jaw wrote:เรากำลังทำร้ายจิตใจเสื้อแดงมากเกินไปรึเปล่าคะเนี่ย![]()
![]()
![]()
พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับโดยเปิดเผยว่า ตนเป็นเจ้าของบริษัทแอมเพิลริช มีทุนจดทะเบียน 5 หมื่นเหรียญ แต่ชำระแล้ว 1 เหรียญสหรัฐ และตนได้ขายหุ้นชินฯ 10.44% ให้บริษัทนี้ ในปี 2543 โดยแจ้งต่อ กลต.ไว้ ครั้นเมื่อมกราคม 2549 หลังขายหุ้นชินฯ 46.87% ให้เทมาเส็ก ก็เกิดการขุดคุ้ยติดตามหุ้นชินฯ ของชินวัตรเป็นการใหญ่ จนพบหุ้นชินแอมเพิลริช และพบว่าแอมเพิลริชเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในปี 2543 จึงได้มีการอธิบายกันใหม่ แจ้งกันใหม่ต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อมกราคม 2549 ย้อนหลังไป 6 ปีว่า แท้จริงในธันวาคม 2543 นั้น นายพานทองแท้ได้ซื้อแอมเพิลริชไปจากบิดาแล้วในราคา 1 เหรียญสหรัฐ ซึ่งแม้คำอธิบายนี้จะพยายามทำให้เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเป็นนายกฯ เมื่อกุมภาพันธ์ 2544 โดยไม่มีหุ้นชินแอมเพิลริช เพื่อให้รอดพ้นจากการถอดถอน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ป.ป.ช.ก็ตาม แต่คำแก้ตัวนี้ก็มีค่าใช้จ่ายแพงถึง 6 ล้านบาท เพราะต้องยอมให้ กลต.ลงโทษปรับนายพานทองแท้ตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ ฐานละเว้นไม่แจ้งการรับโอนหุ้นชินแอมเพิลริชถึง 6 ล้านบาท
Tam-mic-ra wrote:...
4.4 การ กล่าวหาว่าตั้งใจแก้กฏหมายแล้วขายหุ้นทันที ความจริงแล้วจังหวะเวลาที่กฏหมายมีผลใช้ใกล้เคียงกับการขายหุ้นชินคอร์ป เป็นความบังเอิญ ไม่ใช่การออกกฏหมายมาเอื้อการขายหุ้น
· มีการทำเรื่องนี้ทุกพรรคและทุกสภามา 4 ปี วันที่ผ่านสภาผู้แทน 14 กันยายน 2548
· กรณี นี้ไม่มีผลต่อชินคอร์ป เนื่องจากไม่ใช่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการโทรคมนาคมโดยตรง และยังไม่มีผลต่อเอไอเอสหรือชินแซทเทลไลท์ในขณะนี้ตามใบอนุญาตเดิม จะมีผลเมื่อมีใบอนุญาตใหม่ในอนาคต
![]()
pooyong wrote:เรื่องปราบยาเสพติดนี่ สมัยนั้น คนดังที่ไม่เข้า ทรท.
โดนค้นหายา หาอาวุธทั้งนั้น ส่วนใหญ่จะเจออาวุธซะมากกว่า
ก็ นักเลง เจ้าพ่อ บ้านนอก การมีอาวุธ ถือว่าธรรมดา
ส่วนคนดังที่รีบย้ายมาเข้า ทรท. ไม่มีใครโดนกองปราบค้นเลย
Tam-mic-ra wrote:การออกกฏหมายให้ต่างชาติถือหุ้นบริษัทโทรคมนาคมไทยได้ไม่เกิน 50%
4.1 เดิมบริษัทโทรคมนาคมไทยที่เป็นสัญชาติไทย ต้องมีสัดส่วนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 50% ตามนิยามในกฏหมายการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ไม่มีเจตนากีดกันหรือไม่ต้อนรับการลงทุนด้านโทรคมนาคมจากต่างชาติ
ไม่มีเจตนากีดกัน แต่มีเจตนาปกป้องระบบโทรคมนาคมของชาติซึ่งครอบคลุมถึงโทรคมนาคมทางอากาศ และทางอวกาศด้วย พูดง่ายๆก็คือวงโคจรของดาวเทียมน่ะ เข้าใจมั้ย ตอนนี้สิงคโปร์อยากส่องไส้เรามีกี่ขดยังได้เลยพ่อคุณ มันกระทบความมั่นคงของชาติเข้าใจป่ะ
4.2 ต่อมาปี 2543 รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอร่าง พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม เป็นการออกกฏหมายลูกตามรัฐธรรมนูญใหม่ปี 2540 โดยสัดส่วนต่างชาติ ให้ใช้นิยามตาม พรบ การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ปี 2542 (ว่าต้องเป็นบริษัทไทย คือต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 50%)
เขียนครึ่งๆกลางๆทำไม จะเขียนก็เขียนให้หมดสิว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์เสนอร่าง พรบ นี้เพราะต้องทำให้เป็นไปตาม LOI 11 ฉบับที่ชวลิตไปเซ็นไว้กับ IMF
· แต่ในปี 2544 วุฒิสภาได้แปรญัตติให้สัดส่วนเป็นไม่เกิน 25% แทน ทำให้บริษัทโทรคมนาคมหลายราย คือ ดีแทค ออเร้นจ์ ทีทีแอนด์ที (บริษัทโทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น, บริษัทซีพีออเร้นจ์ บริษัทไทยเทเลโฟน แอนด์เทเลคอมมิวนิเคชั่น) มีปัญหา เพราะมีสัดส่วนการลงทุนจากต่างชาติเกินกว่านี้ จึงร้องเรียนเสนอพรรคการเมืองทุกพรรคให้ปรับสัดส่วนนี้
ตรงนี้ถือว่าไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะ การปรับแก้สัดส่วนของผู้ถือหุ้นให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด มันง่ายกว่าการแก้กฎหมายนะเธอว์ โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ที่สำคัญทักษิณมันเป็นคนพูดเองว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลมันจะยกเลิกสัญญาขายชาติ 11 ฉบับ (LOI 11 ฉบับ) แต่นอกจากไม่ยกเลิกแล้ว มันยังเป็นคนเดียวที่ใช้ด้วย อย่าอ้างว่า ปชป ออก พรบ นี้มาใช้ เพราะเขาถูกสัญญาที่เกิดขึ้นสมัย ชวลิตบังคับ แต่วุฒิสภาก็ได้แปรญัตติให้คงไว้ที่สัดส่วนที่เหมาะสมแล้ว (25 % ) อ้างแบบนี้เขาเรียกอ้างแบบหน้าด้าน เอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ละอายแก่ใจหน่อยค่ะ
· มีการอภิปราย แปรญัตติ มาตลอด 4 ปี จึงผ่านการพิจารณาของทั้งสองสภาปลายปี 2548 ให้สัดส่วนต่างชาติตามพรบ การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ปี 2542 (ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 50%) ตามร่างแรกเมื่อปี 2542
ถ้าอยากปกป้องผลประโยชน์ และความมั่งคงของชาติมีเหตุผลต้องทำด้วยหรือ ในปี 2544 วุฒิสภาได้แปรญัตติให้สัดส่วนเป็นไม่เกิน 25% ซึ่งอัตราส่วนตรงนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว
4.3 สัดส่วนนี้สอดคล้องกับแนวโน้มการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ พันธสัญญาต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ในการเปิดเสรีโทรคมนาคมปี 2549 รวมถึงแนวโน้มการลงทุนเทคโนโลยีโทรคมนาคมใหม่เพื่อให้ทันกับการพัฒนา เช่น บรอดแบนด์โทรศัพท์มือถือยุคที่ 3 ซึ่งจะต้องมีการลงทุนเพิ่มอีกหลายแสนล้านบาท ขณะที่ทุนไทยจะมีข้อจำกัดอย่างแน่นอน ต้องอาศัยเงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก
อย่ามาอ้าง WTO เพราะทักษิณเป็นคนนำนโยบายนี้มาใช้เองโดยไม่ศึกษาผลกระทบ แต่ก่อนหน้าที่จะนำนโยบายเปิดการค้าเสรีมาใช้ ทักษิณมันก็พยายามลดบทบาทของรัฐวิสาหกิจผู้เป็นเจ้าของสัมปทานตลอดอยู่แล้ว จนเมื่อนำนโยบายการค้าเสรีขององค์การค้าโลกเข้ามาได้สำเร็จ มันก็ใช้ให้เป็นประโยชน์เดินหน้าลดบทบาทเจ้าของสัมปทานทันที
31 กรกฎาคม 2545 ทักษิณแปรสภาพองค์การการโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 แปรสภาพการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ของการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ได้แปรสภาพองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2548 ได้มีการแปรสภาพการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ด้วย เห็นมั้ยว่ารัฐวิสาหกิจที่ควรจะให้ประโยชน์กับประชาชนกลายเป็นบริษัทที่แสวงหากำไรไปหมด เพราะงี้ไง เราเลยต้องใช้ ไอพีสตาร์ความเร็วแค่เมกเดียวต้องจ่ายเดือนตั้ง 3500 บาท เซ็ง !!
4.4 การ กล่าวหาว่าตั้งใจแก้กฏหมายแล้วขายหุ้นทันที ความจริงแล้วจังหวะเวลาที่กฏหมายมีผลใช้ใกล้เคียงกับการขายหุ้นชินคอร์ป เป็นความบังเอิญ ไม่ใช่การออกกฏหมายมาเอื้อการขายหุ้น
· มีการทำเรื่องนี้ทุกพรรคและทุกสภามา 4 ปี วันที่ผ่านสภาผู้แทน 14 กันยายน 2548
ถ้าดูจากองค์ประกอบต่างๆที่ว่ามา มันเป็นความพยายามที่จะเข้าข้างทักษิณอย่างน่าสมเพชนะเราว่า เพราะมันเป็นการปรับเปลี่ยนที่มีการวางแผนให้สอดรับกันเป็นอย่างดี สิ่งที่เกิดขึ้นหลังนั้นก็คือ ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้น มีการวางแผนกันในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะสภาพขององค์กรที่เป็นรัฐวิสาหกิจทั้งหมดได้ถูกแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด และมีสถานภาพไม่แตกต่างกันกับบริษัทผู้รับสัมปทาน ยิ่งไปกว่านั้น ยังนำบริษัทในเครือที่ลงทุนด้านกิจการโทรคมนาคมทางดาวเทียมไปขอรับการส่งเสริมการลงทุน ทำให้ได้รับประโยชน์จากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้จากเงินปันผลให้แก่เจ้าของหุ้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี ซึ่งเมื่อรวมผลประโยชน์ที่ได้รับการลดแลกแจกแถม มูลค่าหุ้นของชินเลยสูงเอ๊าสูงเอาอย่างที่เห็นไง
· กรณี นี้ไม่มีผลต่อชินคอร์ป เนื่องจากไม่ใช่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการโทรคมนาคมโดยตรง และยังไม่มีผลต่อเอไอเอสหรือชินแซทเทลไลท์ในขณะนี้ตามใบอนุญาตเดิม จะมีผลเมื่อมีใบอนุญาตใหม่ในอนาคต
แต่เป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์สูงสุด กับการเปลี่ยนแปลงสัมปทานรัฐ และการผิดสัญญาแบบหน้าด้านเมื่อทักษิณไม่ยอมยิงดาวเทียมสำรองไทยคม 3 แต่ใช้อำนาจหน้าที่หักดิบยิงดาวเทียมหลักคือ ไอพีสตาร์ ซึ่งก่อนยิง ทักษิณได้ออกนโยบายมอบคอมฯให้ทุกโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขายสัญญาณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสัดส่วนการขายสัญญาณให้คนไทยก็เพียงแค่ 6 % เท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดขายให้ต่างชาติ เป็นการผิดสัญญาสัมปทานอีกข้อของมัน ซึ่งคนอย่างคุณก็คงไม่รับรู้อีกตามเคย
![]()
Gop wrote:Tam-mic-ra wrote:...
4.4 การ กล่าวหาว่าตั้งใจแก้กฏหมายแล้วขายหุ้นทันที ความจริงแล้วจังหวะเวลาที่กฏหมายมีผลใช้ใกล้เคียงกับการขายหุ้นชินคอร์ป เป็นความบังเอิญ ไม่ใช่การออกกฏหมายมาเอื้อการขายหุ้น
· มีการทำเรื่องนี้ทุกพรรคและทุกสภามา 4 ปี วันที่ผ่านสภาผู้แทน 14 กันยายน 2548
· กรณี นี้ไม่มีผลต่อชินคอร์ป เนื่องจากไม่ใช่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการโทรคมนาคมโดยตรง และยังไม่มีผลต่อเอไอเอสหรือชินแซทเทลไลท์ในขณะนี้ตามใบอนุญาตเดิม จะมีผลเมื่อมีใบอนุญาตใหม่ในอนาคต
![]()
ถามจริงๆ คุณเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือครับ![]()
![]()
สี่ปีที่ว่า 45 46 47 48 นี่มันรัฐบาลทักษิณล้วนๆเลยนะครับ
แล้วประโยคสุดท้ายนั้น คุณแน่ใจหรือ ว่าไม่มีผลจริงๆ รอคุณ Jaw ชี้แจงดีกว่า ว่า AIS และ เครือชินวัตรไม่เข้าข่ายกฏหมายที่ออกจริงหรือเปล่า![]()
![]()
Elessar01 wrote::mrgreen:![]()
![]()
คุณ JAW ไปศึกษามาได้ไงเนี่ย
----------------------------------------
ตอนที่ศาลตัดสินคดียึดทรัพย์ มีนักวิชาการอีกด้าน-โปรทักษิณ-ออกมาเขียนบทความเยอะแยะ ว่ามีความเห็นอีกแบบนึง
คิดว่าคุณ JAW น่าจะเคยอ่านนะครับ - แต่ไม่รู้เคยสับรึยัง
![]()
![]()
Tam-mic-ra wrote:
1.11. ทั้งตัวคุณทักษิณ ครอบครัว บริษัท และพนักงานกว่า12,000 คน เสียภาษีให้รัฐทุกรูปแบบ ทั้งเงินได้จากเงินปันผล เงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวมถึงค่าสัมปทานต่างๆ ทั้งมือถือ ดาวเทียม ฯลฯ ปีละหลายหมื่นล้านบาท สิบกว่าปีนี้หลายแสนล้านบาท เป็นผู้จ่ายภาษีรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย ร่วม 5% ของยอดจัดเก็บของสรรพกร ทำขนาดนี้ ทั้งผู้ก่อตั้งและตัวบริษัทเอง เป็นผู้เสียภาษีที่รักชาติไม่น้อยกว่าใครที่มาโจมตี (หลายปีก่อนตอนยังทำธุรกิจ คุณทักษิณเคยเป็นบุคคลที่เสียภาษีสูงสุดของไทยปีละหลายร้อนล้านบาทหลายปี)
1.12. กลุ่มบริษัทชินคอร์ปฯ ได้ชื่อว่า เป็นบริษัทดีเด่นของไทย มูลค่าทางตลาดรวมในตลาดหลักทรัพย์ (Market Capitalization) กว่า 350,000 ล้านบาท เท่ากับ 7% ของทั้งตลาดหุ้นไทย เป็นหนึ่งในสามบริษัทไทยที่ติด 500 อันดับแรกของบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกจัดโดยฟอร์จูน (อีกสองบริษัทคือปูนซีเมนต์ไทยและปตท) ได้รับรางวัลจากตลาดหลักทรัพย์ไทยและสถาบันการเงินระหว่างประเทศจำนวนมาก ในความดีเด่นในแง่ผู้บริหาร การจัดการ ธรรมธิบาล การรายงานการเงิน ความเชื่อถือทางการเงิน (เครดิตทางการเงินของเอไอเอส ในเครือชินคอร์ปฯคอร์ป สูงกว่าของรัฐบาลไทย) ทำได้ขนาดนี้ ต้องมีความสามารถและจริยธรรมเพียงพอแน่
Tam-mic-ra wrote:Gop wrote:
ข้อนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ เพราะมันขายใน "ราคาทุน" ทักษิณจึงไม่มีรายได้พึงประเมินในการเสียภาษีนั่นเอง
แล้วคุณ Tam-mic-ra คิดอย่างไรเรื่องการซุกหุ้นครับ ผมว่าหลักฐานแน่นนะครับ โดยเฉพาะ Dr. T. Shinawantra เนี่ย ผมว่าชัดแจ๋วเลย ไหนจะลักษณะการใช้เงินของ โอ๊ค เอม อีก![]()
เรื่องซุกนี่ ครั้งที่1 ผมว่าก็ดูน่าเกลียดไปหน่อย
ส่วนพอหลัง 19 กันยา
ผมยัง 50-50 ครับ
คือได้นายกแม้วแรกๆผมก็เหลืองเก่า กรณีทักษิณ ผมไม่ได้สรรเสริญแกอะไรมากมาย
แกอาจมีข้อเสียบ้างก็คงเป็นปรกติของมนุษย์ทุกคน
หรือถ้าซุกจริง ผมก็ไม่เห็นว่าโกงใครกินอะไร เป็นเพียงผิดข้อกฏบัญญัติไว้
แม้วอาจจะลืมจริง หรือเพราะได้เป็นนายก จึงมีเวลาไม่พอ ที่ต้องหาคนมาซื้อดีลใหญ่ๆ เลยต้องซุกไว้ก่อน
ผมไม่ได้เลือกคนที่บริสุทธิไม่เคยทำผิด แต่เลือกคนที่เลวน้อยที่สุด
เพื่อให้ฝ่ายแพ้เลือกตั้ง ทำเลวให้น้อยลงๆ เราก็ค่อยเปลี่ยนตัวเลือกใหม่
เสื้อแดงไม่ใช่พวกเห็นคนทำไม่ดี แต่ยังเลือกเพราะเศษเงินอะไร แบบที่พวกคุณละเลงกัน
แต่อย่าไปติงต๊องกาโนโหวต เพราะมันก็ไม่ทำให้อะไรมันก้าวหน้าเลย
แต่ที่ผมยังไม่ไว้ใจ และยังไม่เชื่อ คือกรณี ที่มาของ คตส. ที่แต่งตั้งโดย คมช.เข้ามาเพื่อเล่นแม้วโดยเฉพาะ
ถึง คตส. จะสรุปแบบดีใจที่เจอไม้ตายตอนหลัง ว่าเจอลายเซ็น Dr. T. Shinawantra ก็ตาม
ทั้งที่ ทีเรื่องอื่นของพวกเดียวกัน ชัดๆเช่น GT200 ฯลฯ
ไม่เห็นมีหน่วยงานอิสระไหนกล้าออกมาเล่นงานเลย
แถมตัวคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ก็มีหลักฐานว่าร่ำรวยผิดปรกติเองเสียสะงั้น
สรุปคือผมยัง 50-50 ไว้ก่อน ว่า ข้อมูลข้อสรุปต่างๆ
ผมว่าอาจเป็น "รวมแหล คตส." ก็ได้
Tam-mic-ra wrote:หนูแจ๋ว นี่ตอบอะไรแบบคิกขุอาโนเน๊ะน่ารักๆดีน่ะ
แต่ไปศึกษาเรื่องราวให้แม่นก่อนค่อยมาคุยกะเฮียง่ะ
จะได้คุยกันรู้เรื่องหน่อย
ขายในตลาด เขายกเว้นภาษี ก็ถูกแล้วนิ
ใครๆก็รู้ หนูแจ๋วยกกฏหมายมา ให้เป็นประเด็นอะไรทำไมหว่า
แม้วเขาขายลูกไป แล้วลูกก็ซื้อขายกับสิงคโปที่ต่างประเทศซึ่งมันก็ไม่มีภาษี
แล้วมาโอนในตลาดไทยก็ไม่มีภาษีคิดง่ายๆนะ สมมติถ้าแม้วขายตรงๆรวดเดียว ให้เขาไป ในตลาดไทย
ก็ไม่ต้องเสียภาษี
จบ.. . ไม่ต้องผิดอะไรเลย
(ควายนักเลงสถุน ก็จะหาเรื่องไปใส่ร้ายเรื่องอื่นต่อ เช่น ขายสมบัติชาติ ฯ บลาๆๆ)
baezae wrote:ขออนุญาตคุณแจ๋วและคุณ amplepoor นำข้อมูลในส่วนไอเอ็มเอฟ และ ปรส ไปเผยแพร่นะครับ
ปชป. จับโกหก”ทักษิณ” อ้างไม่เกี่ยววินมาร์ค แต่กลับใช้ที่อยู่เดียวกับแอมเพิลริช “อภิสิทธิ์” ยันให้ลูกพรรคเดินหน้าคุ้ยข้อมูล พร้อมกระตุ้นกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบต่อ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการประชุมพรรคว่า ที่ประชุมได้มีการพูดถึงการทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นกับ บริษัทวินมาร์ค ลิมิเตด ที่ตั้งอยู่บนเกาะบริติช เวอร์จิ้น (ทักษิณมันเคยเนียนด่าคนไปตั้งบริษัทลับที่เกาะนี้ว่า เป็นพวกไม่รักชาติ ดูสิ ด่าตัวเองมันก็ยังทำได้ลงคอ ) ซึ่งมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย และเป็นบริษัท ซึ่งนายกรัฐมนตรีเคยยืนยันว่าไม่ใช่เจ้าของ แต่กลับปรากฏว่า มีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับบริษัทแอมเพิล ริช ในแง่ของการที่รับหุ้นจากบริษัทในเครือของครอบครัวไปแล้ว สุดท้ายก็ถ่ายกลับมา และในหลายบริษัทที่เข้ามาเกี่ยวข้องตรงนั้นยังมีกองทุนซึ่งตั้งขึ้นมา เพื่อถือหุ้นตรงนี้โดยเฉพาะ และยังมีการสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้กับครอบครัวชินวัตร และที่สำคัญก็คือ เหตุใดบริษัทวินมาร์คฯ กับบริษัทแอมเพิล ริช ใช้ที่อยู่เดียวกัน
“ทำไมบริษัทวินมาร์ค กับแอมเพิล ริชใช้ที่อยู่เดียวกัน นายกฯ บอกว่าแอมเพิล ริช เป็นของตัวเอง วินมาร์คไม่เกี่ยวข้องเลย เป็นบริษัทที่ไหนไม่รู้มาซื้อหุ้น และยังบอกว่า เอาเงินเข้ามาในประเทศไทย แต่ทำไมบริษัทนี้กับแอมเพิล ริชใช้ที่อยู่เดียวกันที่บริติชเวอร์จิ้น”
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังยืนยันที่จะติดตามในเรื่องการซื้อขายหุ้นของคนในตระกูลชินวัตรต่อ ในส่วนการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะกรรมการที่ดูแลในเรื่องการประกอบธุรกิจของต่างชาติ เพราะมีเหตุที่ทำให้เชื่อว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมาย
สำหรับการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กลต.จะต้องสอบถามจากทางทามาเส็กว่าการเจรจาเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไร กับใคร จะได้เป็นการตรวจสอบชัดเจนว่า ข้ออ้างทั้งหลายของผู้เกี่ยวข้องที่บางคนบอกว่า ไม่รู้ บางคนบอกว่า ไม่เกี่ยวนั้น เป็นจริงหรือไม่
นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคณะทำงานติดตามการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)ของตระกูลชินวัตร กล่าวว่า คณะทำงานฯ ได้สรุปการซื้อขายหุ้นในส่วนของบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ และบริษัท วินมาร์ค จำกัด พบว่า ทั้ง 2 บริษัทมีหลักฐานที่แสดงเชื่อมโยงกัน โดยนายกฯโอนหุ้น 5 บริษัทเป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท ให้กับบริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ดที่ก่อตั้งที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ในปี 2543 และต่อมาในเดือนตุลาคม 2547 บริษัท วินมาร์ค ก็โอนหุ้นคืนให้น.ส.พิณทองทา ชินวัตร จำนวน 4 บริษัท
ส่วนอีกหนึ่งบริษัทนั้น โอนให้กับกองทุนแวลู แอสเสท ฟันด์ จำกัด ที่ต่อมาอีก 2 เดือน บริษัทดังกล่าวก็ได้โอนหุ้นให้กับอีก 2 กองทุน คือ กองทุนโอเวอร์ซี โกรธ ฟันด์ และออฟชอร์ ไดนามิค ฟันด์ เมื่อเราได้ไปดูหลักฐานที่อยู่ทั้ง 3 บริษัท พบว่าใช้ที่อยู่เดียวกันทั้งหมด คือที่เกาะลาบวน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นเกาะที่คล้ายกับเกาะเคย์แมน และบริติชเวอร์จิ้น
นายศิริโชค ตั้งข้อสังเกตถึงการโอนหุ้นไปมาจากบริษัท วินมาร์คไปสู่กองทุนทั้ง 3 แห่ง โดยตรวจสอบจากทะเบียนหุ้นว่า ต้องการเปลี่ยนชื่อจากวินมาร์ค เป็นกองทุนอื่น เนื่องจาก บริษัท วินมาร์คมีปัญหาภาพลักษณ์ว่า อาจจะเป็นของครอบครัวนายกฯ และต้องการอำพรางการถือหุ้นของแวลู แอสเสท ฟันด์ ไปให้อีก 2 กองทุน โดยโอนหุ้นมาเพียง 1 วันก่อนจะประชุมผู้ถือหุ้น บ.เอสซีแอสเสทเพื่อมีมติเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพียง 1 วันเท่านั้น
จากการตรวจสอบในเอกสารรายการการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 46 ซึ่งมีนางบุษบา ดามาพงศ์ เป็นประธานในที่ประชุม พบว่า มีการเพิ่มทุน โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่ม 71 ล้านหุ้น เป็นเงิน 710 ล้านบาท โดยประธานได้อ้างว่าผู้ถือหุ้นทุกรายแสดงเจตนาขอสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ตนเองมีอยู่ และประสงค์ให้นางสาวพิณทองทา และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เนื่องจาก บริษัทกำลังเตรียมตัวจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว และหากตีค่าหุ้นในราคา IPO (ราคาเสนอขายให้ประชาชนครั้งแรก) 15 บาท ก็เท่ากับผู้ถือหุ้นทุกคนได้สละสิทธิ์ของตัวเอง ซึ่งมีมูลค่ารวมถึง 355 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่นายกฯปฏิเสธไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัทวินมาร์ค แต่จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท วินมาร์คใช้ที่อยู่จดทะเบียนเป็นที่เดียวกันกับ บริษัท แอมเพิลริช คือ ตู้ป.ณ.3151 โรดทาวน์ ทอร์โตลา เกาะบริติชเวอร์จิน จึงอยากให้นายกฯ ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ และหากในที่สุดพบว่าเป็นของนายกฯจริง นายกฯ ก็จะมีความผิดปกปิดทรัพย์สิน และขาดคุณสมบัติตามมาตรา 209 ของรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการห้ามรัฐมนตรีถือครองหุ้นเกิน 5% และเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ