เอามาเติมให้มันหนักๆ ข้อมูลเข้าไว้ เผื่อเด็กรุ่นหลังจะศึกษาว่า สุดยอดคนไทยที่เลวสุดนับจากมีประเทศไทย คือใคร
รายงาน คตส.ปิดคดี"ซุกหุ้น2-เอื้อประโยชน์ตัวเอง-ร่ำรวยผิดปกติ"ซัด"แม้ว"ซุกหลักฐาน
วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 เวลา 09:50:40 น.
http://matichon.co.th/news_detail.php?newsid=169หนังสือ พิมพ์"มติชน-ประชาชาติธุรกิจ"ได้นำเสนอข่าวและข้อมูลเรื่องนี้อย่างต่อ เนื่อง โดยมีบทความเรื่องหนึ่งชื่อ"นิติกรรมอำพราง" ได้เขียนขึ้นเพื่อเปิดโปงคดีดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้รับความสนใจจากกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง
หมายเหต"มติชนออนไลน์" -รายงานกระบวนการไต่สวนกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทรัพย์สินมาโดยมิสมควรสืบเนื่องจากการใช้ตำแหน่งหน้าที่( ร่ำรวยผิดปกติ )ที่นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)แจกในการแถลงข่าวปิดคดีซุกหุ้นภาค 2 -เอื้อประโยชน์ใหแก่ตนเอง-ผลประโยชน์ที่เครือชินคอร์ปได้รับโดยชี้ให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตรนายกรัฐมนตรีผู้ถูกกล่าวหาพยายามประวิงเวลาด้วยการไม่แสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา
ทั้งนี้อนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าวจะนำสำนวนเรื่องนี้เสนอต่อ คตส.ชุดใหญ่ในกลางเดือนพฤษภาคม 2551 และส่งให้อัยการสูงสุดก่อนที่ คตส.จะหมดอายุลงภายในสินเดือนมิถุนายน 2551
..........................................................................................................................................................................................................................................................
ฐานทางกฎหมาย : " สมการยึดทรัพย์"
(๑)นายกรัฐมนตรีจงใจฝ่าฝืนกฎหมาย คงถือไว้ซึ่งหุ้นธุรกิจสัมปทานชินคอร์ป + (๒) เกิดมาตรการเอื้อประโยชน์ธุรกิจสัมปทาน ๖ มาตรการในสมัยรัฐบาลนั้น
= (๓) เกิดประโยชน์เป็นความมั่งคั่งต่อธุรกิจสัมปทานของนายกรัฐมนตรี
= (๔) ประโยชน์นี้ถือเป็นทรัพย์สินที่นายกรัฐมนตรีได้มาโดยมิสมควรสืบเนื่องจากการใช้ตำแหน่งหน้าที่
= (๕) คตส.ยื่นคำร้องต่อศาลให้ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องเป็นของแผ่นดิน
ข้อ (๑) ? (๓) เป็นปัญหาข้อเท็จจริง (๔)และ (๕) เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
คตส. ยื่นคำร้องโดยอาศัยอำนาจตามประกาศ คปค.ฉบับ ๓๐ ประกอบ พ.ร.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องเริ่มคดีด้วยการไต่สวนตามกฎหมาย ปปช. และระเบียบ คตส.คือ ตรวจสอบมูลคดี ( ตุลา ๔๙ - พฤษภา ๕๐ ) แล้วเริ่มไต่สวนตั้งข้อกล่าวหาและแจ้งข้อกล่าวหา ( พฤษภา ๕๐ ? ๓ มกรา ๕๑ ) แล้วเปิดรับรอฟังคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ( มกรา ๕๑ - มีนา ๕๑ ) จนพิจารณาคำชี้แจงแล้วสั่งสำนวนในเมษายนนี้ว่า
๑) อนุกรรมการฯได้มีมติไม่เห็นควรสืบพยานหลักฐานกว่าร้อยรายการตามคำชี้แจงข้อ กล่าวหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ฯ เพราะมิได้เกี่ยวพันกับหลักฐานที่ได้กล่าวหาไว้
๒) ที่ประชุม คตส.เห็นชอบตามข้อเสนอของอนุกรรมการ และมีมติใช้อำนาจตามกฎหมาย สั่งให้ เลขาธิการ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ส่งพยานหลักฐานในครอบครองทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของบริษัทวิ นมาร์ค ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯและครอบครัว ให้แก่อนุกรรมการภายใน ๑๐ เมษายน ศกนี้
๓) อนุกรรมการประมาณว่า จะสามารถศึกษาสำนวน แล้วสรุปเป็นรายงานผลการไต่สวน เสนอ คตส.ได้อย่างช้า ภายในกลางเดือน พฤษภาคม นี้
ข้อกล่าวหา, คำชี้แจงข้อกล่าวหา และพยานหลักฐานชี้ขาดที่ต้องการ
พ.ต.ท.ทักษิณฯได้ชี้แจงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด เฉพาะในส่วนข้อเท็จจริงนั้น ก็ยืนยันว่าตนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมิได้ถือครองหุ้นชินคอร์ปฯเลย เพราะได้ขายให้บุตรและพี่น้องไปหมดแล้ว มาตรการเอื้อประโยชน์ที่รัฐให้แก่ชินคอร์ปฯนั้น ตนก็มิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องสั่งการใดโดยทุจริต มูลค่าหุ้นชินคอร์ปที่เพิ่มขึ้นก็เพิ่มขึ้นตามความเจริญของกิจการโดยปกติ
ทั้งข้อกล่าวหาและคำชี้แจงนี้ล้วนอ่านเข้าใจได้ พอให้เห็นประเด็น ที่โต้แย้งกันได้ แต่พยานหลักฐานที่แต่ละฝ่ายใช้อ้างอิงนั้นจะสมบูรณ์หรือ ไม่ เกี่ยวข้องหรือไม่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
ฝ่าย อนุกรรมการฯ คตส.นั้น ได้ตรวจสอบจนมีหลักฐานเพียงพอ ก็ได้กล่าวหาและอธิบายชี้บ่งไว้ในข้อกล่าวหาชัดเจนแล้วว่า มีฐานข้อเท็จจริงเช่นใด ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ปรากฏว่า พยานหลักฐานที่นำเสนอมานั้นมิได้เกี่ยวพันหักล้างกับพยานหลักฐานที่ชี้บ่ง ไว้ในข้อกล่าวหาเลย
ดังนี้บรรดาพยานหลักฐานที่เสนอมากว่าร้อยรายการนั้น ก็หาใช่พยานหลักฐานชี้ขาดที่ต้องการไม่และคตส.ในฐานะผู้ไต่สวนความจริงก็มี อำนาจที่จะไม่สืบพยานตามที่ชี้แนะมาในคำชี้แจงนั้นได้ เพราะนี่คือการไต่สวนมูลคดีด้วยอำนาจฝ่ายเดียวของ คตส. หาใช่การต่อสู้คดีในชั้นศาลแต่อย่างใดไม่ กล่าวคือ
ข้อกล่าวหาที่หนึ่ง : " ซุกหุ้นชินคอร์ป "
กล่าวหาว่า เมื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ๒๕๔๔ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ยังคงฝ่าฝืนกฎหมายถือไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ปทั้งทางตรงทางอ้อม โดยใช้ชื่อบุตรหรือพี่น้อง เป็นจำนวนรวม๔๘.๐๘% หุ้นทั้งหมดนี้ครอบครัวชินวัตรถือครองมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ถูกนำมารวมขายกองทุนเทมาเส็ค เมื่อ มกราคม ๒๕๔๙ แบ่งตามการจัดการได้เป็นสองกลุ่ม
๑. หุ้นชินฯ ที่ถือผ่านบริษัท และจัดการโดยสถาบันการเงินต่างประเทศ มีสองส่วนคือ
๑.๑)หุ้นชิน-แอมเปิลริช ถือครองโดยบริษัทแอมเปิลริช อินเวสต์เมนต์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯจดทะเบียนจัดตั้งไว้ตามกฎหมายเกาะบริติชเวอร์จิ้น มีหน้าที่ถือครองหุ้นชินฯเพียงประการเดียว โดยอ้างว่าได้รับซื้อหุ้นชินฯ ไป ๑๑.๘๗% เมื่อ ๒๕๔๒ เพื่อนำหุ้นชินไปเข้าตลาดแนสแด็ก บริษัทแอมเปิลริชนี้ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างต่อ ก.ล.ต. เมื่อตุลาคม ๒๕๔๔ ว่า ตนได้ขายให้นายพานทองแท้ บุตรชายไปแล้วเมื่อ ธันวาคม ๒๕๔๓ แต่ไม่มีการรายงานการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นชินฯผ่านแอมเปิล ริช ต่อ ก.ล.ต. ( แบบ ๒๔๖-๒) ตามระเบียบแต่อย่างใด
๑.๒)หุ้นชิน ? วินมาร์ค วินมาร์คมีผู้จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อปี ๒๕๔๒ ที่เกาะบริติชเวอร์จิ้นเช่นกัน มีที่อยู่ที่เดียวกับแอมเปิล ริช มีพฤติการณ์เข้ามาซื้อหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวชินวัตร ๑ ครั้ง ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเมื่อนางสาวพินทองทา บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณฯ บรรลุนิติภาวะแล้วก็โอนหุ้นคืนนางสาวพินทองทาในที่สุด
บริษัทเอสซีแอสเสทนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษฯ ได้กล่าวหาต่อพนักงานอัยการแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯและภริยา เป็นผู้ถือหุ้นแท้จริงแต่ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นไว้ ส่วนทาง คตสนั้นก็ได้ตรวจสอบพบหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ ได้ใช้ บริษัทนี้ถือหุ้นชินคอร์ปอีกก้อนหนึ่งด้วย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ จนถึง ๒๕๔๙ เป็นจำนวน ๕๔ ล้านหุ้น
หลักฐานที่ต้องการชิ้นที่ ๑ หุ้นชินทั้งสองก้อนนี้ ผู้มีอำนาจได้ว่าจ้างให้ธนาคารยูบีเอส เอจีสิงค์โปร์ รับเป็นผู้ดูแล ( Custodian ) และจากปี ๒๕๔๓ ? ๒๕๔๘ คตส.ได้ตรวจพบหลักฐานสำคัญคือ
- พบเอกสารเปิดบัญชีที่ยูบีเอสให้แก่แอมเปิลริช ที่แจ้งรับรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯเป็นผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัทในการจัดการหุ้นชิน ? แอมเปิล ริช ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ จนต่อมาในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๘ เอกสารเปิดบัญชีนี้จึงได้เปลี่ยนชื่อผู้มีอำนาจเป็น พานทองแท้และพินทองทา
- ต่อหลักฐานข้างต้น พ.ต.ท.ทักษิณชี้แจงว่า หลังจากตนโอนบริษัทแอมเปิล ริช ในธันวาคม ๒๕๔๓ ให้พานทองแท้ฯแล้ว ตนก็มิได้ข้องเกี่ยวใดๆอีก กรรมการบริษัทแอมเปิล ริชจะเห็นควรเปลี่ยนชื่อผู้มีอำนาจเมื่อใด ก็เป็นเรื่องของการจัดการเมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนเอกสารไม่จำเป็นต้อง ใส่ชื่อนายพานทองแท้ตั้งแต่วันที่รับโอนบริษัทจากตนแต่อย่างใด
- หลักฐานชี้ขาดปัญหานี้อยู่ตรงที่ว่า ในระหว่างปี ๒๕๔๒ ถึง ๒๕๔๘ นั้น มีธุรกรรมหุ้นชิน-แอมเปิลริช ถึง ๕ ครั้ง อย่างแน่นอน เอกสารธุรกรรมเหล่านี้อยู่ในครอบครองของธนาคารยูบีเอส หากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ หรือพานทองแท้ ผู้เป็นลูกค้าของยูบีเอสใช้สิทธิขอหลักฐานมาแสดงได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงทางอ้อม คดีในส่วนนี้ก็จะยุติเป็นคุณแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในชั้น คตส.ในทันที ซึ่งคำกล่าวหาของคตส. ก็ได้ระบุประเด็นนี้ไว้อย่างชัดแจ้ง
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ชี้แจงตัดบทไว้ห้วนๆ ว่าไม่รู้เห็น โดยไม่ยอมขวนขวายหาหลักฐานชี้ขาดที่ว่านี้มาเลย ส่วนคตส.เองนั้นก็ไม่มีช่องทางได้หลักฐานเหล่านี้ได้ เนื่องจากเป็นความลับลูกค้าที่อยู่ในครอบครองของธนาคารต่างประเทศ
หลักฐานที่ต้องการชิ้นที่ ๒ คือรายงานของ ธนาคารยูบีเอสฯในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๔ ที่แจ้งว่า ได้มีการโอนหุ้นชินจำนวนหนึ่งมารวมอยู่ในบัญชี เดียวกันกับหุ้นชินอีกจำนวนหนึ่งและหุ้นทั้งสองเป็นของคนคนเดียวกัน โดยเมื่อนับรวมกันแล้วมียอดเพิ่มขึ้นเกิน ๕%ธนาคารฯจึงแจ้งให้ กลต.ทราบตามระเบียบ
หุ้นชินฯทั้งสองก้อนตามรายงานนี้ ตรวจสอบแล้ว เป็นของบริษัทแอมเปิล ริชและบริษัทวินมาร์ค รายงานดังกล่าวจึงแสดงว่า ธนาคารยูบีเอส มีข้อมูลลูกค้าที่แสดงว่า ทั้งสองบริษัทมีเจ้าของคนเดียวกัน นั่นก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณฯนั่นเอง
-หลักฐานชี้ขาดปัญหานี้จึงอยู่ที่คำชี้แจงของธนาคารยูบีเอสฯ ที่หากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณฯ สามารถขอคำอธิบายจากธนาคารมายืนยันได้ ว่า คตส.เข้าใจรายงานของ ยูบีเอสผิด คดีก็จะยุติได้อีกเช่นกัน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณฯก็มิได้ขวนขวายนำมาแสดงเลย ทั้งๆที่เป็นลูกค้าของธนาคารนั้น
หลักฐานที่ต้องการชิ้นที่ ๓ คือรายการหลักฐานจากสถาบันการเงินในสิงค์โปร์และฮ่องกงทั้งปวงที่ กลต.ร่วมกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถรวบรวมจากทางการของทั้งสองประเทศ จนได้หลักฐานที่สามารถยืนยันได้โดยตรงและชัดเจนว่า ผู้เป็นเจ้าของบริษัทวินมาร์คนั้น ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ,คุณหญิงพจมานและบุตรทั้งสามนั่นเอง
หลักฐานชุดนี้ปัจจุบันยังคงมีฐานะเป็นข้อผูกพันให้ฝ่ายไทยต้องใช้เฉพาะในคดีเอสซีแอสเสทของดีเอสไอเท่านั้น
เฉพาะในส่วนคุณหญิงพจมานฯหรือ พ.ต.ท.ทักษิณฯนั้น หากสามารถนำหลักฐานมาแสดงได้ว่า เงินค่าหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อ้างว่าขายให้บริษัทวินมาร์ค ๑,๕๐๐ ล้านบาท เมื่อ ๒๕๔๓ นั้น วินมาร์คเอามาจากแหล่งใดบ้าง จากบัญชีธนาคารของผู้ใดในประเทศสิงค์โปร์ ซึ่งถ้าได้ข้อมูลนี้เมื่อใดก็จะช่วยชี้ขาดปริศนาตัวตนของวินมาร์ค ในชั้นไต่สวนของคตส.ได้อย่างแน่นอน
๒. หุ้นชินที่ถือผ่านบุคคลธรรมดาและจัดการในประเทศ เป็นการใช้ชื่อบุตรและพี่น้องถือหุ้นแทน มีข้อปรากฏเป็นประเด็นในคดี ดังนี้
๒.๑) ประวัติคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณฯและภริยา ในระยะแรกจะซุกหุ้นเพื่อแอบเล่นหุ้น มีทั้งหุ้นชินฯและหุ้นอื่นส่วนหนึ่งจะใช้ชื่อคนใช้และบริวาร จนเกิดคดีจงใจแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จถูก ปปช.ฟ้องต่อศาลให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ( คดีซุกหุ้น ๑ ) นอกจากให้คนใช้ถือแทนแล้วยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ให้นายบรรณพจน์ฯถือแทนเท่าที่ จำเป็น
จนต่อมาเมื่อกันยายน ๒๕๔๓ พ.ต.ท.ทักษิณฯและภริยา ยังมีชื่อถือหุ้นก้อนใหญ่เหลืออยู่ในมืออีก ๓๔.๐๗% จึงทำเป็นขายให้บุตรและพี่น้องจนหมดในคราวเดียว แล้วก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ๒๕๔๔ โดยอ้างได้ว่าตนไม่มีหุ้นสัมปทานกับรัฐเหลืออยู่ในมืออีกต่อไป ( เป็นการต้องห้ามตาม ม.๑๐๐ แห่ง พ.ร.บ.ปปช. ) แต่ขณะเดียวกันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณฯ ก็ต้องคดีซุกหุ้น ๑ ที่กล่าวหาย้อนหลังไปถึงปี ๒๕๔๐ ว่า ได้เข้าเป็นรองนายกรัฐมนตรีโดยภริยาซุกหุ้นไว้ในชื่อคนใช้ ๑.๕ หมื่นล้านบาท แต่ก็พ้นคดีในศาลไปได้ด้วยเสียงตุลาการ ๘ : ๗
ส่วนการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ๒๕๔๔ นั้น พ.ต.ท.ทักษิณฯ และภริยาจะได้ซุกหุ้นใดหรือไม่ ก็เป็นข้อที่ยังมิได้เคยมีการตรวจสอบหรือฟ้องเป็นคดีใดๆ เลย มาจนปัจจุบันนี้จึงได้เริ่มมีการตรวจสอบตามฐานกฎหมายต่างๆ แล้ว เช่น ดีเอสไอ.ก็ตรวจว่า ซุกหุ้นเอสซีแอสเสท ( กล่าวหาว่าผิดตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ ), คตส.ก็ตรวจสอบหุ้นชินตามกฎหมาย ปปช.ที่ห้ามนายกรัฐมนตรีถือหุ้นธุรกิจสัมปทาน ส่วน ป.ป.ช.นั้นก็เริ่มตรวจฐานแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ตรวจพฤติการณ์ซุกหุ้นทั้งหุ้นเอสซีแอสเสท, หุ้นชินคอร์ป,หุ้นชินแซท และหุ้นอื่น
คำชี้แจงข้อกล่าวหาของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ยังไม่เข้าใจประวัติคดีซุกหุ้นของตนอย่างชัดเจนเพียงพอ จึงเกิดข้อโต้แย้งดังนี้
- โต้แย้งว่าคดีของตนได้เป็นที่ยุติเด็ดขาดไปแล้วด้วยคดีซุกหุ้น ๑ ความข้อนี้คลาดเคลื่อนจากความจริง เพราะคดีซุกหุ้นชินฯครั้งนี้ เป็นการกล่าวหาว่าพ.ต.ท.ทักษิณฯ ขึ้นเป็น นายกฯในปี ๒๕๔๔ และ ๒๕๔๘ โดยยังคงถือหุ้นสัมปทานชินคอร์ป
ส่วนคดีซุกหุ้น ๑ เป็นการซุกหุ้นหลายบริษัทไว้ในนามคนใช้ แล้วเข้าเป็นรองนายกฯในปี ๒๕๔๐ โดยมาต้องคดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จขึ้นศาลในต้นปี ๒๕๔๔ หาใช่กล่าวหาว่ากระทำผิดในช่วงขึ้นเป็นนายกฯเมื่อต้นปี ๒๕๔๔ แต่อย่างใดไม่
ส่วนคำร้องของกลุ่ม สว.ในปี ๒๕๔๙ นั้น เป็นการร้องว่า นายกรัฐมนตรีฯฝ่าฝืนแอบถือหุ้นชินฯ ซึ่งก็ตรงกับมูลคดี คตส.ในครั้งนี้ แต่คดีนั้นมิใช่คดีอาญาแต่เป็นคดีขอให้ถอดถอนเพราะขาดคุณสมบัติ และศาลก็ยังมิได้ชี้ขาด เพราะสั่งไม่รับฟ้องว่าฟ้องไม่ชัดเจนเพียงพอ ข้อที่พ.ต.ท.ทักษิณฯ อ้างว่าว่าศาลรัฐธรรมนูญในคดีนั้นชี้ขาดคดีไปแล้วจึง คลาดเคลื่อนอีกเช่นกัน
- โต้แย้งข้อกล่าวหา ของ คตส.ที่ว่าตนซุกหุ้นชินฯเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นว่า เลื่อนลอย เพราะตนมิอาจทราบผลเลือกตั้งล่วงหน้าได้ จะได้วางแผนซุกหุ้นเสียแต่ต้นมือ ความข้อนี้คณะทำงานได้เคยพิจารณาแล้วก็เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ฯเริ่มทุ่มเทตั้งพรรคไทยรักไทยตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ ก่อนหน้าการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ถึง ๒ ปี
ส่วนการยักย้ายชื่อผู้ถือหุ้นชินฯนั้นก็กระทำเป็นระยะมาโดยตลอด ระยะแรกใช้ชื่อคนไกลตัวคือคนใช้หรือบริษัท กระดาษในเกาะนอกระบบ เช่นนี้ก็น่าเชื่อได้ว่า ทำไปเพื่อเล่นหุ้นโดยปกปิด แต่มาในกันยายน ๒๕๔๓ ก่อนการเลือกตั้งเพียง ๔ เดือน และเป็นช่วงที่ ปปช. เริ่มตรวจสอบหุ้นคนใช้ และกฎหมายใหม่ก็ห้ามชัดเจนแล้วว่ารัฐมนตรีจะถือหุ้นสัมปทานไม่ได้ หรือยุ่งเกี่ยวจัดการหุ้นใดไม่ได้
ตรงจุดนี้นี่เองที่คณะทำงานเชื่อว่าได้เกิดการวาง แผนย้ายหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณฯไปเป็นชื่ออื่นเพื่อเตรียมรับการเข้าดำรง ตำแหน่งในรัฐบาลที่อาจจะมาถึง จึงเกิดการยัก ย้ายหุ้นชินทั้ง ๓๔.๐๗ %ที่เหลืออยู่ และหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด ในเดือนกันยายน ๒๕๔๓( การยักย้ายหุ้นอสังหาฯส่วนนี้ ดีเอสไอ.มีหลักฐาน กล่าวหาแล้วว่าซุกหุ้นเอสซีแอสเสท ) และสามารถทำได้โดยมิต้องวิตกว่าถ้าแพ้การเลือกตั้งจะเอาหุ้นคืนได้อย่างไร เพราะ ชื่อที่ใช้นั้นล้วนอยู่ในอำนาจสั่งการของ ตนทั้งสิ้น และถ้าต่อมาได้เป็นนายกฯและต้องถูกตรวจสอบก็น่าที่จะอธิบายให้เชื่อถือได้ เพราะได้หันไปใช้ชื่อบุตรและพี่น้อง แทนที่จะเป็นคนใช้คนขับรถเหมือนคดีซุกหุ้น ๑ ที่ ป.ป.ช.กำลังตรวจพบอยู่ในขณะนั้น
- ข้อโต้แย้งทั้งสองข้อนี้ยังมีฐานะเป็นความแตกต่างทางความเห็นเท่านั้น จึงไม่มีหลักฐานชี้ขาดที่ต้องการ
๒.๒) หุ้นชินฯ - พานทองแท้ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีใน มกรา ๒๕๔๔ มีหุ้นชินฯ ๓๘% อยู่ในชื่อบุคคลในครอบครัวดังนี้
- นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย มีหลักฐานแจ้งต่อ กลต. เมื่อกันยา ๒๕๔๓ว่า ได้รับซื้อหุ้นชินฯจากบิดาและมารดารวม ๒๔.๙๙% นอกตลาด ในราคาต้นทุนหุ้นละ ๑๐ บาท ( ราคาตลาดขณะนั้น ๑๕๐ บาท ) ซึ่งการขายหุ้นในราคาต้นทุนให้บุตรในครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณฯยื่นคำชี้แจงว่า เป็นการขายให้ด้วยความรักระหว่างบิดามารดากับบุตรจึงขายให้ในราคาต้นทุน และให้บุตรออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ถือไว้ แล้วค่อยนำเงินมาผ่อนชำระภายหลัง ฝ่ายคณะทำงาน คตส. เชื่อว่ามิใช่การซื้อขายแท้จริง และเหตุที่ต้องขายเท่าทุนก็เพื่อจะได้มิต้องเสียภาษี ซึ่งก็ต้องขายให้บุตรเพื่อใช้ความรักมาอธิบาย
- หุ้นชินฯเริ่มให้ปันผลตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ แต่นายพานทองแท้ฯ ผู้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของกลับมิเคยได้เป็นเจ้าของ หรือใช้สอยเงินปันผลกว่า๑,๔๖๑ ล้านบาทนี้เลย เหตุเพราะบริษัทชินคอร์ปได้มีหนังสือแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์ว่า ขอให้จ่ายเงินปันผลเป็นเช็คแล้วส่งมอบโดยตรงให้ตัวแทนลูกค้า ซึ่งจะไปรับเช็คแล้วนำมาเข้าบัญชีนายพานทองแท้ฯ ทันที และภายในไม่เกิน ๑ สัปดาห์ เงินปันผลนี้ก็จะโอนไปเข้าบัญชีคุณหญิงฯผู้มารดาจนหมดสิ้น
จากการตรวจสอบก็พบว่าตัวแทนรับเช็คนี้ก็คือพนักงานคนสนิทของคุณหญิงฯ และเงินปันผลที่คุณหญิงดึงไปจากบัญชีนายพานทองแท้นั้น ก็รวมยอดได้ถึง ๕,๒๓๔ ล้านบาทท่วมค่าซื้อหุ้นที่อ้างว่านายพานทองแท้เป็นหนี้บิดามารดาอยู่๗๓๔ ล้านบาท ไปเป็นจำนวน ๔,๕๐๐ ล้านบาท
หลักฐานที่ต้องการชิ้นที่ ๔ ปัญหา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ รักลูกจริงจึงขายหุ้นให้ลูก หรือใช้ชื่อลูกเพื่อซุกหุ้นหนีกฎหมายนั้น ไม่มีหลักฐานชี้ขาดความรักในใจคนได้ แต่ คตส.ตรวจพบว่า ก่อนหน้าที่อ้างว่าขายหุ้นให้ลูก ๑ วัน คุณหญิงพจมานฯ ได้ให้นายพานทองแท้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ตนยึดถือไว้ เท่าราคาตลาดของหุ้น๒๔.๙๙% คือ ๔.๕ พันล้านบาท พอดี จากนั้นจึงได้ทำเป็นขายหุ้นให้ในราคาเท่าทุนคือ ๗๓๔ ล้านบาท
ต่อมาเมื่อหุ้นชินฯเริ่มให้เงินปันผลแก่หุ้นชิน-พานทองแท้ จากปี ๒๕๔๕ ? ๒๕๔๘ รวมเป็นเงินกว่า ๕ พันล้านบาท นายพานทองแท้ผู้ถูกอ้างว่าเป็นเจ้าของฯ ก็มิได้มีโอกาสใช้เงินปันผลนี้เลย ต้องส่งเงินปันผลเข้าบัญชีธนาคารของมารดาในทันที จนหมดสิ้น ทั้งหมดนี้ทำให้น่าเชื่อได้ว่า นายพานทองแท้ มิใช่เจ้าของแท้จริง ถูกใช้ชื่อถือแทนบิดามารดาเท่านั้น และเนื่องจากมิได้รับความไว้วางใจเช่นที่ควร จึงได้ถูกผูกพันให้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้มารดาถือไว้เท่าราคาหุ้นในตลาด หาใช่เท่าราคาต้นทุน ๗๓๔ ล้านแต่อย่างใดไม่
ด้วยความสงสัยนี้ คตส.ได้สอบถามความเป็นมาของหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้จากนางกาญจนาภา หงษ์เหิน มาครั้งหนึ่งแล้ว นางกาญจนาภาฯก็ได้รับปากแล้วว่าจะหาหลักฐานมาให้ใน ๗ วัน แต่ก็มิเคยนำมาให้ พ.ต.ท.ทักษิณฯจึงควรนำหลักฐานหรือคำอธิบายนี้มาให้ชี้ขาดในสำนวนไต่สวนของ คตส.ด้วย แต่ก็มิได้นำเสนอไว้แต่อย่างใดเลย
๒.๓) หุ้นชินฯ ? พินทองทา ชื่อนางสาวพินทองทา ได้เริ่มถูกนำมาใช้ถือหุ้นชินฯและหุ้นเอสซีแอสเสท เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว เฉพาะหุ้นชินฯนั้น นายพานทองแท้ฯได้แจ้งต่อ กลต.ว่า ตนได้ขายหุ้นให้นางสาวพินทองทา ไปเป็นจำนวน ๓๖.๗ ล้านหุ้น ในราคาต้นทุนหุ้นละ ๑๐ บาท เป็นเงิน ๓๖๗ ล้านบาท
เงินก้อนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ยื่นคำชี้แจงว่า บุตรสาวได้เก็บหอมรอมริบจากเงินของขวัญที่ได้จากผู้ใหญ่ตามกาละโอกาสต่างๆ แต่ คตส.ตรวจพบจากบัญชีธนาคารว่า เป็นเงินที่โอนในคราวเดียวกันจากบัญชีคุณหญิงพจมานฯ มาเข้าบัญชีพานทองแท้ผู้อ้างว่าขายหุ้น แล้วโอนกลับคืนคุณหญิงจนหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ คตส.เชื่อว่า น่าจะเป็นการแบ่งหุ้นให้ตัวแทนเชิดคนใหมถือแทนเท่านั้น
หลักฐานที่ต้องการชิ้นที่ ๕ ความข้อนี้นางสาวพินทองทาฯเคยให้ปากคำต่อ คตส.ไว้แล้วว่า มารดาให้เงินในคราวเดียวเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อบรรลุนิติภาวะ การตรวจสอบทางเดินของเงินโดย คตส.ก็ยืนยันตรงกัน หาก พ.ต.ท.ทักษิณมีหลักฐานเป็นอื่น ก็ควรให้นางสาวพินทองทา แสดงหลักฐานบัญชีเงินฝากที่ใช้สะสมเงินของขวัญเหล่านี้มาแสดงต่อ คตส.ด้วย
ใน ส่วนการใช้เงินปันผลหุ้นชินฯก้อนนี้นั้น ได้ถูกรับเข้าไปสั่งสมไว้ในบัญชี นางสาวพินทองทาทุกครั้งโดยไม่เร่งเบิกคืนมารดาเหมือนบัญชีพี่ชาย ได้มีการนำไปใช้ครั้งใหญ่เมื่อนำเงินปันผลไปแปลงเป็นหุ้นเอสซีแอสเสท โดยทำเป็นให้นางสาวพินทองทาซื้อหุ้นเอสซีแอสเสทคืนจากบริษัทวินมาร์คและพวก เป็นจำนวน ๔๘๕.๘ ล้านบาทซึ่งหากศาลเห็นตรงกับ คตส.ว่า บริษัทวินมาร์คนี้เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ และภริยา และบุตรทั้งสาม
ความเท็จเรื่องพินทองทาซื้อหุ้นเอสซีจากวินมาร์ คก็จะปรากฏ จนเห็นเป็นเท็จต่อไปได้ทั้งหมดในที่สุด กรณีจึงไม่ต้องขอพยานหลักฐานชี้ขาดใดจากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณฯในส่วนนี้
๒.๔) หุ้นชิน ? บรรณพจน์ หุ้นชินฯถูกกล่าวอ้างว่าเป็นของนายบรรณพจน์ ๒ กรณีคือซื้อจากคุณหญิงพจมานฯในราคาทุน ๔ ครั้งและซื้อจากการเพิ่มทุนตามสิทธิของคุณหญิง ๑ ครั้ง โดย ๔ ใน ๕ ครั้ง ใช้เงินจากบัญชีคุณหญิงฯ อธิบายว่าเป็นเงินยืม ส่วนอีก ๑ ครั้งอันเป็นครั้งสุดท้ายที่ซื้อจากคุณหญิงฯ ใช้วิธีออกตั๋วสัญญาใช่เงินให้ถือเป็นประกัน หนี้ทั้ง ๕ ก้อนนี้ ไม่มีการชำระคืนเลย แต่เงินปันผลทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้มิได้นำไปใช้
ครั้นหุ้นชิน-บรรณพจน์ ถูกขายให้กองทุนเทมาเส็คจนหมดเมื่อ มกรา ๒๕๔๙ แล้ว เงินที่ได้ก็นำมารวมกับเงินปันผล แยกออกมาจากทรัพย์สินส่วนตัวของนายบรรณพจน์ฯ เป็นบัญชีชิน- บรรณพจน์ โดยชัดเจน และปัจจุบันส่วนหนึ่งได้ถูกอายัด อีกส่วนหนึ่งได้ทยอยไปเข้าบริษัทครอบครัว ในชื่อคุณหญิงฯหรือบุตรแล้ว
ข้อหาซุกหุ้นในส่วนนี้ คำชี้แจงข้อกล่าวหาระบุว่าได้ขายให้นายบรรณพจน์ฯ แล้ว แล้วก็ไม่เคยทราบการจัดการเงินต่างๆ ของนายบรรณพจน์ฯเลย ตัวนายบรรณพจน์ฯเองนั้น ก็ได้เคยมาให้ปากคำ ต่อ คตส.ไว้แล้ว ช่องทางสืบพยานเพิ่มเติมในส่วนนี้จึงไม่ปรากฏในคำชี้แจง
๒.๕) หุ้นชิน ? ยิ่งลักษณ์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีชื่อถือหุ้นชินเพียงธุรกรรมเดียวคือ ถูกอ้างว่ารับซื้อหุ้นชินฯจากพี่ชาย ๒ ล้านหุ้น หรือ ๐.๖๘ % หุ้นละ ๑๐ บาทอันเป็นจำนวนที่เหลือหลังจากขายให้แก่บุตรแล้ว โดยขายให้ในราคาทุนและออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ถือไว้เป็นประกัน จำนวน ๒๐ ล้านบาท
ข้อนี้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า เมื่อได้รับเงินปันผลเมื่อใดก็จะส่งคืนพี่ชายพี่สะใภ้ตลอด โดยเงินปันผล ๒๐ ล้านบาทแรก จะส่งคืนพี่ชายจนครบหนี้ซื้อหุ้นที่อ้าง ส่วนเงินปันผลอีก ๗๗.๒ ล้านบาทนั้น เกินจากยอดหนี้ที่อ้าง ก็ต้องหาทางส่งคืนอีกวิธีหนึ่ง โดยออกเป็นเช็คให้เจ้าหน้าที่ของพี่สะใภ้มารับเช็คไปใบละไม่เกิน ๒ ล้านบาทจนหมด ทั้งหมดนี้เป็นพิรุธทำให้เชื่อได้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ทำตนเป็นผู้ถือหุ้นแทนเท่านั้น
ต่อข้อกล่าวหาในส่วนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณฯชี้แจงว่า ขายหุ้นให้ นางสาวยิ่งลักษณ์แล้ว ก็ไม่ข้องเกี่ยวทราบเรื่องใดอีกเลย
หลักฐานที่ต้องการชิ้นที่ ๖ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ควรให้น้องสาว ยื่นหลักฐานต่อ คตส.ว่า ตนนำเงินตามเช็คเงินปันผล อีก๗๗ ล้านบาทไปชำระให้ผู้ใดในมูลหนี้ใด เหตุใดจึงซอยแบ่งเป็นเช็คใบละไม่เกิน ๒ ล้านเช่นนั้น
๓. ความน่าเชื่อถือของการตรวจสอบธุรกรรม หุ้นชิน ? ชินวัตร โดยระบบจดแจ้งหลักทรัพย์ คำชี้แจงของ พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามกล่าวอ้างระบบจดแจ้งการถือครองหลักทรัพย์มาเป็นหลัก ฐานยืนยันการโอนหุ้นชินฯในคดีว่า เป็นที่รับรู้รับรองโดยระบบนี้มาตลอด หรือแม้แต่ระบบภาษีเงินได้เอง คตส.ก็ได้นำมาเรียกเก็บภาษีจากธุรกรรมเหล่านี้ก็มีอีกเช่นกัน อนุกรรมการพิเคราะห์แล้วก็เห็นว่ามีข้อกฎหมายที่ถูกบิดเบือน และมีหลักฐานที่ต้องนำมาชี้ขาดให้กระจ่างดังนี้
- การตรวจสอบสามระบบ สัมภาระผู้โดยสารที่จะส่งเข้าบรรทุกใต้ท้องเครื่องบิน อาจต้องถูกตรวจทั้งระเบิด,อาวุธ,และยาเสพติด ในเวลาเดียวกันฉันใด การโอนหุ้นก็อาจต้องถูกตรวจทั้งความโปร่งใสจดแจ้งตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์, ทั้งกำไรที่ต้องเสียภาษี และทั้งการทุจริตประพฤติมิชอบของข้าราชการก็ได้ฉันนั้น โดยการตรวจแต่ละระบบนี้ต่างก็จะมีเป้าหมายและวิธีการตลอดจนผลการตรวจของ ตนเองเป็นเอกเทศ สัมภาระใดถูกตรวจแล้วไม่มียาเสพติดก็หาได้หมายความว่าไม่มีระเบิดแต่อย่างใด ไม่ หรือธุรกรรมขายหุ้นใดผู้มีชื่อซื้อหุ้นได้กำไรและเสียภาษีไปแล้ว แต่อาจถูกกฎหมายปราบคอรัปชั่นพิสูจน์ว่า เป็นการซื้อขายจอมปลอมสร้างตัวแทนเชิดมาถือครองหุ้นรสัมปทานนั้นแทนนายก รัฐมนตรีก็ได้เช่นกัน
ข้อที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้าง การตรวจสอบตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์และตามกฎหมายภาษีอากรมาปฏิเสธการตรวจสอบ ตามกฎหมายปราบคอรัปชั่นจึงไม่ถูกต้อง ตั้งแต่แรกแล้ว
- การตรวจสอบตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ อนุกรรมการฯมีความเห็นว่า การตรวจสอบตามกฎหมายหลักทรัพย์ที่กระทำต่อธุรกรรมหุ้นชินฯของครอบครัวชิน วัตรนั้น ไม่อาจอ้างอิงเป็นหลักประกันความใสสะอาดของธุรกรรมเหล่านั้นได้เลย เพราะหาได้มีการตรวจสอบที่ได้มาตรฐานตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใดไม่ โดยมาตรการตรวจสอบในส่วนแรกคือหน้าที่จดแจ้งของบุคคลในครอบครัวชินวัตรนั้น ก็จะพบว่าไม่อาจเชื่อถือในความสุจริตใจได้เลย
- ไม่มีการแจ้งที่เป็นปัจจุบัน เช่นการโอนหุ้นแอมเปิล ริช จาก พ.ต.ท.ทักษิณฯให้พานทองแท้ เมื่อ ธันวาคม ๒๕๔๓ ก็อธิบายลอยๆต่อ กลต.ในตุลาคม ๒๕๔๔ ว่าขายให้บุตรไปแล้ว และยอมรับทำเอกสารแจ้งการซื้อขายเมื่อ กุมภา ๒๕๔๙ และถูกปรับไป ๕ ล้านบาท
- การจดแจ้งย้อนหลังจะทำขึ้นก็ต่อเมื่อจนมุมเกิดคดีให้ต้องอธิบายกลบเกลื่อนเท่านั้น เช่น
เมื่อ ปปช.ฟ้องซุกหุ้นและขอให้ กลต.ตรวจสอบการถือหุ้นชินของครอบครัวชินวัตรทั้งหมด จนกลต.ไปพบหุ้นชิน- แอมเปิลริช ในกันยายน ๒๕๔๔ ถึงตรง นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ขอแก้ไขใบแจ้งโดยอธิบายว่าลืมไปว่าตนยังถือหุ้นชินฯผ่านแอมเปิล ริช อยู่
ครั้นถามต่อไปว่าเมื่อขึ้นเป็นนายกฯ ในมกรา ๔๔ นั้นตนยังถือหุ้นชิน ? แอมเปิล ริชอยู่หรือไม่ ก็อธิบายต่อไปว่า ลืมแจ้งไปอีกเพราะได้ขายแอมเปิล ริช ให้บุตรชายไปแล้ว
ครั้นเมื่อขายหุ้นชิน ? แอมเปิล ริช ให้กองทุนเทมาเส็ค เมื่อมกราคม ๒๕๔๙ แล้ว สาธารณะชนก็รู้ทันทีว่ามีหุ้นชิน- แอมเปิลริช อยู่ในโลกตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ แล้ว ถึงตรงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณฯถึงยอมจำนนให้ นายพานทองแท้ ยอมแจ้งการซื้อหุ้นชิน- แอมเปิลริชเ เมื่อธันวา ๒๕๔๓ ต่อก.ล.ต. โดยแจ้งเมื่อ กุมภา ๒๕๔๙ และถูกปรับไป ๕ ล้านบาทในที่สุด
- ภาพรวมที่แท้จริง นับแต่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา หุ้นชินฯของครอบครัวชินวัตร ไม่เคยเป็นที่ติดใจ ติดตามของสาธารณะและ ก.ล.ต.เลย ก.ล.ต.ได้แต่รับแจ้งแล้วก็ไม่ตรวจสอบเช่นที่ควร ส่วน ปปช.นั้น หลังแพ้คดีซุกหุ้น ๑ แล้วก็มิได้ตรวจสอบจริงจังอะไรอีก
จนต่อมาเมื่อมีการรวมหุ้นชิน ? ชินวัตร ขายกองทุนเทมาเส็คในมกรา ๒๕๔๙ โดยไม่เสียภาษี คำอธิบายที่เชื่อได้ยากจึงได้เป็นที่รับรู้ และนายพานทองแท้ฯ ก็จำต้องยอมแจ้งธุรกรรม ปี ๒๕๔๓
ในปี ๒๕๔๙ และเสียค่าปรับในที่สุด ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากความจำยอมของครอบครัวชินวัตร และ กลต.ทั้งสิ้น ข้อกล่าวอ้างที่ว่าธุรกรรมของตนได้รับการตรวจสอบระบรองจาก กลต.แล้ว จึงไม่เป็นจริงโดยสิ้นเชิง