Page 1 of 3

เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 12:51 pm
by กรกช
คุณเชื่อเรื่องนี้ไหม ?

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 12:53 pm
by overtherainbow
สังสารวัฏ
เชื่อค่ะ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 1:01 pm
by วิชญ์
เชื่อ

แต่ไอ้แม้วและพรรคพวกมันคงไม่เชื่อ ไม่อย่างนั้นคงไม่สร้างทางไปนรกด้วยมือตัวเองหรอก :lol: :lol:

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 1:22 pm
by Bookmarks
ไม่เชื่อครับ เรื่องบาปกรรมก็ไม่เชื่อ เพราะยังไม่เห็นไอ้แม้วมันติดคุก

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 1:49 pm
by อาวุโสโอเค
เชื่อครับ แต่ถ้าต้องตกนรกเพราะทำบาปกับพวกล้มเจ้าก็ยินดีครับ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 1:50 pm
by สุดที่รัก
ไม่เชื่อครับ เหลวไหล

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 8:42 pm
by กรกช
ทำไมคนเราเกิดมาแตกต่างกัน ?
ยาก ดี มี จน หน้าตาดี ขี้เหร่ และที่สำคัญก็คือ

ทำไมบางคนเกิดมาพิการ ?

และจากกรณีที่เกิดมาพิการนี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ในทางวิทยาศาสตร์สามารถหาคำตอบได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ หรือจากการใช้ยาผิดของแม่ ฯลฯ

แต่ในส่วนของเด็กที่เกิดมา จะว่าบังเอิญก็รู้สึกว่า โลกเราโหดร้ายเกินไป
เพราะเด็กเขายังไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่ก็เกิดมาเป็นแบบนั้นซะแล้ว อย่างนี้ความยุติธรรมก็ไม่มีในโลกสิ

ผมเองเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม และเชื่อชนิด 100 % ไม่ใช่อยู่ๆแล้วเชื่อ แต่มีเหตุที่ทำให้เชื่อ
ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัว ทั้งจากคนรอบข้าง จากการสังเกตุ จากองค์ประกอบต่างๆ
และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมก็คือ

ศาสนาพุทธ

เมื่อผมเชื่อกฎแห่งกรรม ผมจึงไม่เชื่อว่า การที่เด็กเกิดมาพิการ มีเหตุผลรองรับแค่ทางวิทยาศาสตร์ และเป็นแค่เรื่องของความโชคร้ายของเด็ก

ปล.ว่างๆจะมาต่อครับ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 9:05 pm
by พิฆาตอสูร
เมื่อก่อนเชื่อ...

ตอนนี้...

ไม่ค่อยเชื่อแล้ว

จากกรณี แดงป่วนเมือง และ เผาไทยครองประเทศ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 9:24 pm
by google
สสารไม่หายไปไหน...อยู่บนโลกนี่แหละ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 9:36 pm
by kanok
เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม....เคยทำงูเขียวตายไปตัวนึงด้วย แง้ :cry:

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 9:41 pm
by ไร้สีไร้กลิ่น
เชื่อครับ ถึงบางคนจะทำชั่วและได้เสวยสุขจากความชั่วนั้นไปตลอดชีวิตแต่ก็สุขได้ไม่กี่ปี สุดท้ายก็ต้องใช้กรรมในนรกเป็นร้อยเป็นพันปี เพราะเวลาในนรกมากกว่าบนโลกมนุษย์มากครับ
ทำดีไว้เถอะครับ ไม่ได้รวยก็มีความสุขได้ ความสุขอยู่ที่ใจไม่ใช่วัตถุครับ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Wed Aug 17, 2011 10:39 pm
by เหมี๋ยวมหาภัย
เชื่อคะ เรื่องกฏแห่งกรรม แต่ส่วนกรรมจะมาช้ามาเร็วขึ้นอยู่กับบุญเก่าด้วย อย่างทรราช ตักขี้ โดนแน่นอนแต่จะมาช้าเร็วขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาทำ ตอนนี้บุญเก่าอาจจะยังมีอยู่แต่อย่าลืม คุณใช้มันมันก็หมดไป รอวันพิพากษาได้เลย .... พระท่านว่า ผู้ใดไม่เชื่อเรื่องบาปกรรม ประตูนรก เปิดรับแล้ว แต่อย่าไปใส่ใจอะไรกับเรื่องกรรมของตักขี้มากเลยคะ ทำสิ่งดีเป็นคนดี บาปกรรมมีจริงหรือไม่ แต่เราทำดีแล้วสบายใจเป็นพอคะ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 12:41 am
by promotion
เชื่อครับ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 7:55 am
by สุดที่รัก
กฏแห่งกรรม เป็นกฏที่ว่าด้วยเรื่องของธรรมชาติ
ซึ้งนั้นก็คือ กฏด้วยเหตุและผล ไม่ใช่งมงาย เวียนว่ายตายเกิด

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 8:02 am
by little bee
ขออนุญาตอ้างคำของท่าน Carl Jung บิดาของวิชาจิตใต้สำนึกนะครับ
มีคนถามท่านว่าท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าหรือไม่

ท่านตอบว่า "ผมไม่เชื่อ


ผมรู้"


ดังนั้นผมขอตอบว่าไม่เชื่อ แต่ผมรู้ว่าจริง

เพราะการเวียนว่ายตายเกิดเป็น 1 ในกฎธรรมชาติ
คงเป็นเรื่องเปลืองเปล่ามหาศาล ถ้ามนุษย์แค่ป๊อปอัพขึ้นมา 1 ชีวิต แล้วอยู่จนตาย โดยสูญสลายไปเสียเฉยๆ
ผมว่ามันดูด้วนๆไม่มีเหตุมีผลชอบกล

และเมื่อผมรู้ว่าวงจรชีวิตมีจริง ผมจึงรู้ว่ากฎแห่งกรรมมีจริง

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 11:02 am
by thailand_nakhon
คนพวกนี้หละ เชื่อเรื่องแบบนี้ป่าวนิ
เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดกับนายกคนปัจจุบันป่าว
Image

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 12:48 pm
by google
กฎแห่งกรรม
เชื่อว่ามี ในกรณีที่ว่า
ถ้าคุณกินนมบูด ผลกรรมที่คุณจะได้รับคือ คุณท้องเสีย

แต่ไม่เชื่อว่ามีในกรณีที่ว่า
แม่ค้าทุบหัวปลา ผลกรรมที่ได้รับคือ ปวดหัวอย่างหนัก
หรือ
ทำบุญชาตินี้เยอะๆชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเกิดมาลำบาก


ส่วนการเวียนว่ายตายเกิด
เชื่อในเรื่องของสสาร
คนเราตายธาตุในร่างกายอาจจะไปอยู่ในอะไรก็ได้
เช่นอยู่ในต้นไม้ อยู่ในนก อยู่ในกระสอบปุ๋ย ไม่มีใครรู้
แต่ที่แน่ๆไม่หายไปจากโลก เว้นแต่จะไปอยู่ในพวกขยะอวกาศ

ในความคิดผมพวกกฎแห่งกรรม ชาตินี้ชาติหน้า ที่มันน่ากลัวๆ
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นกุศโลบายให้คนไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเท่านั้นเอง

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 1:12 pm
by กรกช
กฎแห่งกรรมคือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ

ตรงนี้ผมคิดว่าทุกท่านคงเข้าใจเหมือนกัน

เราออกกำลังกาย เราก็เหนื่อย
เราอดนอน เราก็ง่วงนอน
เรากินมาก เราก็อิ่มมาก ฯลฯ

ตัวอย่างกฎของธรรมชาติตรงนี้เราเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเรา เรารับรู้ สัมผัสได้

แต่ถ้าเป็นเรื่องของการทำดี ทำชั่วล่ะ จะได้รับผลกรรมของการกระทำนั้นๆไหม ?
ตรงนี้มีทั้งคนที่เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง กับ ไม่เชื่อ

ที่จริงถ้าเราเชื่อกฎของธรรมชาติ เราก็ควรต้องเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมทางศาสนา เชื่อเรื่องทำดี ทำชั่ว
เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็เท่ากับขัดแย้งทางความคิดตัวเอง และไม่เป็นการคิดตามหลัก เหตุ ผล ที่ถูกต้อง เพราะ...

มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ
จะทำอะไร ทำสิ่งไหน ย่อมได้รับผลของการกระทำนั้น

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 1:31 pm
by google
กินนมบูดท้องเสีย เราบอกได้ว่าท้องเสียเพราะเชื้อที่อยู่ในนมทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติ
แต่แม่ค้าทุบหัวปลาแล้วปวดหัวหละ อะไรทำให้แม่ค้าคนนั้นปวดหัว

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 3:54 pm
by ter162525
ถ้าระดับพื้นฐานผมจะบอกแบบวิทยศาสตร์แล้วกันครับ แรงกริยา เท่ากับแรงปฏิกริยา เมื่อคุณกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ไปแล้ว มันมีแรงสะท้อนกลับมาเสมอ กรรม คือการกระทำ(กริยา)ผลของกรรมคือผลของการกระทำ(ปฏิกริยา)
อย่างขั้นลึกขึ้นมาหน่อย ที่หลายคนไม่เข้าใจว่า แม่ค้าทุบหัวปลาแล้วแม่ค้าปวดหัว ทำไม แล้วเรื่องนี้ล่ะ
เช่นผมชกคุณ คุณก็อยาก ชกผมกลับ มันเหมือนกัน หลายคนทำครั้งเดียว หลายคนทำเป็นอาจิณ การแสดงผลต่างกัน เจตนาที่ทำก็ต่างกัน ผลก็ต่างกัน การกระทำกับระดับบุคคลก็ต่างกัน ทำกับ สัตว์ไม่มีการจำศีลไม่เท่ากับทำกับสัตว์ มีศีล ทำกับสัตว์มีการจำศีล ไม่เท่ากับทำกับมนุษย์ ไม่มีศีล ไล่ไปเรื่อย ชึ่งเหมือนกับการ ปลูกต้นไม้แต่ล่ะชนิด กัน บ้างคนทำครั้งเดียว ผลอาจจะมาแต่ไม่รู้ตัว บ้างคนทำกับไปตกที่ลูกหรือเมีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยากจะหาคำตอบได้เพราะมันเป็นอจิณไตย รู้ไปบ้าเปล่าๆ

ส่วนคนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็คงต้องปล่อยไปเท่านั้น ร่างกาย มันก็เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟ เมื่อมันสลายมันก็เป็นไปตามรูปของมัน แต่จิตใจเท่านั้นที่เวียนว่ายตายเกิดเข้าภาชนะนั้นออกภาชนะนี้อยู่ตลอตไป ส่วนภาชนะ ก็ถูกจัดสันไว้ตามแต่กรรมของคนนั้น
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทของกรรม

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 4:33 pm
by google
ter162525 wrote:ถ้าระดับพื้นฐานผมจะบอกแบบวิทยศาสตร์แล้วกันครับ แรงกริยา เท่ากับแรงปฏิกริยา เมื่อคุณกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ไปแล้ว มันมีแรงสะท้อนกลับมาเสมอ กรรม คือการกระทำ(กริยา)ผลของกรรมคือผลของการกระทำ(ปฏิกริยา)
อย่างขั้นลึกขึ้นมาหน่อย ที่หลายคนไม่เข้าใจว่า แม่ค้าทุบหัวปลาแล้วแม่ค้าปวดหัว ทำไม แล้วเรื่องนี้ล่ะ
เช่นผมชกคุณ คุณก็อยาก ชกผมกลับ มันเหมือนกัน หลายคนทำครั้งเดียว หลายคนทำเป็นอาจิณ การแสดงผลต่างกัน เจตนาที่ทำก็ต่างกัน ผลก็ต่างกัน การกระทำกับระดับบุคคลก็ต่างกัน ทำกับ สัตว์ไม่มีการจำศีลไม่เท่ากับทำกับสัตว์ มีศีล ทำกับสัตว์มีการจำศีล ไม่เท่ากับทำกับมนุษย์ ไม่มีศีล ไล่ไปเรื่อย ชึ่งเหมือนกับการ ปลูกต้นไม้แต่ล่ะชนิด กัน บ้างคนทำครั้งเดียว ผลอาจจะมาแต่ไม่รู้ตัว บ้างคนทำกับไปตกที่ลูกหรือเมีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยากจะหาคำตอบได้เพราะมันเป็นอจิณไตย รู้ไปบ้าเปล่าๆ

ส่วนคนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็คงต้องปล่อยไปเท่านั้น ร่างกาย มันก็เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟ เมื่อมันสลายมันก็เป็นไปตามรูปของมัน แต่จิตใจเท่านั้นที่เวียนว่ายตายเกิดเข้าภาชนะนั้นออกภาชนะนี้อยู่ตลอตไป ส่วนภาชนะ ก็ถูกจัดสันไว้ตามแต่กรรมของคนนั้น
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทของกรรม


ผมไม่ค่อยเคร่งเรื่องศาสนาเท่าไหร่ ยึดหลักแค่ว่าทำอะไรไม่ให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ

ถ้าบอกว่าสัตว์จำศีลดีกว่าสัตว์ไม่จำศีลมันก็แปลกๆ
การกระทำของสัตว์เกิดจากสัญชาติญาณการเอาตัวรอด รู้ว่าถ้าอยู่ก็จะหาอะไรกินไ่ม่ได้
ต้องอดตายจึงเกิดกลไกการจำศีลขึ้นมา ไม่ใช่เพราะไม่อยากล่าจึงจำศีล

คำถามคืออะไรเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้แม่ค้าคนนั้นปวดหัว...จิตของปลาหรือ??
ถ้าอย่างนั้นชาวประมงไม่แย่กว่าแม่ค้าหรือครับจับปลาเป็นตันๆ จิตอาฆาตมากมาย

ที่สุดแล้ว อจิณไตย เป็นคำตอบที่ดี ตัดบทให้จบๆไปเอาเวลาไปคิดอย่างอื่นจะดีกว่า

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 4:43 pm
by ตะนิ่นตาญี
หาก กรรม คือการกระทำ กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ

ตะนิ่นตาญี ไม่แน่ใจว่า เจ้าของกระทู้ ต้องการสื่อถึงเรื่องราวใด

ไยจึงจั่วหัวออกมาถึง เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด (Reborn)

โดยโยงไปถึง กฎแห่งกรรม หรือ กฎแห่งการกระทำ

อาจเป็นเพราะ เห็นว่า-เชื่อว่า การกระทำ ของมนุษย์เราทั้งปวงนั้น

มีผลกระทบอันเป็น อนันต์ ก่อให้เกิด ปฏิกิริยาลูกโซ่ ตามมา ภายหลัง

คำว่า ภายหลัง ของ ตะนิ่นตาญี นี้หมายถึง เวลาและระยะทางแห่งเวลา

อันอาจก่อกำเนิดเป็น อสงไขย จึงไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ ตามที่กล่าวมานั้น

เป็นเหตุอันก่อให้เกิด ปัจจุบัน เป็นผลมาจากการกระทำของตนเองหรือไม่

ดังนั้นหลายคนจึงปฏิเสธในความเชื่อดังกล่าว ...

หากเราตั้งสมมุติฐานบนความเชื่อและศรัทธาใน กฎแห่งกรรม

พร้อมทั้งหันกลับมาดู พระธรรมคำสั่งสอน รวมทั้งวินัย ในทางศาสนา

ตะนิ่นตาญี ให้สงสัยก่อเกิดเป็น ตรรกะซ้อนตรรกะ ...

ก็ในเมื่อเราทราบดีอยู่แล้วว่า กฎแห่งกรรม นั้น ก่อให้เกิดผลในปัจจุบันแล้ว

ไยจึงต้องกระทำ เหตุใดจึงไม่ละเว้นเสียในการกระทำอันอาจก่อให้เกิดผลอันอาจก่อให้เกิดผลอันมิพึงประสงค์

หลายคนอาจว่าได้ “เฮ้ย...ละเว้นในการกระทำก็ก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายได้นะ”

ตะนิ่นตาญี คงต้องร้องขอผู้มีความคิดเช่นนี้ให้อ่าน ข้อคิด-ความเห็น นี้อย่างละเอียดอีกสักที

เพราะที่ ตะนิ่นตาญี พูดถึงนั้นคือการละเว้นตามข้อกำหนดของศาสนา...โลกุตระ ไม่ใช่ โลกีย์

พิจารณาให้ดีกันอีกสักครั้ง ศีล ๒๒๗ ข้อที่ พระพุทธองค์ กำหนดมาเป็นเงื่อนไขนั้น

มีข้อไหนบ้างที่ ให้ กระทำ ไม่น่าจะมี ตะนิ่นตาญี เชื่อเช่นนั้น ไม่ว่าให้กระทำดี หรือกระทำชั่วและหาก ศีล ๒๒๗ ข้อ

นั้นคือ การให้ไม่กระทำ ตามที่ ตะนิ่นตาญี คิด...นั่นก็คือ

เมื่อไม่กระทำแล้ว ผลแห่งการไม่กระทำก็ย่อมจะไม่เกิด ก่อกำเนิดเป็น สภาวะแห่งความว่างเปล่า

ด้วยความ ว่างเปล่านี้เอง จะทำให้สิ่งที่เรียกกันว่า นิพพาน นั้นเกิดขึ้นมาจริงหรือไม่ ตะนิ่นตาญี ไม่อาจบอกได้

แต่หาก นิพพาน นั้นมีจริง การเวียนว่ายตายเกิด ก็จะหยุดลง ใช่หรือไม่ จริงหรือไม่?

ตะนิ่นตาญี ไม่อาจตอบได้ เพราะเป็น คน ที่มีน้อยด้อยแล้วซึ่งปัญญา คิดมากไปจะเป็น อจิณไตย เสียเปล่า


ตะนิ่นตาญี

วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

เวลา ๑๖.๔๓ นาฬิกา

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 4:56 pm
by ter162525
google wrote:
ter162525 wrote:ถ้าระดับพื้นฐานผมจะบอกแบบวิทยศาสตร์แล้วกันครับ แรงกริยา เท่ากับแรงปฏิกริยา เมื่อคุณกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ไปแล้ว มันมีแรงสะท้อนกลับมาเสมอ กรรม คือการกระทำ(กริยา)ผลของกรรมคือผลของการกระทำ(ปฏิกริยา)
อย่างขั้นลึกขึ้นมาหน่อย ที่หลายคนไม่เข้าใจว่า แม่ค้าทุบหัวปลาแล้วแม่ค้าปวดหัว ทำไม แล้วเรื่องนี้ล่ะ
เช่นผมชกคุณ คุณก็อยาก ชกผมกลับ มันเหมือนกัน หลายคนทำครั้งเดียว หลายคนทำเป็นอาจิณ การแสดงผลต่างกัน เจตนาที่ทำก็ต่างกัน ผลก็ต่างกัน การกระทำกับระดับบุคคลก็ต่างกัน ทำกับ สัตว์ไม่มีการจำศีลไม่เท่ากับทำกับสัตว์ มีศีล ทำกับสัตว์มีการจำศีล ไม่เท่ากับทำกับมนุษย์ ไม่มีศีล ไล่ไปเรื่อย ชึ่งเหมือนกับการ ปลูกต้นไม้แต่ล่ะชนิด กัน บ้างคนทำครั้งเดียว ผลอาจจะมาแต่ไม่รู้ตัว บ้างคนทำกับไปตกที่ลูกหรือเมีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยากจะหาคำตอบได้เพราะมันเป็นอจิณไตย รู้ไปบ้าเปล่าๆ

ส่วนคนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็คงต้องปล่อยไปเท่านั้น ร่างกาย มันก็เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟ เมื่อมันสลายมันก็เป็นไปตามรูปของมัน แต่จิตใจเท่านั้นที่เวียนว่ายตายเกิดเข้าภาชนะนั้นออกภาชนะนี้อยู่ตลอตไป ส่วนภาชนะ ก็ถูกจัดสันไว้ตามแต่กรรมของคนนั้น
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทของกรรม


ผมไม่ค่อยเคร่งเรื่องศาสนาเท่าไหร่ ยึดหลักแค่ว่าทำอะไรไม่ให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ

ถ้าบอกว่าสัตว์จำศีลดีกว่าสัตว์ไม่จำศีลมันก็แปลกๆ
การกระทำของสัตว์เกิดจากสัญชาติญาณการเอาตัวรอด รู้ว่าถ้าอยู่ก็จะหาอะไรกินไ่ม่ได้
ต้องอดตายจึงเกิดกลไกการจำศีลขึ้นมา ไม่ใช่เพราะไม่อยากล่าจึงจำศีล

คำถามคืออะไรเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้แม่ค้าคนนั้นปวดหัว...จิตของปลาหรือ??
ถ้าอย่างนั้นชาวประมงไม่แย่กว่าแม่ค้าหรือครับจับปลาเป็นตันๆ จิตอาฆาตมากมาย

ที่สุดแล้ว อจิณไตย เป็นคำตอบที่ดี ตัดบทให้จบๆไปเอาเวลาไปคิดอย่างอื่นจะดีกว่า


สัตว์ จำศีล บ้างครั้งไม่ใช่กลไกนะครับ เหมือนมนุษย์นั้นล่ะ บ้างครั้งคนเราก็ถือศีล ในเวลา
ที่ ต่างกันไม่ใช่ว่าต้องอยู่ให้ศีล ตลอดเวลา เมื่อสัตว์เกิดการจำศีล นั้นคือช่วงที่เขาไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น ทำไมกบบางตัวต้องออกมาเฉพาะหน้าฝน บ้างตัวออกมาจะผอมเหมือนไม่ได้กินอะไร เลย อาหารไม่มีไม่ใช่นะ คางคกยังอ้วนอยู่กินอาหารอย่างเดียวกันช่วงเวลาเหมือนกัน

ส่วนเรื่อง แม่ค้า นั้น กับ ชาวประมง มันต่างกันตรงวิธี การ นะครับ วิธีการชาวปะมง จะนำปลามาใส่น้ำเย็นจน ปลาซ็อก เหมือนคนซ็อก ตายบ้างที่ยังไม่รุ้เลยว่าตายแล้ว แต่ แม่ค้าทุบหัวนะ มันไม่ได้ตายสนิท เมื่อเจ็บ จิตทุกคนจะเกิดโทสะ อยู่แล้ว มันเลยเป็นที่มา เหมือนคนที่ ตายโหงโดยอุบัติเหตุที่คนอื่นกระทำ บ้างที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตาย แต่คนที่ถูกฆ่าตายรู้ว่าถูกเขาฆ่าตายจิตมันจองเวรต่างกัน
พระพุทธองค์ท่าน กล่าวว่า บุคคลทำกรรมใด ยอมได้รับผลของกรรมนั้น ไม่ใช่กรรมนั้น ชาวประมงก็ได้รับแต่ไม่ใช่ในลักษณะจองเวรกัน

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 4:57 pm
by cabala
พิฆาตอสูร wrote:เมื่อก่อนเชื่อ...

ตอนนี้...

ไม่ค่อยเชื่อแล้ว

จากกรณี แดงป่วนเมือง และ เผาไทยครองประเทศ


ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเขา อีกหน่อยพอท่านไม่พอใจอะไร ท่านก็จะทำเหมือนกับที่พวกเขาทำ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 5:15 pm
by ter162525
ตะนิ่นตาญี wrote:หาก กรรม คือการกระทำ กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ

ตะนิ่นตาญี ไม่แน่ใจว่า เจ้าของกระทู้ ต้องการสื่อถึงเรื่องราวใด

ไยจึงจั่วหัวออกมาถึง เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด (Reborn)

โดยโยงไปถึง กฎแห่งกรรม หรือ กฎแห่งการกระทำ

อาจเป็นเพราะ เห็นว่า-เชื่อว่า การกระทำ ของมนุษย์เราทั้งปวงนั้น

มีผลกระทบอันเป็น อนันต์ ก่อให้เกิด ปฏิกิริยาลูกโซ่ ตามมา ภายหลัง

คำว่า ภายหลัง ของ ตะนิ่นตาญี นี้หมายถึง เวลาและระยะทางแห่งเวลา

อันอาจก่อกำเนิดเป็น อสงไขย จึงไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ ตามที่กล่าวมานั้น

เป็นเหตุอันก่อให้เกิด ปัจจุบัน เป็นผลมาจากการกระทำของตนเองหรือไม่

ดังนั้นหลายคนจึงปฏิเสธในความเชื่อดังกล่าว ...

หากเราตั้งสมมุติฐานบนความเชื่อและศรัทธาใน กฎแห่งกรรม

พร้อมทั้งหันกลับมาดู พระธรรมคำสั่งสอน รวมทั้งวินัย ในทางศาสนา

ตะนิ่นตาญี ให้สงสัยก่อเกิดเป็น ตรรกะซ้อนตรรกะ ...

ก็ในเมื่อเราทราบดีอยู่แล้วว่า กฎแห่งกรรม นั้น ก่อให้เกิดผลในปัจจุบันแล้ว

ไยจึงต้องกระทำ เหตุใดจึงไม่ละเว้นเสียในการกระทำอันอาจก่อให้เกิดผลอันอาจก่อให้เกิดผลอันมิพึงประสงค์

หลายคนอาจว่าได้ “เฮ้ย...ละเว้นในการกระทำก็ก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายได้นะ”

ตะนิ่นตาญี คงต้องร้องขอผู้มีความคิดเช่นนี้ให้อ่าน ข้อคิด-ความเห็น นี้อย่างละเอียดอีกสักที

เพราะที่ ตะนิ่นตาญี พูดถึงนั้นคือการละเว้นตามข้อกำหนดของศาสนา...โลกุตระ ไม่ใช่ โลกีย์

พิจารณาให้ดีกันอีกสักครั้ง ศีล ๒๒๗ ข้อที่ พระพุทธองค์ กำหนดมาเป็นเงื่อนไขนั้น

มีข้อไหนบ้างที่ ให้ กระทำ ไม่น่าจะมี ตะนิ่นตาญี เชื่อเช่นนั้น ไม่ว่าให้กระทำดี หรือกระทำชั่วและหาก ศีล ๒๒๗ ข้อ

นั้นคือ การให้ไม่กระทำ ตามที่ ตะนิ่นตาญี คิด...นั่นก็คือ

เมื่อไม่กระทำแล้ว ผลแห่งการไม่กระทำก็ย่อมจะไม่เกิด ก่อกำเนิดเป็น สภาวะแห่งความว่างเปล่า

ด้วยความ ว่างเปล่านี้เอง จะทำให้สิ่งที่เรียกกันว่า นิพพาน นั้นเกิดขึ้นมาจริงหรือไม่ ตะนิ่นตาญี ไม่อาจบอกได้

แต่หาก นิพพาน นั้นมีจริง การเวียนว่ายตายเกิด ก็จะหยุดลง ใช่หรือไม่ จริงหรือไม่?

ตะนิ่นตาญี ไม่อาจตอบได้ เพราะเป็น คน ที่มีน้อยด้อยแล้วซึ่งปัญญา คิดมากไปจะเป็น อจิณไตย เสียเปล่า


ตะนิ่นตาญี

วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

เวลา ๑๖.๔๓ นาฬิกา


ไม่เชิงครับ คุณ ตะนิ่นตาญี บุคคลที่ไม่กระทำกรรมใดนั้น เรียกกรรมชั่วไม่มีกรรมดีไม่ปรากฏ น่าสงสารที่สุด ครับ เพราะบุคคล ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด เมื่อไม่มีตัวที่จะพาไปเกิดก็ยังคงอยู่ในลักษณะนั้น เช่น ทำไมเขาบอกว่าคนที่ตายโหง ถึงอยู่ตรงที่ตาย เพราะจิตสุดท้ายเขาไม่มี ไม่มีกรรมที่พาไปเกิด เลยต้องอยู่จนครบอายุขัย คือให้อันเก่าผ่านไปก่อนเหมือนคนต่อแถวนั้งเก้าอี้ แต่บ้างครั้งคนไหนมีอำนาจมากกว่าก็มีโอกาสแซงแถวได้ แต่คนที่ไม่มีคนต่อเก้าอี้ว่างเลยไม่รู้จะไปไหนจนกว่าจะเกิดกรรมที่จะพาเขาไปได้(ลักษณะจิตยังยึดติดเก้าอี้อยู่) แต่การไปพระนิพพาน ต่างกัน คือ จิตไม่ได้ยึดติดอะไร เมื่อจิตไม่ยึดก็เหมือนเราไม่สนใจเก้าอี้นั้นอีก แต่คนที่รอทุกคนก็จะรีบแสดงผล เหมือนถ้าเรามีเจ้าหนี้ เราบอกว่าจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศไม่กลับไทย ผมรับรองได้ว่าแห่กันมาหมดแน่ๆ เมื่อหมดอัตภาพเก่าอัตภาพใหม่ไม่มี มันก็ว่าง จิตก็หลุดออกจากเก้าอี้แล้ว นั้นล่ะนิพพาน

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 5:19 pm
by นู๋พู่กัน
ไม่เชื่อจ้า พอดีพู่กันเป็นคริสเตียนอ่ะค่ะ :P

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 5:34 pm
by ter162525
นู๋พู่กัน wrote:ไม่เชื่อจ้า พอดีพู่กันเป็นคริสเตียนอ่ะค่ะ :P


ผมสงสัย นะ อย่างอดัม กับ อีฟ และ ความเชื่อสูงสุดของศาสนาคริสต์ คือการกลับไปอยู่กลับพระเจ้าใช่ไหมครับ
แล้วถ้าพระเจ้าไม่พอใจอีก ล่ะ ไม่ส่งมาเกิดอีกหรือ อย่างนี้ พุทธก็เรียกเวียนว่ายตายเกิด ถึงคริสต์จะเรียกว่าพระประสงค์ของพระเจ้า ของพุทธเรียกกรรม เหมือนที่คริสต์สอนให้ทำความดีเพื่อพระเจ้าจะได้ทรงช่วยเหลือ แต่พุทธสอนให้ทำความดีเพื่อให้เกิดสุข ความดีคุ้มครอง แต่เรามองต่างกันแค่นั้นล่ะครับ
แต่พุทธจะสอนลึกเข้าไปอีก ถึงเรื่องการหลุดพ้น ถ้าเปรียบเทียบกับคริสต์ก็เหมือนการที่ไม่ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า ของพุทธก็คือการหลุดพ้นกรรม ดังนั้นการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นจริงนะ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 6:13 pm
by Gop

ผมเห็นด้วยว่าการคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย อีกเรื่องที่อยากฝากให้คิดคือ การตอบคำถามแต่ละอย่างให้ได้ ว่าสิ่งไดเป็นอย่างไร สิ่งไดมีหรือไม่มี มันอยู่ที่ระดับของ "ป้ญญา" ของแต่ละคนด้วย บางทีเราตกหลุมคำถามของตัวเอง ว่ามีหรือไม่มี เป็นอย่างนั้นหรือไม่ แล้วครุ่นคิดไม่จบไม่สิ้นโดยที่ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย ผมเองไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้ง การปฏิบัติก็ไม่ค่อยได้ทำ ดังนั้นเมื่อเจอกับคำถามนี้ ผมจะเก็บเอาไว้ในหมวด "ยังไม่พร้อมที่จะตัดสิน" เพราะผมเองไม่เคยได้ธรรมขั้นต่างๆอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ผมจะไม่เชื่อว่าจริง และไม่เชื่อว่าไม่จริง คือปล่อยมันกลางๆเอาไว้ก่อน ถ้าวันหนึ่งเรามีควาสามารถพอ เราจะประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องกรรมเราก็เอาที่เราเห็นได้ชัดก่อน ใครทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็ "เกิด" ความไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็ตามด้วยความ "อยาก" ทำบางอย่าง แล้วก็เกิดผลตามมาเป็นทอดๆต่อไป เอาแบบที่เห็นได้แบบนี้ ผมเชื่อครับ แต่ถ้าแบบทำบุญแบบนี้ ชาติหน้าจะเป็นแบบนั้น ผมไม่ตัดสินว่าจริง หรือไม่จริง สำหรับผม ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดครับ


Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 6:18 pm
by ไร้สีไร้กลิ่น
เพิ่มเติมครับจากวิกิ
อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน
กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม
โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลก[1]

ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

อย่างพระพุทธเจ้า เวลาท่านเห็นเทวดา เห็นเปรต ท่านรู้ว่าเค้าทำอะไรมาจึงได้เป็นแบบนั้น พระอรหันต์เห็นแต่ก็ไม่สามารถบอกที่มาที่ไปได้แบบพระพุทธเจ้า อาจจะใช้การถามว่าไปทำอะไรมาถึงได้เป็นอย่างนั้น ส่วนคนธรรมดาแค่จะเห็นพวกวิญญาณหรือกายทิพย์ยังยาก จึงไม่แปลกที่จะตกอยู่ในความประมาทและคิดว่าเรื่องบาปกรรมไม่มี ยังไงก็ถือว่าชาตินี้โชคดีได้เกิดมาในศาสนาพุทธก็ไม่อยากเสียโอกาส ไม่อยากประมาทครับ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมแต่อย่างน้อยการทำดีไม่ใช่สิ่งเสียหายก็ทำไปเถอะครับ เพียงแค่อย่าไปหวังผลอะไรใหญ่โตว่าจะต้องได้ผลแบบนั้นแบบนี้ไม่งั้นพอผิดหวังจะพลอยหมดกำลังใจในการทำดี บางครั้งผลดีกว่าจะเห็นผลก็อีกหลายภพหลายชาติ อย่างน้อยรักษาศีล 5 ไม่ต้องให้ตกนรกก็ยังดีครับ

Re: เวียนว่ายตายเกิด

PostPosted: Thu Aug 18, 2011 6:36 pm
by ตะนิ่นตาญี
ter162525 wrote:ไม่เชิงครับ คุณ ตะนิ่นตาญี บุคคลที่ไม่กระทำกรรมใดนั้น เรียกกรรมชั่วไม่มีกรรมดีไม่ปรากฏ น่าสงสารที่สุด ครับ เพราะบุคคล ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด เมื่อไม่มีตัวที่จะพาไปเกิดก็ยังคงอยู่ในลักษณะนั้น เช่น ทำไมเขาบอกว่าคนที่ตายโหง ถึงอยู่ตรงที่ตาย เพราะจิตสุดท้ายเขาไม่มี ไม่มีกรรมที่พาไปเกิด เลยต้องอยู่จนครบอายุขัย คือให้อันเก่าผ่านไปก่อนเหมือนคนต่อแถวนั้งเก้าอี้ แต่บ้างครั้งคนไหนมีอำนาจมากกว่าก็มีโอกาสแซงแถวได้ แต่คนที่ไม่มีคนต่อเก้าอี้ว่างเลยไม่รู้จะไปไหนจนกว่าจะเกิดกรรมที่จะพาเขาไปได้(ลักษณะจิตยังยึดติดเก้าอี้อยู่) แต่การไปพระนิพพาน ต่างกัน คือ จิตไม่ได้ยึดติดอะไร เมื่อจิตไม่ยึดก็เหมือนเราไม่สนใจเก้าอี้นั้นอีก แต่คนที่รอทุกคนก็จะรีบแสดงผล เหมือนถ้าเรามีเจ้าหนี้ เราบอกว่าจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศไม่กลับไทย ผมรับรองได้ว่าแห่กันมาหมดแน่ๆ เมื่อหมดอัตภาพเก่าอัตภาพใหม่ไม่มี มันก็ว่าง จิตก็หลุดออกจากเก้าอี้แล้ว นั้นล่ะนิพพาน


ขออนุญาต ตะนิ่นตาญี สงสัยสักนิดหนึ่งเถอะครับ คุณter162525 ตะนิ่นตาญี สงสัยว่า ความดีของทุกคนเหมือนกันหรือไม่?

อย่างไรเรียกว่า ดี อย่างไรเรียกว่า ชั่ว ถ้าความความดีของทุกคนเหมือนกัน เหตุใดจึงไม่กลัวที่จะทำ ชั่ว?

ความดีของ ทักษิณ ความดีของ คนเสื้อแดง แตกต่างจาก เราๆท่านๆ กันหรือไม่?

เหตุใดไม่กลัวที่จะได้รับผลกรรม หรือ ผลแห่งการกระทำชั่วทั้งปวง

หากเราเชื่อกันว่า การเผาบ้าน-เผาเมือง เป็นความชั่ว?

มาถึงตรงนี้ต้องขออนุญาต คุณter162525 ออกตัวสักนิดหนึ่งเถอะครับ

ตะนิ่นตาญี ตั้งข้อสงสัย เพราะสงสัย ไม่ใช่ที่จะหลบหลู่ ความเชื่อใดๆ ของทุกๆท่านที่ปรากฏ ณ กระทู้นี้


ตะนิ่นตาญี

วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

เวลา ๑๘.๓๖ นาฬิกา