ter162525 wrote:ถ้าระดับพื้นฐานผมจะบอกแบบวิทยศาสตร์แล้วกันครับ แรงกริยา เท่ากับแรงปฏิกริยา เมื่อคุณกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ไปแล้ว มันมีแรงสะท้อนกลับมาเสมอ กรรม คือการกระทำ(กริยา)ผลของกรรมคือผลของการกระทำ(ปฏิกริยา)
อย่างขั้นลึกขึ้นมาหน่อย ที่หลายคนไม่เข้าใจว่า แม่ค้าทุบหัวปลาแล้วแม่ค้าปวดหัว ทำไม แล้วเรื่องนี้ล่ะ
เช่นผมชกคุณ คุณก็อยาก ชกผมกลับ มันเหมือนกัน หลายคนทำครั้งเดียว หลายคนทำเป็นอาจิณ การแสดงผลต่างกัน เจตนาที่ทำก็ต่างกัน ผลก็ต่างกัน การกระทำกับระดับบุคคลก็ต่างกัน ทำกับ สัตว์ไม่มีการจำศีลไม่เท่ากับทำกับสัตว์ มีศีล ทำกับสัตว์มีการจำศีล ไม่เท่ากับทำกับมนุษย์ ไม่มีศีล ไล่ไปเรื่อย ชึ่งเหมือนกับการ ปลูกต้นไม้แต่ล่ะชนิด กัน บ้างคนทำครั้งเดียว ผลอาจจะมาแต่ไม่รู้ตัว บ้างคนทำกับไปตกที่ลูกหรือเมีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยากจะหาคำตอบได้เพราะมันเป็นอจิณไตย รู้ไปบ้าเปล่าๆ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็คงต้องปล่อยไปเท่านั้น ร่างกาย มันก็เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟ เมื่อมันสลายมันก็เป็นไปตามรูปของมัน แต่จิตใจเท่านั้นที่เวียนว่ายตายเกิดเข้าภาชนะนั้นออกภาชนะนี้อยู่ตลอตไป ส่วนภาชนะ ก็ถูกจัดสันไว้ตามแต่กรรมของคนนั้น
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทของกรรม
google wrote:ter162525 wrote:ถ้าระดับพื้นฐานผมจะบอกแบบวิทยศาสตร์แล้วกันครับ แรงกริยา เท่ากับแรงปฏิกริยา เมื่อคุณกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด ไปแล้ว มันมีแรงสะท้อนกลับมาเสมอ กรรม คือการกระทำ(กริยา)ผลของกรรมคือผลของการกระทำ(ปฏิกริยา)
อย่างขั้นลึกขึ้นมาหน่อย ที่หลายคนไม่เข้าใจว่า แม่ค้าทุบหัวปลาแล้วแม่ค้าปวดหัว ทำไม แล้วเรื่องนี้ล่ะ
เช่นผมชกคุณ คุณก็อยาก ชกผมกลับ มันเหมือนกัน หลายคนทำครั้งเดียว หลายคนทำเป็นอาจิณ การแสดงผลต่างกัน เจตนาที่ทำก็ต่างกัน ผลก็ต่างกัน การกระทำกับระดับบุคคลก็ต่างกัน ทำกับ สัตว์ไม่มีการจำศีลไม่เท่ากับทำกับสัตว์ มีศีล ทำกับสัตว์มีการจำศีล ไม่เท่ากับทำกับมนุษย์ ไม่มีศีล ไล่ไปเรื่อย ชึ่งเหมือนกับการ ปลูกต้นไม้แต่ล่ะชนิด กัน บ้างคนทำครั้งเดียว ผลอาจจะมาแต่ไม่รู้ตัว บ้างคนทำกับไปตกที่ลูกหรือเมีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยากจะหาคำตอบได้เพราะมันเป็นอจิณไตย รู้ไปบ้าเปล่าๆ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็คงต้องปล่อยไปเท่านั้น ร่างกาย มันก็เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดินน้ำลมไฟ เมื่อมันสลายมันก็เป็นไปตามรูปของมัน แต่จิตใจเท่านั้นที่เวียนว่ายตายเกิดเข้าภาชนะนั้นออกภาชนะนี้อยู่ตลอตไป ส่วนภาชนะ ก็ถูกจัดสันไว้ตามแต่กรรมของคนนั้น
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทของกรรม
ผมไม่ค่อยเคร่งเรื่องศาสนาเท่าไหร่ ยึดหลักแค่ว่าทำอะไรไม่ให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ
ถ้าบอกว่าสัตว์จำศีลดีกว่าสัตว์ไม่จำศีลมันก็แปลกๆ
การกระทำของสัตว์เกิดจากสัญชาติญาณการเอาตัวรอด รู้ว่าถ้าอยู่ก็จะหาอะไรกินไ่ม่ได้
ต้องอดตายจึงเกิดกลไกการจำศีลขึ้นมา ไม่ใช่เพราะไม่อยากล่าจึงจำศีล
คำถามคืออะไรเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้แม่ค้าคนนั้นปวดหัว...จิตของปลาหรือ??
ถ้าอย่างนั้นชาวประมงไม่แย่กว่าแม่ค้าหรือครับจับปลาเป็นตันๆ จิตอาฆาตมากมาย
ที่สุดแล้ว อจิณไตย เป็นคำตอบที่ดี ตัดบทให้จบๆไปเอาเวลาไปคิดอย่างอื่นจะดีกว่า
พิฆาตอสูร wrote:เมื่อก่อนเชื่อ...
ตอนนี้...
ไม่ค่อยเชื่อแล้ว
จากกรณี แดงป่วนเมือง และ เผาไทยครองประเทศ
ตะนิ่นตาญี wrote:หาก กรรม คือการกระทำ กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ
ตะนิ่นตาญี ไม่แน่ใจว่า เจ้าของกระทู้ ต้องการสื่อถึงเรื่องราวใด
ไยจึงจั่วหัวออกมาถึง เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด (Reborn)
โดยโยงไปถึง กฎแห่งกรรม หรือ กฎแห่งการกระทำ
อาจเป็นเพราะ เห็นว่า-เชื่อว่า การกระทำ ของมนุษย์เราทั้งปวงนั้น
มีผลกระทบอันเป็น อนันต์ ก่อให้เกิด ปฏิกิริยาลูกโซ่ ตามมา ภายหลัง
คำว่า ภายหลัง ของ ตะนิ่นตาญี นี้หมายถึง เวลาและระยะทางแห่งเวลา
อันอาจก่อกำเนิดเป็น อสงไขย จึงไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ ตามที่กล่าวมานั้น
เป็นเหตุอันก่อให้เกิด ปัจจุบัน เป็นผลมาจากการกระทำของตนเองหรือไม่
ดังนั้นหลายคนจึงปฏิเสธในความเชื่อดังกล่าว ...
หากเราตั้งสมมุติฐานบนความเชื่อและศรัทธาใน กฎแห่งกรรม
พร้อมทั้งหันกลับมาดู พระธรรมคำสั่งสอน รวมทั้งวินัย ในทางศาสนา
ตะนิ่นตาญี ให้สงสัยก่อเกิดเป็น ตรรกะซ้อนตรรกะ ...
ก็ในเมื่อเราทราบดีอยู่แล้วว่า กฎแห่งกรรม นั้น ก่อให้เกิดผลในปัจจุบันแล้ว
ไยจึงต้องกระทำ เหตุใดจึงไม่ละเว้นเสียในการกระทำอันอาจก่อให้เกิดผลอันอาจก่อให้เกิดผลอันมิพึงประสงค์
หลายคนอาจว่าได้ “เฮ้ย...ละเว้นในการกระทำก็ก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายได้นะ”
ตะนิ่นตาญี คงต้องร้องขอผู้มีความคิดเช่นนี้ให้อ่าน ข้อคิด-ความเห็น นี้อย่างละเอียดอีกสักที
เพราะที่ ตะนิ่นตาญี พูดถึงนั้นคือการละเว้นตามข้อกำหนดของศาสนา...โลกุตระ ไม่ใช่ โลกีย์
พิจารณาให้ดีกันอีกสักครั้ง ศีล ๒๒๗ ข้อที่ พระพุทธองค์ กำหนดมาเป็นเงื่อนไขนั้น
มีข้อไหนบ้างที่ ให้ กระทำ ไม่น่าจะมี ตะนิ่นตาญี เชื่อเช่นนั้น ไม่ว่าให้กระทำดี หรือกระทำชั่วและหาก ศีล ๒๒๗ ข้อ
นั้นคือ การให้ไม่กระทำ ตามที่ ตะนิ่นตาญี คิด...นั่นก็คือ
เมื่อไม่กระทำแล้ว ผลแห่งการไม่กระทำก็ย่อมจะไม่เกิด ก่อกำเนิดเป็น สภาวะแห่งความว่างเปล่า
ด้วยความ ว่างเปล่านี้เอง จะทำให้สิ่งที่เรียกกันว่า นิพพาน นั้นเกิดขึ้นมาจริงหรือไม่ ตะนิ่นตาญี ไม่อาจบอกได้
แต่หาก นิพพาน นั้นมีจริง การเวียนว่ายตายเกิด ก็จะหยุดลง ใช่หรือไม่ จริงหรือไม่?
ตะนิ่นตาญี ไม่อาจตอบได้ เพราะเป็น คน ที่มีน้อยด้อยแล้วซึ่งปัญญา คิดมากไปจะเป็น อจิณไตย เสียเปล่า
ตะนิ่นตาญี
วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เวลา ๑๖.๔๓ นาฬิกา
นู๋พู่กัน wrote:ไม่เชื่อจ้า พอดีพู่กันเป็นคริสเตียนอ่ะค่ะ
ter162525 wrote:ไม่เชิงครับ คุณ ตะนิ่นตาญี บุคคลที่ไม่กระทำกรรมใดนั้น เรียกกรรมชั่วไม่มีกรรมดีไม่ปรากฏ น่าสงสารที่สุด ครับ เพราะบุคคล ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด เมื่อไม่มีตัวที่จะพาไปเกิดก็ยังคงอยู่ในลักษณะนั้น เช่น ทำไมเขาบอกว่าคนที่ตายโหง ถึงอยู่ตรงที่ตาย เพราะจิตสุดท้ายเขาไม่มี ไม่มีกรรมที่พาไปเกิด เลยต้องอยู่จนครบอายุขัย คือให้อันเก่าผ่านไปก่อนเหมือนคนต่อแถวนั้งเก้าอี้ แต่บ้างครั้งคนไหนมีอำนาจมากกว่าก็มีโอกาสแซงแถวได้ แต่คนที่ไม่มีคนต่อเก้าอี้ว่างเลยไม่รู้จะไปไหนจนกว่าจะเกิดกรรมที่จะพาเขาไปได้(ลักษณะจิตยังยึดติดเก้าอี้อยู่) แต่การไปพระนิพพาน ต่างกัน คือ จิตไม่ได้ยึดติดอะไร เมื่อจิตไม่ยึดก็เหมือนเราไม่สนใจเก้าอี้นั้นอีก แต่คนที่รอทุกคนก็จะรีบแสดงผล เหมือนถ้าเรามีเจ้าหนี้ เราบอกว่าจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศไม่กลับไทย ผมรับรองได้ว่าแห่กันมาหมดแน่ๆ เมื่อหมดอัตภาพเก่าอัตภาพใหม่ไม่มี มันก็ว่าง จิตก็หลุดออกจากเก้าอี้แล้ว นั้นล่ะนิพพาน