ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

ห้องสำหรับกระทู้นอกเรื่อง ดูแลโดย Mod 1ktip

ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby eastisred » Tue Sep 07, 2010 1:07 am

เหมือนข้างบน อิอิ
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby halfmoon » Tue Sep 07, 2010 1:26 am

จะรอให้ถึงพรุ่งนี้ซะก่อนจึงจะตอบ ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา :o
Last edited by halfmoon on Tue Sep 07, 2010 1:45 am, edited 1 time in total.
  • อธิปัตย์ 5 : อิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ มิตรภาพ สันติภาพ : คือแก่นแท้แห่งอำนาจประชาธิปไตย : ท่านมีหรือยัง ถ้าไม่ จงสร้างเอง
User avatar
halfmoon
 
Posts: 10731
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:34 pm

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby pochi » Tue Sep 07, 2010 1:44 am

ลาพ่อแม่ ลาคนที่รัก เขียนพินัยกรรม แล้วก็นั่งสมาธิให้จิตใจสงบ
คงประมาณนี้ค่ะ
RT @Cake_NBC: นายกฯแจงเรื่องที่เอาหมวกถุงยางมาสวมหัว อะไรที่ทำแล้วลดปัญหาได้ ก็พร้อมทำ "เป็นศีรษะผม ไม่ใช่ศีรษะของคนอื่น" #NBT
User avatar
pochi
 
Posts: 5035
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:24 pm

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby eastisred » Tue Sep 07, 2010 2:50 am

แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby halfmoon » Tue Sep 07, 2010 2:52 am

:lol: ทำไมรู้ใจกันปานนี้
  • อธิปัตย์ 5 : อิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ มิตรภาพ สันติภาพ : คือแก่นแท้แห่งอำนาจประชาธิปไตย : ท่านมีหรือยัง ถ้าไม่ จงสร้างเอง
User avatar
halfmoon
 
Posts: 10731
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:34 pm

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby halfmoon » Tue Sep 07, 2010 3:02 am

  • อธิปัตย์ 5 : อิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ มิตรภาพ สันติภาพ : คือแก่นแท้แห่งอำนาจประชาธิปไตย : ท่านมีหรือยัง ถ้าไม่ จงสร้างเอง
User avatar
halfmoon
 
Posts: 10731
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:34 pm

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby saopao » Tue Sep 07, 2010 3:10 am

นั่งอ่านเสรีไทย แล้วเข้านอน
Image
User avatar
saopao
Moderator
 
Posts: 2593
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:21 am

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby halfmoon » Tue Sep 07, 2010 3:14 am

ตอบจริงแล้วนะ

1.ผมต้องคิดถึงลูกก่อนเป็นอันดับแรก
2.คิดถึงเมียว่า จะหาผัวใหม่ได้รึเปล่า
3.ทบทวนตัวเองนับแต่เกิดจนวันนี้
4.คิดถึงบุญคุณพ่อแม่ที่ให้กำเหนิดและเลี้ยงเรามา
5.คิดว่าสังคมโลกเราบ้านเมืองเรามันแย่ลงแค่ไหนแล้ว เพื่อนๆคนอื่นที่ยังไม่ตายจะบ้าบอยังไงต่อไป
6.คิดว่าจะไปไหนหลังความตาย จะดร๊อปไว้สักชาติหนึ่งหรือลงทะเบียนต่ออีกสักชาติ
7.ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เราจะได้เกิดที่ไหนอย่างไร คงหวิวๆตื้นเต้นดี และไอ้แม้วมันตายรึยัง

คิดแค่ 7 อย่างนี้เป็นอย่างน้อย ไปพลางก่อน
ไม่ต้องทำอะไร
  • อธิปัตย์ 5 : อิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ มิตรภาพ สันติภาพ : คือแก่นแท้แห่งอำนาจประชาธิปไตย : ท่านมีหรือยัง ถ้าไม่ จงสร้างเอง
User avatar
halfmoon
 
Posts: 10731
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:34 pm

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby eastisred » Tue Sep 07, 2010 3:27 am

halfmoon wrote:[color=#0000FF]ตอบจริงแล้วนะ


7.ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เราจะได้เกิดที่ไหนอย่างไร คงหวิวๆตื้นเต้นดี และไอ้แม้วมันตายรึยัง

คิดแค่ 7 อย่างนี้เป็นอย่างน้อย ไปพลางก่อน ไม่ต้องทำอะไร


แล้วคิดต่อว่า อ้ายแม้ว จา ตาย คา อก หลี ดะเลีย เป่า
[/color]
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby Jseventh » Tue Sep 07, 2010 8:27 am

pochi wrote:ลาพ่อแม่ ลาคนที่รัก เขียนพินัยกรรม แล้วก็นั่งสมาธิให้จิตใจสงบ
คงประมาณนี้ค่ะ


คล้ายๆ ของคุณ pochi
ร่ำลา สั่งเสีย ให้อโหสิกรรม ขออโหสิกรรม ทำจิตใจให้เบิกบาน และจากไปอย่างสงบ

ถ้าได้รู้เวลาที่จะจากโลกนี้ไป แล้วมีโอกาสได้ทำสิ่งที่อยากทำกัน ถือเป็นโชคดีมากนะคะ
เพราะธรรมดาแล้ว เราส่วนใหญ่ไม่มีวันรู้ถึงช่วงเวลานั้น

ดังที่มีคนกล่าวว่า..
คนเรา"รู้วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย" ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท ขอให้เรามี"มรณานุสสติ"เป็นเครื่องเตือนใจกันทุกวัน
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby Jseventh » Tue Sep 07, 2010 8:41 am

จำได้ว่าตนเองมีกระทู้บทความเกี่ยวกับ "มรณานุสสติ" ด้วย (บังเอิญไปเจอ เห็นว่าดี เลยนำมาเผื่อ)
เคยแปะไว้ในห้องชายคาพักใจ ขออนุญาตนำมาแปะซ้ำในกระทู้นี้ด้วยนะคะ :)

Image

เครดิต : http://hilight.kapook.com/view/24298 และ
http://www.intania82.com/index.php?act=ST&f=15&t=1264

มรณานุสติ : ตายอย่างสงบ เรื่องที่ฝึกได้ เตรียมได้

"เราตายได้ครั้งเดียว เราจะตายอย่างไร ร้านกาแฟบางร้านใช้เวลาถึงสามอาทิตย์เทรนพนักงานให้เชี่ยวชาญในการชงกาแฟ แต่เรื่องตายที่เป็นเรื่องสำคัญ กลับไม่เคยมีการเทรนการสอนกันในโรงเรียนไหนๆ ทั้งที่การตายให้เป็น บางทีก็แยกไม่ออกจากการอยู่ให้เป็น"

คำกล่าวข้างต้นของพระไพศาล วิสาโล อาจฟังดูเสียดสี หากเต็มไปด้วยน้ำเสียงเตือนสติ ให้เห็นว่าชีวิตเราช่างเต็มไปด้วยการให้คุณค่าอย่างผิดที่ผิดทาง มิใช่เพราะทุกชีวิตมีความตายเป็นปลายทางหรอกหรือ เราจึงพยายามใช้ทุกนาทีชีวิตอย่างมีคุณค่า มีศิลปะ แม้แต่การกินกาแฟให้ได้รสชาติ แต่เรื่องความตายกลับไม่ค่อยมีใครใคร่ครวญถึงนักว่าจะเผชิญกับความตายอย่าง ไร ศิลปะการใช้ชีวิตแบบไหน จึงจะนำไปสู่นาทีของการตายที่งดงามไม่แพ้นาทีของการมีชีวิต หรือพบกับสิ่งที่มุกคนปรารถนา นั่นคือการตายอย่างสงบ และจริงๆ แล้วถ้าเรารู้จักความตายดีพอ จะพบว่ามันไม่ได้มีด้านลบด่านเดียว ถ้าเราสามารถเป็นเพื่อนกับความตายได้ ชีวิตเราจะมีความสุขมาก และความตายของแต่ละคนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่ละคนตายไม่เหมือนกัน ความตายจึงไม่มีคำตอบสำเร็จรูป

"ทำไมความตาย" จึงน่ากลัว

เหตุหนึ่งที่ทำให้ความตายดูน่ากลัว เพราะเรารู้เกี่ยวกับมนน้อยมาก ในแง่ที่เราไม่เห็นว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มีการเกิด และตายทั้งที่เห็นได้ และไม่ได้อยู่ตลอดเวลาในตัวเรา เช่นการเกิดและตายของเซลล์ราว 50 ล้านเซลล์ต่อวัน มีการเกิดดับของอารมณ์อยู่แทบทุกขณะ และที่สำคัญเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนาทีที่ความตายมาถึง จะมีชีวิตหลังความตายหรือไม่ หากมี - มันเป็นเช่นไร ขณะเดียวกันเราก็พยายามผลักไสความตายออกไป ทั้งให้ไกลตัว และไกลความคิด

ในอดีต คนมักสอนให้เห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ในคติของคนจีนโบราณ เมื่อใครฉลองแซยิดใหญ่แล้ว จะต้องตระเตรียมเสื้อผ้าไว้สำหรับใส่ในวันตาย เพื่อช่วยเตือนสติ มิให้ใช้ชีวิตโดยประมาท

หากมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านหรือชุมชนเล็กๆ เมื่อบ้านไหนมีใครป่วยหรือตาย จะรับรู้กันไปทั่วเวลาจัดงานศพไม่ว่าตั้งที่บ้านหรือที่วัด เพื่อนบ้านก็จะร่วมพิธีสวดศพ สามวันห้าวันเจ็ดวัน แต่ละครอบครัวก็จะผลัดกันไป ถือเป็นหน้าที่ เป็นการแสดงน้ำใจ ข่าวคราวการตายนั้นก็จะวนเวียนให้รับรู้อยู่จนวันเผา หรือจนสิ้นพิธีไว้ทุกข์ โดยเฉพาะวันเผาผู้คนจะมากันพร้อมหน้าพร้อมตา ร่วมพิธีบังสุกุล ปลงศพ จนถึงเชิญศพเข้าเตาเผา ขั้นตอนการเปิดโลงให้ลาศพเป็นครั้งสุดท้าย จนถึงการเก็บอัฐิ และลอยอังคาร นอกจากเป็นการทำบุญแก่ผู้ล่วงลับก็เป็น

มรณานุสติแก่คนเป็นให้เห็นว่า ท้ายที่สุดชีวิตก็มีเพียงเท่านี้

แต่ทุกวันนี้ ความตายถูกทำให้กลายเป็นเรื่องของหมอ พระ และสัปเหร่อ พิธีศพมักถูกตกแต่งจนทุกขั้นตอนของพิธีกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ยากแก่คน สมัยใหม่จะเข้าใจนัยเดิม การไปงานศพหากไม่ใช่ญาติสนิทมิตรใกล้ชิดจริงๆ ก็กลายเป็นหน้าที่และพิธีกรรมทางสังคม ขณะเดียวกันข่าวความตายที่พรั่งพรูผ่านสื่อต่างๆ ให้ดูและเห็นก็มีจำนวนคนเจ็บตายทีละเป็นสิบเป็นร้อย ทำให้ผู้รับข่าวเองไม่ทันมีโอกาส "ย่อย" สารของความตายมาพิจารณา

พระไพศาลขยายภาพให้เห็นถึงสิ่งซึ่งความ ตายกระทบต่อชีวิตเราว่า มันนำเราไปพบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนาในทุกมิติ นับจากกาย สังคม และจิตวิญญาณ

บ่อยครั้งมันก็รุกมาพร้อมกันทุกแนวรบ และสิ่งที่ถูกกระทบอย่างสำคัญคืออัตตา - ลึกๆ คนเรามีความรู้สึกว่าเรามีอำนาจ แต่พอป่วยหนัก แม้แต่ยกมือ เดินไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ถูฟัน ก็ทำเองไม่ได้ หายใจก็ไม่ออก นอกจากจะทรมานกายแล้วยังกระทบไปถึงอัตตา

"ในแง่สังคม ความตายก็ทำให้เกิดการพลัดพราก ความไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหนนี้ร้ายแรงมาก อย่างคนที่เป็น perfectionist จะทำการงานอะไรก็ well plan ต้องรู้ให้ชัดทุกขั้นทุกตอน ทนไม่ได้ถ้าไม่รู้อะไรที่แน่นอน หรือต้องมารอ พอต้องเผชิญกับความตายซึ่งไม่มีใครรู้ จะรู้สึกอ้างว้างไปหมด"

"ตัวตนเป็นมายาภาพแล้ว มันยังสร้างมายาภาพให้เห็นว่าโลกนี้สวยสดงดงาม ชีวิตต้องควบคุมทุกอย่างได้ เวลาเราดูโฆษณา ดูโทรทัศน์เห็นนายแบบนางแบบดาราที่หน้าตาสะสวย หุ่นดี ดู healthy ไปห้างสรรพสินค้า โรงแรม เห็นทุกอย่างดูเพอเฟ็กต์ สวยงาม แต่ความตายมันไม่รับรู้อะไรลวงๆ ที่เราสร้างขึ้นในจิตใจ มันก็ทำหน้าที่ของมัน มาเตือนให้เราระลึกว่า ชีวิตนั้นมีสองด้าน มีสุขมีทุกข์ มาเตือนว่าอะไรที่เป็นของเรา ไม่ว่าบ้าน รถ เงินทอง หรือตัวเราเอง ก็ไม่ใช่ของเรา"

Image

ภาวะใกล้ตาย

คำถามประการสำคัญหนึ่งของการเผชิญกับความตายคือ "อะไรคือสัญญาณของภาวะใกล้ตาย"

นายแพทย์ พรเลิศ ฉัตรแก้ว คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าไม่มีใครสามารถตอบได้แน่ชัดว่าเวลาของคนไข้แต่ละคนเหลือเท่าไหร่ เพราะทุกอย่างเป็นการคาดคะเนจากค่าเฉลี่ย พร้อมกับเปรียบให้ฟังว่าร่างกายคนเราก็เหมือนเครื่องจักร เมื่อเสื่อมสมรรถภาพ ก็จะหยุดทำงานเป็นส่วนๆ

"การเดิน เคลื่อนไหวแขนขา การกิน ขับถ่าย ถ้าระบบเหล่านี้ไม่ทำงานก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เป็นวันหรือเป็นเดือน แต่ถ้าส่วนอื่นหยุดอาจเป็นชั่วโมง หรือนาที ถ้ามองแบบแยกส่วน เรามักพูดว่าสมองตาย หัวใจตาย ไตวาย ที่ชัดที่สุดคือสมองกับหัวใจ แต่บางทีสมองตายแต่หัวใจทำงานอาจอยู่ได้เป็นนาที ซึ่งการตายในปัจจุบัน ถ้าร่างกายส่วนใดหยุดทำงานแล้ว จะไปช้าเร็ว ก็ขึ้นกับว่าตายที่ไหนอีก บ้านหรือโรงพยาบาล โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน"

ขณะที่ พระไพศาล กล่าวว่าตัวเราประกอบขึ้นด้วยมิติของกายและจิต การแตกสลายของรูปหรือร่างกายเริ่มจากการแปรปรวนหรือดับของธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม เริ่มจากดินหรือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อ เช่น ไม่มีแรง เดินไม่ได้ น้ำคือคอแห้ง ริมฝีปากแง จากนั้นตัวจะเย็นลง เป็นสัญญาณว่าธาตุไฟเริ่มดับ สุดท้ายคือลม หรือที่เรียกกันว่าสิ้นลม ขณะที่ธาตุทั้งสี่แปรปรวนนั้น จิตอาจเริ่มแสดงอาการ เชน จำอะไรไม่ได้ หรือจำได้สั้นๆ การับรู้เห็นภาพแปรปรวน แต่การสิ้นชีวิตเกิดขึ้นเมื่อใดยังเป็นสิ่งที่ตอบได้ยาก เดิมเราเชื่อว่าสิ้นสุดเมือสิ้นลม แต่ในความจริงอาจเป็นการค่อยๆ รางเลือนไปของจิตรับรู้

"เมื่อใกล้ตายการรับรู้ทางเวทนาอาจหมดไป คือไม่เจ็บปวด เพราะความเจ็บปวดทำงานให้เราหนทุกข์เอาตัวรอด แต่บางทีเมื่อไม่มีทางรอดแล้ว กลไกความเจ็บปวดก็อาจหยุดทำงาน นั่นอาจอธิบายว่า ทำไมผู้ป่วยบางคนในชั่วโมงท้ายๆ เขาไม่แสดงอาการเจ็บปวดอีกแล้ว"

ส่วนอาการทุรนทุราย หรือการเห็นภาพต่างๆ ก่อนสิ้นใจ เช่น เห็นคนที่ตายไปแล้ว เห็นคนมารับ ฯลฯ เหล่านี้เป็นนิมิตบอกถึงกรรมเก่าหรือไม่ นั้น พระไพศาล กล่าวว่า "นิมิตก่อนตายอาจเป็นได้สองลักษณะ ได้แก่กรรมนิมิต และคตินิมิต กรรมนิมิตเป็นนิมิตที่เกิดจากกรรมที่เราได้ทำมาในชีวิต อันเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปไหนหลังตาย คตินิมิตเป็นภพภูมิที่เรากำลังจะไป - สมองเราเก็บความจำไว้มากมาย พอใกล้ตายมันจะคายออกมา คนใกล้ตายอาจมีภาวะ life review เหมือนฉายหนังเก่า อะไรที่เคยกระทบใจ หรือคั่งค้างอาจปรากฏขึ้นมา บางอย่างอาจทำให้เขาตื่นตกใจ ผวา ถ้าไปตอนนั้นเขาจะตกใจ คนที่ดูแลต้องช่วยโน้มน้าวให้ไปในทางที่ดี"

Image

พินัยกรรมชีวิต

ทุกวันหลังเลิกงาน เรามักทำบันทึกช่วยจำว่าพรุ่งนี้มีอะไรที่เราต้องสะสางต่อไป แต่ทำไม - กับชีวิตที่ไม่แน่นอน น้อยคนนักที่คิดทำบันทึกช่วยจำ หรือพินัยกรรมชีวิต ลองคิดดูว่าหากคุณต้องจากไปโดยมิได้สะสางสิ่งที่คั่งค้าง ทั้งเรื่องที่คับข้องใจและงานการในหน้าที่ ในเวลาที่กำลังจะสิ้นลม จิตใจเราจะห่วงกังวล กระสับกระส่ายแค่ไหน แน่นอนว่า คนที่อยู่ข้างหลังย่อมช่วยเหลือสะสางเรืองต่างๆ อย่างเต็มใจ เพราะอยากให้เราตายตาหลับ

แต่ก็บ่อยครั้งมิใช่หรือ ที่เราได้รับรู้เรื่องราวความขัดแย้งนานาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความตาย ไม่ว่าการตัดสินใจเรื่องการรักษาพยาบาล การจัดพิธีศพ หรือเรื่องทรัพย์สินกองมรดก คำสั่งเสียและร่ำลาต่อคนรัก คนใกล้ชิด เพื่อน หรือคำขออโหสิกรรมต่อผู้อื่นที่เคยมีเรื่องบาดหมางคับข้องใจ หรือไดเกระทำผิดพลาดต่อกันในอดีต ประโยชน์แก่สังคมที่อยากให้คนทำแทนเรา งานที่คั่งค้างไว้ หรืออาจมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่คุณอยากบันทึกไว้ เขียนทุกสิ่งทุกขอให้ชัด ทั้งที่จะเป็นประโยชน์แก่จิตใจตนเอง และคนที่อาจอยู่ข้างหลัง

มรณสติ : ตายก่อนตาย

พระไพศาล ได้กล่าวว่า เราสามารถฝึกได้กับการพลัดพรากในชีวิตประจำวัน เวลาดูข่าวลองคิดว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นจะทำอย่างไร รู้สึกอย่างไรน้อมมาบ่อยๆ เราจะเห็นว่าเราไม่พร้อม หรืออย่างของหาย เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้รู้ว่าเขามาเตือนหรือคนนินทาก็เป็นเรื่องหกติ อันนี้เป็นการฝึกมุมมอง ดีกว่านั้นคือฝึกสติ กายเจ็บแต่ใจไม่เจ็บไม่ปวดไปด้วย คือการฝึกใช้สติพิจารณาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ดีกว่านั้นคือปัญญา เห็นความไม่เที่ยงแท้ ความเป็นอนันตา

"การฝึกสตินั้นทำได้ตลอดเวลา คือดึงสติให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา ถูฟันก็ให้รู้ว่าถูฟัน มือล้างจานใจก็ล้างจานอยู่ด้วย คือทำอะไรเป็นอย่างๆ ไม่ใช่ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ กินข้า ดูโทรทัศน์ แล้วคุยโทรศัพท์มือถือไปพร้อมๆ กัน - ทำอะไรก็อยู่กับสิ่งนั่น นั่นคือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน"

อย่างไรก็ตาม อยากรู้ว่าก่อนตาย หรือหากช่วงเวลาแห่งความตายใกล้มาถึงเราควรทำอย่างไร … ลองทำนอนราบกับพื้นในท่าโยคะท่าศพ แล้วค่อยๆ หรี่ไฟลงจนมืดสนิท กล่าวโน้มนำให้เราผ่อนคลาย และภาวนาเสมือนว่านั่นคือช่วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต และลองทำตามต่อไปนี้ …

"เรารับรู้ความรู้สึกที่ไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าว่าบัดนี้มันอ่อนแรง ไม่มีกำลังแม้แต่จะขยับเขยื้อนอวัยวะทุกส่วนของร่างกายที่ได้รับใช้เรามาใน การทำภารกิจต่างๆ และเราได้ดูแลทะนุถนอมมันมาอย่างดี บัดนี้ได้ถึงอายุขัยของมันแล้ว เราขอบคุณร่างกายนี้"

"เราทบทวนถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่เราได้สั่งสมไว้เพื่อนำความสุขสบายมาสู่ชีวิต และครอบครัว เราได้สร้างมาด้วยสัมมาอาชีวะ มิได้เบียดเบียนใคร เราได้รับความสุขสบายจากมันมาเพียงพอแล้ว จากนี้ขอให้มันยังประโยชน์แก่ผู้อื่น เราไม่คิดหวงห่วงอะไร เพราะเรากำลังจะจากไป แม้แต่ร่างกายนี้เราก็ยังต้องละไป งานการอื่นๆ ทั้งที่เป็นหน้าที่ และที่ทำโดยสมัครใจ เราก็ได้ทำประโยชน์มาอย่างเต็มแรง เรื่องที่สมควรทำเราก็ได้ทำไปแล้ว เรากำลังจะจากไป ไม่มีอะไรต้องเสียดายอีก เสียงของคนรัก พ่อแม่ … ลูก เพื่อนฝูงแว่วเข้ามาในโสตประสาท เราขอบคุณพวกเขาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข หัวเราะร้องไห้ และเกื้อกูลกันมาเมื่อยามอยู่เราก้อยู่ด้วยกันดีแล้ว เราบอกรัก บอกลา และย้ำอย่างเชื่อมั่นว่าแม้เราจะจากไป เขาจะมีชีวิตที่เป็นสุขได้ ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก "

"เราแผ่เมตตาแก่สรรพชีวิตผู้เป็นเพื่อนกันในโลกนี้ ภาวนาบทสวดมนต์ที่พอมีสติจำได้ จดจ่อสติอยู่กับการสวดมนต์นั้น และจากไป …"

การดูแลและช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย

คำถามสำคัญที่เราต้องเผชิญในชีวิตเมื่อคนรักหรือคนใกล้ชิดป่วยอยู่ในระยะสุด ท้าย หรือใกล้ตาย คือว่าเราควรจะบอกความจริงกับเขาหรือไม่บอกอย่างไร จะเลือกการรักษาพยาบาลวิธีใด และยุติเมื่อไร และเราจะช่วยให้เขาจากไปอย่างสงบ และเป็นกุศลได้อย่างไร

อุมาภรณ์ ไพศาลสุทธิเดช พยาบาลประจำโรงพยาบาลรามาธิบดี เล่าจากประสบการณ์ว่า หลายกรณีญาติไม่ยอมบอกคนไข้ หรือคนไข้เองไม่อยากให้ญาติรู้ เพราะต่างฝ่ายต่างห่วงใยความรู้สึกซึ่งกันและกัน แต่ที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายควรร่วมรับรู้ความจริง และการบอกต้องอาศัยกุศโลบาย

"คู่หนึ่ง - สามีเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายภรรยาไม่ยอมให้บอก เพราะคิดว่าเขาเป็นทหาร เรื่องแบบนี้ทำใจรับได้ยาก ก็ถามเขาว่าคุณคิดหรือว่าคนไข้เองไม่รู้ตัว บอกให้เขารู้เสีย จะได้เตรียมตัวเตรียมใข เรื่องอะไรที่เขาคิดว่าต้องจัดการในเวลาที่เหลือจะได้ทำได้ พอไปคุยกับคนไข้ เขากลับบอกว่าผมรู้ตัวอยู่แล้ว แต่อย่าบอกภรรยาผมนะ เดี๋ยวเขาจะยิ่งเครียด เราก็จับสองคนมานั่งคุยกัน ปรากฏว่ากอดกันร้องไห้อยู่พัก แล้วบอกว่าไม่เป็นไรเขาจะสู้ไปด้วยกัน"

สิชล ทองยุทธ์ หรือ อ้อย อดีตพนักงานบัญชี กำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า รู้ตัวมาเกือบปีแล้ว แต่ไม่เคยบอกให้แม่รู้ เพราะคิดว่าแม่จะทุกข์กว่าตนเป็นร้อยเท่า "แต่มันอึดอัดอยู่กันแม่ลูกสองคน แล้วเราไม่ได้แชร์ความทุกข์เรา เพื่อนๆ ก้แนะนำให้บอกแม่เพาะแม่เองก็จะต้องเตรียมตัวด้วย – วันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว"

"แม่หนูเป็นเนื้องอกที่เป็นปัญหา ยังไม่ใช้คำว่ามะเร็ง แม่นิ่ง ( น้ำตาของเธอพรั่งพรู เมื่อทบทวนถึงความรู้สึกของแม่ ) แม่ถามว่าทำไมไม่ไปผ่าตัด ก็บอกว่าไม่ใช่ทางเลือกของเรา เขาก็นิ่งไปเลย แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าโล่งมาก เพราะเก็บเรื่องนี้มาเป็นปี - - ตอนเย็นรู้สึกว่ากับข้าวที่แม่ทำอร่อยมาก เขาคงใส่ความรักลงไป"

นายแพทย์พรเลิศ กล่าวว่าในทางการแพทย์เองก็ถือว่าจิตใจของคนไข้เป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ต้องดูแลไม่น้อยไปกว่าการเยียวยาทางกาย ดังมีคำพูดว่า… เราสามารถรักษาคนไข้ได้เป็นบางเวลา และบางคน แต่เราทำให้เขาเป็นสุขได้ทุกครั้ง” โดยเฉพาะในรายที่รักษาไม่หายแล้ว นอกจาการพยายามช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางกาย จะต้องช่วยเหลือดูแลในเรื่องจิตใจ และบอกให้คนไข้และญาติรู้ถึงข้อมูลในการรักษาอย่างเต็มที่ รู้ถึงอาการที่จะเกิด ผลของยา บอกทางเลือกในกรณีที่มีวิธีรักษาบางอย่างที่ช่วยยืดอายุได้ ไม่ว่าเป็นชั่วโมง วัน หรือสัปดาห์ รวมถึงผลดีที่คาด และผลเสียที่อาจได้รับ เพราะการยืดอายุอาจหมายถึงเวลาของการเตรียมตัวเตรียมใจ การสะสางสิ่งที่คั่งค้าง ตั้งสติและเตรียมจิตอย่างสงบ - - หรือเป็นเพียงการยืดสัญญาณชีพ

"กรณีที่เจอบ่อยก็คือจะช่วยชีวิตหรือไม่ ใส่ท่อหรือไม่ใส่ ขึ้นอยู่กับแต่ละราย เขาให้ความหมายกับอะไร กับการเต้นของหัวใจ หรือการมีสติรับรู้ต้องคุยกับทีมแพทย์เอง กับคนไข้และญาติ กรณีที่คนไข้ไม่รู้สึกตัวแล้ว ต้องถามญาติว่าเขาได้เคยสั่งเสียอะไรไว้ไหม หรือคุยกับคนที่รู้จักคนไข้ดีที่สุด - - เพราะถ้าเราเริ่ม life support แล้วจะหยุดไม่ได้ เขาควรรู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ซึ่งอาจจะยืดเยื้อ ทนทุกข์ทรมาน ควบคู่ไปกับการรักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว สิ่งที่เราสามารถช่วยเหลือไปพร้อมกันในทางจิตใจ ได้แก่

การให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข : ในขณะที่ร่างกายกำลังเจ็บปวด และความตายกำลังจะมาถึง สิ่งที่นเราหวาดกลัวมากที่สุด คือการถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับความหวาดกลัวต่างๆ เพียงลำพัง ความรักจากคนรอบข้างรวมถึงแพทย์พยาบาล ย่อมช่วยให้จิตใจที่เปราะบางของเขาเข็มแข็งขึ้น และพึงระลึกว่าความเจ็บปวดที่รุมเร้าอาจทำให้จิตใจ และอารมณ์ของเขาแปรปรวน ควรอดทนด้วยความเข้าใจ

การช่วยให้เขายอมรับความตายที่จะมาถึง : ในหลายกรณีการยอมรับความตายอาจทำได้ยาก และต้องใช้เวลา เราอาจเริ่มต้นด้วยการยอมรับความกลัวตายของตนเอง อย่าเทศนาสั่งสอน หากรับฟังความรู้สึกเขาอย่างจริงใจ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการผู้มากประสบการณ์ หรือนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ เพียงแต่ต้องการใครสักคนที่แสดงทีท่าว่าพยายามจะเข้าใจเขา ในที่สุดแล้ว การรับฟังและแบ่งปัน อาจช่วยให้จิตใจของเขาคลี่คลาย คิดได้ว่าความตายนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่จำเป็น ต้องลงเอยอย่างเลวร้ายเช่นที่เขากลัว

การช่วยปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจ : คน เราไม่อาจจากไปอย่างสงบได้หากมีภาระที่คั่งค้าง หรือมีเรื่องราวจากอดีตที่ยังติดค้างอยู่ในใจ เราอาช่วยสะสางธุระต่างๆ และพูดคุยให้เขาค่อยๆ คายสิ่งที่อยู่ในใจ ชวนให้เขาแผ่เมตตา อโหสิกรรม ชวนให้เขายอมรับ และกล่าวขอโทษทั้งต่อหน้า หรือการเขียนจดหมาย ให้เขาตระหนักว่า ยามใกล้ตายเป็นวาระสำคัญสำคัญสำหรับการคืนดี และการยอมรับสิ่งที่ได้ทำมา

การช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งดีงาม : อาจทำได้หลาวิธี เช่น นำพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่บุคคลนั้นนับถือมาตั้งไว้ในห้อง เปิดเทปสวดมนต์ เทปธรรมะ หรือดนตรีที่เขาชอบฟัง ที่ฟังแล้วช่วยให้จิตใจเขาสงบ สวดมนต์หรือทำสมาธิภาวนาไปพร้อมกับเขาชวนให้เขระลึกถึงคุณงามความดี และกุศลที่ได้ทำมา เพราะไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีหรือจน หรือทำตัวผิดพลาดมาอย่างไร ย่อมเคยทำความดีที่น่าระลึกถึงไม่มากก็น้อย ซึ่งไม่ได้หมายความถึงการทำบุญกับพระหรือศาสนาเท่านั้น การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี ดูแลพ่อแม่ด้วยความรัก หรือเสียสละเพื่อคนอื่น ล้วนเป็นกุศล ที่เขาสามารถมั่นใจได้ว่าจะพาตนไปสู่สุคติ

ชวนให้เขามองการป่วยไข้ในทางที่เป็นประโยชน์ เป็นอีกบทเรียนของการตระหนักรู้ มิใช่การชดใช้กรรม นอกจากนี้อาจชวนให้เขาทำบุญ เช่นบริจาคทรัพย์สิน ทำทานแก่คนยากจนไร้โอกาส ซึ่งจะช่วยให้เขาละจากการติดยึดในทรัพย์สิน และโลกนี้ได้ในทางอ้อม

การช่วยให้ปล่อยวางสิ่งต่างๆ : ในบรรดาสิ่งยึดติดทั้งหลาย ไม่มีอะไรที่ลึกซึ้งแน่นหนากว่าความยึดติดในตัวตน เราอาจใช้ประสบการณ์จากการทำมรณสติ ค่อยๆ ชักจูงให้เขาปล่อยวางสิ่งต่างๆ จากสิ่งที่หยาบอย่างทรัพย์สินไปสู่สิ่งที่ละเอียดอย่างตัวตน ในทางพุทธแล้วถือว่าการตายเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่แก่การค่อยๆ ลอกสิ่งที่จิตปรุงแต่งไว้ตลอดชีวิต ให้เหลือแต่จิตแท้ที่บริสุทธิ์ หรือพุทธภาวะที่จะไม่ยึดอยู่กับสิ่งใดอีกเลย

การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการสงบใจ : พึงระลึกว่าการรับรู้และอารมณ์ของผู้ป่วยนั้นเปราะบาง และละเอียดอ่อนมาก เราควรให้เขาได้อยู่ในที่ที่เขารู้สึกสงบ และอบอุ่นใจ ญาติมิตรควรหลีกเลี่ยงการแสดงความเศร้าโศก สลดหดหู่ หรือการโต้เถียงวิวาท

ทุกวันนี้คนเรามักตายที่โรงพยาบาลมากกว่า ที่บ้าน เราควรพูดทำความเข้าใจกับแพทย์พยาบาล ให้งดการตรวจ เจาะ หรือการรักษาใดๆ ที่ไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตามพระไพศาล ขยายความในประเด็นสุดท้ายว่าการโน้มน้าวให้จิตผู้ป่วยสงบนั้น ทำได้ทุกที่ทุกเวลา แม้เขาจะอยู่ในขั้นโคม่า หรือในห้องไอซียู การสัมผัสมือหรือร่างกายเขาเบาๆ สวดมนต์ให้เขาฟังล้วนมีผลต่อจิตใจของเขา แม้ว่าร่างกายของเขาดูจะไม่ตอบสนองรับรู้

เช่นมีคนไข้รายหนึ่งนอนหมดสติอยู่ในห้องไอซียูเป็นอาทิตย์ ภายหลังเขาเล่าว่า หลายครั้งเขารู้สึกเคว้งคว้างเหมือนใจจะหลุดลอยไป แต่แล้วก็มีมือมาแตะที่ตัวเขาพร้อมกับพลังบางอย่าง ใจที่เคว้ง เหมือนจะขาดก้กลับมาใหม่ และเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ในที่สุดเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาทั้งๆ ที่แพทย์บอกว่าโอกาสรอดน้อยมาก เขาจึงรู้ว่ามีพยาบาลคนหนึ่งที่ทุกเช้าเมื่อขึ้นเวร จะมาจับมือเขาแล้วแผ่เมตตาให้กำลังใจแก่เขา

พระไพศาล ฝากไว้ว่า "แม้สัญญาณชีพหมดแล้วก็ควรรักษาบรรยากาศที่สงบนั้นต่อไป อย่างเพิ่งเข้าไปมะรุมมะตุ้ม หรือร้องไห้กอดรัด จิตอาจกำลังอยู่ในช่วงละร่าง อาจจะตระหนกตกใจ เราอาจช่วยตีระฆัง หรือสวดมนต์ส่งจิต บอกเขาว่าไปแล้วนะ ขอให้ไปในที่ที่ดี"

เราทุกคนย่อมปรารถนาการตายอย่างสงบ หากระลึกได้ว่าความตายติดตามเราอยู่ทุกนาที เราย่อมมีชีวิตโดยไม่ประมาท และรู้ตัวดีว่า ยังมีการบ้านอีกมากที่ต้องทำ และต้องลงมือทำอย่างไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับความตายทั้งของตนเองและคนใกล้ตัว

"เรากลัวความตายเพราะว่ากลัวตัวตนจะดับสูญ ความตายมารื้อถอนมันทิ้งทั้งๆ ที่มันพยายามจะเป็นอมตะ ยิ่งตัวตนใหญ่โตเท่าไร ยิ่งกลัวตายเท่านั้น" โดย พระไพศาล วิลาโล

"ทุกค่ำคืนก่อนเข้านอน ฉันจะเก็บล้างถ้วยชาที่ได้ใช้ดื่มกินมาตลอดวัน เผื่อว่าหากฉันหลับและไม่ตื่นขึ้นมาอีก เมื่อรุ่งเช้ามาถึงจะได้ไม่ต้องมีใครมาเก็บล้างภาระที่ฉันคั่งค้างไว้" โดยลามะ นิกายนิงมาปะ

"ความดับไม่เหลือมีวิธีปฏิบัติเป็นสองชนิด คือตามปกติขอให้มีความดับไม่เหลือแห่งความรู้สึกยึดถือ "ตัวกู" หรือ "ของกู" อยู่ เป็นประจำ อีกอย่างหมายถึงเมื่อร่างกายจะต้องแตกดับไปจริงๆ ขอให้ปล่อยทั้งหมดรวมทั้งร่างกาย ชีวิต จิตใจ ให้ดับครั้งสุดท้าย ไม่มีเชื้ออะไรเหลืออยู่ หวังอยู่ สำหรับการเกิดมีตัวเราขึ้นมาอีก" โดย พุทธทาสภิกขุ

"ไม่มีวิธีใดอีกแล้วที่จะเร่งให้คุณเติบโตเยี่ยงมนุษย์ได้ดีไปกว่าการช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย การดูแลเอาใจใส่ผู้ใกล้ตายแท้ที่จริงก็คือ การเพ่งพินิจความตายของตัวคุณเองอย่างลึกซึ้ง" โดย โซเกียล รินโปเช

… อนิจจังชีวิตคนเรา อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ วันนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่พรุ่งนี้อาจตายก็ได้ ดังนั้นในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ สร้างบุญกุศลให้มากๆ กตัญญูรู้คุณกับผู้มีพระคุณ และจงบอกรักหรือถนอมความรักที่คุณมีให้กับคนรอบข้าง หรือคนที่รักคุณให้มากๆ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน … วันนี้ยังหายใจ แต่พรุ่งนี้ชีวิตคุณอาจสิ้นก็เป็นได้

ข้อมูลจาก - intania82.com

Image

หนังสือเหมาะแก่การพิจารณาความตาย
คู่มือมนุษย์ : พุทธทาสภิกขุ

เพ่งพินิจเรื่องชีวิตและความตาย : โซเกียล รินโปเช เขียน ; พจนา จันทรสันติ แปล

เหนือห้วงมหรรณพ : โซเกียล รินโปเช เขียน ; พระไพศาล วิสาโล แปล

มรณกรรมที่งดงาม : สุชีลา แบล็คแมน รวบรวมและเรียบเรียง ; ธารา รินศานต์ แปล

เราตายอย่างไร : เชอร์วิน บี นูแลนด์ เขียน ; วเนช แปล

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby Jseventh » Tue Sep 07, 2010 8:42 am

ขออภัย กดโพสต์ซ้ำค่ะ

ขอแก้ไขโดยนำความเห็นของสมาชิกท่านหนึ่งมาโพสต์แทนที่ (คุณ คนไทยคนหนึ่ง)
ดิฉันเห็นว่า เป็นข้อความที่ดี ให้สติ ให้ข้อคิดค่ะ

Re: มรณานุสติ : เรียนรู้ความตายอย่างมีสติ

Postby คนไทยคนหนึ่ง » Fri Jun 19, 2009 2:44 pm
มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดา
ของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด ความ
ตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ
ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์
อะไร ? ปัญหาข้อนี้ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดา
จริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึงตนเองหรือญาติ
คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตายมาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายาม
ทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใคร
จะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือ
ธรรมดาไม่มีทางทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดา
เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น

แม้แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติ กรรมฐาน คือนึกถึงความตาย
เป็นอารมณ์ วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวัน
ละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้ง พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก การนึกถึงความตายเป็นปกติเป็น
ของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย
เพราะผู้ที่คิดถึงความตายรู้ตัวว่าจะตายแล้ว ย่อมไม่สั่งสมความชั่ว
ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตายจะได้แสวงหาความดีใส่ตัว
คอยปลีกตัวออกจากความชั่วและมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว
เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่

ตัดทอนบางส่วนมาจาก
รวมคำสอนของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน มรณานุสติกรรมฐาน
http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=268
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby god_of_rah » Tue Sep 07, 2010 9:00 am

ก็ทำในสิ่งที่อยากทำน่ะไม่เห็นจะยากเลย
User avatar
god_of_rah
Moderator
 
Posts: 3101
Joined: Tue Jan 26, 2010 8:55 am

Re: ถ้าคุณเหลือเวลามีชีวิตเพีบงวันเดียว คุณจะทำอะำไร

Postby dahlia » Tue Sep 07, 2010 10:29 am

พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง - กราบลา และขอโทษที่ยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณให้สมกับที่เลี้ยงดูมา
แฟน - ให้หาคนที่ดีมาเป็นสามี และจงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป
เพื่อน - ขอให้เพื่อนๆ จงมีความสุขประสบความสำเร็จในชีวิต
ครู อาจารย์ - ขอบคุณที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้หาเลี้ยงชีพ

จากนั้นก็จะขอนอนตายอย่างสงบ
ผมเป็นแฟนคลับ แคนไท , ริดกุน , nontee , eAT , Moon , tonythebest , -3- , amplepoor , เด็กปากดี
User avatar
dahlia
 
Posts: 1375
Joined: Mon Oct 12, 2009 2:35 pm


Return to ห้องพัก