรรมดามาก

เราจะเห็นอะไรได้เพียงด้วยหัวใจเท่านั้น

สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา ”


หนังสือเล่มนี้ทำให้นึกถึงหนังไทยเรื่อง เพื่อนสนิท เป็นหนังไทยไม่กี่เรื่องที่ผมมีโอกาสได้ดูครับ :D

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 9:50 am
by noway2know
คุณ khundaan ขอบคุณนะค่ะ
ในภาพไม่ใช่ของตัวเองหรอกค่ะ แต่ก็มีบางชิ้นที่ตัวเองชอบ
อย่างโหลไข่ ที่บ้านก็มีค่ะ ไปเจอมาจากตลาด ชิ้นไหนชอบก็จะซื้อค่ะ
อยู่ใน กทม.หรือเปล่าค่ะ ชอบไปเดินดูของเก่า
ว่างๆลองไปเดินแถวตลาดตรงถนนรัชดาภิเษก
ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟฟ้าสุทธิสารดูค่ะ
ตลาดจะมีวันเสาร์ - อาทิตย์ แต่เป็นช่วงเวลาบ่ายๆไปแล้วนะค่ะ
ไปสัก 4-5โมงเย็น กำลังดีค่ะ
ที่นั่นมีของเก่าในอดีต และของที่เราไม่เคยเห็นด้วยค่ะ
หนังเรื่องเพื่อนสนิท ก็ดูเหมือนกันค่ะ หนังเรื่องนี้น่ารักค่ะ
ที่บ้านคุณพ่อ ชอบสะสม พวกจานกระเบื้อง สะสมมาตลอดชีวิตของคุณพ่อ
บางชิ้นให้ พิพิธภัณฑ์ ม.กรุงเทพ ศูนย์รังสิต
เพราะว่าฝรั่งที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่นั่นคนหนึ่ง รู้จักกับคุณพ่อ
และเอาไปรวมชุดกัน ที่มาจากชุดเดียวกันให้ครบชุด
ที่พิพิธภัณฑ์ ม.กรุงเทพ ศูนย์รังสิต ก็อลังการนะค่ะงานกระเบื้อง
ก่อนคุณพ่อเสีย เราตัดสินใจมอบของทั้งหมดที่มี ตั้งใจมอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
เพราะควรเป็นสมบัติของแผ่นดิน มาจากหลายๆำภาคนะค่ะ จานพวกนั้น
รวมถึงประเทศอื่นที่คุณพ่อ เคยไปทำงานด้วย สะสมมาตลอดชีวิตของคุณพ่อ
แต่เสียดายที่คนที่รู้จัก ที่เรามอบผ่าน เคยเป็นเจ้าหน้าที่ที่นั้น
ไม่ได้นำของทั้งหมดให้พิพิธภัณฑ์ ทราบแต่ตอนนี้ไปอยู่ต่างประเทศ


ชอบเรื่องของเก่าๆ สยามในอดีต เข้าไปดูในกระทู้นี้ได้นะค่ะ
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=20&t=25341&start=90

กระปุกจากธนาคารออมสิน
Image

Image

Image
Image

Image

Image

Image

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 10:05 am
by khundaan
ผมอยู่ตจว.ครับแต่ไม่ใกลจากกรุงเทพฯมาก และคนรักของสะสม ของเก่าโบราณ(แต่ตัวผมยังไม่แก่นะครับ :mrgreen: )อย่างผมไม่พลาดที่จะไปอยู่แล้วครับตลาดรัชดาไนท์ และของที่คุณ noway... โชว์มานั้น บอกคำเดียวว่า โดน ครับ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

น่าเสียความรู้สึกนะครับ อุตส่าห์ตั้งใจเอาไปบริจาคเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ แต่คนเห็นแก่ตัวบางคนถือโอกาสนำไปหาผลประโยชน์ใส่ตัว
อีกอย่างตอนนี้กระแสของเก่า ของสะสมโบราณมัน "แรง" มากครับ ถ้ามีโชว์อีกก็ได้นะครับ ชอบๆๆ :lol: :lol:

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 10:44 am
by noway2know
เสียดายเหมือนกันค่ะ ครอบครัวเราเชื่อใจคนผิด
แต่คนๆเดียวก็ไม่ได้ตัดสินใจเจ้าหน้าที่คนอื่นๆได้นะค่ะ
คนย่อมแตกต่างกันไปตามนิสัยของแต่ละคนค่ะ
คุณพ่อบอกว่าเขาทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ
แต่เขาอาจจะมีความจำเป็นอย่างอื่น อาจจะไม่ใช่นิสัยแ้ท้จริงทั้งหมด

ชอบสะสมนาฬิกาเก่าๆ ยิ่งนาฬิกาเลขไทยชอบมากเลยค่ะ
ทั้งนาฬิกาข้อมือถ้าเป็นเลขไทย อันไหนมีกำลังซื้อได้ก็จะซื้อค่ะ
โดยเฉพาะรุ่นที่ทำออกมา เรารักในหลวง


ชอบพวกนี้...แต่ในภาพไม่ใช่ของตัวเองนะค่ะ
Image

Image

Image

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 11:15 am
by khundaan
ตอนนี้ผมก็เริ่มสะสมนากาครับ แต่จะเป็นเล็กๆแนวเรโทร ตอนนี้หลงใหลแนวนี้อยู่ หลังจากเล่นของใหญ่ๆแบบคุณ noway...นำมาโชว์ แต่ผมทำเป็นเชิงการค้าด้วย ปล่อยไปหมดแล้ว :mrgreen: แบบนี้สั่งซื้อมาจากในเวปนึง เพิ่งเริ่มหาครับตู้ยังโล่งอยู่ แบบว่าจะเปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆอ่ะครับ ผมชอบแบบที่สามของคุณ noway...ครับ คลาสสิคมาก ;) ;)

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 11:23 am
by noway2know
แบบที่ ๓ เป็นนาฬิกาที่สั่งทำจากยุโรป
ช่วงรัชสมัย รัชกาลที่ ๕ ค่ะ


เรื่องฟ้อนต์ไทย ในหลวงท่านเก่งมากเลยนะค่ะ
ฟ้อนต์ที่ท่านประดิษฐ์และความรู้เรื่องภาษาโบราณ


ส.ค.ส.พระราชทาน แบบต่างๆแต่ละปีของในหลวง

Image

ทรงประดิษฐ์ตัวอักษร หรือฟอนต์(Font)
ในหลวงทรงออกแบบ ส.ค.ส.และใช้ฟอนด์ของพระองค์เอง


หลังจากที่พระองค์ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการแต่งเพลงไปได้สักระยะหนึ่ง
พระองค์ก็ได้สนใจในการออกแบบรูปแบบตัวอักษร หรือฟอนต์(Font)


โดยพระองค์ทรงศึกษาโปรแกรม "Fontastic"
และพระองค์ได้ทรงประดิษฐ์ฟอนต์ขึ้นมา
อันได้แก่ ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์ และฟอนต์ไทยอื่นๆอีกมากมาย
และนอกจากฟอนต์ภาษาไทยแล้วพระองค์ได้ทรงประดิษฐ์ฟอนต์ภาษาอื่นๆอีกด้วยเช่น
ฟอนต์ภาษาสันสกฤต ฟอนต์ภาษาเทวนาครี (ภาษาแขก) เป็นต้น
ซึ่งฟอนต์เทวนาครีนี้มีความยากในการออกแบบที่ยากกว่าฟอนต์อื่นๆมาก
เพราะ ตัวอักษรเทวนาครี หรือ ตัวอักษรแขกนั้น มีรูปแบบที่ไม่คงตัว
เหมือนตัวตัวอักษรภาษาอื่นๆที่ทั่วโลกใช้กัน หรือกล่าวคือ
ถ้านำส่วนหนึ่งของอักษรนำมาต่อรวมกับอีกส่วนหนึ่งของอักษร
จะเกิดอักษรใหม่ขึ้นนั้นเอง


ในหลวงในดวงใจ
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=20&t=23903&start=60

วิวัฒนาการของเลขไทย
Image

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 11:56 am
by บุญปลีก
โหแต่ละท่านนำมาแสดงกันนับว่า สุดยอดครับ ระวังนะครับคุยแบบไม่มีสาระ ไปๆมาๆจะโดนเอาเข้าห้องสมุด :lol: :lol: :lol:

แปลกนะครับเวลาเราดูของหรือหนังสือที่เราเคยใช้มันไม่ได้สำคัญว่าของนั้นมัน ดี หรือ วิเศษ อย่างไรหรอกครับ สำหรับผมแล้ว

เวลาเห็นของที่ตอนเด็กได้เคยสัมผัส มันก็จะทำให้ผม รำลึกไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมา มิตรภาพ ความสนุก ความไร้เดียงสา

น้ำตาหยดสุดท้ายที่เคยอาบแก้ม (ไม่ได้ร้องมาตั้งแต่อายุ 19 ) ผมว่าความทรงจำเหล่านี้แหละครับ เป็นตัวกระตุ้นให้ของเก่าเหล่านี้

มีราคำราคาขึ้นมาในโลกของความเป็นจริง ความจำ (สัญญาในบาลี) ก็มิใช้ว่าจะนำมาเกิดประโยชน์ในแง่ธุรกิจไม่ได้นะครับ :D

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:06 pm
by บุญปลีก
การ์ตูนไทยที่ผมชอบมากที่สุดครับ
















Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:12 pm
by khundaan
จากเริมสนใจเล็กๆน้อยๆ ตอนนี้หันมาเก็บอย่างจริงๆจังๆ
และทำการค้่าเล็กๆน้อยๆ

ซื้อ เก็บจนเต็มห้องเต็มบ้าน จนคนที่บ้านต้องกระเด็นไปอยู่ข้างนอก :mrgreen:

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:18 pm
by บุญปลีก
khundaan wrote:จากเริมสนใจเล็กๆน้อยๆ ตอนนี้หันมาเก็บอย่างจริงๆจังๆ
และทำการค้่าเล็กๆน้อยๆ

ซื้อ เก็บจนเต็มห้องเต็มบ้าน จนคนที่บ้านต้องกระเด็นไปอยู่ข้างนอก :mrgreen:


ทำธุรกิจที่ตัวเองรักนับว่า น่านับถือ และ น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างครับ คงมีหลายคนที่อยากทำได้แบบ คุณ

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:19 pm
by noway2know
บางครั้งเราทำช่วงชีวิตวัยเด็กหล่นหายนะค่ะ
ตอนเราเป็นเด็ก...เรามองคนโตกว่า แต่งตัวสวยๆไปทำงาน
บางครั้ง ไม่อยากไปโรงเรียน(นิสัยไม่ดีอิอิ) ว่าเมื่อไหร่จะโตเร็วๆ
ถ้าย้อนเวลาได้ คงไม่ต่างกับคนโตๆที่ทำงานแล้ว อยากกลับไปเป็นเด็กกันค่ะ

ชีวิตในวัยเด็กของเด็กๆส่วนใหญ่ จะมีความสุขนะค่ะ
(พูดทั่วๆไป เพราะเด็กๆที่ชีวิต เจ็บปวดก็มีในบางส่วนบ้านเรา)

เวลามองย้่อนกลับไป ความทรงจำวัยเด็ก ทำให้มีความสุข
กับสิ่งที่เปลี่ยนไป บางวันเราอาจจะเหนื่อยจากงาน
พอมองดูเด็กๆ เล่นกันสนุกสนาน
เหมือนว่าเราใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า ช่วงวัยเด็กของแต่ละคนก็แตกต่างกัน


หนังสืออีกเล่มที่ชอบมากค่ะ....
ต้นส้มแสนรัก เล่ม ๑,๒ ของขวัญจากคุณพ่อ
อ่านแล้วสงสารเซเซ่ .....ทำให้นิสัยแย่ๆของตัวเองหายไปด้วยบางส่วน
เราเกิดมาโชคดี และแตกต่างจากเซเซ่ในบางสิ่ง

***ต้นส้มแสนรัก เล่ม ๑***
"คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า อดีตคือสิ่งที่ช่วยบอกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
ปัจจุบันคือสิ่งที่บอกอนาคต
เกิดอะไรขึ้นกับอดีตของเรา
เป็นคำถามที่ทุกคนต้องถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว


Image

ต้นส้มแสนรักเป็นเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งนามว่าเซเซ่
ผู้มีจินตนาการเปี่ยมไปด้วยความฝันที่สวยงาม เป็นเด็กฉลาดเกิดในครอบครัวที่ยากจน
มีพี่น้องหลายคน ด้วยความที่เขาดื้อและซน ชอบก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน
จึงทำให้เขาโดนทำโทษแรงๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าไม่มีใครรักเขา
เพราะเขาเป็นส่วนเกินของครอบครัว เขาจึงต้องสร้างโลกส่วนตัวของเขาขึ้นมา
คือโลกแห่งความฝัน ที่ทำให้เขามีความสุขอยู่ตามประสาเขา
เพราะเขาไม่ใช่คนที่มีเพี่อนมาก ทุกคนต่างคิดว่าเขาคือเด็กแสบ
ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้าน ซึ่งทุกคนต่างก็เอือมระอา


ต่อมาครอบครัวของเซเซ่ได้ย้ายบ้านใหม่ จึงได้พบกับต้นส้มต้นหนึ่ง
ซึ่งพูดได้ทำให้เขาได้เพื่อนใหม่ที่รู้ใจที่สามารถพูดคุยและเป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้
ยามที่ถูกกักบริเวณไม่ให้ออกไปข้าง นอก ทุกเรื่องได้ทำให้เขามีความสุขมาก
โลกแห่งจินตนาการเปี่ยมไปด้วยความสดใสแห่งชีวิตของวัยเด็ก
แต่อีกไม่นานเมื่อเขาต้องรับรู้ว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาต้องจากเขาไปตลอดกาล
โลกที่สดใสของเขาพลันมืดสลัวลง เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจมากกับการจากลาในครั้งนี้

ครอบครัวที่แสนยากจนของเซเซ่ ต้องย้ายบ้าน
ที่นั่นพี่ๆพากันจับจองต้นไม้ในสวนเป็นของตัว เซเซ่ตัวเล็กและจับจองได้ช้ากว่าคนอื่น
ไม่เหลือต้นไม้ที่สวยงามอีกเลยนอกจาก ต้นส้มเขียวหวาน เล็กแกร็น
พี่สาวของเขาบอกเขาว่าเขาน่าจะดีใจที่จะได้เติบโตไปพร้อมกับต้นไม้ของเขา
เขาจะมีต้นส้มเป็นเพื่อนที่น่าอิจฉาที่สุด เซเซ่จึงมีต้นส้มแสนรัก
ไว้พุดคุยบอกเล่าทุกเรื่องราว มันชื่อว่า มิงกินโย

เซเซ่เรียกมิงกินโย ว่า ซูรูรูก้า

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:30 pm
by บุญปลีก
ถ้าเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของผมต้องเป็น

นิก กับ พิม
Image

แมงมุมเพื่อนรัก
Image

ตอนนั้นอยู่ ม.1 แล้วครับ จำได้ว่าช่วงนั้นมีแข่งทีมฟุตบอลของโรงเรียน ผมก็เริ่มหาเงินให้นักเตะในทีมผมแล้วครับ

ด้วยการเอาหนังสือที่บ้านมาปล่อยให้เช่าวันละ 1 บาท เก็บแก้วน้ำไปส่งให้ร้านค้า 100 แก้ว ได้เงิน 1 บาท :lol: :lol:

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:35 pm
by noway2know
นิกกับพิม และ แมงมุมเพื่อนรัก
ของตัวเองก็มีค่ะ สมัยเด็กๆ
บ้านเล็กในป่าใหญ่ ก็เป็นหนังสือที่ชอบเหมือนกันค่ะ
ชอบ ลอรา คนเขียนหนังสือเล่มนี้ค่ะ
งานของลอรา ส่วนมากเป็นวรรณกรรมเยาวชน
โหหหหหหหหห หัวการค้าตั้งแต่เด็กเลยนะค่ะ
แซวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆค่ะ :D

Image

โลกรู้จักเรื่องนี้ในชื่อ Little House in the Big Woods (บ้านเล็กในป่าใหญ่) เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน ของครอบครัวเล็กๆในกระท่อมไม้ซุง ในป่าใหญ่ทางตะวันตกของรัฐวิสคอนซินเมื่อปลายศตวรรษที่ ๑๙ เป็นวรรณกรรมเยาวชนยอดนิยมต่อเนื่องยาวนานที่สุดเรื่องหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๓๒ จนถึงปัจจุบัน แปลออกเป็นภาษาต่างๆทั่วโลกมากกว่า ๔๐ ภาษา รวมทั้งภาษาไทยโดย 'สุคนธรส' เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ส่งชื่อเสียงของลอรา อิงกัลส์ ไวลเดอร์ให้ขึ้นไปอยู่แถวหน้านักเขียนนิยายเยาวชนของอเมริกา เธอได้รับรางวัลนิวเบอรี่ อวอร์ด ซึ่งมอบให้วรรณกรรมเยาวชนดีเด่นประจำปี และมีการตั้งรางวัลเป็นเกียรติแก่เธอด้วย คือรางวัลลอรา อิงกัลส์ ไวลเดอร์ อวอร์ด สำหรับผู้ชนะเลิศการเขียนนิยายประวัติศาสตร์สำหรับเยาวชน

ทั้งหมดนี้บรรยายชีวิตของเด็กหญิง สี่พี่น้อง ในครอบครัวอิงกัลส์ มองผ่านจากสายตา ของ ลอรา ลูกสาวคนที่สอง คนอื่นๆคือแมรี่ พี่สาวคนโต แครี่น้องสาวคนรองจากลอราและเกรซน้องสาวคนเล็กสุด นอกจากนี้คือบุคคลสำคัญที่สุดในบ้าน พ่อและแม่ผู้เป็นความรักความอบอุ่น และกำลังใจให้ลูกตลอดมา ไม่ว่าเหตุการณ์นอกบ้านจะยากแค้นแสนเข็ญ จากภัยธรรมชาติและเสี่ยงอันตราย ในแดนเถื่อนเท่าใดก็ตาม ในบ้านก็ไม่เคยขาดเพลงไพเราะ จากไวโอลินของพ่อ ในยามค่ำ อาหารอร่อยๆฝีมือแม่ ที่รู้จักดัดแปลงจากผักและเนื้อสัตว์ เท่าที่หามาได้ตามประสายาก ทั้งหมดนี้ร้อยเรียง เข้าเป็นความทรงจำงดงาม ของพี่น้องผู้เติบโตจากเด็กหญิงตัวน้อยๆ ขึ้นมาเป็นสาวรุ่นในเล่มสุดท้าย

ในช่วง ๑๐ ปีหลังจากเขียนเรื่องแรก ลอราแต่งหนังสือออกมาเป็นตอนต่อๆมาอีก ๖ เล่มด้วยกันคือ

* Little House on the Prairie (บ้านเล็กในทุ่งกว้าง)เล่าถึงครอบครัวที่อพยพจากป่าใหญ่ในรัฐวิสคอนซินไปตั้งถิ่นฐานในดินแดน อินเดียนแดงที่รัฐแคนซัส

* On the Banks of Plum Creek (บ้านเล็กริมห้วย) กล่าวถึงตอนที่อพยพกลับมาที่มินเนโซตา

* By the Shores of Silver Lake (ริมทะเลสาบสีเงิน) กล่าวถึงชีวิตริมทะเลสาปใกล้เมืองเดอสะเม็ต ในรัฐเซาธ์ดาโกตา

* The Long Winter (ฤดูหนาวอันยาวนาน) เป็นช่วงชีวิตลำเค็ญในช่วงพายุหิมะ ๗ เดือนเต็มในเมืองเดอสะเม็ต

* Little Town on the Prairie (เมืองเล็กในทุ่งกว้าง) ชีวิตของชาวนากับที่ดินจับจองในเมืองเดอสะเม็ต

* และเรื่องสุดท้ายคือ These Happy Golden Years (ปีทองอันแสนสุข) เมื่อลอราโตเป็นสาวไปสอนหนังสือและได้แต่งงานกับแอลแมนโซ ไวลเดอร์

* มีอีกเล่มหนึ่งคือ Farmer Boy เป็นชีวิตวัยเด็กของแอลแมนโซสมัยอยู่ในบ้านนาที่รัฐนิวยอร์ก

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 12:52 pm
by บุญปลีก
noway2know wrote:นิกกับพิม และ แมงมุมเพื่อนรัก
ของตัวเองก็มีค่ะ สมัยเด็กๆ
บ้านเล็กในป่าใหญ่ ก็เป็นหนังสือที่ชอบเหมือนกันค่ะ
ชอบ ลอรา คนเขียนหนังสือเล่มนี้ค่ะ
งานของลอรา ส่วนมากเป็นวรรณกรรมเยาวชน
โหหหหหหหหห หัวการค้าตั้งแต่เด็กเลยนะค่ะ
แซวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆค่ะ :D



คงเป็นเพราะว่าสมัยเด็กผมค่อนข้างยากจนกระมังครับ (ตอนนี้ก็ยังจนอยู่ :lol: ) ทำให้เป็นคนไม่งอมืองอเท้ารอความช่วยเหลือจากใคร

ถ้าเห็นโอกาสที่เราจะหาเงินเพื่อเลี้ยงตัวเองกับสมาชิกในความรับผิดชอบได้ ผมก็กระโจนใส่ทันทีครับ ตอนเรียนหนังสือในชั้น ม.ต้น

ผมต้องนั้งรถมาเรียนในกรุงเทพ จึงได้ ค่ารถ+ค่าอาหาร อาทิตย์ละ 100 บาท แต่ผมเก็บเงินได้อาทิตย์ละ 100 บาท จนแม่ผมด่าหาว่า

ผมไปเรียนได้ยังไงเงินถึงอยู่ครบ ก็ ผมรับจ้างเก็บแก้วบ้าง เอาของไปขายเพื่อนในห้องบ้าง ปล่อยการ์ตูนให้เช่าบ้าง เงินมันก็เหลือสิครับ

ก็แปลกผู้ใหญ่กลับไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เด็กพูด สรุป โดนสอบสวนอยู่สองวันกว่าแกจะเชื่อ คำสุดท้ายที่ผมพูดแล้วแกฟังก็คือ

"ตั้งแต่เกิดมาเคยเห็นผมโขมยของเหรอ ผมไม่เคยโขมยของใคร ไม่เคยคิดด้วย เลี้ยงมาเองกับมือ ถ้าไม่ไว้ใจผมก็น่าจะไว้ใจตัวเอง"

เท่านั้นแหละครับแกถึงยอมเชื่อ (ดีนะที่ไม่เคยโขมยของใคร) บ้านผมเป็นร้านค้าหนะครับ ผมเวลาเฝ้าร้านก็ไม่เคยโขมยเงินร้านสักครั้ง

อาจเป็นความดีตรงนี้ที่ช่วยการันตี ตัวผมได้ เกือบซวยแต่เด็ก :lol: :lol: :lol:

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 1:24 pm
by noway2know
คุณบุญปลีก อ่านแล้ว ปรบมือให้เลยค่ะ :D

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 1:51 pm
by noona
คุยกันสนุกเลยนะคะ การสะสมของเก่า,สุดสาคร, บ้านเล็กในป่าใหญ่ เป็นหนังสือที่ชอบมากเล่มนึงค่ะ สร้างจินตนาการได้ดีมาก ๆ เลย ช่วงค่ำ ๆ จะมาเก็บรายละเอียดอีกครั้งค่ะ :D

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 2:00 pm
by noway2know
คุณ Noona ขอบคุณนะค่ะ ที่แนะนำกระทู้นี้ค่ะ :D

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 3:33 pm
by บุญปลีก
มีอยู่เรื่องที่น่าคิด ตอนสมัยผมเรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหงฯ จำได้ว่าอยู่ปีสี่ ช่วงนั้นกำลังทำงานให้บริษัท UTV

ทำแผนที่เกี่ยวกับการวางสายเคเบิ้ลหนะครับ ออกพื้นที่ทุกวัน ช่วงนั้นการเงินดี ผมเริ่มเปลี่ยนมาสูบบุหรี่นอกอยู่ยี่ห้อหนึ่ง

วันนั้นผมเหนื่อนจากการเซอร์เวย์ ก็เลยนั้งพักใกล้กับลุงคนหนึ่ง ควักบุหรี่ขึ้นมาสูบไปคุยกับแกไป สงสัยแกได้กลิ่นบุหรี่ผม

ก็เลยควักกรองทิพย์ของแกมาสูบบ้าง ผมเห็นดังนั้นก็เลยยืนบุหรีของตัวเองให้ แต่ทว่า ลุงกลับบอกขอบใจผม แต่ก็ไม่รับ

แกบอกว่า แกสูบจำเพาะแต่ญี่ห้อนี้เท่านั้น ผมก็เลยบอกแกว่า มันขั้นราคาจนแพงเท่ากับบุหรีนอกแล้วนะครับ ลุงจะสูบอยู่ทำไม

แกบอกมาคำเดียวครับ เป็นคำที่ทำให้ผมเลิกสูบบุหรีนอกไปนับตั้งแต่วันนั้น แกบอกผมว่า

"มันจะแพงหรือถูกมันก็เป็นบุหรีไทย เป็นของคนไทย จะถูกจะแพงยังไงก็ถือเสียว่าเป็นการช่วยคนไทยด้วยกัน"

ความคิดของผู้เฒ่าช่างน่านับถือเสียจริงๆ ผมก็เลยจำคำพูดของแกมาจนทุกวันนี้ และ นำไปปฏิบัติ ต้องยอมรับว่า

ความคิดของคนรุ่นเก่า เขาไม่ได้คิดเห็นแต่ตัวเองถ่ายเดียวจริงๆครับ บางที เราเสียเองเรียนมาก แต่ดันโกงมาก

ความเห็นแก่ตัวก็มาก ถ้าเห็นแก่ส่วนรวมเป็นใหญ่ ผมว่า ปัญหาอะไรๆมันก็คงลดน้อยถอยลงไปเองนั้นแหละครับ

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 4:48 pm
by khundaan
บุญปลีก wrote:
khundaan wrote:จากเริมสนใจเล็กๆน้อยๆ ตอนนี้หันมาเก็บอย่างจริงๆจังๆ
และทำการค้่าเล็กๆน้อยๆ

ซื้อ เก็บจนเต็มห้องเต็มบ้าน จนคนที่บ้านต้องกระเด็นไปอยู่ข้างนอก :mrgreen:


ทำธุรกิจที่ตัวเองรักนับว่า น่านับถือ และ น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างครับ คงมีหลายคนที่อยากทำได้แบบ คุณ



ขอบคุณครับ คุณบุญปลีก :) :)

ผมเข้าใจแล้วว่าทำมัยคุณ noway...คุณบุญปลีกรวมถึงนู๋นาถึงรอบรู้ไปหมดซะทุกอย่าง ความเป็นคนช่างอ่านนี่เอง โดยเฉพาะคุณnoway...เนี่ย ผมขอยกให้เป็นเจ้าแม่แห่งข้อมูลเลย ไม่ว่าไครเปิดกระทู้อะไรมาเธอหาข้อมูลมาได้อย่างละเอียด โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจในหลวงท่าน ขอชมเชยครับ ผิดกับผม หนังสือหนังหาสมัยเด็กนี่ขี้เกียจมาก ต้อวใกล้สอบจริงๆถึงจะเป็นไฟลนก้น ผลออกมาแค่ผ่านก็ดีใจแล้ว :mrgreen: ขนาดชื่อคุณnoway...ยอมรับเลยว่ายังขี้เกียจพิมพ์ให้ครบ ขออภัยด้วย :mrgreen:

สวนนิกกับพิม กะชาลอตเนี่ย ตอนม.ต้นเคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา และมีออกข้อสอบด้วย นิกกกับพิมจำไม่ได้แล้วแต่แมงมุม...เนี่ยอ่านแล้วน้ำตาซึมทุกครั้ง ยิ่งเค้าเอามาสร้างเป็นภาพยนต์สัก5-6ปีก่อนมั้ง ดูแล้วน่าสงสารชาลอตมากครับ ซึ้งมากครับความผูกพันธ์ของสัตว์ต่างสายพันธ์ แต่อยู่ร่วมกันและช่ยวเหลือกันอย่างดี น่าสนใจครับ :)

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 5:06 pm
by noway2know
คุณ khundaan ขอบคุณนะค่ะที่ให้เกียรติ
ต้องขอบคุณคุณพ่อค่ะ ตั้งแต่เด็กห้องทำงานคุณพ่อเต็มไปด้วยหนังสือ
และคุณพ่อชอบซื้อหนังสือให้ค่ะ แทนที่จะซื้ออย่างอื่น
ร้านหนังสือเลยเป็นที่โปรดของพวกเรา2คน พ่อลูกค่ะ

ทุกคนต่างก็รู้แตกต่างกันนะค่ะ ชอบอ่านกระทู้ของเพื่อนๆ
กับความคิดเห็นในนั้น บางสิ่งเป็นความรู้ใหม่
ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ดีใจที่ได้มาที่นี่นะค่ะ และมีเพื่อนๆดีค่ะ

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 5:42 pm
by บุญปลีก
ลองคิดดูเล่นๆนะครับ ถ้าสองคนนี้จับคู่กันจะเกิดอะไรขึ้น
Image Image

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 7:12 pm
by บุญปลีก
เอาวิธีบอกรักของคนลัวะมาให้อ่านกันครับ จากการให้สัมภาษณ์ ของพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ


ทีนี้ ลองติดตามเรื่องราวของ'นกเขาไฟ' กันครับ :

"กลับออกมาจากป่าปี 2524 เข้าไป 19 ได้เจอเรื่องหนึ่งที่ผมเขียน แล้วก็ได้การยอมรับพอสมควร

ในเรื่องเพลง นั่นก็คือ นกเขาไฟ ไปทำไร่อยู่จังหวัดน่าน ตอนนั้นพี่หงาอยู่น่านใต้ ผมอยู่น่านเหนือ

คือ...ผู้หญิงที่นั้น เป็นคนแข็งแรง แข็งแรงมากๆ เลย แบบ...ข้าวเป็นถังๆ ใหญ่ๆ เป็นเปอะ ใส่หน้า

ผากแล้วก็เดินขึ้นภูสูงๆๆ แข็งแรงจริงๆ ทำไร่ ฟัดไร่ ปลูกข้าวโพด ปลูกข้าว เป็นผู้หญิงที่แข็งแรง

ความแข็งแรง ทำให้รู้สึก...รู้สึก มีอารมณ์ (ฮา) คือ..อารมณ์ที่จะมองว่าเธอทำไมถึงแข็งแรง (ฮา)

ก็ได้ดูแล้วก็ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจเธอว่า เธออยู่ได้เพราะความรัก เธออยู่ได้ด้วยการรัก รักตรงนี้ รัก

ห้วยตัวนี้ รักป่าผืนนี้ รักต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อชีวิต ให้เป็นยาเป็นอะไร และรักคนคนหนึ่งที่ทำไร่อยู่

ข้างๆ ทีนี้ไร่ของชาวบ้านมันอยู่ไกลกันนะครับ เป็นลูกเขา ลูกภูเลย ไอ้จะไปวิ่งจีบกันเหมือนศูนย์การ

ค้า พลาซ่านั้นไม่ได้แน่ๆ ก็ใช้วิธีของธรรมชาติ ก็คือ เอาใบไม้ไปหักขวางทางไว้ให้รู้ว่า...มาน่ะ

อย่างเงี๊ยะ ละก็...ทำอะไรทุกวิถีทางที่เกี่ยวกับธรรมชาติเอา เอามาสื่อ สื่อความหมายเป็นการ

เคาะไม้ไผ่ การเรียกกัน การอะไรต้องใช้ธรรมชาติทั้งหมด จนกระทั่ง มีประเพณีอันหนึ่งที่น่ารัก

คือ ผู้หญิงบอกรักผู้ชาย ...สวยงามจริงๆ ผมขออนุญาตย้อนเล่า ผมเคยเล่าเมื่อสักปี 25-26 มาแล้ว

คือ คนลัวะจะบอกรักกัน คือ ผู้หญิงบอกรักผู้ชาย คือการมวนบุหรี่ให้ บุหรี่ของเธอนี่จะต้องปลูก

ยาสูบเอง แล้วเก็บยาสูบที่แก่แล้วเนี่ยะ มาห่อใบตองตึงไว้ หมักด้วยน้ำผึ้ง ในมุมหนึ่งในห้องนอน

ของเธอ พอหมักน้ำผึ้งได้ที่ ก็ต้องเอามาตากน้ำค้างอีก เมื่อตากน้ำค้างเสร็จก็จะสอย สอยยาเอง

สอยสวยๆสอยงามๆ พอสอยเสร็จ ยามวนจะต้องห่อด้วยใบสลอเปรา สลอเปรานี่เป็นต้นไม้ยืนต้นที่

อยู่บนภูเขา ที่แข็งแแรง แล้วใบสลอเปราจะร่วงในขณะที่ยังเหลืองอยู่ ยังไม่แก่ ไม่แห้งร่วง

พอเหลืองๆ ร่วงลงมาสักขณะหนึ่ง สองสามวันก็จะนุ่ม มวนบุหรี่ได้พอดี แล้วมันจะมีความหอมของ

ไม้ตัวนี้ แล้วเธอก็รู้อีกว่า เมื่อมวนใบสลอเปราแล้ว บุหรี่ถ้าถือไว้มันก็จะคลี่คลายออก ต้องเอาด้าย

แดงมามัด คือ สีแดง เป็นสีที่สุดยอดที่สุดของคนภูเขา แล้วด้ายสีแดงเนี่ยะ ต้องทำมาจากต้นกัญชา

ซึ่งคนบนเขาเรียกว่า กัญชง คือเขาจะปลูกต้นกัญชา หรือกัญชงไว้เยอะๆ เพื่อทำเสื้อผ้า เพื่อถักทอ

เป็นธรรมชาติ แล้วก็เอาไอ้...เปลือกของต้นกัญชง หรือกัญชาน้อยนี่ ลอกจากต้นที่แก่แล้ว มัดเป็น

มัด ปล่อยยาวๆ ไปทิ้งไว้ในสายแม่น้ำ ในห้วย เอาหินทับไว้ ให้น้ำในห้วยมันพัด พัดขัดเกลาเส้นใย

ที่อ่อนแอหลุดไปกับสายน้ำ เหลือเส้นที่แข็งแรงสู้กับแม่น้ำได้ เป็นเส้นที่เหนียวที่สุด นุ่มที่สุด ขึ้น

มาแล้วถักเป็นเส้นด้าย ฟั่นเป็นเส้นด้าย แล้วไปเอาเปลือกไม้ฝาด มาทุบๆๆ ยอมสี เป็นสีแดง แล้วก็

พันบุหรี่ ยื่นให้ผู้ชาย โดยไม่ต้องพูดอะไร เขารู้ว่า ฉันรักเธอ

อันนี้เป็นที่มาครับ http://www.oknation.net/blog/hardcorela ... 15/entry-2

มิวสิกวีดีโอ ตามคำเรียกร้อง ของแฟนขับ ครับ :mrgreen:


Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 7:21 pm
by khundaan
คุณnoway... อันนี้พูดจริงๆครับ อยากทราบว่าคุณมีอาชีพครูป่ะครับ :mrgreen: :mrgreen:

บุญปลีก wrote:ลองคิดดูเล่นๆนะครับ ถ้าสองคนนี้จับคู่กันจะเกิดอะไรขึ้น
Image Image


เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะตอนนี้หัวใจของน้องมาเรียมีผมจับจองอยู่ครับ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

ทางที่ดีถามเจ้าแม่แห่งเทนนิส คุณ canola ดีกว่า
แต่เอ...เธอหายไปไหน ไม่เห็นหลายวัน ตีเทนนิสเพลินละมั้ง คุณนู๋นาไม่เจอบ้างเหรอครับ :lol: :lol: :lol:

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 7:24 pm
by khundaan
คุณบุญปลีก เอาพลงนกเขาไฟมาลงประกอบด้วยสิครับ ไม่ได้ฟังนานเหมือนกัน ;)

Re: รวมมิตร คุยสบาย ๆ แบบไม่มีสาระ

PostPosted: Mon Jul 19, 2010 7:46 pm
by บุญปลีก
khundaan wrote:คุณบุญปลีก เอาพลงนกเขาไฟมาลงประกอบด้วยสิครับ ไม่ได้ฟังนานเหมือนกัน ;)


จัดให้แล้วครับผม