best wrote:เถียงในเนื้อหาที่เขาเขียนมาไม่ได้ ก็ด่าคนตั้งกระทู้แทนซะ
เว็บนี้ก็เป็นซะยังงี้แหละ![]()
![]()
Yodyood wrote:best wrote:เถียงในเนื้อหาที่เขาเขียนมาไม่ได้ ก็ด่าคนตั้งกระทู้แทนซะ
เว็บนี้ก็เป็นซะยังงี้แหละ![]()
![]()
แล้วที่ผมพิมพ์ไว้ข้างบนนั่นไม่ใช่เหรอครับ?
best wrote:Yodyood wrote:best wrote:เถียงในเนื้อหาที่เขาเขียนมาไม่ได้ ก็ด่าคนตั้งกระทู้แทนซะ
เว็บนี้ก็เป็นซะยังงี้แหละ![]()
![]()
แล้วที่ผมพิมพ์ไว้ข้างบนนั่นไม่ใช่เหรอครับ?
แล้วก่อนคุณมีใครตอบบ้างครับ?
Yodyood wrote:best wrote:Yodyood wrote:best wrote:เถียงในเนื้อหาที่เขาเขียนมาไม่ได้ ก็ด่าคนตั้งกระทู้แทนซะ
เว็บนี้ก็เป็นซะยังงี้แหละ![]()
![]()
แล้วที่ผมพิมพ์ไว้ข้างบนนั่นไม่ใช่เหรอครับ?
แล้วก่อนคุณมีใครตอบบ้างครับ?
ผมก็คนเก่าแถมแก่ด้วยในบอร์ดนะ
แค่ยุ่งๆไม่ได้เข้าไปเป็นปีๆจน log in หายสาปสูญจนต้อง sign in ใหม่ในชื่อเดิมเท่านั้นเอง
pornchokchai wrote:ความเห็นต่อบทสัมภาษณ์ทางการเมืองของพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
ดร.โสภณ พรโชคชัย (http://www.facebook.com/pornchokchai)
25 กรกฎาคม 2553
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ศกนี้ มีเพื่อนใน facebook แนะนำให้ผมฟังบทสัมภาษณ์ “ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย” ของพระมหาวุฒิชัย ซึ่งให้สัมภาษณ์ในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และกำลังมีการต่อสู้ทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมก็เพิ่งเคยฟังบทสัมภาษณ์นี้ ซึ่งปรากฏใน http://video.mthai.com/player.php?id=0M1221149318M0
ผมฟังความเห็นทางการเมืองของพระมหาวุฒิชัยแล้ว จึงขออนุญาตแสดงความเห็นทั้งนี้เพื่อช่วยกันมองให้รอบด้าน และส่งเสริมการปุจฉาวิสัชนาเพื่อให้เกิดสังคมอุดมปัญญา ท่านที่สนใจร่วมให้ความคิดเห็นก็โปรดแสดงด้วยความสำรวมและช่วยกันพิจารณาในด้านเนื้อหาเป็นสำคัญ เพราะผู้ให้สัมภาษณ์เป็นพระสงฆ์ และแม้เป็นพระหนุ่มระดับมหาคราวลูกอายุเพียง 35 ปี แต่ทุกคนก็ควรแสดงความเคารพผ้าเหลืองด้วย ความเห็นของผมเป็นดังนี้ครับ
1. พิธีกรไปถามพระ ๆ ก็ต้องนึกถึงทางออกด้านพุทธศาสตร์ที่รำเรียนมาเป็นสำคัญ ถามนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ ก็ได้มุมมองจากพื้นฐานความรู้นั้น ๆ แต่ว่าแต่ละศาสตร์โดด ๆ ก็คงไม่สามารถนำมาแก้ไขปัญหาการเมืองได้ การบอกว่านักการเมืองไม่มีธรรมะ แล้วในประเทศตะวันตกที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เขามีธรรมะข้อไหน ถ้าบอกว่าศาสนาอื่นก็มีธรรมะของพุทธแฝงอยู่ หรือว่าพุทธศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอื่นหรืออย่างไร
2. ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม ก็เหมือนนักการเมือง การที่พระมหาวุฒิชัยพูดในห้วงแหลมคมของการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรก็เท่ากับต้องการตำหนิว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีทศพิธราชธรรม ซึ่งจะจริงหรือไม่ผมคงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
3. เรื่องที่ว่าประชาชนไม่มีศักยภาพในการตัดสินใจ โดยยกตัวอย่างความเชื่อแต่เดิมว่าโลกแบน ถ้าให้ประชาชนผู้ไม่รู้วิทยาการออกเสียงในสมัยโบราณว่าโลกกลมหรือแบบ ส่วนใหญ่ก็ต้องออกเสียงว่าโลกกลม กรณีศิลปวิทยาการนั้น เราไม่สามารถถามเสียงส่วนใหญ่ เช่นในขณะนี้เราก็คงไม่สามารถถามคนส่วนใหญ่ว่าจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ได้อย่างไร ต้องถามนักวิทยาศาสตร์ต่างหาก แต่ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นเรื่องของปุถุชน ทุกคนรู้เท่าทันกัน เสียงส่วนใหญ่ย่อมถูกต้องเสมอ <1>
เสียงส่วนใหญ่คือสัจธรรม อย่างผมทำอาชีพการประเมินค่าทรัพย์สิน ผมทราบความจริงอย่างหนึ่งว่า ประชาชนส่วนใหญ่คือเสียงสวรรค์ คือความถูกต้อง ในตลาดเปิดทั่วไป ถ้าคนส่วนใหญ่ซื้อบ้านในราคาหนึ่ง ราคานั้นก็จะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ในความเป็นจริงอาจมีข้อมูลที่สูงหรือต่ำผิดปกติ (outliers) อยู่บ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย อย่างไรก็ตาม “กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น” เช่น เสียงส่วนใหญ่ของโจรย่อมใช้ไม่ได้ แต่โจรก็ยังเป็นคนส่วนน้อยในสังคม
4. การที่บอกว่าประชาชนไม่มีศักยภาพ ในแง่หนึ่งอาจเป็นการให้ท้ายกับพวกเผด็จการรัฐประหาร ให้มาตัดสินใจแทนประชาชนโดยอ้างว่าประชาชนไม่มีศักยภาพอยู่ร่ำไป และเมื่อเข้ามาแล้ว ก็มาโกงกิน เห็นได้ชัดตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ และสามทรราช อาจรวมทั้ง รสช. หรืออาจรวม คมช. ด้วยก็ได้ มีใครเชื่อได้โดยสนิทใจว่ารัฐมนตรีในยุคสุรยุทธ์ใสสะอาดกว่ายุคอื่น
5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
6. การอ้างว่า “Paris Hilton” ที่ได้รับการประกันตัวก็ยังต้องเข้าคุกอีกครั้งเพราะมีเสียงประชาชนไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ศาลสหรัฐอเมริกาคงไม่ได้ตัดสินอะไรตามกระแสของสังคมเช่นที่พระมหาวุฒิชัยให้สัมภาษณ์ จากการค้นหาข้อมูลเบื้องต้น ไม่พบเรื่องการขอประกันตัวดังกล่าว แต่เป็นการขออภัยโทษ และจำนวนคนที่ไม่เห็นด้วยกับการขออภัยโทษกับผู้ที่เห็นด้วยก็มีจำนวนนับหมื่น ๆ คนพอ ๆ กัน ไม่ใช่มีแต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด <2> อย่างไรก็ตามโดยนัยหนึ่ง การกล่าวอ้างเรื่องนี้ของพระมหาวุฒิชัยเป็นส่งสัญญาณให้รัฐบาลฟังเสียงของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กำลังเรียกร้องอยู่ในขณะนั้นนั่นเอง
7. พระมหาวุฒิชัยบอกว่าถ้าจะแก้ปัญหาการเมืองเฉพาะหน้า ก็ต้องให้ทุกคนมีขันติธรรม สันติธรรม เมตตาธรรม นิติธรรม และสัจธรรม อันนี้ก็พูดกันไปครับ พูดอีกก็ถูกอีกอยู่นั่นเอง คือเหมือนกับบอกว่า ถ้าขาดความอดทนต้องทำอย่างไร คำตอบก็คือต้องมีขันติ ถ้าใจร้ายต้องทำอย่างไร คำตอบก็คือต้องมีเมตตา เป็นต้น ในที่นี้ถ้ายกหลักธรรมกันจริง ๆ ยังมีอีกหลายหลักธรรมที่ยกมาได้อีกเป็นโขยง เช่น มโนธรรม สัปปุริสธรรม ฆราวาสธรรม 4 อัปปมาทธรรม 7 พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) และสังคหวัตถุ 4 เป็นต้น
8. พระมหาวุฒิชัยได้บอกว่าหลักการตัดสินใจนั้นมีอยู่ 3 อย่างคือ อัตตาธิปไตย เป็นการตัดสินใจโดยยึดตนเองเป็นใหญ่จะทำให้เป็นทรราชได้ (เป็นการเตือน/ปรามรัฐบาลในขณะนั้น) โลกาธิปไตย เป็นการตัดสินใจโดยถือเสียงส่วนใหญ่ (ขณะนั้นรัฐบาลสมัครกุมเสียงส่วนใหญ่อยู่) ซึ่งก็ยังไม่ดีพอ และแนะให้ตัดสินใจบนพื้นฐานของธรรมาธิปไตย โดยยึดธรรมะเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ตามหากไปค้นพระไตรปิฎกในส่วนของ “อธิปไตยสูตร” <3> ตามที่พระมหาวุฒิชัยอ้างถึง กลับปรากฏว่ามีสาระแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เพราะพระไตรปิฎกสอนให้พระบรรลุธรรมโดยอาจพิจารณาจากตน จากโลกหรือจากธรรมเป็นสำคัญ ไม่ได้เกี่ยวกับการปกครองในทางโลกเลย
9. พระมหาวุฒิชัยได้ให้สัมภาษณ์ปิดท้ายว่าให้ทุกฝ่ายวางทิฐิลง เอาชีวิตของประชาชนไว้ดีกว่า อยากให้ทุกฝ่ายถอยสักก้าวหนึ่ง การถอยของรัฐบาลก็คงหนีไม่พ้นการบอกเป็นนัยให้ยุบสภาหรือลาออก แต่ในสมัยพวกเสื้อแดงนับแสน ๆ ชุมนุมซึ่งมากกว่าพวกเสื้อเหลือง (ก่อนที่จะถูกหาว่าก่อการร้ายและมีอาวุธ) พระมหาวุฒิชัยก็ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในลักษณะนี้เลย
ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับความเห็นของผม ก็ลองดูนะครับ ผมหวังว่าการเห็นต่างนี้คงจะมีประโยชน์เพื่อการทบทวน สอบทานและพัฒนาความคิดให้เหมาะสมกับความเป็นจริงยิ่งขึ้น แตกต่างทางความคิด คงไม่ใช่การแตกแยกนะครับ ที่สำคัญผมเคารพพระสงฆ์องคเจ้า และไหว้ผ้าเหลืองอยู่แล้วครับ แต่เราก็ควรใช้วิจารณญาณไตร่ตรองด้วยปัญญาเพิ่มเติม
อ้างอิง
<1> กาลามสูตร พ.ศ.2553: http://researchers.in.th/blog/006/3653
<2> โปรดอ่านเพิ่มเติมที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Hilt ... _jail_time
<3> พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 185 อธิปไตยสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0
pornchokchai wrote:ความเห็นต่อบทสัมภาษณ์ทางการเมืองของพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
ดร.โสภณ พรโชคชัย (http://www.facebook.com/pornchokchai)
25 กรกฎาคม 2553
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ศกนี้ มีเพื่อนใน facebook แนะนำให้ผมฟังบทสัมภาษณ์ “ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย” ของพระมหาวุฒิชัย ซึ่งให้สัมภาษณ์ในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และกำลังมีการต่อสู้ทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมก็เพิ่งเคยฟังบทสัมภาษณ์นี้ ซึ่งปรากฏใน http://video.mthai.com/player.php?id=0M1221149318M0
ผมฟังความเห็นทางการเมืองของพระมหาวุฒิชัยแล้ว จึงขออนุญาตแสดงความเห็นทั้งนี้เพื่อช่วยกันมองให้รอบด้าน และส่งเสริมการปุจฉาวิสัชนาเพื่อให้เกิดสังคมอุดมปัญญา ท่านที่สนใจร่วมให้ความคิดเห็นก็โปรดแสดงด้วยความสำรวมและช่วยกันพิจารณาในด้านเนื้อหาเป็นสำคัญ เพราะผู้ให้สัมภาษณ์เป็นพระสงฆ์ และแม้เป็นพระหนุ่มระดับมหาคราวลูกอายุเพียง 35 ปี แต่ทุกคนก็ควรแสดงความเคารพผ้าเหลืองด้วย ความเห็นของผมเป็นดังนี้ครับ
1. พิธีกรไปถามพระ ๆ ก็ต้องนึกถึงทางออกด้านพุทธศาสตร์ที่รำเรียนมาเป็นสำคัญ ถามนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ ก็ได้มุมมองจากพื้นฐานความรู้นั้น ๆ แต่ว่าแต่ละศาสตร์โดด ๆ ก็คงไม่สามารถนำมาแก้ไขปัญหาการเมืองได้ การบอกว่านักการเมืองไม่มีธรรมะ แล้วในประเทศตะวันตกที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เขามีธรรมะข้อไหน ถ้าบอกว่าศาสนาอื่นก็มีธรรมะของพุทธแฝงอยู่ หรือว่าพุทธศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอื่นหรืออย่างไร
เวลาบ้านเมืองมีวิกฤตการณ์ ก็เป็นธรรมดาที่นักข่าวจะต้องไปถามความคิด-ความเห็นจากบรรดาบุคคลสำคัญหรือผู้มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลหรือข้อคิดให้แก่คนในสังคม กรณีของท่าน ว วชิรเมธี ท่านเป็นพระ ท่านก็ได้ให้มุมมองหรือข้อคิดในแง่ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นหลัก
ก็คงจะจริงที่ว่า มุมมองจากพื้นฐานความรู้จากแต่ละศาสตร์โดดๆ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ต้องอาศัยทุกองค์ความรู้ของแต่ละศาสตร์ มาร่วมด้วยช่วยกันเพื่อแก้ปัญหา แต่ในความคิดเห็นส่วนตัว ศาสตร์แห่งธรรมเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการแก้ปัญหาเพราะเกี่ยวข้องกับ "ใจ หรือ จิต" ของคน ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นรากเหง้าของปัญหาและในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาด้วย
แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะดูเป็นนามธรรม แต่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการก่อเกิดรูปธรรมต่างๆ คิดว่าความคิดและจิตใจที่ประกอบด้วยคุณธรรมจะเป็นตัวกำหนดหรือตัวช่วยให้ความรู้ด้านอื่นๆ ของคน นำไปใช้ได้อย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์
ในศาสนาคริสต์ บทบัญญัติเรื่อง "ความรัก" ถือเป็นหัวใจสำคัญ
ความรักนี้ ไม่ใช่ความรักของหนุ่มสาว แต่เป็นความรักต่อเพื่อนมนุษย์ อาจเทียบได้กับ พรหมวิหาร 4 ของพุทธศาสนา
คนส่วนใหญ่ในโลกนี้นับถือศาสนา แต่ไม่ใส่ใจแก่นของศาสนา เราจึงอยู่กันแบบนี้ กี่ยุค กี่สมัย ปัญหาเดิมๆ ก็ไม่เคยหมดไป
เรามีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด แต่มีวิวัฒนาการทางจิตใจแบบเต่าคลาน
ไม่ใช่เพราะเราไม่สามารถ แต่เป็นเพราะเราคงไม่อยากจะวิวัฒน์ทางจิตกันมากกว่า
2. ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม ก็เหมือนนักการเมือง การที่พระมหาวุฒิชัยพูดในห้วงแหลมคมของการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรก็เท่ากับต้องการตำหนิว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีทศพิธราชธรรม ซึ่งจะจริงหรือไม่ผมคงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
ดิฉันว่า ท่าน ว วชิรเมธี ก็พูดได้ชัดเจนดีนะคะ ท่านพูดถึงหลักการกว้างๆ ในเรื่องคุณธรรมของนักปกครอง
ทศพิธราชธรรมเป็นหลักจริยวัตร 10 ประการของผู้ปกครอง ซึ่งในสมัยก่อนก็คือบรรดาพระราชาทั้งหลาย ชื่อหลักธรรมหรือหลักการปกครองนี้จึงอ้างอิงกับพระราชาหรือกษัตริย์ ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทศพิธราชธรรม จึงไม่ใช่เป็นเพียงหลักการปกครองหรือจริยวัตรของพระราชาอย่างสมัยก่อนอีกต่อไป แต่ยังรวมความไปถึงบรรดานักปกครองสมัยใหม่ด้วย
http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/rich%20man.htm#r_5
ในสมัยพุทธกาลก็เช่นเดียวกับทุก วันนี้ คือ มีผู้ปกครองปกครองประเทศโดยขาดความยุติธรรม ประชาชนถูกกดขี่ข่มเหง ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกทรมาน ถูกกลั่นแกล้งถึงตาย ถูกบังคับเก็บภาษีมากจนเกินขอบเขต และถูกลงโทษด้วยวิธีการลงโทษที่โหดเหี้ยมทารุณ พระพุทธเจ้าทรงสลดพระทัยต่อการกระทำอันไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ ในอรรกถาธรรมบท (ธัมมปัฏฐกภา) บันทึกไว้ว่า ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงมุ่งพระทัยสู่ปัญหาว่าทำอย่างไรถึงจะมีรัฐบาลดี ๆ ได้ ทัศนะต่าง ๆ ของพระองค์จะเป็นที่เข้าใจได้ก็ต่อเมื่อได้พิจารณาถึงภูมิหลังของด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของยุคพุทธกาลประกอบไปด้วย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าทั่วทั้งประเทศจะเกิดความฟอนเฟะ เสื่อมโทรม และไร้สุข เมื่อหัวหน้ารัฐบาล คือ กษัตริย์ เสนาบดี และข้าราชการ มีแต่ความฟอนเฟะ และขาดความยุติธรรม เพราะว่าการที่ประเทศจะมีความสงบสุขได้นั้น จะต้องมีรัฐบาลที่ปกครองด้วยความยุติธรรม วิธีการที่จะก่อให้เกิดมีรัฐบาลเช่นนี้ได้นั้น พระพุทธองค์ตรัสอธิบายไว้ในคำสอนว่า “ กิจวัตรของพระราชา 10 ประการ ” (ทศพิธราชธรรม) ดังที่มีคำอธิบายอยู่ในคัมภีร์ชาดก
แน่นอน คำว่า “ ราชา ” ในสมัยอดีต ควรใช้คำสมัยปัจจุบันว่า “ รัฐบาล ” แทน ดังนั้น “ ทศพิธราชธรรม" จึง ประยุกต์ใช้ในปัจจุบันกับบรรดาผู้ประกอบเป็นรัฐบาล เช่น ประมุขของรัฐ บรรดารัฐมนตรีผู้นำทางการเมือง ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร
ทศพิธราชธรรม
1. ทศพิธราชธรรมข้อแรก คือ ความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักแบ่งปัน (ทาน) กล่าวคือ ผู้ปกครองจะต้องไม่มีความละโมบติดยึดในทรัพย์สมบัติ ควรสละทรัพย์สมบัตินั้น ๆ เพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน
2. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 2 คือ มีศีลธรรมสูงส่ง (ศีล) ผู้ปกครองจะต้องไม่ทำลายสิ่งที่มีชีวิต ไม่หลอกลวง ไม่ลักขโมย ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวเท็จ และไม่ดื่มเครื่องดองของเมา คือ อย่างน้อยต้องรักษาศีล 5 ข้อ ของคฤหัสถ์ให้ได้
3. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 3 คือ เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุดของประชาชน (ปริจจาค) ได้แก่ ผู้ปกครอง จะต้องเตรียมตัวสละความสุขสำราญส่วนตัว ทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ และแม้แต่ชีวิตของตน เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
4. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 4 คือ ซื่อตรง ทรงสัตย์ (อาชวะ) ผู้ปกครองจะต้องไม่กลัวหรือถือฝักถือฝ่ายในเวลาปฏิบัติหน้าที่มีความจริงใจ ในความตั้งใจ และไม่หลอกลวงสาธารณชน
5. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 5 คือ มีความกรุณาหรืออ่อนโยน (มัททวะ) มีอัทธยาศัยนุ่มนวลละมุนละไม
6. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 6 คือ มีนิสัยเคร่งครัด (ตปะ) จะต้องดำเนินชีวิตเรียบง่าย ไม่หมกหมุ่นอยู่ในชีวิตฟุ่มเฟือยระงับยับยั้งข่มใจได้
7. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 7 คือ ปลอดพ้นจากโกรธ พยาบาท จองเวร (อโกธ) เป็นผู้ไม่มีความรู้สึกขุ่นเคืองต่อใคร ๆ
8. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 8 คือ ไม่เบียดเบียนใคร (อวิหิงสา) ซึ่งไม่เพียงแต่หมายถึง การไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อนเท่านั้น แต่ยังหมายถึง การพยายามส่งเสริมสันติภาพด้วยการงดเว้นและป้องกันสงครามรวมทั้งทุกสิ่งที่ เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงและการทำลายล้างชีวิต
9. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 9 คือ ความอดทน อดกลั้น ข่มใจ เข้าใจผู้อื่น (ขันติ) สามารถอดทนต่องานหนัก ความตรากตรำ และคำเสียดสีถากถาง โดยไม่เกิดอารมณ์เสีย
10. ทศพิธราชธรรมข้อที่ 10 คือ ไม่เป็นปฏิปักษ์ ไม่ขัดขวาง (อวิโรธนะ) กล่าวคือ ไม่ขัดต่อเจตจำนงของประชาชน ไม่ขัดขวางมาตรการใด ๆ อันจะเอื้ออำนวยต่อสวัสดิภาพของประชาชน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปกครองประเทศโดยสมัครสมานน้ำใจกับประชาชน
ถ้าประเทศใดปกครองโดยบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่า ประเทศนั้น ๆ จะต้องมีความสุขเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นความฝันที่เลื่อนลอย เพราะว่ากษัตริย์ในอดีตเช่น พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ได้ทรงเคยสถาปนาพระราชอาณาจักร โดยอาศัยพื้นฐานจากแนวคิดเหล่านี้มาแล้ว
tonemai500 wrote:เจ้าของกระทู้ต้องการอะไรจาการตั้งกระทู้นี้ สมาชิกน่าคิดกันให้ดี ก่อนที่จะตอบกระทู้นี้นะครับ ผมว่า ดร. ค่อนข้างจะมาโชว์ อยากให้พวกเราเห็นว่าแกมีภุมิความรู้ระดับ ว.วชิรเมธี ยังต้องหลีกทาง
บางที่ผมว่าปล่อยเจ้าขอกระทู้ พล่ามๆ ไป ไม่ต้องไปตอบแกเลยดีกว่า คงจะเหมาะกับ จขกท ประเภทนี้ที่สุด
zereza wrote:ถ้าอยากให้ระบุข้อก็ได้ครับ พูดรวมๆเกินไปคงตีความลำบากสินะครับ ผมขอแย้งคุณในข้อ 9 ละกันครับ เพราะรายการวิทยุที่ผมฟังท่าน ว. (คลื่น 96.5) ในช่วงที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ท่านก็ได้แสดงความคิดเห็นในแนวทางเดิมก็คือ ให้รักษาชีวิตคนไว้ ใช้สติ หยุดความรุนแรง ที่ท่านสรุปว่า ท่าน ว. ไม่ได้แสดงความเห็นแบบเดียวกับกลุ่มพันธมิตรจึงไม่เป็นความจริงครับ เพียงแต่เวลาและโอกาสที่จะได้ออกมาให้สัมภาษณ์ไม่ได้เหมือนช่วงตอนพันธมิตรชุมนุมเท่านั้นครับ
หรือ จะแย้งอีกข้อคือข้อแรกก็ตามที่กล่าวไปครับ ธรรมะก็คือธรรมชาติ บ้านอื่นเมืองอื่นไม่ได้นับถือพุทธแต่ก็ต้องใช้มโนธรรมในการบริหารใช่มั้ยครับ ถ้าบริหารตามใจชอบย่อมไม่สามารถบริหารความขัดแย้งภายในชาติได้ ดังนั้นผู้ที่ใช้มโนธรรมนำการบริหารย่อมถูกต่อต้านน้อยกว่าครับ
ส่วนข้อ 3 พระท่านอยู่ใกล้ชุมชนครับ ชาวบ้านจะมีระบบวิธีความคิดตัดสินใจอย่างไร พระท่านน่าจะพอดูออก ผมไม่เสนอความเห็นใดๆละกันครับ
chanbaan wrote:ผมไม่รู้ ผมไม่เห็น ผมไม่เข้าใจ
แต่ผมคิดว่า พันธมิตรเขาไม่ใช่ประชาชนที่เกิดจากสภาวะการเมืองปกติ แต่มีการซ้อนทับกันระหว่างประชาชนที่ต่อสู้ต่ออำนาจรัฐที่ขุนนางได้กุมอำนาจหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กับกลุ่มการเมืองที่อกหัก และสื่อที่ไม่มีอำนาจขายข่าวใดๆ ให้กับรัฐบาลในสมัยนั้นได้
-------------------------------
ดังนั้น ผมคิดว่า ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ก้าวมาจากการโกงเพื่อน และใช้อำนาจปฏิวัติน้าชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งท่อน้ำเลี้ยงอันไม่มีที่สิ้นสุดอย่างสัมปทานดาวเทียมไทยคมแม้จะขายไปแล้วนั้น(ก็ยังถูกใช้เป็นทุนในการกระทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเพื่อให้ได้กำไรอันมหาศาลและซุกไว้ในต่างประเทศ) ผมเห็นว่า มันเป็นเรื่องที่น่าคิดและทบทวนต่อพฤติกรรมของนักการเมืองสายทักษิณให้ดี
------------------------------
แต่อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลใช้มาตรการใบอนุญาติดาวเทียมแทนสัมปทานดาวเทียม ก็หมายความว่า รัฐสามารถกำหนดรูปแบบการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมได้ แต่มันกลับเป็นเรื่องของสัญญาณโทรศัพท์เท่านั้นเท่าที่ติดตามข่าวสารมา แต่หากว่ามันสามารถยึดสัมปทานดาวเทียมมาเป็นของรัฐได้ โดยรัฐจะบริหารเปิดช่องสัญญาณเฉพาะส่วนที่ขอใช้ตามใบอนุญาติก็ถือว่าเหมาะสม อันนี้คือคำตอบว่า
.
รัฐบาลทักษิณ ซื่อสัตย์ต่อประชาชน หรือซื้อสัตย์จากประชาชน และเป็นผลให้พวกกระผมกับนักศึกษาล่ารายชื่อถอดถอนทักษิณออกจากตำแหน่งในช่วงปี 2548 ถ้าจำไม่ผิด ก่อนที่ทักษิณจะลากการเมืองเข้าสู่การยุบสภาทั้งๆ ที่มีเสียงในการสนับสนุนเพื่อบริหารประเทศล้นฟ้าล้นดิน และยังมีระยะเวลาในการบริหารประเทศอีกยาวนานเพียงพอต่อการต่อสู้คดีความในชั้นศาลหากตนถูกยื่นถอดถอนเป็นผลสำเร็จจริง
-------------------------
ผมพูดตรงๆ ว่า อำนาจในการบริหารประเทศนั้น ท่านอาจคิดว่าควรเป็นของประชาชน อันนี้ผมว่าจริงๆ ก็เป็นของประชาชนมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลกลาง ซึ่งเมื่อรัฐบาลกลางปฏิรูปการเมืองการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ เพราะเชื่อว่าต่อไประบบโทรคมนาคมจะก้าวหน้าไปมาก และทำให้การเมืองการปกครองของเรานั้นสามารถบริหารจัดการด้วยรัฐบาลกลางเป็นศูนย์กลางอำนาจโดยง่าย และที่สำคัญ เพื่อรวมประเทศให้ประเทศตามหลักสากลอีกด้วย ไม่ใช่บริหารแบบหลวมๆ ใครจะไปขึ้นกับเมืองใดเมื่อใดก็ทำตามใจชอบ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดที่ทำให้ประเทศสยามเป็นประเทศอย่างสมบูรณ์และเป็นรากฐานของประเทศไทยในปัจจุบันอีกด้วย
.
แต่เมื่อมีการปฏิวัติราชประหารยึดอำนาจเบ็ดเสร็จจากพระมหากษัตริย์ เรียกง่ายๆ ก็คือ การปล้นพระราชอำนาจนั้นเองนั้น ในปี 2475 เรื่อยมา โครงสร้างการเมืองการปกครองไทยก็นำมาสู่การแตกแยกในแผ่นดินตามลำดับ เพราะทำให้การใช้อำนาจของนักการเมืองยิ่งมีอิสระ และทำให้เสียงโจร(จากประชาชนที่เห็นแก่พวกพ้อง)สามารถสะท้อนออกมาเป็นพรรคพวก และยึดอำนาจรัฐสภาหรือที่เรียกกันว่า เผด็จการรัฐสภา ซึ่งในปัจจุบันก็เกิดทฤษฎีเกลือจิ้มเกลือ หนามหยอกต้องเอาหนามบ่ง จนสภาพการเมืองกลายเป็นระบบตาต่อตาฟันต่อฟันไปแล้ว ซึ่งยิ่งทำให้ระบบการเมืองของเรานั้นถึงขั้น ขาวจับมือดำ ดำเจ้ามือขาว เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น และนั้นทำให้เสถียรภาพของแต่รัฐบาลนั้นไม่ค่อยมี เช่นในปี 2548 ดำเป็นนายกฯ มีขาวนิดหน่อยเพราะต้องได้ตำแหน่งสำคัญในการบริหารประเทศ เจ้าดำเป็นนายกฯ ก็ดันถูกล่ารายชื่อถอดถอน สรุป ไปไม่รอด เอารัฐสภาเป็นที่พึ่ง เกิดเผด็จการรัฐสภา ยึดอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติด้วยช่องว่างทางกฏหมาย ยุบสภา และจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2549 แถมยังแทรกแซงการเลือกตั้งจนเป็นผลให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะไปในทันที เขาทำไปเพื่ออะไร อันนี้มีคำตอบในตัวมันเองอยู่แล้วใช่หรือไม่
----------------------------
สิ่งต่างๆ เหล่านั้น จะบอกว่าการเมืองของเรานั้นเป็นประชาธิปไตย เพราะนักการเมืองมาจากการเลือกตั้ง ผมว่าไม่จริง สมัยก่อนเราเลือกคนเพื่อเข้าสู่กระบวนการแข่งขัน เดียวนี้ เขาบังคับให้เราเลือก เลือกใครละ ก็คนในแต่ละพรรคการเมืองไง เดียวนี้คำว่าพรรคการเมืองมันก็คือกลุ่มผลประโยชน์ ที่มีการหลอกใช้ประชาชนอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในรัฐสภา ทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ มันไม่เป็นอิสระต่ออำนาจของผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์เป็นเบื้องต้นแล้ว เรายังมาสร้างค่านิยมที่ผิดๆ ด้วยการเห็นแก่ตัวแย่งชิงกันและกัน มองประชาชนด้วยกันว่าต่ำต้อยกว่า พยายามถีบตัวให้สูงกว่า ทั้งๆ ที่เราเป็นประชาธิปไตย ทำไมเรายังกัดกันเหมือนหมา ทำไมไม่หันหน้าเข้าหากัน แล้วมองดูความทุกข์ยากของประชาชนที่เป็นเพื่อนร่วมชาติและที่พวกนักการเมืองหลอกใช้สิว่า พวกเขานั้นลำบากแค่ไหน แล้วก็หันหน้าเข้ามาแก้ไขปัญหา ฝ่ายค้านก็หาข้อมูลให้ได้มากที่สุด หากรัฐบาลทำดีแล้ว ก็ยกมือสนับสนุนได้ หากทำไม่ดีก็กระทู้ถามสด ว่าทำไมรัฐบาลจึงแก้ไขปัญหาบ้านเมืองด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่อะไรๆ ก็สร้างปัญหากันในชาติบ้านเมือง โจมตีกัน คิดว่าตนนั้นถูก ความจริงการเมืองไทยหรือพรรคการเมืองไทยนั้นขาดหลักธรรมที่ว่า ขันติ ก็คือความอดทนต่อสิ่งที่มากระทบ หรือมายั่วยุให้เกิดการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น เช่น เขามายั่วให้เราโลภ เราโลภ เราเบียดเบียนผู้อื่นในทันที บางทีเขาบอกว่าให้เราไปทำงานเพื่อประชาชนจะได้โล่ เราก็ทำจนเบียดเบียนตัวเอง ทั้งสองส่วนนี้เพราะเราไม่อดทน เราคล้อยตามสิ่งที่มากระทบ ทำให้เราคล้อยตาม ขาดขันติธรรม มีนิวรคิดว่าเป็นพวกตนพูดอะไรก็ต้องเชื่อ สุดท้ายมันก็ไปไม่รอด จมลงสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หาเหตุผล หรือความเที่ยงธรรมไม่เจอ จนเชื่อว่าพวกตนนั้นแหละดี นั้นแหละถูกต้อง กัดกันเหมือนหมาในที่สุด
loginofu wrote:คุณเอ๊ยยย เป็นชาวพุทธท่านเอ่ยหลักมาให้คิด คิดต่อเองเห็นเองไม่รู้ไปศึกษาเพิ่มเองไม่ได้เลยเหรอครับ
ระยะเวลาแค่นั้นจะให้ท่านต้องมาอัตถาธิบายให้ละเอียดยิบเลยหรือไง
แล้วรู้หรือเปล่า แม้แต่ "อริยสัจ 4" คำเดียว ท่านจะใช้ กรรมุนาวิตตีโลโก หรือ ตถตา หรืออะไรก็ได้อีก 108
ทำไมท่านถึงใช้ "อริยสัจ 4"
ทำไมคำว่าต้องใช้ "ศีล สมาธิ ปัญญา" ไม่เป็น "ปัญญา ศีล สมาธิ" หรือก็มั่วเป็น "ศีล มุธิตา อุเบกขา"
คุณยกตัวอย่างสมาธิ คือการนั่งสมาธิ ไม่รับไม่รู้เรื่องราว
อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่า "เป็นชาวพุทธแต่ปาก"
หรือแม้แต่ประโยคง่ายๆของผม คุณยังไม่รู้ความหมายเลย
จะไปวิจารณ์ท่าน ว. ที่ท่านพูดภาษาธรรม(แม้จะพูดให้ง่ายแล้วก็เถอะ) ได้ยังไง
chanbaan wrote:ชีวิตไม่ใช่เงินตรา ไม่ใช่ตัวเลข ไม่ใช่ตรรกะ ไม่ใช่ความน่าจะเป็น แต่มันเป็นความสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์นั้นก็คือ กรรม บางคนเรียกตามภาษาไทยว่า การกระทำ แต่การกระทำนั้น มีหลายทิศทาง การที่จะมองพุทธศาสนาแบบตรรกวิทยานั้น หาจะใช่คำตอบของคนที่เรียนรู้หลักการทางตรรกวิทยาเสียแล้ว จึงต้องให้เข้าใจหลักพุทธศาสตร์ หรือหลักปัญญาตามทฤษฎีทางพุทธศาสตร์
.
ดังนั้น หากจะให้ดีว่า ท่าน ว.วชิรเมธีท่านคิดเห็นว่าอะไร ต้องดูสภาพแวดล้อม และปัจจัยน้อยใหญ่ อันประกอบกันและนำพาไปให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะทำการสังเคราะห์ความคิดเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ผมคิดว่าท่านต้องดูกฏหมายที่เจตนารมณ์ของกฏหมาย ตีความคำพูดของคนจากสภาวการณ์ปกติที่เกิดขึ้น มิใช่การหยิบยกหลายๆ สิ่งอันเกิดจากอคติภายในจิตใจ หรือนำหลักการคิดแบบตรรกวิทยามาใช้ในการสื่อสารกับชาวพุทธ
.
เพราะหากเปรียบเทียบหลักคิดของชาวพุทธนั้น ก็คือคล้ายๆ กับหลักการ อัลกอลิทึ่ม ของพวกเปอเซีย ที่ถ่ายทอดไปสู่พวกฝรั่ง ที่มีหลักการคิดและวิธีการย่อยๆ เช่นตรรกวิทยา และความน่าจะเป็นร่วมอยู่ภายใน แต่ก็มิใช่จะนำมาเป็นหลักในการตัดสินใจ แต่เป็นเพียงการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจเท่านั้น ดังนั้น ลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ความสัมพันธ์ต่างๆ หรือสัมพันธภาพที่ไอสไตย พยายามคิดหลักการและเหตุผลนั้น ในหลักการทางพุทธศาสตร์นั้นมีอยู่แล้ว แต่ต้องคิดตามหลักการและเหตุผลที่ไม่ใช่ความน่าจะเป็น ตรรกวิทยา หรือคณิตศาสตร์ รวมถึงอคติมาใช้เป็นแกนกลางทางความคิดหรือนำมาเป็นพื้นฐานของความคิด
pornchokchai wrote:zereza wrote:ถ้าอยากให้ระบุข้อก็ได้ครับ พูดรวมๆเกินไปคงตีความลำบากสินะครับ ผมขอแย้งคุณในข้อ 9 ละกันครับ เพราะรายการวิทยุที่ผมฟังท่าน ว. (คลื่น 96.5) ในช่วงที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ท่านก็ได้แสดงความคิดเห็นในแนวทางเดิมก็คือ ให้รักษาชีวิตคนไว้ ใช้สติ หยุดความรุนแรง ที่ท่านสรุปว่า ท่าน ว. ไม่ได้แสดงความเห็นแบบเดียวกับกลุ่มพันธมิตรจึงไม่เป็นความจริงครับ เพียงแต่เวลาและโอกาสที่จะได้ออกมาให้สัมภาษณ์ไม่ได้เหมือนช่วงตอนพันธมิตรชุมนุมเท่านั้นครับ
หรือ จะแย้งอีกข้อคือข้อแรกก็ตามที่กล่าวไปครับ ธรรมะก็คือธรรมชาติ บ้านอื่นเมืองอื่นไม่ได้นับถือพุทธแต่ก็ต้องใช้มโนธรรมในการบริหารใช่มั้ยครับ ถ้าบริหารตามใจชอบย่อมไม่สามารถบริหารความขัดแย้งภายในชาติได้ ดังนั้นผู้ที่ใช้มโนธรรมนำการบริหารย่อมถูกต่อต้านน้อยกว่าครับ
ส่วนข้อ 3 พระท่านอยู่ใกล้ชุมชนครับ ชาวบ้านจะมีระบบวิธีความคิดตัดสินใจอย่างไร พระท่านน่าจะพอดูออก ผมไม่เสนอความเห็นใดๆละกันครับ
- - - - ตกลงจะเอาอะไรแน่ครับ รวบรัดแล้วเอาให้ชัดครับ ยินดีที่จะคุยกันเสมอครับ
ridkun_user wrote:ถ้าราคาที่ซื้อ คือราคามูลค่าที่แท้จริง ก็คงไม่มีปัญหาฟองสบู่แล้วมั้ง อยู่ในตลาดซื้อขายจริงรึเปล่านี่![]()
แล้วก็ที่บอกกันว่า ผู้มีอำนาจพึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่สงสัยว่าจะยกเว้นกรณีถ้าประชาชนมีอำนาจ ห้ามวิพากษ์วิจารณ์
เพราะประชาชนถูกต้องเสมอ?? อันนี้ก็ เผด็จการซ่อนรูป version ใหม่ รึเปล่า
pornchokchai wrote:loginofu wrote:คุณเอ๊ยยย เป็นชาวพุทธท่านเอ่ยหลักมาให้คิด คิดต่อเองเห็นเองไม่รู้ไปศึกษาเพิ่มเองไม่ได้เลยเหรอครับ
ระยะเวลาแค่นั้นจะให้ท่านต้องมาอัตถาธิบายให้ละเอียดยิบเลยหรือไง
แล้วรู้หรือเปล่า แม้แต่ "อริยสัจ 4" คำเดียว ท่านจะใช้ กรรมุนาวิตตีโลโก หรือ ตถตา หรืออะไรก็ได้อีก 108
ทำไมท่านถึงใช้ "อริยสัจ 4"
ทำไมคำว่าต้องใช้ "ศีล สมาธิ ปัญญา" ไม่เป็น "ปัญญา ศีล สมาธิ" หรือก็มั่วเป็น "ศีล มุธิตา อุเบกขา"
คุณยกตัวอย่างสมาธิ คือการนั่งสมาธิ ไม่รับไม่รู้เรื่องราว
อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่า "เป็นชาวพุทธแต่ปาก"
หรือแม้แต่ประโยคง่ายๆของผม คุณยังไม่รู้ความหมายเลย
จะไปวิจารณ์ท่าน ว. ที่ท่านพูดภาษาธรรม(แม้จะพูดให้ง่ายแล้วก็เถอะ) ได้ยังไง
ผมพูดไว้ชัด ๆ แล้วนะครับ ลองอ่านอีกทีนะครับ "5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว"
pornchokchai wrote:loginofu wrote:คุณเอ๊ยยย เป็นชาวพุทธท่านเอ่ยหลักมาให้คิด คิดต่อเองเห็นเองไม่รู้ไปศึกษาเพิ่มเองไม่ได้เลยเหรอครับ
ระยะเวลาแค่นั้นจะให้ท่านต้องมาอัตถาธิบายให้ละเอียดยิบเลยหรือไง
แล้วรู้หรือเปล่า แม้แต่ "อริยสัจ 4" คำเดียว ท่านจะใช้ กรรมุนาวิตตีโลโก หรือ ตถตา หรืออะไรก็ได้อีก 108
ทำไมท่านถึงใช้ "อริยสัจ 4"
ทำไมคำว่าต้องใช้ "ศีล สมาธิ ปัญญา" ไม่เป็น "ปัญญา ศีล สมาธิ" หรือก็มั่วเป็น "ศีล มุธิตา อุเบกขา"
คุณยกตัวอย่างสมาธิ คือการนั่งสมาธิ ไม่รับไม่รู้เรื่องราว
อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่า "เป็นชาวพุทธแต่ปาก"
หรือแม้แต่ประโยคง่ายๆของผม คุณยังไม่รู้ความหมายเลย
จะไปวิจารณ์ท่าน ว. ที่ท่านพูดภาษาธรรม(แม้จะพูดให้ง่ายแล้วก็เถอะ) ได้ยังไง
ผมพูดไว้ชัด ๆ แล้วนะครับ ลองอ่านอีกทีนะครับ "5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว"
tonemai500 wrote:เจ้าของกระทู้ต้องการอะไรจาการตั้งกระทู้นี้ สมาชิกน่าคิดกันให้ดี ก่อนที่จะตอบกระทู้นี้นะครับ ผมว่า ดร. ค่อนข้างจะมาโชว์ อยากให้พวกเราเห็นว่าแกมีภุมิความรู้ระดับ ว.วชิรเมธี ยังต้องหลีกทาง บางที่ผมว่าปล่อยเจ้าขอกระทู้ พล่ามๆ ไป ไม่ต้องไปตอบแกเลยดีกว่า คงจะเหมาะกับ จขกท ประเภทนี้ที่สุด
zereza wrote:ว่ายังงั้นก็ไม่ถือว่าผิดครับ ศาสนาพุทธมีหัวใจหลักก็คือป้องกันหรือเอาตัวออกห่างจากเหตุแห่งความเสื่อม เสื่อมในที่นี้หมายถึงเสื่อม ลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งความเป็นจริงของโลกมันเลี่ยงความเสื่อมได้ยาก การปฏิบัติตามหลักธรรมจึงช่วยชะลอความเสื่อมที่ว่าได้
ส่วนเรื่องการจะละความทุกข์ความกลัดกลุ้มอย่างสิ้นเชิง จำเป็นต้องละทางโลกอย่างสิ้นเชิงไปด้วย โลกียะ กับ โลกุตระ มันไปด้วยกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพระพุทธองค์คงสามารถสำเร็จอรหันต์ได้พร้อมๆกับที่ยังทรงเป็นกษัตริย์ไปด้วยแล้ว ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงถูกนำมาใช้เพื่อดับทุกข์หรือชะลอความเสื่อมได้เพียงบางส่วนครับ มิใช่ทั้งหมด
loginofu wrote:ชัดเจนแล้วครับ
คุณไม่รู้จัก "ศีล สมาธิ ปัญญา"
หนึ่งในคำสอนที่มีการอธิบายมาแล้วมากที่สุด
ผมจึงไม่ต้องตั้งสมมติฐานใดอีก สรุปได้แล้วว่า "คุณไม่รู้เรื่องอะไรในเรื่องที่คุณวิจารณ์เลย"
pornchokchai wrote:loginofu wrote:ชัดเจนแล้วครับ
คุณไม่รู้จัก "ศีล สมาธิ ปัญญา"
หนึ่งในคำสอนที่มีการอธิบายมาแล้วมากที่สุด
ผมจึงไม่ต้องตั้งสมมติฐานใดอีก สรุปได้แล้วว่า "คุณไม่รู้เรื่องอะไรในเรื่องที่คุณวิจารณ์เลย"
----- สรุปได้รวบรัดปานพลิกฝ่ามืออย่างนั้นเชียวหรือโยม
----- นอกจากกล่าวหาคนอื่นแล้ว ควรให้รายละเอียด พร้อมหลักการ ประจักษ์หลักฐาน เพื่อให้การศึกษาคนอื่นบ้างนะครับ
pornchokchai wrote:เอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบ ชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
pornchokchai wrote:zereza wrote:ว่ายังงั้นก็ไม่ถือว่าผิดครับ ศาสนาพุทธมีหัวใจหลักก็คือป้องกันหรือเอาตัวออกห่างจากเหตุแห่งความเสื่อม เสื่อมในที่นี้หมายถึงเสื่อม ลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งความเป็นจริงของโลกมันเลี่ยงความเสื่อมได้ยาก การปฏิบัติตามหลักธรรมจึงช่วยชะลอความเสื่อมที่ว่าได้
ส่วนเรื่องการจะละความทุกข์ความกลัดกลุ้มอย่างสิ้นเชิง จำเป็นต้องละทางโลกอย่างสิ้นเชิงไปด้วย โลกียะ กับ โลกุตระ มันไปด้วยกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพระพุทธองค์คงสามารถสำเร็จอรหันต์ได้พร้อมๆกับที่ยังทรงเป็นกษัตริย์ไปด้วยแล้ว ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงถูกนำมาใช้เพื่อดับทุกข์หรือชะลอความเสื่อมได้เพียงบางส่วนครับ มิใช่ทั้งหมด
----- คุณพูดอะไรครับ เราคุยเรื่องเดียวกัน ในประเด็นที่ผมตั้งหรือเปล่านี่ ชักงง
pornchokchai wrote:ถ้าประเทศใดปกครองโดยบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่า ประเทศนั้น ๆ จะต้องมีความสุขเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นความฝันที่เลื่อนลอย เพราะว่ากษัตริย์ในอดีตเช่น พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ได้ทรงเคยสถาปนาพระราชอาณาจักร โดยอาศัยพื้นฐานจากแนวคิดเหล่านี้มาแล้ว
----- เมืองในฝันครับ แต่ไปไม่ถึง (ฮา)
----- เมืองในฝัน ก็ยังดีกว่าเมืองคนบาปนะคะ (ฮาด้วยคน)
สังคมหรือลักษณะการเมืองการปกครองที่ใกล้เคียงกับยูโทเปีย ยังไงก็น่าจะดีกว่าดิสโทเปียนะคะ
สิ่งที่ท่าน ว วชิรเมธีเทศน์ รวมถึงความคิด-ความเห็นก็สอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก
บทสัมภาษณ์ความคิดเห็นของท่าน ว วชิรเมธี ในช่วงการต่อสู้ของนปช.กับรัฐบาลปัจจุบันก็มีให้อ่านนะคะ
คุณ pornchokchai ได้ลองอ่านดูบ้างรึยัง..
----- คุณมีอะไรมายืนยัน นอกจากความรู้สึกครับ
อ้างอิงจาก..
2. ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม ก็เหมือนนักการเมือง การที่พระมหาวุฒิชัยพูดในห้วงแหลมคมของการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรก็เท่ากับต้องการตำหนิว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีทศพิธราชธรรม ซึ่งจะจริงหรือไม่ผมคงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
ดิฉันนึกว่าเรากำลังแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ซึ่งกรณีนี้คุณ pornchokchai มองว่าท่าน ว วชิรเมธีตำหนิรัฐบาลว่าไม่มีทศพิธราชธรรม แต่ดิฉันมองว่าท่านพูดในหลักคิดทั่วไปที่สอดคล้องกับเรื่องราวหรือสถานการณ์ในตอนนั้น เป็นมุมมองที่อิงกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก
ความคิดเห็นในกรณีนี้ ต้องมีหลักฐานมายืนยันด้วยหรือคะ?![]()