เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเขาทำกันยังไง?posted on 04 Nov 2008 11:39 by repentant in History
พรุ่งนี้วันอังคารที่ 4 ก็ถึงเวลาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐกันแล้วนะครับ ทุกคนค่อนข้างตื่นเต้นกันมาก และถึงตัวเลขโพลล์จะเทให้โอบาม่าขนาดไหนชาวเดโมแครตก็ยังกัดฟันลุ้นอยู่ดี เพราะพรรคตัวเองมีชื่อเสียงว่าเลือกตั้งกี่ครั้งก็พลิกชนะเป็นพ่ายแพ้ได้ เสมอ(ฮา) อาจารย์ภาควิชาสังคมผมเงี้ยต้องขอยานอนหลับมากินแก้เครียดเลยทีเดียว
สาเหตุก็เพราะการได้เสียงมากกว่าไม่ได้หมายถึงตำแหน่งตำแหน่งประธานาธิบดี เสมอไปเน้อ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? และทำไมประเทศที่ชอบโม้ว่าตัวเองเป็นผู้ส่งออกประชาธิปไตยกลับมีกฏการเลือก ตั้งแทบไม่เหมือนที่ใดในโลก เราลองไปดูด้วยกันเลยครับ ^_^
แรกเริ่มเดิมทีอเมริกาไม่มีหัวหน้าฝ่ายบริหาร พอผู้ก่อตั้งประเทศเริ่มคิดว่าต้องมีประธานาธิบดีกันแล้วพวกเขาก็แบ่งเป็นสองฝ่าย
พวกแรกอยากให้ประธานาธิบดีมาจากเสียงประชาชนโดยตรงตามแบบฉบับประชาธิปไตยแท้ๆ
พวกสองต้องการให้สมาชิกสภาคองเกรสเลือก ประธานาธิบดีด้วยเหตุผลว่าคนหมู่มากเมื่อมีอำนาจอาจออกกฏหมายละเมิดคนหลุ่ม น้อยได้เข้าทำนอง Tyranny of the majority ฉะนั้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์คนส่วนน้อยควรให้ผู้แทนประชาขนเป็นคนเลือกโดย คำนึงถึงประโยชน์ของทุกคนในรัฐตัวเองจะดีกว่า เถียงไปเถียงมาสุดท้ายเลยพบกันครึ่งทางว่าประชาชนจะเลือกคณะผู้แทน(Elector) แล้วให้ Elector เป็นผู้เลือกประธานาธิบดีต่ออีกที โดยแต่ละรัฐจะได้จำนวน Elector ขึ้นกับจำนวนผู้แทนในสภาล่างและบนรวมกัน ฉะนั้นรัฐพี่เบิ้มอย่าง California จะได้ Elector ทั้งหมด 55 คน ขณะที่รัฐผู้แทนน้อยอย่างNew Hampshire จะได้แค่ 4 คนเท่านั้น

แผนที่เลือกตั้งปี 1789
พอ ได้ Elector แล้วก็ถึงเวลาประชุมกันและโยนคะแนนที่มีกันคนละสองแต้มให้ผู้สมัครคนใดก็ได้ (แบ่งได้นะครับ) ซึ่งในสมัยแรกก็มีกฏน่ารักมากๆคือคนที่ได้คะแนนเยอะสุดก็เป็นประธานาธิบดี ส่วนคนแพ้ก็มีรางวัลปลอบใจเป็นตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วยเหตุผลว่าผู้นำจะ ได้มีความคิดหลายมุมมองและไม่ถูกรายล้อมด้วยขุนพลอยพยักเพียงอย่างเดียว
ถ้าคิดสมัยนี้ก็ บุชเป็นประธานาธิบดี จอห์น แครี่ ผู้สมัครเดโมแครตปี 2004 ได้เป็นรองนั่นแหละครับ
ถึงจะฟังดูดีแต่เอาเข้าจริงก็มีปัญหาอยู่เช่นว่าความคิดต่างกันสุดขั้วจนทำ งานด้วยกันลำบาก(อย่าง Jefferson กับ Adams ที่ตอนหาเสียงสาดโคลนใส่กันจนมองหน้าไม่ติด) หรือบางทีหากคะแนนจาก Elector ดันเท่ากันเด๊ะก็ต้องให้สภาผู้แทนเป็นคนตัดสิน ซึ่งก็ขึ้นกับว่าใครมีอิทธิพลในสภาผู้แทนมากกว่ากันเล่นเอาฝ่ายแพ้ตาเขียว ว่าโดนเล่นพวก เรื่องนี้มีถึงขั้นดวลปืนโป้งป้างกันมาแล้ว

Aaron Burr กับ Alexander hamilton ดวลปืนกันเพราะ Burr หาว่าฝ่ายหลังช่วยล็อบบี้ให้สภาเลือกคู่แข่งที่คะแนนเท่ากันเป็น ประธานาธิบดี!!
ปัจจุบัน ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเลยวิวัฒนาการมาเป็นว่า Elector จาก 50 รัฐต้องมีรวมกันทั้งหมด 538 คนโดยแบ่งกันตามสัดส่วนผู้แทนในสภา และการจะเป็นประธานาธิบดีต้องได้คะแนนเสียงจาก Elector รวม 270 เสียก่อน 
ตัวอย่างบัตรเลือกตั้งของรัฐนิวยอร์กปีนี้(พิมพ์Obama ผิดเป็น Osama ด้วยนะ = =')ถึงจะมีผู้สมัครให้ติ๊กเหมือนกับเลือกตั้งโดยตรง แต่เอาเข้าจริงๆคือเขานับว่าคนทั้งรัฐลงคะแนนเสียงให้ใครมากกว่า แล้วคณะ Elector จำนวน 31คนจากนิวยอร์กก็ค่อยโหวตให้ผู้สมัครแบบยกทีม ไม่มีแยกเป็นเดี่ยวๆตัวใครตัวมันแบบสมัยก่อน
เหตุนี้รัฐที่มี Elector เยอะๆจึงได้รับการจีบเป็นพิเศษจากผู้ลงสมัคร เพราะชนะแค่อันเดียวก็อาจดันตัวเองให้ถึง 270 แต้มก่อนได้
California รัฐเดียวก็มี Elector เท่ากับรัฐเล็กๆสิบรัฐรวมกันแล้ว ฉะนั้นต่อให้ผู้สมัครแพ้จำนวนรัฐมากกว่า(เรียกว่าแพ้เสียงประชาชน) แต่ถ้ารัฐที่ชนะมีจำนวน Elector มากกว่าก็ยังสามารถพลิกชนะได้ เหมือนบุชปี 2000 ที่แพ้เสียงประชาชนไป 500,000 เสียงแต่ชนะอัล กอร์ในฟลอริด้า Elector 25 คนในรัฐนั้นเลยโปะคะแนนให้บุชขึ้นถึง 270 แต้ม
Electoral vote Bush : 271,Gore : 266 เหมือนจะต่างไม่มาก แต่ถ้า Gore ชนะ Florida ก็จะเป็น Bush : 246, Gore : 291 ดับฝันตาจอร์จทันที เห็นไหมครับว่าพลิกง่ายขนาดไหน ยิ่งกฏว่า Elector ต้องโหวตยกทีมก็เท่ากับว่าต่อให้ในรัฐแพ้เชือดเฉือนกันแค่ 51%-49% Elector จากรัฐนั้นก็จะให้คะแนนเป็นเอกภาพกับผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง ไม่มีแบ่งครึ่งให้แต่อย่างใด(เขาเลยว่ามันไม่ยุติธรรมไงครับ รัฐที่ใช้ระบบสัดส่วนก็มีแต่น้อยมากแถมรวมกันแล้วแล้วแค่ 6-7 เสียงไม่ได้เปลี่ยนอะไรเท่าไหร่)
เหตุนี้ Poll ระดับชาติจึงไม่สำคัญเท่า Poll ในรัฐซึ่งมีจำนวน Elector เยอะๆ หรือที่เขาเรียกว่า Battleground State ซึงในปีนี้ก็เห็นจะเป็น Florida,North Carolina, Ohio, Indiana, Missouri ซึ่งเป็นรัฐที่จำนวน Elector มากและโอบาม่ากับแมคเคนขับเคี่ยวกันมาติดๆ

สีเทาๆนี่แหละครับคือ Battleground state ส่วนสีแดงคือพวกที่น่าเทไปทางแมคเคน สีน้ำเงินไปทางโอบาม่า
ถ้าจากโพลล์ตอนนี้โอบาม่าก็มีทั้งหมด 287 เสียง แมคเคน 157 บวกกับใน Battleground อีก 95 เป็น 538 พอดี
เหมือน โอบาม่าจะชนะแล้วใช่ไหม? ยังขอรับ ถึงpoll ระดับประเทศจะนำแต่หากแมคเคนสามารถพลิก VA(13เสียง) หรือ PA(21เสียง) ให้เป็นสีแดงได้ โอกาสชนะของรีพับลิกันจะปรากฏขึ้นทันที! ซึ่งนี่แหละทำอาจารย์ผมหวาดวิตกขนาดข่มตาไม่หลับ ไหนจะกลัว Bradley Effect ที่บอกว่ากลุ่มคนขาวเหยียดผิวจะบอกคนทำโพลล์ว่าจะโหวตให้คนดำแต่ถึงเวลาแล้ว สับปลับอีก 
Poll ก็ใช่จะเป็นทพยากรณ์ อย่างตอนเลือกตั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผลสำรวจบอกว่าประธานาธิบดี Truman จะแพ้ หนังสือพิมพ์พาดหัวแล้วแต่สุดท้ายก็พลิกล็อคจนได้(แต่สมัยนั้นระบบการสุ่ม ตัวอย่างทำไม่ดี และ Poll รอบสุดท้ายทำก่อนเลือกตั้ง 2 อาทิตย์ ซึ่งสองอาทิตย์ในฤดูเลือกตั้งนี่อะไรก็เกิดขึ้นได้มากมายละนะ)
ถึง poll ปัจจุบันจะถูกต้องขึ้นหลายเท่า Bradley Effect เริ่มถูกมองข้ามเพราะอเมริกาเริ่มเยียวยาความขัดแย้งทางสีผิว แต่โอกาสแม้ 1% สำหรับนักสถิติอย่างซือแป๋ก็ยังน่าห่วงอยู่ดีแล
อ่ะนา พรุ่งนี้คูหาปิดทุ่มหนึ่งก็รู้กันแล้วละว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา Yes we can!
SRC: CNN.Wikipedia