กังขากันเหลือเกินกับที่ดินขนาด ๒๒ ไร่ บนเขายายเที่ยง ตำบลคลองไผ่ อำเภอสี่คิ้ว
จังหวัดนครราชสีมา ตามชื่อที่ปรากฏเป็นของ ท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยา พล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์" นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๔ ของประเทศไทย
หากจำกันได้ ความวุ่นวายเริ่มบังเกิดเมื่อ "พ่อใหญ่จิ๋ว" ท่าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายก
รัฐมนตรี ออกมาปูดว่า
" ในที่ดินแห่งนี้ มีโบกี้รถไฟเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบารมีของเจ้าของ "
อีกทั้ง สนช.นำโดย "น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ" ยังโหมเข้าอีกแรง ด้วยการอภิปรายรุมถล่มในสภา
มีการเก็บข้อมูลสารพัด ทั้งภาพถ่าย ภาพถ่ายทางอากาศ เอกสารจากกรมที่ดิน
แต่ก็ไม่ชัด เพราะยังไม่มีผู้ใดมีโอกาสเข้าไปภายในรั้วบ้าน ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด
หนาทึบและบังตาได้ดี ไม่ทีทางเลยที่จะรู้ว่าข้างในนั้น หรูหราโอ่อ่า อย่างที่ฝ่ายโจมตียกมากล่าวอ้าง
หรือไม่
จึงทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์ แคล้วคลาดมาได้ จะเหลือก็เพียงแต่ รอการพิสูจน์สิทธิจากกรมที่ดิน ที่ได้
รับงบประมาณมาดำเนินการกับทั้งเขาลูกนี้แล้ว
ชี้ขาดอย่างไร ทั้ง "พล.อ.สุรยุทธ์" และ "ท่านผู้หญิงจิตรวดี" พร้อมรับ หากออกมาว่าผิดก็พร้อม
จะออกจากที่ดิน
"เขายายเที่ยง" เป็นภูเขาขนาดไม่สูงมาก มีพื้นที่ติดต่อกับ ป่าเขาเตียน ป่าเขาเขื่อนลั่น ป่าปากช่อง
ป่าหมูสี และ เขื่อนลำตะคอง ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนฯตามภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารเมื่อปี
๒๕๔๕ แต่ปรากฎหลักฐานมีชาวบ้านขึ้นมาแผ้วถางทำกินตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ ทำไร่ข้าวโพดและไร่มัน
สำปะหลัง
จนต้องประกาศเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
ต่อมาปี ๒๕๒๔ กรมป่าไม้จึงจัดสรรให้ชาวบ้านคนละ ๑๔ ไร่ ๒ งาน ( ๑๔ ไร่ให้เป็นที่ทำกิน
๒ งานเป็นที่อยู่อาศัย ) มีเพียงการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภบท.5) ณ ที่ว่าการอำเภอเป็นผู้ออกให้
เท่านั้น
แต่ทว่าพื้นที่หลายส่วนมีสภาพแข็งเป็นหิน ไม่เหมาะทำการเกษตร ชาวบ้านจึงขายสิทธิต่อ ซึ่งมี
ข้าราชการ นายทุน และผู้มีอำนาจมากว้านซื้อไว้ ด้วยมีวิวทิวทัศน์สวยงาม จุดสูงชมวิวเขื่อน
ลำตะคอง มองยาวไกลไปสุดลูกหูลูกตา แถมยังอากาศดี
ช่วงสายของวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๑ ซึ่งถือเป็นช่วงสั่งลา "รัฐบาลขิงแก่" "พล.อ.สุรยุทธ์"
พร้อม "ท่านผู้หญิงจิตรวดี" ควงคู่เปิดบ้านอันแสนอื้อฉาวนี้ ให้บรรดาสื่อมวลชนประจำทำเนียบ
รัฐบาลได้เยี่ยมชม นัยหนึ่งเพื่อเปิดใจอำลา นัยหนึ่งเพื่อให้เห็นกันไปเลยว่า ภายในแดนสนธยา
นี้มีอะไรบ้าง
ที่ดินขนาด ๒๒ ไร่นี้ ตั้งอยู่เกือบจุดสูงสุดของเขายายเที่ยง ห่างจากสถานีทวนสัญญาณของ
ททบ. ๕ ไม่ถึง ๑ กิโลเมตร ซึ่งแน่นอน บริเวณใกล้เคียงก็มีที่ดินลักษณะเหมือนกันสร้างเป็นบ้าน
พักอยู่เรียงราย หรูหราบ้าง สมถะบ้าง ตามสถานะและบารมีของผู้ถือครอง
"พล.อ.สุรยุทธ์" บอกที่มาของการค้นพบสถานที่อันสุดวิเศษนี้ ว่า ไปมาทั่วประเทศ แต่ถูกใจที่นี่
เพราะอากาศดี ทิวทัศน์สวยงาม ได้ที่ผืนนี้มาจาก "พล.ต.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์" เมื่อ ปี ๒๕๔๐
ตอนที่ตัวเองเป็น ผบ.ทบ. ซึ่งบังเอิญช่วงนั้น "พล.ต.สุรฤทธิ์" ต้องผ่าตัดหัวใจ จึงได้ซื้อไว้
สำหรับบ้านของ "ครอบครัวจุลานนท์" แห่งนี้นั้น มีรั้วรอบขอบชิด ตกแต่งด้วยต้นเฟื่องฟ้าสีสัน
สวยงามเป็นแนวยาว มีนายทหารเวรคอยอยู่โยงดูแลความเรียบร้อย แต่ไม่มีสิ่งบ่งบอกว่า
เป็นบ้านของผู้นำ ประตูรั้วบ้านก็ราบเรียบธรรมดา มีเพียงป้ายชื่อบ้าน "CASATIMA" เป็นภาษา
สเปน แปลว่า "บ้านที่อยู่แล้วมีความสุข"
เปิดประตูเข้าไปภายใน มีพรรณไม้นานาชนิด ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้สวน ปลูกไว้หนาทึบ
หากดูเผินๆ จะเหมือนบ้านสวนทั่วๆ ไป แต่เมื่อย่ำเท้าเข้าไปตามเส้นทางถนนลาดยางทำเองที่ยาว
กว่า ๖๐๐ เมตร ลัดเลาะไปตามจุดต่างๆ ต้องรู้สึกอัศจรรย์ในความช่างคิด ช่างผสมผสาน
เพราะเอาทั้งพรรณไม้ การจัดสวนหลากหลายสไตล์ ทั้งแบบญี่ปุ่น แบบบาหลี และแบบลูกทุ่งไทย
มาโอบล้อมสิ่งปลูกสร้างขนาดย่อมๆ ไม่ว่าเพิงพักเจ้าของบ้าน ขนาด ๑๕๐ ตารางเมตร ชั้นเดียว
เพิงพักทหารนายเวร คนสวน โดยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่คิดเป็นพื้นที่เพียง ๑ ใน ๓ ของผืนที่ทั้ง
หมดเท่านั้น เป็นการรักษาบรรยากาศอันเป็นธรรมชาติไว้ได้เป็นอย่างดี
ต้นไม้ทุกต้น สามารถใช้ประโยชน์ได้ และบัญชาการการปลูกโดย "พล.อ.สุรยุทธ์" ไม่ว่า ขนุน
มะม่วง ประดู่ กล้วย สน ที่มีทั้ง สนเมืองหนาว สนสองใบ สนสามใบ แก้วมังกร เรียกเป็น
ไร่นาสวนผสมก็ไม่ผิด
ส่วนไม้ดอกไม้ประดับบัญชาการโดย "ท่านผู้หญิงจิตรวดี" อาทิ ลีลาวดี กุหลาบ ไก่ฟ้าพญาลอฯลฯ
แต่ต้นไม้ที่ "พล.อ.สุรยุทธ์" ภูมิใจและชักชวนดู คือ ต้นไม้ชื่อพิสดาร "อาจูกู้" เป็นไม้ยืนต้น
เนื้อหอม ซึ่งมีนายทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจสันติภาพที่ติมอร์ตะวันออกเอามาฝาก
ภายในที่ดิน "พล.อ.สุรยุทธ์" ได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งให้ "ร.ต.ไพโรจน์ รัตตกุล" เจ้าพ่อน้ำดำเพื่อน
รัก ปลูกบ้านเป็นอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น ซึ่งบ้านหลังนี้เองที่เป็นต้นเหตุ "พล.อ.สุรยุทธ์" บอกว่า
เพราะปรากฏภาพถ่ายทางอากาศแลดูคล้ายโบกี้รถไฟ
อีกมุมหนึ่งของพื้นที่ มีการขุดสระน้ำซีเมนต์ขนาดใหญ่ "พล.อ.สุรยุทธ์" บอกว่า หน้าฝนจะได้
เก็บน้ำไว้ใช้ เพราะบนนี้ค่อนข้างลำบากถ้าน้ำไม่พอต้องไปสูบมาจากลำตะคอง และถ้าเหลือใช้
ก็แบ่งปันให้ชาวบ้านในละแวกนี้
และด้วยความเป็นสปอร์ตแมน จึงไม่พลาดแบ่งพื้นที่สำหรับยืดเส้นยืดสาย มีสนามเปตองขนาดเล็ก
ที่ชื่อ "สนามกีฬาคนแก่หัวใจหนุ่ม" หรือ "สนามคุณหญิง" แม้ป้ายขานแต้มจะเลือนลาง บ่งบอก
ได้เป็นอย่างดีว่า สองสามีภรรยาคู่นี้ ได้ใช้เวลาว่างมาแข่งเปตองกัน และคงได้ใช้ป้ายขานแต้ม
นี้อีกในบั้นปลายชีวิต
นอกจากนี้ ยังมีสนามบาสเกตบอลขนาดเล็ก แป้นเดียว ซึ่งสร้างให้ตามคำขอของลูกชาย แต่ดู
รกร้างรอการปรับปรุง เพราะเห็นมีไก่แจ้เข้าไปจิกกินเมล็ดพืชภายใน
และขาดไม่ได้คือ จุดชมวิวลำตะคองที่สายงาม 3-4 จุด ตกแต่งบรรยากาศต่างกันไป อาทิ
"ลานดาวรอเดือน" ตรงต้นไทรใหญ่ที่ขึ้นตระหง่านริมผา ใกล้ๆ เพิงพักเจ้าของบ้าน ที่ปรากฏ
หลักฐานชัดเจนว่าเป็นมุมโปรด ด้วยภาพถ่ายคู่สามีภรรยาที่นั่งม้ายาว โอบไหล่ซบไหล่ นั่ง
มองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน ซึ่งตั้งโชว์อยู่บนเตาผิงจำลองภายในเพิงพัก
บริเวณหน้าผาที่สูงกว่า ๓๐ เมตรนี้ "พล.อ.สุรยุทธ์" บอกว่า มีเส้นทางลับ สามารถลัดเลาะ
ลงไปเบื้องล่างได้ และเคยใช้บริการอยู่บ่อยๆ จนทำให้นายทหารติดตามปวดหัวอยู่หลายครั้ง
ว่า นายหายไปไหน
แต่ตอนนี้ ปีนลงไม่ค่อยไหวแล้ว ตรงนี้พอมองลงไปเห็นวิวด้านล่าง ซึ่งเป็นลำตะคอง และอีกฝั่ง
คือบ้านจันทิก อำเภอปากช่อง ดูแล้วเหมือนเมืองตุ๊กตา และเห็นเส้นทางรถไฟขนสินค้า จึงเอาไป
เป็นโมเดลเมืองรถไฟซึ่งเป็นของเล่นสะสม
เมื่อกระเซ้าว่าเมืองตุ๊กตานี่ใครเป็นนายกฯ?
"เมืองนี้ไม่มีนายกฯ มีแต่ ผบทบ." เป็นเสียงตอบที่ราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความจริงจัง
ส่วนในเพิงพัก มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ตกแต่งเรียบง่ายสไตล์คันทรี่ มีเพียงเตียงสนามพับได้
สำหรับนอน มีห้องน้ำ กรอบรูปตกแต่งเป็นภาพดรออิ้งรูป "พล.อ.สุรยุทธ์" กับลิงนั่งขี่ช้าง
มีภาพถ่ายกระทิงและสัตว์ป่านานาชนิด มีปืนยาวลูกกรดแขวนโชว์ ด้านหน้าจัดโต๊ะสำหรับ
นั่งพักผ่อนและรับประทานอาหารกันในครอบครัว บ้างก็เอาเปลมาผูกนอน มีที่ทำครัวเล็กๆ
ด้านข้าง
"ถือว่าพัฒนาจากเมื่อก่อน ที่เป็นเพียงอาคารโล่งๆ ไม่มีกำแพงกั้น แต่อากาศที่นี่หนาวมาก
แดดมาก็ต้องวิ่งหลบ จึงค่อนข้างลำบากในช่วงแรก"
เป็นคำอธิบายของ "ท่านผู้หญิงจิตรวดี" เจ้าของที่ดินผืนนี้ตัวจริง
"พล.อ.สุรยุทธ์" และ "ท่านผู้หญิงจิตรวดี" บอกตรงกันว่า "บ้านเขายายเที่ยง" แห่งนี้ จะเป็นสถานที่
รองรับชีวิตในบั้นปลายของทั้งสองคนหลังผ่านมรสุมการเมืองมา ๑ ปี เศษ และสอดคล้องกับคำเอ่ยลา
ของ "พล.อ.สุรยุทธ์" วันสุดท้ายที่ทำเนียบ
"ถ้าเลือกได้ผมคงไม่เป็นนายกฯ เพราะไม่อยากลำบากใจ..
"..แล้วเจอกันบนเขา..."
Canthai wrote:ยังไม่เคยปรากฎว่าฝ่ายรัฐได้เคยยึดคืนที่ดิน สปก. หรือ ที่ดินที่รัฐจัดให้แก่เกษตกรแล้วใช้ผิดวัตถุประสงค์คืนเป็นของรัฐ ให้เป็นบรรทัดฐาน
เว้นแต่ได้ที่ดินมาโดยไม่มีคุณสมบัติ เช่นกรณีสปก. ทางใต้
เรื่องนี้ พลเอกสุรยุทธ์ ที่รอจดๆ จ้องๆ ไม่คืน เพราะไม่รู้จะคืนที่ใคร เนื่องจากไม่มีการโอนกันอย่างเป็นทางการ
วิธีการส่งมอบของที่ดินประเภทนี้ คือเปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ที่บัญชีเก็บภาษีของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ( ปัจจุบันขึ้นกับ อบต. ) เท่านั้นเอง
ซึ่งการเสียภาษีนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิทธิครอบครองแต่อย่างใด
ดังนั้นจะว่าไป หากอยากคืนก็แค่ประกาศว่า ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินนั้นแล้วนะ ก็แค่นั้น
การที่รัฐจะยึดคืน ก็ต้องใช้อำนาจทางศาลเท่านั้น คงไม่มีใครกล้าบุ่มบ่าม ยกพลขึ้นไปขับไล่ชาวบ้านคนใดคนหนึ่ง
เหมือนกรณีบุกรุกที่กรมป่าไม้ไม่อนุญาต แบบนั้นเจ้าหน้าที่ดำเนินการได้ตามกฎหมาย
แต่ที่ดิน ภบท.(ที่กรมป่าไม้จัดให้ ) ตามมติครม. ปี 2518 หรือ นค.1 รวมถึง สปก. น่าจะใช้อำนาจทางศาลเท่านั้น
หรือไม่ ทางกรมป่าไม้ จะต้องยกเลิกเพิกถอนเอง...และผู้ครองครองก็คงไม่โต้แย้ง หรือหากมีการโต้แย้งก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาล
ที่สำคัญในที่ดินบริเวณนั้น มีผู้ครอบครองที่ดินต่อ ๆ กันมาหลายมือ
แม้แต่แปลงของพลเอกสุรยุทธ์ ก็ผ่านจากเจ้าของเดิม ไปอีก 2 ทอด ทอดที่ 3 จึงตกมาเป็นของภรรยาพลเอกสุรยุทธ์
ที่ดิน จับจอง ภบท. หรือ สปก. ก็มีลักษณะเช่นนี้มากมายทั่วประเทศ หากดำเนินการเพียงที่ใดที่หนึ่งก็เท่ากับเป็นการกระทำหลายมาตรฐาน
หรือหากกรมป่าไม้ดำเนินการไปแล้วเกิดแพ้ในชั้นศาลขึ้นมา ทีนี้ละก้อลุกลามบานปลายกันไปใหญ่
เจ้านายฝ่ายเหนือ wrote:ประเด็นตอนนี้มันไกลเกินกว่าการทวงที่ป่าสงวนแล้วล่ะครับ
มันเป็นสงครามสัญญลักษณ์
ที่มีคนบอกว่า ประเด็นเขายายเที่ยง เป็นเรื่องเดียวที่ ASTV กับพวกเสื้อแดงคิดเหมือนกัน
ผมก็ขอบอกว่าเป็นการสรุปที่พล่อยไปหน่อย แต่ผมขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดไปก็ป่วยการ
เจ้านายฝ่ายเหนือ wrote:ประเด็นตอนนี้มันไกลเกินกว่าการทวงที่ป่าสงวนแล้วล่ะครับ
มันเป็นสงครามสัญญลักษณ์
ที่มีคนบอกว่า ประเด็นเขายายเที่ยง เป็นเรื่องเดียวที่ ASTV กับพวกเสื้อแดงคิดเหมือนกัน
ผมก็ขอบอกว่าเป็นการสรุปที่พล่อยไปหน่อย แต่ผมขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดไปก็ป่วยการ
บัวริมบึง wrote:เจ้านายฝ่ายเหนือ wrote:ประเด็นตอนนี้มันไกลเกินกว่าการทวงที่ป่าสงวนแล้วล่ะครับ
มันเป็นสงครามสัญญลักษณ์
ที่มีคนบอกว่า ประเด็นเขายายเที่ยง เป็นเรื่องเดียวที่ ASTV กับพวกเสื้อแดงคิดเหมือนกัน
ผมก็ขอบอกว่าเป็นการสรุปที่พล่อยไปหน่อย แต่ผมขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดไปก็ป่วยการ
เสื้อเหลือง : เขายายเที่ยงผิด? >> ติ >> ปล่อยไปตามกระบวนการกฎหมาย >> เกิดการตัดสิน >> OK ตามนั้น
เสื้อแดง : เขายายเที่ยงผิด? >> ด่ายันโคตรเหง้า >> หุบปากพักใหญ่ >> รื้อขึ้นมาใหม่+ด่าต่อ >> กฎหมายกำหลังดำเนินการ >> เกิดการตัดสิน >> การยอมรับผล???
หรือ
เขายายเที่ยงผิด? >> ด่ายันโคตรเหง้า >> หุบปากพักใหญ่ >> รื้อขึ้นมาใหม่+ด่าต่อ >> ไม่สนกระบวนการ >> ก่อม๊อป >> สงครามสัญญลักษณ์ >> และกระทบถึง.....
Canthai wrote:คนคาบไปป์ กับ เขายายเที่ยง
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 50 ที่รัฐสภา น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะอนุกรรมาธิการการตำรวจและสิทธิมนุษยชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงผลการตรวจสอบที่ดิน บ้านพักเขายายเที่ยง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยว่า
ข้อยุติจากการตรวจสอบของคณะทำงานในพื้นที่และการตรวจสอบกับองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งกรมแผนที่ทหาร กรมที่ดิน และกรมป่าไม้ พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านพักเขายายเที่ยงเกิดขึ้นภายหลังการประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จึงมีความชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ที่ห้ามไม่ให้คนเข้าไปอยู่ น.ต.ประสงค์ เปิดเผยต่ออีกว่า ภายหลังจากที่คณะอนุกรรมาธิการฯมีข้อสรุปแล้วจะทำข้อเสนอแนะให้คณะกรรมาธิการการยุติธรรมฯ สนช. เสนอต่อที่ประชุมพิจารณาต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เบื้องต้นอนุกรรมาธิ การฯ เสนอความเห็นให้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบ
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
อย่าสรุปพล่อย ๆ
นทร์ wrote:รุกจริง แต่ขาดเจตนา* ควรคืนที่
เรื่องก็มีแค่นี้หละครับ
เจ้านายฝ่ายเหนือ wrote:ประเด็นตอนนี้มันไกลเกินกว่าการทวงที่ป่าสงวนแล้วล่ะครับ
มันเป็นสงครามสัญญลักษณ์
ที่มีคนบอกว่า ประเด็นเขายายเที่ยง เป็นเรื่องเดียวที่ ASTV กับพวกเสื้อแดงคิดเหมือนกัน
ผมก็ขอบอกว่าเป็นการสรุปที่พล่อยไปหน่อย แต่ผมขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดไปก็ป่วยการ
== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล == viewtopic.php?f=14&t=14102 -->
Canthai wrote:เจ้านายฝ่ายเหนือ wrote:ประเด็นตอนนี้มันไกลเกินกว่าการทวงที่ป่าสงวนแล้วล่ะครับ
มันเป็นสงครามสัญญลักษณ์
ที่มีคนบอกว่า ประเด็นเขายายเที่ยง เป็นเรื่องเดียวที่ ASTV กับพวกเสื้อแดงคิดเหมือนกัน
ผมก็ขอบอกว่าเป็นการสรุปที่พล่อยไปหน่อย แต่ผมขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดไปก็ป่วยการ
ไปตามดูข่าว ASTV ช่วงรัฐบาลสุรยุทธ์ แล้วค่อยมาพูดกัน
ช่วงนั้นไอ้แป๊ะถูกถีบออกจากช่อง 11 หลังจากออกอากาศได้ 11 วัน กลับมาโจมตีรัฐบาลอย่างเดียว
รวมทั้งเรื่อง เขายายเที่ยงด้วย
ทั้งประสงค์ สุ่นศิริ ทั้งบรรณวิทย์ เก่งเรียน รวมทั้งพวก สนช. ถล่มกันในสภา พวกนี้ไม่ใช่พวก ผู้จัดการ ASTV หรอกหรือ
พวกกลุ่มอีสานกู้ชาติ ส่งเรื่องร้องเรียนไปที่ สนช. ประสงค์ สุ่นศิริ รับเรื่อง ไพศาล พืชมงคลเล่นต่อ..พวกนี้มิใช่ พวก ASTV หรอกหรือ
กรณีที่ถือว่าเป็นการบุกรุก หรือทำลายสภาพป่าสงวนแห่งชาติ มีกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔-๒๐ มีหลักสำคัญดังนี้
๑) กระทำต่อต้นไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่และน้ำมัน พืช สัตว์ต่างๆ หรือซากสัตว์ ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนนั้น
๒) ทำไม้ ซึ่งรวมถึง การตัด ขุด หรือชักลากไม้ที่มีอยู่ในป่า หรือนำไม้ที่อยู่ในป่าออกมาจากป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ว่าไม้นั้นจะเป็นไม้ หวงห้ามตามกฎหมายป่าไม้หรือไม่ก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก เจ้าพนักงาน
๓) เก็บหาของป่า ได้แก่ การเก็บไม้ฟืน เปลือกไม้ หิน ซากสัตว์ น้ำผึ้ง มูลค้างคาว เป็นต้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
๔) เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์ หรืออาศัยอยู่ แผ้วถาง เผาป่า หรือทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
๕) กรณีที่ราษฎรอาจได้รับการอนุญาตให้เข้าไปทำกินได้ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ได้แก่ การให้สิทธิทำกิน การอนุญาตให้ปลูกป่า หรือทำสวนป่า ในเขตป่าเสื่อมโทรม หรือการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่หลังจากที่สัมปทานตามกฎหมายแร่ เป็นต้น
ผู้ฝ่าฝืน หลักการข้างต้น ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท แต่ผู้กระทำจะต้องได้รับโทษจำคุกหนักขึ้น โดยต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ถ้าได้กระทำการบุกรุก มีเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้สัก ไม้ยาง ไม้ สนเขา หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. ตามกฎหมายป่าไม้ หรือกระทำต่อไม้อื่นๆ ซึ่งมีจำนวนต้นหรือท่อน รวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน หรือมีปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร หรือกระทำต่อต้นน้ำลำธาร (พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ มาตรา ๓๑)
loginofu wrote:^
ประเด็นของคุณคือ??
เอางี้ พูดกันตามหลัก คือไม่ได้รุกครับ
เพราะพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยมาก่อนประกาศเป็นป่าสงวน
แต่จะให้อยู่เฉยๆซ้อนกันก็ไม่ได้ ทางรัฐ จึงจัดสรรที่ทำกินให้เป็นลักษณะ สปก.
คืออาศัยทำประโยชน์ได้ ตกทอดลูกหลานได้ แต่ซื้อขายไม่ได้
ซึ่งในทางปฏิบัติ ที่เหล่านี้ก็มีการซื้อขายกันในลักษณะการสวมสิทธิ์
แน่นอนว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย หากพบเจอก็ต้องถูกเพิกถอน
กรณีนี้จึงผิดเฉพาะการสวมสิทธิ์ ไม่ได้ผิดเพราะบุกรุกครับ
คนละเรื่องคนละอย่าง สรุปเป็นเรื่องเดียวกันไม่ได้
ตอนนี้ประเด็นที่เสื้อแดงเอามาเล่น จึงไม่ใช่ประเด็นรุกไม่รุกแล้วครับ
แต่เป็นประเด็นที่จงใจเล่นเพราะท่านเป็นองคนตรี
เรื่องนี้เสื้อแดงเล่นอย่างโจ่งแจ้ง มาตั้งแต่สมันท่านยังอยู่ในตำแหน่งนายกฯแล้ว
เจฟ wrote:loginofu wrote:^
ประเด็นของคุณคือ??
เอางี้ พูดกันตามหลัก คือไม่ได้รุกครับ
เพราะพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยมาก่อนประกาศเป็นป่าสงวน
แต่จะให้อยู่เฉยๆซ้อนกันก็ไม่ได้ ทางรัฐ จึงจัดสรรที่ทำกินให้เป็นลักษณะ สปก.
คืออาศัยทำประโยชน์ได้ ตกทอดลูกหลานได้ แต่ซื้อขายไม่ได้
ซึ่งในทางปฏิบัติ ที่เหล่านี้ก็มีการซื้อขายกันในลักษณะการสวมสิทธิ์
แน่นอนว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย หากพบเจอก็ต้องถูกเพิกถอน
กรณีนี้จึงผิดเฉพาะการสวมสิทธิ์ ไม่ได้ผิดเพราะบุกรุกครับ
คนละเรื่องคนละอย่าง สรุปเป็นเรื่องเดียวกันไม่ได้
ตอนนี้ประเด็นที่เสื้อแดงเอามาเล่น จึงไม่ใช่ประเด็นรุกไม่รุกแล้วครับ
แต่เป็นประเด็นที่จงใจเล่นเพราะท่านเป็นองคนตรี
เรื่องนี้เสื้อแดงเล่นอย่างโจ่งแจ้ง มาตั้งแต่สมันท่านยังอยู่ในตำแหน่งนายกฯแล้ว
พี่ครับ คือผมสงสัยอีกนิดคือว่าตามข้อกฏหมายมันยังไงกันแน่ผมตีความไม่ออกอ่ะ