เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Thu Aug 05, 2010 1:54 pm

-3- wrote:ภาคสองจบแบบนี้ ได้เป็นหนังไตรภาคแน่ๆ :shock: :shock:
ปล เข้ามา +10 ให้ จขกท :D :D

benzcl wrote:ผมเป็นสมาชิกใหม่ เพิ่งตามมาอ่านครับ
ขอขอบคุณและชมเชยจขกท.ด้วยใจจริง
ที่อุตส่าห์เรียบเรียงเรื่องราวได้กระชับและอ่านเข้าใจง่าย
เหมาะสำหรับเป็นประวัติศาสตร์สอนลูกหลานไทยในโอกาสต่อไป

rafia wrote:อ่านแล้วรู้สึกว่า คนที่เป็นพวกฝั่งทักษิณโดยที่มีวิธีการรับข่าวสารทันคนอื่นๆเนี่ย
มันไม่ใช่คน :?
ปล... เป็นกำลังใจให้ครับ เขียนได้เยี่ยม :) :P :D :mrgreen:

บุญปลีก wrote:สนับสนุนความคิด คุณ ริวเซย์ ครับ น่าจะรวบรวม เพราะ คุณ bird เขียนได้ดีอ่านเข้าใจง่าย
เหมาะสำหรับพวกไม่ค่อยติดตามการเมื่องอย่างผม ซึ่งบังเอิญว่าเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศตัวจริง :lol:
1 ความเห็นของพลังเงียบครับ :D

badpig wrote:เป็นกำลังใจให้ จขกท.ครับ ว่างๆเดี๋ยวมาอ่านต่อ อิอิ

canola wrote:มาให้กำลังใจด้วยค่ะ :D

มะเขือเทศเน่า wrote:ไม่มีเสื้อแดงหาข้อมูลมาแก้ต่างในกระทู้นี้เลยเหรอ :?: :?: :?:
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คุณ bird ที่หาข้อมูลดีๆ มาให้


ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจค่ะ...
ภาคสอง เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ ยังมีข้อมูลอีกเพียบ จะทยอยคัดกรองมานำเสนอค่ะ
สำหรับท่านสมาชิกใหม่ ไม่ทราบว่าได้มีโอกาสเข้าไปอ่าน ภาคหนึ่ง กันบ้างหรือยัง

หากพอจะมีเวลาว่างสักนิด ลองอ่านดูน่ะค่ะ ที่ " ห้องสมุด " ค่ะ
หรืออยากจะโหลดเก็บไว้ ก็ตามนี้ค่ะ

.PDF File โดย Media Fire

http://www.mediafire.com/?gj3mm4u2wjn

http://www.mediafire.com/file/gj3mm4u2wjn/เค้าลาง ฉบับเต็ม.pdf

ขอบคุณอีกครั้งน่ะค่ะ ที่กรุณาติดตามค่ะ :mrgreen: :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Thu Aug 05, 2010 4:44 pm

แถลงการณ์ร่วม มิย. ๒๕๕๑

แถลงการณ์ “ ความหมายที่ระบุในพจนานุกรมไทยฉบับราชบัญฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๔๒ หากเป็นคำนาม หมายถึง บรรดาข้อความที่ทางราชการแถลง
เพื่อทำความเข้าในกิจการของทางราชการ หรือ เหตุการณ์ หรือ กรณีใด ๆ
ให้ทราบชัดเจนโดยทั่วกัน หากเป็นคำกริยา หมายถึง การอธิบายเหตุการณ์
เป็นทางการ

แถลงการณ์ร่วม “ เป็นคำนาม หมายถึง คำแถลงการณ์ของผู้เข้าประชุม
ทุกฝ่ายที่ได้ลงนามร่วมกัน เพื่อแถลงให้ประชาชนทั่วไปทราบ

Image

Image

Image

สำเนา แถลงการณ์ร่วม ( แปลความตามฉบับภาษาอังกฤษ)

ณ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๘ (พ.ศ. ๒๕๕๑) มีการประชุมหารือกันระหว่าง
นายซก ฮัน รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักคณะรัฐมนตรี
แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อสืบต่อการหารือระหว่างทั้งสอง
ท่าน ว่าด้วยการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไว้ในบัญชีมรดกโลก การ
ประชุมคราวนี้จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ขององค์การยูเนสโก กรุงปารีส โดยมี
ท่านอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย ได้แก่

- นางฟรองซัวส์ ริเวเร ( Francoise Riviere ) ผู้ช่วยผู้อำนวนการใหญ่ฝ่าย
วัฒนธรรมของยูเนสโก
- เอกอัครราชฑูต ฟรานเซสโก คารูโซ (Francesco Caruso)
- นายอาเซดิโน เบสชอต (Azedino Beschaouch)
- นางเปาลา เลออนซินี บาร์โตลี (Paola Leoncini Bartoli)
- นายจิโอวานนี บอคคาร์ดี (Giovanni Boccardi)

การประชุมหารือคราวนี้ ดำเนินไปด้วยเจตนารมณ์แห่งมิตรภาพและความร่วม
มือกันระหว่างการประชุมหารือทั้งสองฝ่ายได้ทำความตกลงกัน ดังต่อไปนี้

๑) ราชอาณาจักรไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเข้าไว้ใน
บัญชีมรดกโลก
ตามการเสนอของราชอาณาจักรกัมพูชา ณ การประชุมครั้งที่
๓๒ (นครคิวเบก, แคนาดา, กรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๐๘ หรือ พ.ศ. ๒๕๕๑) ของ
คณะกรรมการพิจารณามรดกโลก

ตามขอบเขตรอบดินแดนซึ่งระบุไว้ว่าเป็น หมายเลข ๑ ในแผนที่ซึ่งจัดทำ
โดยทางการผู้รับผิดชอบของกัมพูชา และได้แนบท้ายมาด้วยแล้ว แผนที่ดัง
กล่าว ยังได้ครอบคลุมพื้นที่กันชนทางด้านตะวันออกและด้านใต้ของปราสาท
โดยระบุให้เป็น หมายเลข 2


๒) ด้วยเจตนารมณ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือกัน ราชอาณาจักรกัมพูชา
ยอมรับว่า ปราสาทพระวิหารที่จะเสนอขอขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก
ในขั้นนี้จะไม่ได้รวมพื้นที่กันชนทางด้านเหนือและด้านตะวันตกของปราสาท


๓) แผนที่ซึ่งอ้างไว้ในวรรค ๑ ข้างต้น จะแทนที่แผนที่ต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้อง
และบรรจุไว้ใน “ Schema Directeur pour le Zonage de Preah Vihear ” ตลอด
จนการอ้างอิงด้านกราฟฟิกทั้งหมดที่ระบุบ่งชี้ถึง “ บริเวณหลัก ” (core zone)
และการแบ่งบริเวณอื่น ๆ (zonage) ของปราสาทพระวิหาร ที่บรรจุอยู่ในแฟ้ม
เสนอขอขึ้นทะเบียนของกัมพูชาด้วย

๔) ระหว่างที่รอผลการปฏิบัติงานของ คณะกรรมการร่วมเพื่อการปักปันเขต
แดนทางบก (Joint Commission for Land Boundary หรือ JBC) เกี่ยวกับพื้นที่
ด้านเหนือและด้านตะวันตกรอบๆ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้รับการระบุให้เป็น
หมายเลข ๓ ในแผนที่ที่อ้างอิงไว้ในวรรค ๑ ข้างต้น

แผนการบริหารจัดการพื้นที่เหล่านี้ จะได้รับการจัดทำในลักษณะของการประ
สานร่วมมือกัน ระหว่างทางการผู้รับผิดชอบของกัมพูชา และทางการผู้รับผิด
ชอบของไทย โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการอนุรักษ์ระหว่างประเทศ ด้วย
ทัศนะที่มุ่งรักษาคุณค่าอันเป็นสากลที่โดดเด่นของทรัพย์สินดังกล่าวนี้

แผนการบริหารจัดการดังกล่าวนี้ จะบรรจุไว้ในแผนการบริหารจัดการสุดท้าย
สำหรับปราสาทพระวิหารและบริเวณรอบ ๆ ปราสาท ซึ่งจะยื่นเสนอต่อศูนย์
กลางมรดกโลก (World Heritage Centre) ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ.
๒๐๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๓) เพื่อการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณามรดก
โลก ในการประชุมครั้งที่ ๓๔ ในปี ค.ศ. ๒๐๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๓)

๕) การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไว้ในบัญชีมรดกโลกครั้งนี้ จะไม่ทำ
ให้เสื่อมเสียสิทธิ์ของราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย ในการ
กำหนดปักปันเขตแดนของคณะกรรมการร่วมเพื่อการปักปันเขตแดนทางบก
(JBC) ของประเทศทั้งสอง

๖) ราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย ขอแสดงความซาบซึ้งใจ
อย่างยิ่งต่อ ท่านผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ฯพณฯ นายโคอิชิโร
มัตสึอุระ สำหรับความช่วยเหลือของท่านในการอำนวยความสะดวกให้แก่
กระบวนการ เพื่อการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไว้ในบัญชีมรดกโลก

พนมเปญ, ๑๘ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๘
ในนามรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชา
ฯพณฯ นาย ซก อัน
รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักคณะรัฐมนตรี

กรุงเทพฯ, ๑๘ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๘
ในนามรัฐบาลราชอาณาจักรไทย
ฯพณฯ นายนพดล ปัทมะ
รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ปารีส, ๑๘ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๘
ผู้แทนของยูเนสโก


Image

ดังกล่าวข้างต้น คือ สำเนาแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งนายนพดล ใน
ฐานะ รมต ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามร่วมกัน นายซก อัน ใน
ฐานะรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑ ( ค.ศ.
๒๐๐๘ ) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมร่วม ๒ ฝ่าย เมื่อวันที่ ๒๒
พฤษภาคม ๒๕๕๑

ภายหลังแถลงการณ์ร่วมฉบับดังกล่าวเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน ปมปัญหา
ต่าง ๆ ก็ติดตามออกมา ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียงกันว่า แถลงการณ์ฉบับนี้จะ
สร้างปัญหาอธิปไตยเหนือดินแดนระหว่าง ๒ ประเทศ ที่ยังไม่มีข้อสรุปใน
เรื่องการปักปันเขตแดนที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

การประชุมก่อนออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ก็มิได้ปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญปี
พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ ที่กำหนดไว้ ดังนี้

Image

มาตรา ๑๙๐ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือ
สัญญาสันติภาพสัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น กับนานาประเทศหรือกับองค์
การระหว่างประเทศ


หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณา
เขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือ
ตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็น
ไปตามหนังสือสัญญาหรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคม
ของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรือ งบ
ประมาณของประเทศ อย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้
รับเรื่องดังกล่าว


ก่อนการดำเนินการ เพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศ หรือ องค์การ
ระหว่างประเทศตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับ
ฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญ
ญานั้น ในการนี้ ให้คณะรัฐมนตรีเสนอ กรอบการเจรจาต่อรัฐสภา เพื่อขอ
ความเห็นชอบด้วย


เมื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้ว ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มี
ผลผูกพันคณะรัฐมนตรี ต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของ
หนังสือสัญญานั้น และในกรณีที่การปฏิบัติตามหนังสือสัญญาดังกล่าวก่อให้
เกิดผลกระทบต่อ ประชาชน หรือ ผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม
คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวด
เร็วเหมาะสม และเป็นธรรม

ให้มีกฎหมายว่าด้วย การกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาที่มี
ผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือ สังคมของประเทศอย่างกว้าง
ขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้าหรือการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการ
แก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตาหนังสือสัญญาดังกล่าว
โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม ระหว่างผู้ที่ได้ประโยชน์กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ
จากการปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นและประชาชนทั่วไป

ในกรณีที่มีปัญหาตามวรรคสอง ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะวินิจ
ฉัยชี้ขาด โดยให้นำบทบัญญัติตามมาตรา ๑๕๔ (๑) มาใช้บังคับกับการ
เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยอนุโลม “

Image

การประชุมระหว่าง นายนพดล และ นายซก อัน รวมทั้ง ร่างแถลงการณ์ร่วม
ฉบับดังกล่าว ได้รับมติให้ความเห็นชอบ ในที่ประชุม ครม ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่
๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๑ โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะ
นั้นเป็นประธานที่ประชุม นั้นก็หมายความว่า

ครม รับทราบว่ามีการประชุม และ รับทราบผลการประชุม ที่อาจจะส่งผลให้
มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ภายหลังจากประชุมสิ้นสุดไปแล้ว
เกือบ ๑ เดือน อีกทั้งร่างแถลงการณ์ร่วม ครม รับทราบเพียง ๑ วันก่อนการ
ประกาศต่อสาธารณชน

หากว่า การประชุมครั้งนั้นมีการสรุปผลอะไรก็ตามที่ อาจจะทำให้เราต้องสูญ
เสียอะไรก็ตาม ที่พวกเราไม่พึงประสงค์เหล่า ท่านในฐานะตัวแทนของพวก
เราจะรับผิดชอบได้หรือไม่

หรือเพียงแค่ลาออกจากตำแหน่ง... ก็ถือว่าท่านรับผิดชอบแล้ว

นั่นไม่สามารถแลกได้เลยกับสิ้งที่พวกเราอาจจะต้องสูญเสีย...

ชีวิตของท่านก็มิอาจทดแทนได้.....


Image
Last edited by bird on Sat Aug 07, 2010 4:15 pm, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby kapi » Fri Aug 06, 2010 4:27 pm

ปักหลักรอ เหมือนอ่านนิยายเลยครับ ขอบคุณคุณเบิร์ดมากครับ
User avatar
kapi
 
Posts: 229
Joined: Tue Mar 30, 2010 4:37 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Sat Aug 07, 2010 4:48 pm

เปิดประวัติ ปราสาทพระวิหาร

ด้วยความสัตย์จริง ไม่เคยคิดที่จะขุดคุ้ย ข้องแวะ หรือ แตะต้องปมปัญาที่เกี่ยวข้อง
กับ ปราสาทพระวิหาร อันเนื่องจากปมปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และยัง
เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าความ
รับผิดชอบจะสามารถกระทำได้ จึงเลี่ยงที่จะนำเสนอถึงปมปัญหาดังกล่าวในทุก ๆ
กรณี ด้วยเกรงว่าข้อความใด ๆ อาจจะส่งผลในด้านลบ ซึ่งมิใช่สิ่งที่พึงให้เกิดขึ้น

ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีการถกเถียงกันหลากหลายมุมมอง ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
ดังกล่าว จึงใคร่ขอนำเสนอเรื่องราว ปราสาทพระวิหาร เท่าที่จะสามารถนำเสนอได้
ข้อความทุก ๆ ข้อความที่ปรากฎ ได้มาจากข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง นำมาประมวลผล
โดยจิตวิเคราะห์ส่วนตัว จึงเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวที่นำมาบอกเล่าเท่านั้น
ด้วยความเคารพ

Image

ปราสาทพระวิหาร “ ชื่อเดิมที่บันทึกไว้ในศิลาจารึกของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑
ที่โคปุระของปราสาทพระวิหาร (จารึกปราสาทเข้าพระวิหาร ๔, วารสารศิลปากร
ปีที่ ๕๐, ฉบับที่ ๕ กย – ตค ๒๕๕๐) คือ “ ศรีศิขรีศวร “ ซึ่งเป็นชื่อ “ ศิวลึงค์
ที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ทรงสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. ๑๕๖๑ และนำมาประดิษฐาน
ไว้ ณ ศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อถวาย พระศิวะ ในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
บริเวณผาเป้ยตาดี ของ เทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นเทือกเขาที่กั้นระหว่างพรมแดน
ประเทศไทยและกัมพูชา ตามลักษณะภูมิศาสตร์

ภายหลังรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ต่อเนื่องรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒
ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๕๖ ถึงหลังปี พ.ศ. ๑๖๘๘ ศาสนสถาน “ ศรีศิขรีศวร “
เป็นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของขอมโบราณ ตามหลักฐานที่ปรากฎใน ศิลาจารึก
ปราสาทพระวิหาร หลัก K.383 ซึ่งจารึกเรื่องราวของศาสนสถานแห่งนี้ และประ
วัติพราหมณ์ในราชสำนักชื่อว่า “ ทิวากรบัณฑิต

Image

หลังรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ศาสนสถาน ศรีศิขรีศวร ได้ถูกลดบทบาทลง
เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนสถานแห่งนี้ ไม่เคยปรากฏในศิลาจารึกใด ๆ อีกเลย อาจ
มีสาเหตุมาจากภาวะความไม่สงบทั้งภายใน ประเทศ ทั้งการแย่งชิงราชบัลลังค์
และ สงครามระหว่างอาณาจักรขอม กับ อาณาจักรจามปา ทำให้ต้องเสียเมือง
พระนครให้กับจามปา ศาสนสถานศรีศิขรีศวร หรือ ปราสาทพระวิหาร จึงค่อย ๆ
เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวขอมโบราณ

ภายหลังพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แย่งชิงเมืองพระนครคืนมาจากจามปา และทรง
สถาปนาเป็น “ เมืองพระนครศรียโศธรปุระที่ ๒ “ และด้วยสาเหตุที่ว่า พระเจ้า
ชัยวรมันที่ ๗ ทรงนับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่
ทำให้ศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ภายในราชสำนักค่อย ๆ ลดความสำคัญลง
จนเลือนหายไปในที่สุด

ต่อมาเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเข้าตีเมืองพระนครศรียโศธรปุระ หรือ พระนครหลวง
ในปี พ.ศ. ๑๙๗๔ เป็นเหตุให้กัมพูชาย้ายราชธานีลงทางใต้ ซึ่งเป็นการสิ้นสุด
ยุคประวัติศาสตร์ขอมสมัยเมืองพระนคร เข้าสู่ประวัติศาสตร์หลังสมัยพระนคร
ศาสนสถาน ศรีศิขรีศวร กลายเป็นเพียงปราสาทร้างกลางป่าเขา มิได้รับการอุป
ถัมภ์จากราชสำนักอีกเลย

จวบจนกระทั้ง ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ( ร.ศ. ๑๑๘ ) พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง-
สรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
( รัชกาลที่ ๕ ) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ มณฑลอีสาน เป็น
ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหาร และทรงสลักจารึกเพื่อเป็นหลักฐานการค้นพบไว้
บริเวณปราสาทว่า “ ๑๑๘ สรรพสิทธิ

Image

ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของประเทศ
มหาอำนาจ ฝรั่งเศสขยายอำนาจเข้าครอบครองอินโดจีน ได้ทำสนธิสัญญายก
ดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศส เพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ และ อธิปไตย ของ
ประเทศเอาไว้ ฝรั่งเศสทำแผนที่ขีดเส้นพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้น โดย
ระบุว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตประเทศไทย

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ มีการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม ฉบับปี ๒๔๔๗ ซึ่งใน
ครั้งนี้ ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นใหม่ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยร่วมจัดทำ
ด้วย และมิได้เป็นไปตามเส้นสันปันน้ำ อันเป็นหลักสากล ทำให้เส้นพรมแดน
ที่ฝรั่งเศสกำหนดขึ้นใหม่ ระบุให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตกัมพูชา ซึ่งเจ้า
หน้าที่ของไทยในยุคสมัยนั้น มิได้ทักท้วง ด้วยเกรงว่า ฝรั่งเศสจะหาเรื่องเข้า
ยึดประเทศไทย

Image

การที่ไทยมิได้ทักท้วงครั้งนี้ กลับกลายเป็นข้อกล่าวอ้างในคำพิพากษาของ
ศาลโลกในอีก ๕๕ ปีต่อมา ว่า ประเทศไทยยอมรับแผนที่ฉบับนี้ เสมือนว่า
ประเทศไทยยอมรับว่า ปราสาทพระวิหาร อยู่ในเขตของกัมพูช จึงพิพากษา
ให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา

และ แผนที่ฉบับเดียวกันนี้เอง กัมพูชาได้นำมาประกอบการขอขึ้นทะเบียน
มรดกโลกในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ อันนำมาซึ่งปมปัญหาที่ยังไม่อาจหาข้อสรุป
ได้ในปัจจุบัน

ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ช่วงสงครามอินโดจีน สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำ
การเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสยอมคืน ไชยบุรี, จำปาศักดิ์,
เสียมราฐ และ พระตะบอง ให้กับประเทศไทย ในท้ายที่สุด ไทยก็ต้องยอม
ยกดินแดนดังกล่าวคืนให้ฝรั่งเศส ภายหลังญิ่ปุ่นแพ้พ่ายสงครามโลกครั้งที ๒
(พ.ศ. ๒๔๘๘) เพื่อปรับสถานะมิให้อยู่ในภาวะแพ้สงครามเช่นเดียวกับญี่ปุ่น

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ฝรั่งเศสอยู่ในภาวะแพ้สงครามที่เดียนเบียนฟู จำต้อง
ถอนกองกำลังทหารออกจากเวียดนาม ไทยจึงส่งเจ้าหน้าที่ทหารเข้าครอบ
ครองประสาทพระวิหารอีกครั้ง และในปีเดียวกันนี้ กัมพูชาได้รับเอกราชจาก
ฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ เวียดนาม และ ลาว

เจ้านโรดมสีหนุ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น ได้เรียกร้องขอคืนปราสาท
พระวิหารจากไทย ซึ่งไทยได้ปฏิเสธมาโดยตลอด อันเนื่องมาจาก ตามหลัก
สากล พิจารณาตามเขตเส้นสันปันน้ำแล้ว ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตไทย
กลายเป็นปมปัญหาระหว่าง ๒ ประเทศ ในวันที่ ๒๔ พฤศิจกายน ๒๕๐๑
ไทยและกัมพูชาจึงประการปิดพรมแดน

Image

ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒ เจ้านโรดมสหนุ ได้ทำการยื่นฟ้องร้องไทยต่อ
ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ต่อมาในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕
ศาลโลกพิพากษาให้ กัมพูชา ชนะคดี ด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง โดยตัด
สินให้

ปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

สร้างความเจ็บปวดให้กับชาวไทยทั่วทั้งประเทศ ซึ่งผลของคดีครั้งนี้ทำให้
ไทยต้องเสียดินแดนบางส่วนไปพร้อมกับ ปราสาทพระวิหาร

แต่ถึงกระนั้น รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประ
ท้วงคำตัดสินของศาลโลก ต่อองค์การสหประชาชาติ สงวนสิทธิที่จะเอาเขา
พระวิหารคืนจากกัมพูชา จอมพลสฤษดิ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่ง ความว่า

...ด้วยเลือดและน้ำตา...
สักวันหนึ่ง เราจะต้องเอาเข้าพระวิหารคืนมาให้จงได้...


Image

แต่ในปัจจุบัน มวลชนบางกลุ่ม บางคน ที่มีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย และ
/หรือ สัญชาติอื่น กลับสนับสนุน และ พร้อมที่จะยกดินแดนที่อยู่ภายใต้
อธิปไตยของเราให้กับเพื่อนบ้าน เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว เครือญาติ
และพรรคพวก พี่น้อง

โดยหลงลืม น้ำตา ความเจ็บปวดของชาวไทยเมื่อครั้งที่ผ่านมา อย่างไม่น่า
ให้อภัย หรือ เพราะเค้าเหล่านั้น หลงลืมไปแล้วว่า

เค้าก็คือ คนไทยคนหนึ่ง ที่มีหน้าที่ต้องปกปักรักษาแผ่นดินนี้ไว้ด้วยชีวิต....
Last edited by bird on Sat Aug 07, 2010 9:29 pm, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby benzcl » Sat Aug 07, 2010 6:55 pm

มาตามอ่านครับ เห็นข้อมูลเจ้าหน้าที่กัมพูชาคนนี้แล้วถึงได้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง
นายซก ฮัน รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักคณะรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
คนนี้ก็เพิ่งเป็นข่าวประกาศชัยชนะของกัมพูชา
คุณเบิร์ดเคยเอะใจบ้างไหมครับว่าทางเขามีคนติดตามเรื่องเขาพระวิหารอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่พี่ไทยเปลี่ยนรมว.การต่างประเทศแล้วตั้งสามคน
การเดินเรื่องของเขาจึงดูเป็นเกมส์ต่อเนื่อง
User avatar
benzcl
 
Posts: 3901
Joined: Mon May 03, 2010 10:59 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby -tOmMyZ- » Sat Aug 07, 2010 6:59 pm

สุดยอด

รวบรวมข้อมูลได้ดีมาก ^^

เป็นกำลังใจและเอาใจช่วยคับ ^^



มะเขือเทศเน่า wrote:ไม่มีเสื้อแดงหาข้อมูลมาแก้ต่างในกระทู้นี้เลยเหรอ :?: :?: :?:
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คุณ bird ที่หาข้อมูลดีๆ มาให้


ก็รู้กันอยู่เสื้อแดง เวลาเจอ "ตอ" แบบนี้ ก็สลายตัวหายเงียบไป ไม่ก็เบี่ยงประเด็นตามสไตล์

ใบ้แดกกันเป็นแถว ^^
เชื่อในสิ่งที่เห็น
User avatar
-tOmMyZ-
 
Posts: 328
Joined: Tue Apr 27, 2010 8:54 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby zereza » Sun Aug 08, 2010 3:59 am

มะเขือเทศเน่า wrote:ไม่มีเสื้อแดงหาข้อมูลมาแก้ต่างในกระทู้นี้เลยเหรอ :?: :?: :?:
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คุณ bird ที่หาข้อมูลดีๆ มาให้


โดนไปหลายดอกครับต้องหาทางแก้กันนานอยู่ เดี๋ยวแก้ไปแก้มาขัดแย้งกันเองมันจะยุ่ง :lol: :lol:
"ถ้าคุณตั้งคำถามของปัญหาที่เกิดขึ้นผิด ก็อย่าหวังว่าจะได้ทางออกของปัญหาที่ถูกต้อง"
"อิทัปปัจจยตา และ ปฏิจจสมุปปบาท สองหลักใหญ่ที่เป็นหัวใจแห่งพุทธะ หากคนไทยเรียนรู้และปฏิบัติตามได้เกินครึ่ง ชาติไทยจะห่างไกลความวิบัติทั้งปวง"
User avatar
zereza
 
Posts: 1312
Joined: Mon Apr 26, 2010 6:03 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Tue Aug 17, 2010 12:01 pm

ย้อนรอย ปมปัญหาพระวิหาร

ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งที่กำลังถกเถียงกันทั้งในระดับพลเมืองภายในประเทศ เข้าสู่ระดับทวิภาคี
และกำลังจะก้าวขึ้นสู่ระดับไตรภาคี ตามความคาดหวังของใครบางคนหรือไม่ ที่มีความปราถนา
ยืมมือต่างชาติ เข้ามาจัดระบบระเบียบภายในบ้านเกิดตนเองอยู่เนือง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงพฤษภา
ที่ประกาศก้องร้องหาองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหวังให้เข้าแทรกแซงเหตุการณ์วุ่นวาย ภายใน
บ้านเกิด อันเกิดจากการกระทำของกลุ่มมวลชนแนวร่วมของใครคนนั้น

สันติ ปราศจากอาวุธ เผาบ้านเผาเมือง ....

ปมปัญหาดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการลงนามในแถลงการณ์ร่วม มิย. ๒๕๕๑ แถลงการณ์
ฉบับนี้เกิดขึ้นภายหลังการประชุมหารือของผู้แทนระดับ รมต ทั้ง ๒ ฝ่าย โดยมีเจ้าหน้าที่ยูเนสโก
เข้าร่วมการประชุมด้วย การประชุมหารือครั้งนี้ ว่าด้วยการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็น
มรดกโลก มีขึ้นในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ครม มีมติเห็นชอบวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๑
ลงนามในแถลงการณ์วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากว่า รัฐธรรมนูญ
มิได้กำหนดไว้ ดังนี้

รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐

มาตรา ๑๙๐
(วรรคสอง)

“ .... หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศ
ไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะ
ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทาง
เศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือ มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรือ งบ
ประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้อง
พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว

ก่อนการดำเนินการ เพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศตามวรรค
สอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจง
ต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น ในการนี้ ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อ
ขอความเห็นชอบด้วย

เมื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้ว ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันคณะรัฐมนตรี
ต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น และในกรณีที่การปฏิบัติตาม
หนังสือสัญญาดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาด
ย่อม คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวดเร็วเหมาะสม
และเป็นธรรม

ให้มีกฎหมายว่าด้วย การกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความ
มั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า หรือการ
ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือ
สัญญาดังกล่าว โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่าง ผู้ที่ได้ประโยชน์กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก
การปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นและประชาชนทั่วไป

ในกรณีที่มีปัญหาตามวรรคสอง ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยชี้ขาด โดยให้นำ
บทบัญญัติตามมาตรา ๑๕๔ (๑) มาใช้บังคับกับการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยอนุโลม”


มาตรา ๑๕๔ (๑) ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ที่กล่าวถึง ความว่า

“..... (๑) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือ สมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มี
จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระ
ราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ
แห่งรัฐธรรมนูญนี้ ให้เสนอความเห็นต่อ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธาน
รัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้น ไปยังศาล
รัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า”

หากจะกล่าวว่า รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ เป็นผลไม้พิษจากต้นไม้พิษ ตามคำกล่าวอ้างของใครบางคน
เช่นนั้นลองมาดูบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ซึ่งใครคนนั้นกล่าวว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
โดยแท้จริง ความว่า

รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐

มาตรา ๒๒๔
(วรรคสอง)

“..... หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตอำนาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออก
พระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ”


ข้อความที่ปรากฏ มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันประการใด ยกไว้ให้ท่านพิจารณาและตีความ
ตามวิสัยทัศน์ของแต่ละท่าน มิอาจแสดงความเห็นใด ๆ

ประเด็นที่น่าสนใจ คงจะเป็น แถลงการณ์ฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
การลงนามร่วมของอดีต รมต เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
เป็นการกระทำที่ขัดต่อหน้าที่หรือไม่

ด้วยความรู้ความสามารถที่มีอยู่ มิอาจแสดงความคิดเห็นที่ระบุแน่ชัดประการหนึ่งประการใดได้
คงทำได้แต่เพียงนำข้อความบางส่วนมาแสดงไว้ให้ท่านได้วิเคราะห์ตามมุมมองของแต่ละท่าน

ข้อความบางส่วนจากแถลงการณ์ มิย. ๒๕๕๑

“.....(๑) ราชอาณาจักรไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เข้าไว้ในบัญชีมรดกโลก
ตามการเสนอของราชอาณาจักรกัมพูชา ณ การประชุมครั้งที่ ๓๒ ของคณะกรรมการพิจารณา
มรดกโลก ( นครคิวเบก, ประเทศแคนาดา, กรกฎาคม ๒๕๕๑ ) ตามขอบเขตรอบดินแดนซึ่งระบุ
ไว้ว่าเป็น หมายเลข ๑ ( N 1 ) ในแผนที่ซึ่งจัดทำโดยทางการผู้รับผิดชอบของกัมพูชา และได้
แนบท้ายมาด้วยแล้ว แผนที่ดังกล่าวยังได้ครอบคลุมพื้นที่กันชนด้านตะวันออกและด้านใต้ของ
ปราสาท โดยระบุให้เป็น หมายเลข ๒ ( N 2 )

(๒) ด้วยเจตนารมณ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือกัน ราชอาณาจักรกัมพูชายอมรับว่า ปราสาท
พระวิหารที่จะเสนอขอขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลกในขั้นนี้จะไม่ได้ร่วมพื้นที่กันชนด้านเหนือ
และด้านตะวันตกของปราสาท

(๓) แผนที่ซึ่งอ้างไว้ในวรรค ๑ จะแทนที่แผนที่ต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องและบรรจุไว้ใน “ Schema
Directeur Pour le Zonage de Perah Vihear ” ตลอดจนการอ้างอิงด้านกราฟฟิกทั้งหมดที่ระบุบงชี้
ถึง “ บริเวณหลัก ” ( Core Zone ) และการแบ่งบริเวณอื่น ๆ ( Zonage ) ของปราสาทพระวิหาร
ที่บรรจุอยู่ในแฟ้มเสนอขอขึ้นทะเบียนของกัมพูชาด้วย

(๔) ระหว่างที่รอผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการร่วมเพื่อการปักปันเขตแดนทางบก ( JBC )
เกี่ยวกับพื้นที่ ด้านเหนือ และ ด้านตะวันตก รอบ ๆ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้รับการระบุให้เป็น
หมายเลข ๓ ( N 3 ) ในแผนที่อ้างอิงในวรรค (๑) ข้างต้น

แผนการบริหารจัดการพื้นที่เหล่านี้ จะได้รับการจัดทำในลักษณะของ การประสาสนร่วมมือกัน
ระหว่างทางการผู้รับผิดชอบของกัมพูชา และ ทางการผู้รับผิดชอบของไทย โดยสอดคล้องกับ
มาตรฐานการอนุรักษ์ระหว่างประเทศ ด้วยทัศนะที่มุ่งรักษาคุณค่าอันเป็นสากลที่โดดเด่นของ
ทรัพย์สินดังกล่าวนี้

แผนการบริหารจัดการดังกล่าวนี้ จะบรรจุไว้ในแผนการบริหารจัดการสุดท้าย สำหรับปราสาท
พระวิหารและบริเวณรอบ ๆ ปราสาท ซึ่งจะยื่นเสนอต่อศูนย์กลางมรดกโลก ( World Heritage
Center ) ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เพื่อการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณา
มรดกโลก ในการประชุมครั้งที่ ๓๔ ในปี ค.ศ. ๒๐๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๓)

(๕) การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไว้ในบัญชีมรดกโลกครั้งนั้ จะไม่ทำให้เสื่อมเสียสิทธิ์
ของราชอาณาจักรกัมพูชา และ ราชอาณาจักรไทย ในการกำหนดปักปันเขตแดนของคณะ
กรรมการร่วมเพื่อการปักปันเขตแดนทางบก (JBC) ของประเทศทั้งสอง...”


ก็ไม่น่าจะมีปัญหาตรงไหนมิใช่หรือ คำตอบคือ ใช่ ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้า...

แผนที่แสดงอาณาเขตปราสาทพระวิหารตาม มติ ครม. วันที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๐๕ ( ภายหลัง
คำพิพากษาศาลโลก ๙ ต่อ ๓ เสียงให้ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตย
ของกัมพูชา เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ ต่อมาวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๐๕ รัฐบาลไทย
ทำการยื่นหนังสือประท้วงคำพิพากษา พร้อมสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเอาปราสาทพระวิหาร
กลับคืนในอนาคต ) แสดงแนวสันปันน้ำ อยู่ด้านตะวันออก และ ตะวันตกของปราสาท ซึ่งเป็น
แนวแบ่งเขตแดนไทย – กัมพูชา ตามสนธิสัญญา สยาม – ฝรั่งเศส พ.ศ ๒๔๔๖ และเป็นแนว
เส้นที่ไทยยึดถือมาโดยตลอด

ข้อความในแถลงการณ์ (๑), (๒), และ (๓) กำหนดให้พื้นที่ตามแนวสันปันน้ำเป็น พื้นที่กันชน
ซึ่งต้องจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกันตาม (๔) หากลองพิจารณาทบทวนซ้ำไปซ้ำมา
ข้อความที่ปรากฏ

ถือเป็นการอนุญาติให้ เพื่อนบ้านเราเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการบนพื้นที่อันเป็นอาณาเขต
อธิปไตยของเราหรือไม่หนอ

เป็นการยอมรับแผนที่ ที่เพื่อนบ้านเราจัดทำขึ้นตาม N 1 ซึ่งอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต
จากแนวสันปันน้ำหรือป่าวหนอ


ขออนุญาติละไว้ซึ่งความคิดเห็นใด ๆ เป็นเพียงแค่ปัญหาค้างคาใจที่ละไว้ซึ่งคำตอบ...

ประเด็นนี้ ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ๙๘๔/๒๕๕๑, ๑๐๐๑/๒๕๕๑
และ ๑๐๒๔/๒๕๕๑ ซึ่งยื่นฟ้อง นายนพดล รมว.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) และ คณะรัฐมนตรีสมัย
รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เรื่องกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีนายนพดล ลงนามใน
แถลงการณ์ร่วม ไทย – กัมพูชา ซึ่งคำพิพากษาศาลปกครองกลางให้เพิกถอนมติ ครม. วันที่ ๑๗
มิย. ๒๕๕๑ ที่เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมและแผนที่แนบท้าย รวมทั้งการเห็นชอบให้นายนพดล
ลงนามในแถลงการณ์ร่วม โดยมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๑

คงมิต้องวิเคราะห์ประเด็นใดต่อไปอีก ที่เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วมฉบับดังกล่าว แต่ว่ายังคงมีปัญหา
ค้างคาใจกับคำให้สัมภาษณ์ของอดีต รมต ก่อนการประชุมที่เมืองคิวเบก แคนาดา ในวันที่ ๕ กค.
๒๕๕๑ ที่กล่าวยืนยันว่า

การลงนามหลังการหารือกับกัมพูชา ที่กรุงปารีส เมื่อ ๒๒ พฤษภาคม เป็นเพียงการลงนามกำกับ
สิ่งที่ได้มีการพูดคุยกันไว้ ไม่ได้มีการลงนามใด ๆ และการที่กัมพูชา ได้นำเอกสารที่ลงนามไป
กล่าวอ้างว่า ไทยให้การสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารไม่น่าจะทำได้

แต่ข้อความที่ปรากฎตาม (๑) ของแถลงการณ์ ความว่า

“....(๑) ราชอาณาจักรไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เข้าไว้ในบัญชีมรดกโลก
ตามการเสนอของราชอาณาจักรกัมพูชา ณ การประชุมครั้งที่ ๓๒ ของคณะกรรมการพิจารณา
มรดกโลก (นครคิวเบก, ประเทศแคนาดา, กรกฎาคม ๒๕๕๑) ….


นั้นใช่คำยืนยันการสนับสนุนหรือไม่
ถ้าเพื่อนบ้านเราจะนำไปอ้างอิงการขึ้นทะเบียนมรดกโลก น่าจะกระทำได้หรือไม่


บางส่วนจาก จดหมายอย่างไม่ทางการของ ผอ ยูเนสโก-กรุงเทพ ความว่า

เลขที่อ้างอิง 136.32/1038/08
วันที่ 1 กรกฎาคม 2008 ( ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ )

" ..... พันธะในอันที่จะให้ความร่วมือเพื่อบริหารจัดการ และให้ความคุ้มครอง ปราสาทพระวิหาร
ดังกล่าว ได้รับการเน้นย้ำและแสดงออกอย่างเป็นทางการแล้ว โดย แถลงการณ์ร่วมซึ่งลงนาม
โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย และ รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ ๒๒
พฤษภาคม ๒๐๐๘ ( พ.ศ. ๒๕๕๑ )

แถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ถูกนำเสนอเพื่อรับการพิจารณาจาก คณะกรรมการมรดกโลกในฐานะ
เป็นส่วนประกอบหนึ่งของแฟ้มนำเสนอ เพื่อการขอขึ้นทะเบียน....


ตามมาด้วยคำประกาศอย่างเป็นทางการของยูเนสโก เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ปราสาท
เขาพระวิหารได้ผ่านการคัดเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชา


มิอาจแสดงความคิดเห็นอะไรได้มากกว่านี้ ทุกอย่างให้คำจำกัดความด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว....
Last edited by bird on Tue Aug 17, 2010 2:40 pm, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Tue Aug 17, 2010 1:29 pm

สรุป คำพิพากษา ศาลปกครองกลาง

ขออนุญาตินำสรุปคำพิพากษา ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งเพิกถอน มติ ครม. วันที่ ๑๗
มิถุนายน ๒๕๕๑ ในกรณีนายนพดล ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ไทย - กัมพูชา ดังนี้

นายชาชิวัฒน์ ศรีแก้ว ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน คดีปราสาทพระวิหาร
ได้นั่งออกบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ๙๘๔/๒๕๕๑ , ๑๐๐๑/๒๕๕๑
และ ๑๐๒๔/๒๕๕๑ ที่ยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ และ คณะรัฐมนตรี
( ครม.) สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ถูกฟ้องที่ ๑-๒ เมื่อวันที่ ๒๔ มิย. ๒๕๕๑

เรื่องกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่นายนพดล รมว.ต่างประเทศ ลงนามใน
แถลงการณ์ร่วมไทย – กัมพูชา พร้อมแผนที่แนบ ลงวันที่ ๑๘ มิย. ๒๕๕๑ ขอขึ้นทะ
เบียนปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกที่มีการเสนอแถลงการณ์ต่อองค์การยูเนสโก
ระหว่างวันที่ ๒ - ๑๐ กรฎาคม ๒๕๕๑

ศาลพิเคราะห์แล้วคดีที่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกฟ้องทั้งสอง กระทำ
การโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่า คดีนี้เกี่ยวเนื่องกับข้อพิพาทคำแถลง
การณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ ๑๘ มิย. ๒๕๕๑ ว่าเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรม
นูญปี ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ วรรคสองหรือไม่ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ประธานสภาฯและ
ประธานวุฒิสภา ได้ส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า

แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ
และมีผลกระทบกับความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง ซึ่งต้องได้รับความ
เห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งการวินิจของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็น
เด็ดขาดและมีผลผูกพันกับสภา ครม. ศาลและองค์กรอื่นของรัฐ

แต่ข้อเท็จจริงในการจัดแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวที่เป็นผลมาจาก นายนพดล พาคณะผู้
แทนไทยไปหารือกับผู้แทนกัมพูชา ที่มีนายสก อาน รองนายกฯ และรมต.ประจำสำนัก
นายกฯกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ ที่กรุงปารีส ในวันที่ ๒๒-๒๓ พค. ๒๕๕๑ เพื่อผลัก
ดันการแก้ไขปัญหาการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารนั้น โดยครม.มีมติให้ความเห็น
ร่างแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๑๗ มิย. ๒๕๕๑

และอนุมัติให้นายนพดล ลงนามกับฝ่ายประเทศกัมพูชา กับทางยูเนสโกเมื่อวันที่ ๑๘
มิย. ๒๕๕๑ ซึ่งไม่ปรากฏว่า ครม.ได้ให้ข้อมูลหรือจัดให้มีการับฟังความคิดเห็นของ
ประชาชนก่อนลงนาม ดังนั้นมติครม.ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบตาม
ขั้นตอนและวิธีการที่มาตรา 190 กำหนดไว้


คดีมีประเด็นวินิจฉัยอีกว่า ก่อนนำเสนอร่างแถลงการณ์ให้ครม.เห็นชอบนั้น นายนพดล
ได้ตรวจสอบพื้นที่ที่กำหนดในร่างแถลงการณ์ร่วมอย่างถูกต้องหรือไม่

ศาลเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากแผนที่แสดงเขตปราสาทพระวิหารตามมติครม.เมื่อวันที่ ๑๐
กรกฎาคม ๒๕๐๕ จะปรากฏแนวสันปันน้ำอยู่ทิศ ตะวันออก และ ตะวันตกของปราสาท
ซึ่งแนวดังกล่าวได้แบ่งเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส พ.ศ.
๒๔๔๖ ซึ่งไทยได้ยึดถือมาโดยตลอด

ดังนั้นแม้แถลงการณ์ร่วมจะไม่กำหนดให้พื้นที่ N.2 และ N.3 เป็นพื้นที่รอบปราสาทพระ
วิหารในลักษณะเดียวกันกับพื้นที่ N.1 แต่ระบุให้พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่กันชน หรือ buffer zone
เพื่อกำหนดมาตรการอนุรักษ์คุ้มครองสถานที่ขอขึ้นทะเบียนและให้เป็นพื้นที่ที่ ๒ ประเทศ
จัดทำแผนบริหารจัดการร่วมกัน ก็ย่อมเป็นการให้สิทธิ์ประเทศกัมพูชาเข้ามามีส่วนร่วมใน
การจัดการพื้นที่ที่อยู่เขตแดนและอำนาจอธิปไตยของไทย

ดังนั้น หาก รมว.ต่างประเทศลงนาม เห็นชอบตามมติครม.ก็จะส่งผลผูกพันต่อประเทศไทย
มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศในพื้นที่ N.1 โดยตรง และมีผลต่อ
อำนาจอธิปไตย ในพื้นที่ N.2 และ N.3 ในส่วนที่อยู่ในอาณาเขตประเทศไทย ซึ่งจะให้
กัมพูชาเข้ามาบริหารจัดการร่วมกัน แม้นายนพดลจะอ้างแถลงการณ์ร่วมข้อ ๕ ที่ระบุว่า

การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจะไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิในราชอาณา
จักรไทย-กัมพูชาในการกำหนดเส้นเขตแดนของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา
ก็ตาม แต่ประเทศกัมพูชาอาจหยิบกรณีพื้นที่ N.1 ที่ได้ตกลงไว้แล้วตามแถลงการณ์ร่วมมา
เป็นข้ออ้างต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมว่า เป็นพื้นที่ของกัมพูชาภายหลังอีกได้

ดังนั้นการที่นายนพดลนำแถลงการณ์ร่วมและแผนที่แนบท้ายที่ไม่ถูกต้องเสนอต่อครม.จึง
เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ ส่งผลให้มติครม.เมื่อวันที่ ๑๗ มิย. ๒๕๕๑
ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

แม้คดีนี้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงการต่างประเทศเสนอครม.ยกเลิกมติครม. ๓ ฉบับ
กรณีประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และการเห็นชอบร่าง
แถลงการณ์ร่วมวันที่ ๒๗ พค. ๒๕๕๑, วันที่ ๑๗ มิย. ๒๕๕๑ และวันที่ ๒๔ มิย. ๒๕๕๑
โดยครม.มีมติวันที่ ๒๗ พย. ๒๕๕๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติครม.ทั้ง ๓ ฉบับ

ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากได้ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฯของศาลปกครองที่ห้ามนำ มติ
ครม.วันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๕๑ ไปใช้ดำเนินการใดๆ และไม่มีการนำมติครม.ไปใช้อ้างอิง ศาล
เห็นว่า แม้มติครม.วันที่ ๑๗ มิย. ๒๕๕๑ ได้ถูกยกเลิกแล้ว แต่ไม่มีการกำหนดระยะเวลา
ยกเลิกว่าให้มีผลเมื่อใด

ขณะที่มติครม. วันที่ ๑๗ มิย. ๕๑ ที่เป็นการเห็นชอบให้นายนพดลลงนามในแถลงการณ์
ร่วมนั้น เมื่อมีการลงนามไปแล้ว ย่อมจะเกิดผลผูกพันทางกฎหมายและมีผลทันทีตาม มติ
ครม.ที่ออกเมื่อวันที่ ๑๗ มิย. ๒๕๕๑ ซึ่งมติดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาณาเขตและ
อำนาจอธิปไตยของไทย ซึ่งอาจมีปัญหาข้อกฎหมาย ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยกมากล่าว
ได้ว่า ครม. เคยมีมติแล้ว นำไปกล่าวอ้างหรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ประเทศ
ไทย

ศาลจึงพิพากษาให้เพิกถอนมติครม.วันที่ ๑๗ มิย. ๒๕๕๑ ที่เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม
และแผนที่แนบท้าย รวมทั้งการเห็นชอบให้นายนพดลลงนามในแถลงการณ์ร่วม โดยให้มี
ผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 17 มิ.ย.51 ที่ครม.มติดังกล่าว

และเมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนมติครม.ดังกล่าวแล้ว ก็จะมีผลให้มติครม.วันที่ ๒๔ มิย. ๕๑
ที่ให้กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขถ้อยคำจากคำว่า “ แผนที่ ” เป็น “ แผนผัง ” ทั้งใน
หนังสือของกระทรวงการต่างประเทศและเอกสารที่เกี่ยวข้องต้องสิ้นผลไปด้วย

ทั้งนี้ ศาลยังให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลมีไวเมื่อวันที่ ๒๗ มิย. ๒๕๕๑ มีผลต่อไปจน
กว่าคดีจะถึงที่สุดด้วย
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby benzcl » Tue Aug 17, 2010 3:40 pm

ผมอ่านเทียวไปมาสองสามรอบ ดูเหมือนคุณBird จะบอกว่าความคลุมเครือในคำตัดสินของศาลโลกมีประโยชน์ต่อไทย
และมติครม 2551 เป็นหนึ่งในเค้ารางแห่งความเลวร้ายในระบอบทักษิณใช่ไหมครับ
User avatar
benzcl
 
Posts: 3901
Joined: Mon May 03, 2010 10:59 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Tue Aug 17, 2010 8:03 pm

benzcl wrote:ผมอ่านเทียวไปมาสองสามรอบ ดูเหมือนคุณBird จะบอกว่าความคลุมเครือในคำตัดสินของศาลโลกมีประโยชน์ต่อไทย
และมติครม 2551 เป็นหนึ่งในเค้ารางแห่งความเลวร้ายในระบอบทักษิณใช่ไหมครับ


ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ มุมมอง และ วิสัยทัศน์ ของแต่ละท่านค่ะ
คงต้องสงวนไว้ซึ่งคำยืนยันอย่างเป็นทางการน่ะค่ะ :mrgreen: :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby pochi » Wed Aug 18, 2010 3:07 am

ติดตามอ่านอยู่ค่ะ :D
RT @Cake_NBC: นายกฯแจงเรื่องที่เอาหมวกถุงยางมาสวมหัว อะไรที่ทำแล้วลดปัญหาได้ ก็พร้อมทำ "เป็นศีรษะผม ไม่ใช่ศีรษะของคนอื่น" #NBT
User avatar
pochi
 
Posts: 5035
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:24 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby eastisred » Thu Aug 19, 2010 4:23 am

Image
Image
Image
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Thu Aug 19, 2010 12:26 pm

eastisred wrote:.........


ขอบคุณค่ะ ที่กรุณาแวะเข้ามาพร้อมรูปที่กรุณาฝากไว้
ถึงแม้ว่ามันค่อนข้างจะชัดเจนไปสักนิด
และไม่ค่อยจะมั่นใจในเจตนารมณ์สักเท่าไหร่
ก็น้อมรับไว้ด้วยความขอบคุณค่ะ :roll:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Thu Aug 19, 2010 1:09 pm

เก็บตก นอมินี ๒๕๕๑

กับข้อสงสัยของเพื่อนบางท่าน ที่ว่า มติ ครม ๒๕๕๑ เป็นส่วนหนึ่งของระบอบหรือไม่
ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด คงไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดลงไปได้ว่า ใช่หรือไม่

ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ย่อมมองหา
หนทางหลบหลีกได้ทุก ๆ สถานการณ์

เพื่อเสริมความกระจ่างชัด เพื่อสนับสนุนมุมมองและดุลยพินิจของแต่ละท่าน บทนี้จึงขอ
อนุญาติ เรียบเรียงเหตุการณ์รัฐนอมินีในช่วงเวลาดังกล่าว หวังเพียงว่าจะช่วยเพิ่มมุมมอง
ของทุกท่านให้กว้างยิ่งขึ้น

ภายหลังรัฐนอมินี ๑ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ รายชื่อ ครม ปรากฎต่อสาธารณชน
ปรากฏชื่อ นพดล และ จักรภพ คนใกล้ชิดใครบางคน ร่วมอยู่ในบัญชีรายชื่อในตำแหน่ง
ผู้บริหารและผู้ช่วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ

จะมีภาวะซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ ณ เวลานั้นคงไม่มีผู้ใดคาดคิด คงมีแต่เสียงท้วงติงจาก
กลุ่มมวลชนไม่กี่คน ที่ตั้งข้อสังเกตว่านี้เป็นคำสั่งจากใครบางคนนั้นหรือไม่

ครั้นเมื่อแถลงการณ์ร่วม มิย.๒๕๕๑ ปรากฎเป็นข่าวตามหน้าสื่อมวลชนหลาย ๆ แขนง
ข้อกังขาในพฤติกรรมของคนใกล้ชิดทั้ง ๒ เริ่มรุนแรงขึ้นเป็นวงกว้าง แพร่กระจายไป
อย่างรวดเร็ว ว่า

นั่นเป็นคำสั่งของใครบางคน เพื่อแลกเปลี่ยนกับแหล่งพลังงานที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้พื้น
แผ่นดินอันมีมูลค่ามหาศาลใช่หรือไม่ แถลงการณ์ร่วมครั้งนี้เท่ากับยกอาณาเขตให้กับ
เพื่อนบ้านหรือไม่

คงมิอาจยืนยันความคิดเห็นได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่เกินความรับผิดชอบ

หากลองย้อนดูพฤติกรรมของรัฐนอมินี ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

๑๕ กพ. นอมินี ๑ กล่าวไว้หลังเข้าดูงานและรับฟังสรุปแผนยุทธ์ศาสตร์ต่างประเทศ เพื่อ
ตอบคำถามที่ว่า จะเดินทางไปพระวิหารหรือไม่

“ จะให้ไปเที่ยวหรือจะให้ทำอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใช้คำว่า ละเอียดอ่อน ไม่ได้ เรื่อง
ใหญ่โตขนาดนั้น เป็นเรื่องที่ คนที่เขาเจรจาความ เขาเจรจาความกันแล้ว “
( แล้วใครกับใครเจรจากันเล่าท่านนอมินี )

ติดตามมาด้วยคำให้สัมภาษณ์ของนพดล ยืนยันว่าการเดินทางไปเพื่อนบ้านในวันที่ ๓ มีค.
จะมีการหยิบยกประเด็นพระวิหารขึ้นมาพูดคุยด้วย....

คงไม่น่าจะมีอะไรซ่อนเร้น...ถ้า

๒๒ กพ. นอมินี ๑ กลับปฎิเสธการเดินทางดังกล่าว

“ ผมไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าจะมีการเจอกัน ผมควรจะต้องรู้ ผมเป็นนาย ก ถ้าจะต้องเจออดีตนาย ก
อย่างน้อยทางโน้นจะต้องแจ้งให้ผมรู้หน่อย นี้ผมไม่รู้เลย ไม่มีการบอก ไม่มีการนัดหมาย
จะบังเอิญอะไรขนาดนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น “
( แล้วก็บังเอิญอย่างคาดไม่ถึง ปรากฤข่าวใครคนนั้นออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนบ้าน )

๔ มีค. คำกล่าวของ นอมินี ๑ ภายหลังการเดินทางไปเยือนเพื่อนบ้าน กลับยืนยันว่า ได้มี
การหารือกัน โดยเพื่อนบ้านยืนยันว่าขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

“ ย้ำแล้วย้ำอีก บอกเขาว่า จะขอมาให้ชาวไทยรู้เสียก่อน จะออกแถลงการณ์ผมก็ต้องระวัง
จึงมาแถลงเรื่องนี้ให้ชาวไทยทราบ และจะรอดูว่า จะมีใครพูดจาอะไรอย่างไร เสียหายไหม
เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไทยไม่ขัดข้องที่จะให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะได้
รับคำยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเขตแดนและไม่เกี่ยวข้องกับแนวเขา ขึ้นทะเบียนตัววิหารเท่านั้น “

สรุปว่า การเดินทางไปเยือนมีการหยิบยกประเด็นขึ้นมาหารือกันจริงตามคำให้สัมภาษณ์ของ
นพดลคนใกล้ชิดจริง แล้วทำไมต้องปฎิเสธในวันที่ ๒๒ กพ.

อันนี้ไม่เข้าใจ...หรือ ท่านไม่ทราบจริง เพราะท่านไม่ได้เป็นผู้เจรจา...ละประเด็นนี้ไว้ก่อน.

คำกล่าวในวันที่ ๔ มีค. นอมินีท่านยังพูดถึงการร่วมลงทุนและแบ่งประโยชน์ร่วมกัน ในการ
พัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์จากก๊าซธรมชาติ โดยระบุว่า ได้ให้หน่วยงาน ปตท เข้าสำรวจพื้นที่
เพื่อสร้างท่อส่ง นำก๊าซขึ้นที่ฝั่งเพื่อนบ้าน

๒๒ พค. นพดลประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่ยูเนสโก
เข้าร่วมประชุม เนื้อหาการหารือครั้งนี้ ปรากฎรายละเอียดตามแถลงการณ์ร่วมที่นำเสนอแล้ว
ส่วนกรอบการประชุมครั้งนี้ ใครเป็นผู้กำหนด และ มีการเสนอต่อ ครม ต่อสภาตามที่ควรจะ
ปฏิบัติหรือไม่ ไม่ปรากฎเป็นข่าว หรือมีการนำเสนอจากสื่อมวลชนแขนงใด ๆ

๑๗ มิย. มติ ครม เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว นั้นย่อมแสดงว่า มีการอนุมัติกรอบ
การเจรจาหารือไว้ก่อนการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ พค. ใช่หรือไม่ จึงใช้เวลาในการพิจารณา
เห็นชอบร่างแถลงการณ์ โดยใช้เวลาไม่ข้ามวัน

๑๘ มิย. นพดลลงนามในแถลงการณ์ร่วม ซึ่งผ่านมติเห็นชอบของ ครม ๑๗ มิย กระแสการ
สูญเสียดินแดน แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับข่าวอดีตนายกเดินทางเข้าประเทศ
เพื่อนบ้าน เพื่อพักผ่อน ตีกอล์ฟกับคณะผู้บริหารประเทศเพื่อนบ้านอย่างสนิทสนม ข่าวการ
แลกเปลี่ยนผลประโยชน์แพร่กระจาย เริ่มสร้างความกังขาให้กับประชาชนจำนวนไม่น้อย

แท้จริงแล้ว ประเด็นนี้ ใครกันหนอเป็นผู้สั่งการ
ขออนุญาติ ละประเด็นไว้ เป็นภาระของทุกท่าน วิเคราะห์หาคำตอบด้วยดุลยพินิจ

๒๒ มิย. นอมินี ๑ ชี้แจงผ่านสนทนาประสานอมินี ว่าไม่มีการสูญเสียใด ๆ

“ ก็เขาเข้ามาอยู่ตรงนั้น ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร แล้วก็อยู่มาตรงนั้น คราวนี้ภายใน ๒ ปีนี้
จะต้องเอาตรงนั้นออกไป เพราะเป็นพื้นที่ทับซ้อน เขาก็ไปตกลงว่า โอเค ถ้าอย่างนี้ขึ้นทะ
เบียนวันที่ ๕ กค เขาจะขึ้นทะเบียนปราสาทที่อยู่ในเขตของเขานะครับ มันไม่มีสนธิสัญญา
อะไรเกี่ยวข้องกันเลย ”

“ เราทักท้วง เพราะว่าจะเอาพื้นที่รอบปราสาทเขียนมาด้วย บอกไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้
อย่างนี้มันทับซ้อน ก็เจราจาอยู่ พื้นที่ทับซ้อน เราก็ท้วง แล้วก็ท้วงสำเร็จ แปลว่า พื้นที่
ทับซ้อนไม่เอาไปขึ้น ขึ้นเฉพาะตัวปราสาท “

“ ก็เอาของเขาในที่ของเขา ขอบเขตเรียบร้อย นั่นล่ะครับ ไปขึ้นทะเบียน ก็ตกลงกันเท่านี้
เอง เขาก็แถลงการณ์ร่วมว่า ตกลงถ้าจะเอาเฉพาะรอบๆ ตรงนั้น เราก็ไม่ขัดข้อง เขาก็เรียก
Joint Communique ฝรั่งเศสนะครับ มันไม่ใช่สนธิสัญญาอะไรนี่ครับ ตกลงว่า โอเค ที่ของ
เขานะครับ “

ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญา
กรุงเวียนนาว่าด้วยกฏหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ จึงถือเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐูธรรม
นูญ มาตรา ๑๙๐ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาพตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ท่าน
อดีตนายกกล่าวยืนยันว่า ครม ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องลาออก เพราะได้พิจารณาอย่าง
รอบคอบแล้ว ไม่ได้จงใจใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ โยนว่าเป็นความบกพร่องของรัฐธรรมนูญ

ก็ว่ากันไปตามสนทนาประสานอมินี

อนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ ( Vienna Convention on
the Law of Treaties ) เกิดจากการประมวล หลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
( Customary Interenational Law ) และ หลักกฎหมายทั่วไป ( General Principle of Law )
ว่าด้วยหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสนธิสัญญาที่สำคัญเข้าไว้ด้วยก้น และมีการบรรจุหลักเกณฑ์
ใหม่ ๆ ที่เป็นการพัฒนาการที่ก้าวหน้าของกฎหมายเข้าไว้ด้วยกัน

เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ในทางกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับสนธิสัญญา ดำเนินการยกร่าง
โดยคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ ( International Law Commission : ILC )
ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๔๙ ( พ.ศ. ๒๔๙๒ ) ยกร่างเสร็จสมบูรณ์ และเปิดให้รัฐต่าง ๆ ลงนาม
ให้สัตยาบันในปี ค.ศ. ๑๙๖๙ ( พ.ศ. ๒๕๑๒ ) และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม
ค.ศ. ๑๙๘๐ ( พ.ศ. ๒๕๒๓ )

อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ มาตรา ๒ (๑) บัญญัติไว้

“สนธิสัญญา” ( Treaty ) หมายถึง “ความตกลงระหว่างประเทศที่ทำขึ้นระหว่างรัฐ เป็น
ลายลักษณ์อักษร และตกอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะประกอบ
ด้วยเอกสารฉบับเดียวหรือสองฉบับหรือมากกว่านั้นขึ้นไป และไม่ว่าจะเรียกชื่อเฉพาะว่า
อย่างไรก็ตาม”

รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ความว่า

" หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่ง
ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือ มีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือ ตามกฎหมาย
ระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา
หรือ มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือ สังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง
หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภาย
ในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว "

๑๓ กค. อดีตนายกกล่าวในรายการยามเช้า เพื่อบอกเล่าว่าปัญหาพระวิหาร เป็นเรื่อง
การเมือง ชี้แจงถึงต้นเหตุของปัญหาเป็นผลสืบเนื่องมาจากขิงแก่

“......เขาก็ครอบครองปราสาทของเขา ใครเกิดไม่ทันรู้นะครับว่า เราแพ้คดีศาลโลก
ต้องยกปราสาทให้เขาไป พี้นที่ไม่เกี่ยว ยกเฉพาะตัวปราสาท ให้เขาไปเป็นของเขา
ที่เกิดไม่ทัน ๔๕ ปีแล้ว มาแหกปากเรียกร้องบอกต้องเอาคืน ๆ นั้น ต้องพูดกัน ไป
พูดกับพรรคการเมืองที่เขาเก่งกฎหมายเขาจะไปเอาคืน.....”

“....ธรรมดาบ้านเมืองอยุ่กันมาอย่างนี้เรียบร้อย ต้องเข้าใจสิครับว่าให้เขาไป เรียบ
ร้อยอยู่ขอบเขต ตัวปราสาทเป็นของเขา วันหนึ่งเขาอยากจะเอาปราสาทไปขึ้นทะ
เบียน ตรงปราสาทมีบริเวณที่เขาเรียกว่า พื้นที่พิพาท กันอยู่ประมาณ ๔.๖ ตรม.
รอบ ๆ นั้น เราก็บอกของเรา เขาก็บอกของเขา เขาเรียกว่าพื้นที่พิพาท ตัวปราสาท
เป็นของเขา นี่เป็นข้อเท็จจริง

เขาจะเอาไปขึ้นทะเบียนเขาก็เสนอ คนในรัฐต้องรับรู้ รู้ครับ รัฐบาลไหน รัฐบาลพล
เอกสุรยุทธ์ฯ รมต. ว่าการกระทรวงต่างประเทศชื่อคุณนิตย์

เขาประชุมหลายครั้ง ครั้งที่ ๓๑ ประชุมที่ไครส์เชริ์ช เมื่อปีกลายนี้ เขายื่น ทางเราก็
ไปค้าน บอกต้องยื่นด้วยกัน เขาบอกไม่เอาจะยื่นคนเดียว เขาบอกถ้าอย่างนั้นอย่า
เพิ่งยังไม่ตกลงไปตกลงกันวันที่ ๒ กค. ที่คิวเบก แคนาดา แปลว่าเลื่อนประชุม ๑ ปี

ผมไปเยี่ยมนายกรัฐมนตรีฮุนเซน เขาก็ยกเรื่องนี้เข้ามาประชุม กระทรวมหมาดไทย
เขาบอกว่าไม่ได้ ถ้าขึ้นต้องขึ้นด้วยกัน จะให้คืบหน้าก็มาเจรจากัน ต้องขึ้นด้วยกัน
ผมก็ทำอย่างนี้ ตกลงอย่างนี้ ผมไปประชุมเวียงจันทร์ก็เจอท่านนายกฮุนเซน ท่าน
ก็บอกว่าท่านคิดออกแล้ว ท่านจะขึ้นเฉพาะปราสาท ยังหัวเราะกันอยู่ในใจขึ้นเฉพาะ
ปราสาท มรดกโลกไม่มีวันยอม “

๒๐ กค. อดีตนายกกล่าวชีแจงในรายการยามเช้าอนุมานว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะ
มรดกโลกเล่นเกม

“ เจอกันที่ประชุม เขาก็ขอเจรจาบอกความว่าเขาติดต่อแล้ว เขาจะขอขึ้นเฉพาะตัว
ปราสาท บอกว่าถ้างั้นก็ลองไปเจรจากันดู ถ้าจะขึ้นเฉพาะตัวปราสาท ถ้ามรดกโลก
เขายอมทำอย่างนั้นให้ก็หมดเรื่อง หมดปัญหา เฉพาะตัวปราสาท เพราะตัวปราสาท
เป็นของเขา ก็ตกลงกันอย่างนั้น เขาก็ไปเจรจา กระทรวงต่างประเทศเขาเป็นเจ้า
ของเรื่อง รัฐมนตรีเขาก็ไป ไม่ได้เจรจากันเอง มรดกโลกเขามานั่งด้วย บอกตกลง
เอานะ ขึ้นเฉพาะปราสาท “

“..กำลังนี้ก็เอาเฉพาะปราสาท ก็ยังไม่ต้องไปยุ่งตรงนั้นอีก ก็เท่านั้นเอง เราก็คิดว่า
ยังไงก็ขึ้นไม่ได้ เพราะมี ๓ ข้อ ต้องอย่างนี้ๆๆ เอ้า ปรากฏว่าเล่นเกมกัน ก็ประเทศ
ใหญ่ ๆ ก็ไม่ได้ปิดบัง คุณปองพลก็เล่าให้ฟังว่า

เขาเตรียมการกันแล้ว เขาเห็นว่าประเทศเราเป็นอย่างนี้ เขาก็เลยเฮละโลไปช่วย
อย่างนั้น ก็เรื่องมรดกโลก ตกลงไปก็ขึ้น ข้อเดียว เขาบอกข้อเดียวขึ้นได้เลย
เนื้อหาสวยงาม ฝืมือดี ขึ้นเลย คุณปองพลยังบ่นเลย บอกอะไรกันเคยต้องใช้ ๓
ข้อ ต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่มีข้อแม้ ขึ้นเลย ก็แปลว่า ทางโน้นก็เล่นอะไรไม่
ค่อยชอบมา แต่เราก็บอก เอ้า ก็ตามใจ ก็จบกันแค่นั้น “

จบกันแค่นั้น ดังคำกล่าวของท่าน ท้ายที่สุดภายหลังท่านหมดความหมาย แถลง
การณ์ฉบับนั้น ถือเป็นส่วนประกอบหนึ่งของแฟ้มขอขึ้นทะเบียน เสมือนหนึ่งว่า

ความปราถนาของใครบางคนสัมฤทธิ์ผลแล้ว ผู้รับดำเนินการลาออกพร้อมผลงาน
ชิ้นโบว์แดง ทิ้งไว้แต่ท่านที่ต้องรับศึก คอยตอบคำถามสื่อมวลชนบ้าง ประชาชน
พลเมืองบ้าง กลางสภาบ้าง

ปิดฉากลง ด้วยการเสนอชื่อ นอมินี ๒ เข้าสานต่ออำนาจแทนท่าน
ตามคำสั่งของใครบางคน

ข้างต้นนั้นพอจะช่วยกระชับคำตอบของท่านได้หรือไม่หนอ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby benzcl » Thu Aug 19, 2010 4:45 pm

ยิ่งอ่านยิ่งเห็นเล่ห์กล ผมแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเลยครับว่า
นี่เป็นคำพูดของอดีตนายกผู้ล่วงลับไปแล้ว
และเป็นการกระทำหมกเม็ดของอดีตนักศึกษาทุนอานันทมหิดลคนหนึ่ง
User avatar
benzcl
 
Posts: 3901
Joined: Mon May 03, 2010 10:59 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby eastisred » Thu Aug 19, 2010 6:58 pm

พี่ผมไม่มีเจตนารมณ์ ใดใด หรอก

เราไม่ได้เชื่อ คำ ทุก คำ แต่ฟัง ทุก คำ ที่ เขาพูด

ไม่สังกัด พรรค ไม่มี สี ไม่มีเส้น

ไม่รับผลประโยชน์

ใครผิดว่าไปตามผิด

แม้ว ผิด แล้ว อีก ข้างหนึ่ง มิ เคย ผิด หรือ

ล้วนแล้วแต่ เคยผิด หรือ หลงทาง ทั้งนั้นละ ครับ

รวม ทั้ง คุณผู้ดีรัตนโกสินทร์ ก็เคยเซ็นข้อตกลงที่ทำให้เราเสียผลประโยชน์
คือ ข้อตกลงว่าด้วยการละเมิดลิขสิทธ์ และทรัพย์ทางปัญญา
ทำให้เราเสีย โอกาสในการค้นคว้า และวิจัย ผลงานทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะเพิ่มมูลค่า หรือลดค่าใช้จ่าย ทางการแพทย์ได้
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Thu Aug 19, 2010 8:29 pm

eastisred wrote:พี่ผมไม่มีเจตนารมณ์ ใดใด หรอก

เราไม่ได้เชื่อ คำ ทุก คำ แต่ฟัง ทุก คำ ที่ เขาพูด

ไม่สังกัด พรรค ไม่มี สี ไม่มีเส้น

ไม่รับผลประโยชน์

ใครผิดว่าไปตามผิด

แม้ว ผิด แล้ว อีก ข้างหนึ่ง มิ เคย ผิด หรือ

ล้วนแล้วแต่ เคยผิด หรือ หลงทาง ทั้งนั้นละ ครับ

รวม ทั้ง คุณผู้ดีรัตนโกสินทร์ ก็เคยเซ็นข้อตกลงที่ทำให้เราเสียผลประโยชน์
คือ ข้อตกลงว่าด้วยการละเมิดลิขสิทธ์ และทรัพย์ทางปัญญา
ทำให้เราเสีย โอกาสในการค้นคว้า และวิจัย ผลงานทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะเพิ่มมูลค่า หรือลดค่าใช้จ่าย ทางการแพทย์ได้


พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่เคยมีใครท่ี่สมบูรณ์แบบ
แม้แต่ตัวพี่เอง พี่ก็ทำผิดหลายต่อหลายครั้ง
แต่มันอยู่ที่ว่า ถ้าผิดแล้ว ยอมรับมันได้มั้ยว่าเราผิด
กล้ายืดอดแล้วพูดออกไปว่าใช่ เราทำผิด
ยอมรับโทษทัณจากการกระทำนั้น ด้วยจิตที่สำนึกผิด

หรือตัวน้องเอง... หากมีข้อมูล เรื่องราวของบุคคลที่น้องคิดว่า
เค้าผู้น้้นกระทำผิด...มีหลักฐานอืนมาสนับสนุน พี่คิดว่า
จะดีกว่านี้ถ้า น้องรวบรวม ข้อมูล พร้อม อ้างอิงหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
แล้วเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบ

เพื่อที่ว่า พวกเราคนไทยที่รักชาติ จะได้ช่วยกันปกป้องผลประโยชน์
ของชาติ จะได้ช่วยกันดูแลประเทศของเรา ไม่ให้ใครมาเอาเปรียบ

พี่คิดว่า หลาย ๆ ท่าน คงอยากจะทราบข้อมูลเหล่านั้นมากพอ ๆ
กับที่พี่อยากทราบ พี่อาจจะมีข้อมูลที่ไม่ละเอียดเท่าที่น้องมี
ถ้ายังไง..รบกวน น่ะค่ะ ช่วยรวบรวบข้อมูล พร้อมหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
ตั้งเป็นกระทู้ขึ้นมา พี่รออ่านอยู่

มันคงจะดีกว่า มีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าในปัจจุบัน

ด้วยความจริงใจค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby kapi » Thu Sep 02, 2010 6:19 pm

รออยู่นะครับคุณเบิร์ด
User avatar
kapi
 
Posts: 229
Joined: Tue Mar 30, 2010 4:37 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Fri Oct 15, 2010 11:45 am

หลายอาทิตย์ที่ห่างหายไป ได้มีโอกาสคัดกรองข้อมูลที่มีอยู่ในมือ ทั้งที่เป็นเอกสาร
ซีดี และ ดีวีดี ที่ได้รับมาจากเพื่อนหลาย ๆ ท่าน ข้อมูลจากเอกสารคงต้องใช้เวลา
ในการคัดกรองมากพอสมควร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดมานำเสนอให้ทุก ๆ ท่านได้
วิเคราะห์ตามดุลยพินิจและวิสัยทัศน์ของแต่ละท่าน

สำหรับ ซีดี และ ดีวีดี นั้นคงมิอาจนำมาเผยแพร่อย่างเป็นกิจลักษณะได้ เนื่องจาก
ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย และคำร้องขอของผู้บันทึก ในหลาย ๆ สถานการณ์ หลาย ๆ
สถานที่ ซึ่งบางเหตุการณ์ ได้มีการนำเสนอทางสื่อแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ
พิมพ์ โทรทัศน์ และ อินเทอร์เนต

จะมีที่แตกต่างออกไป ก็คงจะเป็นส่วนที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์บันทึกไว้ส่วนตัวเท่านั้น
ที่มิได้นำเสนอทางสื่อ แต่ก็มิอาจนำมาเผยแพร่ได้ ความรู้สึกของผู้ที่อยู่หลังเลนส์
ในขณะบันทึกภาพเหล่านั้น ยากที่จะบรรยายให้ทุกท่านได้เข้าใจ ได้รับรู้ น้ำตาของ
คนหลังเลนส์ ในขณะบันทึกภาพ

มิใช่เพราะความกลัว แต่เป็นหยาดน้ำตาที่ต้องบันทึกภาพ คนไทยทำร้ายคนไทย
ด้วยกัน เสมือนหนึ่งว่าเป็นศัตรุที่โกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน

ผู้นำเสนอ คงทำได้แต่เพียงถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือที่ออกมาจากปลายนิ้ว และ
ความรู้สึกของตัวผู้นำเสนอเอง ที่ได้รับรู้เหตุการณ์เหล่านั้น ด้วยความรู้สึก หดหู่
สลดใจ พร้อมด้วยคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า

เหตุใด คนชาติเดียวกัน ถึง หยิบอาวุธขึ้นมาประหัตประหารกันได้ถึงเพียงนี้

เหตุใด คนชาติเดียวกัน ถึง แตกแยกกันได้ถึงเพียงนี้

เหตุใด คนบางกลุ่ม ถึงลุกขึ้นมาเผาบ้านเผาเมืองของตนเองได้เพียงนี้
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Fri Oct 15, 2010 12:03 pm

ม็อบ ม็อบ ม็อบ...

ก่อนเข้าเนื้อหาสาระเรื่องราวของกลุ่มมวลชนจำนวนหนึ่งที่รวมตัวกันภายใต้แกนนำ
ด้วยคำกล่าวอ้างที่ว่า “ เรียกร้องสิทธิ ความเป็นธรรม เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
โดยไม่สนใจว่าการกระทำนั่น ๆ ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมมากน้อยเพียงใด
หรือที่เรียกกันว่า “ ม็อบ “ ขออนุญาตเกริ่นนำเรื่องราวของ ม็อบ ไว้พอสังเขป

พจนานุกรมไทย ได้ให้ความหมายของคำว่า “ ม็อบ “ ไว้ ความว่า

ม็อบ “ หรือ ภาษาอังกฤษ MOB เป็นคำนาม หมายถึง กลุ่มชน, ฝูงชนจำนวน
มากที่รวมตัวกันเพื่อเรียกร้อง หรือ คัดค้านอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ม็อบคัดค้าน
โครงการสร้างท่อแก็ส ม็อบคัดค้านการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ หรือ ม๊อบต่อต้านการ
คอร์รัปชั่น เป็นต้น

ส่วน “ ม็อป “ หรือ ภาษาอังกฤษ MOP ออกเสียงคล้ายกัน ทั้งภาษาไทยและ
ภาษาอังกฤษ แต่ความหมายต่างกันอย่างมาก ม๊อป คำนี้ เป็นคำนามเช่นเดียวกัน
หมายถึง ไม้ถูพื้น อันนี้คงไม่ต้องยกตัวอย่างประกอบแต่อย่างใด

ประท้วง “ เป็นกริยา หมายถึง การกระทำหรือการแสดงกริยาคัดค้านเพราะ
ไม่เห็นด้วย หรือไม่พอใจอย่างยิ่ง เช่น การประท้วงขอขึ้นค่าแรง ประท้วงขอขึ้นค่า
โดยสาร อดข้าวประท้วง เป็นต้น

ส่วนคำว่า “ ปฎิวัติ “ คงต้องขออนุญาติที่จะไม่กล่าวถึง อย่าหาว่าลำเอียงหรือ
๒ มาตราฐานเลย หากพูดถึงคำนี้คงมีเรื่องให้นำเสนอไม่จบไม่สิ้น เพราะต้องสาวลึก
ไปถึงปี ๒๔๗๕ ซึ่งผู้นำเสนอไม่มีความสามารถที่จะกระทำได้ ด้วยวัยวุฒิคงทำได้
เพียงสืบค้นจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ และคำอ้างอิงจากนักวิชาการเท่านั้น

ย้อนกลับมาที่ " ม็อบ "

ในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ม๊อบ เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง และ เกิดขึ้นเพื่อ
หลายวัตถุประสงค์ เช่น ม็อบคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ อำเภอจะนะ ซึ่งเคยนำเสนอ
ให้ทุกท่านได้รับทราบมาแล้ว ในหัวข้อ "เสียงจากอำเภอจะนะ" เกิดขึ้นในยุครัฐบาล
พ่อแม้ว หรือ ม็อบที่ต่อสู้เพื่อคัดค้านการคอร์รัปชั่นกรณีเขื่อนราษีไศล เกิดขึ้นในยุค
รัฐบาลพ่อจิ๋ว

Image

Image

Image

นอกจากนี้ยังมีม็อบครู เมื่อครั้งรัฐมีนโยบายปฏิรูประบบครูในยุครัฐบาลพ่อแม้ว จะว่า
ไปแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ก็น่าสนใจมิใช่น้อย เอาไว้จะหาโอกาสเหมาะ ๆ นำเรื่องราว
มาให้ทุกท่านได้วิเคราะห์ ยังมีม็อบที่ร่วมกันต่อสู้คัดค้านการปิดโรงงาน หรือ เพื่อ
เรียกร้องให้มีการปรับเพิ่มค่าแรง สวัสดิการ และ โบนัส ดังที่เป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ

Image

Image

ซึ่งม็อบแต่ละม็อบ จะมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ บรรดาแกนนำที่ยืนหยัดต่อสู้ร่วม
กับมวลชนจนวินาทีสุดท้าย การต่อสู้จะมีแนวทางที่แน่นอน และ มีจุดยืนที่ชัดเจน
ทั้งแกนนำและผู้ที่เข้าร่วมมีความต้องการ เรียกร้องไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ร่วมกัน
อย่างตามมีตามเกิด เหล่าแกนนำจะกินนอนร่วมกันผู้ที่ร่วมอุดมการณ์

แกนนำจะปราศรัยไปในลักษณะให้ความรู้แก่ผู้ร่วมชุมนุม กล่าวแต่สิ่งที่เป็นความจริง
มีหลักฐานอ้างอิงได้ กล่าวในสิ่งที่แกนนำให้ความพยายามในการสืบค้นเพื่อนำความ
จริงมาเปิดเผยให้ผู้เข้าร่วมได้รับรู้ ที่สำคัญ จะไม่มีคำหบายคาย คำสบถ เหมือนม็อบ
ในยุคปัจจุบัน ไม่มีคำขู่ หรือ ตามล่าหมายทำร้ายฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด

Image

การเดินทางเพื่อร่วมชุมนุมก็เช่นกัน ต่างคนต่างเดินทางมา หอบผ้าหอบผ่อน ขึ้นรถ
ไฟ รถทัวร์ แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกเช่นไร หุงหาอาหารกันตามแต่จะหาได้ การชุม
นุมประท้วงก็จะไม่ละเมิดสิทธิของสังคมส่วนรวม ไม่มีการปิดกั้น หรือ กีดขวางการ
จราจรแต่อย่างใด

ม็อบในช่วงปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในทุกด้าน
เริ่มจากการเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมที่มีทั้งรถกระบะ รถส่วนตัวยี่ห้อหรู รถบัสติดแอร์
หลายสิบคัน อีกทั้งอาหารการกิน ก็แสนจะสะดวกสบาย อาหารกล่อง โรงครัว เครื่อง
ดื่มสารพัดชนิดให้เลือกตามอัธยาศัย ห้องน้ำและสุขา ก็จัดหากันตามสถานที่นั้น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นท่อระบายน้ำ ท่อน้ำดับเพลิง เป็นต้น

Image

Image

เหล่าบรรดาแกนนำก็ใช่ย่อย ขึ้นปราศรัยบอกเล่าความจริงเพียงครึ่งเดียว กล่าวอ้าง
แต่ความเท็จ เฉพาะสิ่งที่ต้วเองได้ประโยชน์ ผูกโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้กลายเป็น
ประเด็นเดียวกัน ปราศรัยซ้ำไปซ้ำมา เหมือนการสะกดจิต จนผู้เข้าร่วมชุมนุมเกิด
ความเชื่อว่า สิ่งที่เหล่านั้นเป็นเรื่องจริง

แล่ะที่ขาดไม่ได้ คือ คำหยาบคาย คำสบถ การกล่าวร้ายผู้ใหญ่ ด้วยกริยาจาบจ้วง
ที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของท่านผู้ทรงเกียรติทางสังคม

สิ่งที่แตกต่างกันอีกประเด็น เหล่าแกนนำม็อบในยุคก่อน ๆ ก็ไม่ได้เป็นเศรษฐีระดับ
สิบล้าน ร้อยล้าน เหมือนในปัจจุบัน ที่บรรดาแกนนำล้วนมีฐานะในระดับขั้นเศรษฐี
ร้อยล้าน ในขณะที่ ผู้เข้าร่วมการชุมนุม ยังคงยากจนอยู่เช่นเดิ่ม หรือที่เค้าเรียกว่า
สู้แล้วรวย ก่อม็อบแล้วรับทรัพย์ จะเป็นจริงดังว่า

Image

การชุมนุมของมวลชนกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ภายใต้คำ
กล่าวอ้างเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม โดยสันติอสิงหา ปราศจากอาวุธ

หากแต่พฤติกรรมที่แสดงออกต่างจากคำกล่าวอ้างอย่างสิ้นเชิง

การชุมนุมที่ดำเนินไปโดยไม่สนใจว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมอย่างไร
ประเทศชาติจะเสียหายมากน้อยแค่ไหน

นี่หรือ คือ การชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ....

Image
Last edited by bird on Fri Oct 15, 2010 1:50 pm, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby metaleka » Fri Oct 15, 2010 12:27 pm

เข้ามาอ่านครับ
คุณ bird
ขอบคูณ ข้อมูลที่นำมาเผยแพร่
User avatar
metaleka
 
Posts: 691
Joined: Fri Nov 07, 2008 10:10 am

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Fri Oct 15, 2010 4:15 pm

เก็บตก หวยบนดิน (๑)

คดีหวยบนดิน ปิดฉากไปแล้ว อาจจะถูกใจบางท่าน ไม่ถูกใจบางท่าน คงไม่ย้อน
กลับไปกล่าวถึงในประเด็นนั้น แต่อยากนำข้อมูลบางอย่างที่เคยเผยแพร่ในเว็บ
ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในปัจจุบันข้อมุลดังกล่าวได้สูญหายไปกับกาลเวลา
แต่ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นเนื้อหา ขออนุญาตินำประกาศประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน
รัดทะบานยุคแม้วครองเมือง มาแปะไว้

ศอธอ มอบทุนในโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชน หมดเขต ๓ ต.ค. ๔๘

โพสต์เมื่อ: 17:29 วันที่ 29 ส.ค. 2548

กิจกรรมสำคัญที่ดำเนินการ

ในการดำเนินโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อขอรับทุนการศึกษา
ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น กระทรวง.....ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้

1. การประกาศเชิญชวนเด็กและเยาวชนเขียนเรียงความ กระทรวงศึกษาธิการประกาศ
เชิญชวนเด็กและเยาวชนทั่วประเทศเขียนเรียงความเพื่อขอรับทุนการศึกษาตั้งแต่วันที่
1 กันยายน ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2546 มีผู้ส่งเรียงความจำนวนทั้งสิ้น 423,443 ฉบับ โดย
จำแนกเป็น

- ระดับอนุบาล 1,319 ฉบับ
- ระดับประถมศึกษา 229,957 ฉบับ
- ระดับมัธยมศึกษา 162,359 ฉบับ
- ระดับอาชีวศึกษา 18,034 ฉบับ
- ระดับอุดมศึกษา 11,485 ฉบบ
- หลักสูตรวิชาชีพ 289 ฉบับ

2. การจัดทำเกณฑ์ในการพิจารณาเรียงความและแบ่งกลุ่มเด็ก กระทรวงจัดทำเกณฑ์
ในการแบ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนเพื่อรับทุนการศึกษา โดยใช้ตัวชี้วัดทางสังคม อันบ่งชี้
ถึงภาวะเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในอนาคต เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาความรุนแรง
ในครอบครัว ปัญหาสุขภาพ รวมทั้งพิจารณาจากฐานทรัพยากรของแต่ละครอบครัว
เช่น ศักยภาพของครอบครัว การงาน รายได้ที่เพียงพอแก่การยังชีพ และการเกื้อกูล
ของเครือญาติและแบ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ประสบปัญหาความรุนแรงซ้ำซ้อน ต้องได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วน
โดยพิจารณาจากสภาพของปัญหาเด็กและเยาวชน ทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา
ที่มีฐานะยากจนรุนแรง ไม่มีงานทำ ขาดรายได้ที่เพียงพอแก่การยังชีพ เด็กและเยาวชน
ในครอบครัวอยู่ในสภาวะยากลำบากรุนแรง ถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้อุปการะ อันเนื่องจากบิดา
มารดา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งคู่เสียชีวิต ร่างกายทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรังเป็นเวลานาน
จนไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ ต้องโทษจำคุก ติดเชื้อเอดส์หรือป่วยด้วยโรคเอดส์
หรือ ออกจากบ้านไปเป็นเวลานาน และ ไม่เคยกลับมาดูแลครอบครัว ทำให้เด็ก และ
เยาวชนกลุ่มนี้ต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพัง และต้องทำงานรับจ้าง เพื่อหาเลี้ยงตนเอง และ
ครอบครัวด้วยตนเอง

กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ครอบครัวยากจน มีปัญหาทางสังคมสูง แต่มีความสามารถในการพึ่ง
ตนเอง ได้ในระดับหนึ่ง โดยพิจารณาจากสภาพปัญหาที่ครอบครัวเผชิญทั้งปัญหาทาง
เศรษฐกิจ ปัญหาทางครอบครัว ปัญหายาเสพติด และปัญหาสุขภาพ แต่บิดามารดาฝาย
ใดฝ่ายหนึ่ง ยังมีความสามารถในการทำงาน และ หาเลี้ยงครอบครัวได้ในระดับหนึ่ง
มีรายได้ที่อาจไม่สม่ำเสมอ ไม่แน่นอน มีความช่วยเหลือจากเครือญาติบ้างแต่ไม่ยั่งยืน
เด็กและเยาวชน ในกลุ่มนี้เผชิญปัญหาที่ไม่ซับซ้อนเท่าเด็กและเยาวชนในกลุ่มแรก
แต่หากไม่ได้รับความช่วยเหลือก็อาจกลายเป็น กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะ
ยากลำบากรุนแรงต่อไป

กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ครอบครัวยากจน แต่ยังคงมีฐานความพร้อมในการสนับสนุน และไม่
เผชิญปัญหารุนแรงเท่า 2 กลุ่มแรก โดยพิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจที่ยากจน มี
ความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกร งานรับจ้างรายวัน
มีรายได้แต่ไม่สม่ำเสมอ แต่ยังคงมีฐานทรัพยากรบางด้านหนุนช่วย และ ให้การสนับ
สนุนได้บ้าง เช่น ญาติพี่น้อง หรือยังคงมีความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรบางด้าน
ของภาครัฐและภาคเอกชน เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้จะเผชิญปัญหาจากความยากจนเป็น
พื้นฐานแต่ไม่ได้เผชิญปัญหาในครอบครัวหรือปัญหาทางสังคมเท่า 2 กลุ่มแรก

3. การกลั่นกรองเรียงความ กระทรวงได้ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรียงความ ประกอบ
ด้วยครู/อาจารย์ นิสิต นักศึกษา จากมหาวิทยาลัย สถาบันราชภัฏ นักเรียนอาชีวศึกษา
นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จากสถานบันต่าง ๆ จำนวนประมาณ 800 คน ใช้ระยะ
เวลาในการอ่านและ พิจารณาเรียงความที่ส่งเข้ามารวมทั้งสิ้น 20 วัน โดยร่วมอ่านและ
พิจารณากลั่นกรองเรียงความตามศูนย์ปฏิบัติการพิจารณาเรียงความ จำนวน 5 ศูนย์ คือ

- ศูนย์สถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม
- ศูนย์โรงเรียนวิมลพาณิชยการศรีย่าน
- ศูนย์โรงเรียนพาณิชยการราชดำเนิน
- ศูนย์โรงเรียนไทยบริหารธุรกิจพาณิชยการ
- ศูนย์โรงเรียนวัดราชบพิธ

ในการอ่านเรียงความนั้น คณะกรรมการได้รับค่าตอบแทน วันละ 250 บาท ในช่วงต้น
และได้เพิ่มงบประมาณให้อีกคนละ 100 บาทต่อวัน รวมเป็นคนละ 350 บาทต่อวัน

ขั้นตอนในการพิจารณากลั่นกรอง มีดังนี้

1. ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เขียนเรียงความตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด คือเป็นเด็กและ
เยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี และมีรายได้ของครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี

2. อ่านเรียงความประกอบกับการพิจารณาแบบประวัติ และวิเคราะห์ความยากจน โดย
ใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจร่วมกับตัวชี้วัดทางสังคม และแบ่งกลุ่มความยากจน เป็น 3 กลุ่ม

- กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ประสบปัญหารุนแรงซ้ำซ้อน ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
- กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ครอบครัวยากจน มีปัญหาทางสังคมสูง แต่มีความสามารถในการ
พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง
- กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ครอบครัวยากจน แต่ยังคงมีฐานความพร้อมในการสนับสนุน และ
ไม่เผชิญปัญหารุนแรงเท่าสองกลุ่มแรก

4. การประกาศรายชื่อเด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนการศึกษา และค่าตอบแทนการเขียน
เรียงความกระทรวงได้ประกาศรายชื่อเด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนการศึกษาและค่าตอบ
แทนการเขียนเรียงความ ดังนี้

4.1 ประกาศรายชื่อเด็กและเยาวชนกลุ่มที่ 1 ที่ได้รับทุนการศึกษา เมื่อวันจันทร์ ที่ 27
ตุลาคม 2546 ทางเว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ (http://www.moe,go,th) สำนักบริ
หารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (http://www.opec.go.th) สำนักงาน
สลากกินแบ่งรัฐบาล (http://www.glo.go.th) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อมวล
ชนอื่น ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ เป็นต้น นอกจากนี้ได้แจ้งรายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษายัง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ได้รับทุนโดยตรงอีกด้วย

4.2 ประกาศรายชื่อเด็กและเยาวชนกลุ่มที่ 2 ที่ได้รับทุนการศึกษา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม
2546 ทางหนังสือพิมพ์มติชน และ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2546 )
ฉบับวันที่ 15-19 ธันวาคม 2546และทางเว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ (http://www.
moe.go.th) และได้แจ้งข้อมูลไปยังหน่วยงานต้นสังกัดของเด็กและเยวาชนที่ได้รับทุน
การศึกษา

4.3 ประกาศรายชื่อเด็กและเยาวชนกลุ่มที่ 3 ที่ได้ค่าตอบแทนการเขียนเรียงความ เมื่อ
วันที่ 31 มกราคม 2547 และทางเว็บไซต์ของกระทรวง (http://www.moe.go.th) และ
ได้แจ้งข้อมูลไปยังหน่วยงานต้นสังกัดของเด็กและเยาวชน ที่ได้รับค่าตอบแทนการ
เขียนเรียงความ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการ
อุดมศึกษา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง เพื่อติดประกาศรายชื่อเด็กและ
เยาวชนดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการประกาศรายชื่อทางสื่อต่าง ๆ
ทั้งหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ ตัววิ่งในรายการต่าง ๆ ทางสถานีโทรทัศน์


5. การขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและการโอนงบ
ประมาณให้แก่เด็กและเยาวชน

ในการดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และ
การโอนงบประมาณให้แก่เด็กและเยาวชน ในโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและ
เยาวชน เพื่อขอรับทุนการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาลนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้ดำ
เนินการในช่วงเวลา

User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Fri Oct 15, 2010 5:23 pm

เงินบริจาคเหล่านี้อยู่ที่ใคร

ขอแวะพักริมข้างทางสักนิด บังเอิญว่าระหว่างจัดเรียงเอกสารเพื่อคัดกรองข้อมูลช่วงการ
ชุมนุมครั้งสุดท้ายและครั้งสุดท้ายของครั้งสุดท้าย สายตาเหลือบไปเห็นเอกสารชุดหนึ่ง
ประมาณ ๘ แผ่น ข้อความที่ปรากฏอยู่สะดุดตา สะกิดความสงสัยขึ้นมาในโสตประสาท
ทันใด ก็ข้อมูลที่ปรากฎอยู่นั้นคือ รายละเอียดเงินบริจาคจากรายได้ขายหวยบนดิน ๒ ตัว
๓ ตัว ในยุคแม้วครองเมือง ดังนี้

สรุปยอดเงินบริจาคจากโครงการสลากแบบเลขท้าย ๓ ตัว และ ๒ ตัว
(รายได้สุทธิ ๗๒ งวด เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๘,๒๖๗,๖๖๖,๓๖๙.๓๖)

01) ทุนการศึกษาเด็กโครงการเขียนเรียงความ งวดที่ 1 = 125,000,000.00
02) สัปดาห์วิทยาศาสตร์ = 35,500,000.00
03) ทุนการศึกษาเด็กโครงการเขียนเรียงความ งวดที่ 2 = 400,590,000.00
04) โครงการอ่าน เขียน เรียน เที่ยว = 10,000,000.00
05) โครงการทุนการศึกษาต่อของนักเรียนระดับอุดมศึกษา = 50,113,732.00
06) โครงการเสริมความรู้และสร้างรายได้นักเรียนในระหว่างปิดภาคฤดูร้อน = 10,000,000.00
07) โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ = 600,000.00
08) โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ = 289,626,730.00
09) โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ = 195,072,737.00
10) โครงการทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย ระยะที่ 1 = 773,000.00

11) ทุนการศึกษาเด็กโครงการเขียนเรียงความ งวดที่ 3 = 402,519,000.00
12) โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” = 446,469,420.00
13) ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย = 2,000,000.00
14) ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย = 470,227,000.00
15) ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยที่ศึกษา ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย = 11,340,000.00
16) โครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส = 402,519,000.00
17) โครงการประชาสัมพันธ์งานและพัฒนายุทธศาสตร์ สำหรับแก้ไขปัญหาเด็กยากจนและ
เด็กด้อยโอกาส = 31,000,000.00
18) ทุนการศึกษาบุตรธิดาอาสาสมัครสาธารณสุข = 2,000,000.00
19) ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์แก่สังคมและราชการ = 526,221,000.00
20) พิธีมอบทุนสนับสนุนการศึกษาในส่วนของต่างจังหวัด = 600,000.00

21) โครงการทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย ระยะที่ 1 (1 อำเภอ 1 ทุน) = 186,297,575.00
22) ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย ครั้งที่1 = 1,691,773,173.00
23) ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย ครั้งที่2 = 8,950,000.00
24) ทุนการศึกษาต่อของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอระดับอุดมศึกษา = 4,521,067.00
25) ทุนการศึกษาของนักเรียนระดับอุดมศึกษา = 276,360,892.00
26) ทุนการศึกษาของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอ = 3,463,308.00
27) โครงการบัณฑิตเพื่อความมั่นคง = 1,374,000.00
28) โครงการแก้ไขปัญหาเด็กที่ได้รับผลกระทบ เด็กด้อยโอกาส = 49,700,000.00
29) ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อยแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อน = 120,348,960.00
30) ทุนการศึกษาโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชน = 798,499,960.00

31) ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย งวดที่ 3 = 852,584,110.00
32) โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส = 9,496,000.00
33) ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและราชการ = 317,355,680.00
34) โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” = 91,227,307.00
35) โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” = 9,778,067.00
36) โครงการ “หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน” = 3,463,308.00
37) โครงการแก้ไขปัญหาเด็กพิการ เด็กเร่ร่อน และเด็กที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา
โรคเอดส์ = 19,102,290.00
38) ค่าใช้จ่ายจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ประจำปี 2548 = 35,000,000.00
39) ค่าใช้จ่ายโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ประจำเดือนกันยายน 2548 = 385,091,348.00
40) ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยที่ศึกษา ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย = 3,024,000.00

41) โครงการ “โรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับ
บุคคลออทิสติก” = 2,424,114.00
42) ค่าใช้จ่ายกระบวนการคัดเลือกผู้รับทุนโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 2 = 44,065,000.00
43) ทุนการศึกษาแก่ลูกผู้มีรายได้น้อย ปี 2548 ( งวดที่ 1 ) = 1,590,320,300.00
44) ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและราชการงวดที่ 1 สำหรับ
ทุนการศึกษาปี 2548 = 606,667,840.00
45) ทุนการศึกษาต่อของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอระดับอุดมศึกษา = 4,513,391.00
46) ทุนการศึกษาต่อของนักเรียนจากทุกอำเภอและกิ่งอำเภอระดับอุดมศึกษา = 273,437,422.29
47) โครงการแก้ไขปัญหาเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน
รุ่นที่ 2 ปี 2549 = 88,013,264.50
48) ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและราชการปี 2548 (งวดที่ 2) = 2,170,034,540.00

รวมสุทธิ 13,059,058,535.79 (หนึ่งหมื่นสามพันห้าสิบเก้าล้าน.....บาท)


ประเด็นที่น่าสนใจแบบกวน ๆ เช่น

- ยอดรายได้มีจุดทศนิยม ๓๖ สตางค์ เป็นไปได้หรือ ใครจะบ้าซื้อหวยบนดินด้วยเศษสตางค์
- ยอดเงินบริจาคมีจุดทศนิยม ๗๙ สตางค์ โอ้..แม่เจ้าจ่ายค่าอะไรเนี้ย
- รายการที่ ๑๑ และ รายการที่ ๑๖ อันเนี้ยรายการบริจาคซ้ำซ้อนหรือป่าว
- ค่าใช้จ่ายสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ตั้ง ๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีรายละเอียดประกอบมั้ยเนี้ย
- รายชื่อของผู้รับทุนในโครงการต่าง ๆ เนี้ย ตรวจสอบได้จากที่ไหนหนอ
- ยอดรายได้ ๒๘,๒๖๗ หมื่นล้าน แต่ยอดบิรจาค ๑๓,๐๕๙ หมื่นล้าน แล้วเงินที่เหลือหล่ะ

ก็แค่คำถามกวน ๆ อย่าไปให้สาระมากมายนัก

ที่น่าสนใจอีกประเด็น คือ ข้อความจากหนึ่งในผู้ที่อ้างว่าได้รับทุนโครงการเขียนเรียงความ
ขออนุญาติคัดลอกมาบางส่วน

ผมได้รับทุนการศึกษาจากโครงการเขียนเรียงความฯ และขณะนี้ไม่ได้รับเงินทุนการศึกษา
จากโครงการเขียนเรียงความฯ ของทางรัฐบาลเลย และไม่ได้รับเงินทุนการศึกษามาจำนวน
3 ภาคเรียนแล้ว ได้แก่ ภาคเรียนที่ 1/2548 , 2/2548 และ 1/2549 ซึ่งในระดับอุดมศึกษา
ทางโครงการจะต้องให้ทุนการศึกษาปีละ 20,000 บาท

โดยผมได้โทรศัพท์ไปทวงถามด้วยตนเองในช่วงปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2549 และทาง
เจ้าหน้าที่ผู้รับสายได้ให้ข้าพเจ้าสะกดชื่อตนเอง รับเรื่องไว้ และจะติดต่อกลับมาช่วงตอน
บ่ายของวันเดียวกัน รออยู่นานมาก ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้โทรติดต่อกลับมา แต่อย่างใด
จึงโทรติดต่อไปอีกครั้งด้วยตนเอง

เจ้าหน้าที่คนเดิมรับสาย ผมได้ทวงถามว่า เรื่องที่รับไว้ ติดตามไว้ บอกว่าจะโทรติดต่อ
กลับมา ได้รับตำตอบจากเจ้าหน้าที่คนเดิมว่า ? เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่อง จำไม่ได้แล้ว? และ
อ้างต่างๆ นาๆ ด้วยความอิดออดว่า งานมาก ยังไม่ได้ทำเลย และ บอกว่า

ยังไงเงินทุนการศึกษาได้รับแน่ๆ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ! ! !

และหลังจากนั้นก็ได้โทรไปติดตามอีกครั้งในช่วงเดือนมีนาคม และ เมษายน 2549
ก็ได้รับคำตอบแบบเดิมๆ ครับว่า ยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้ตามให้ และบ่ายเบี่ยง บวกกับ
อิดออดไปต่างๆ นาๆ ……


.....ผู้ปกครองของผม จะเดินทางไปเพื่อขอเข้าพบด้วยตนเอง คุณอัมภาพันธ์ ก็บอก
ว่า จะไม่อนุญาตให้เข้าพบ ไม่อยู่ ไม่ต้องมาให้เสียเวลา โดยอ้างว่าตนเองต้องไป
ประชุมอธิการบดีโลก

ผู้ปกครองเลยบอกไปว่า ถ้าคุณทำงานแบบนี้ จะทำหนังสือในนามส่วนตัว ส่งไปยัง
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และ เลขานุการ สำนักงานคณะกรรมการ
อุดมศึกษา ทางคุณอัมภาพันธ์ก็บอกว่า ถึงทำหนังสือมาก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์
ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น และทางคุณอัมภาพันธ์ก็พูดในลักษณะเดิมว่า ?

ทุนการศึกษาจากโครงการเขียนเรียงความฯ นั้นได้รับแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าตอนไหน !!!?


จวบจนปัจจุบัน การบริจาคตามโครงการต่าง ๆ ข้างต้นยังคงเป็นปริศนาดำมือ ที่ยากจะ
หาคำอธิบายจากหน่วยงานใด ๆ ได้ ว่า แท้จริงแล้ว เงินบริจาคเหล่านั้นมีจริงหรือไม่

เมื่อมีเหตุแห่งความสงสัยและมิอาจหาข้อมูลมาหักล้างใด ตามประมวลกฎหมายย่อม
ยกประโยชน์ให้แก่จำเลย ก็เป็นอันว่า ก็แค่ข้อสงสัยจากชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น

หากคำกล่าวอ้างข้างต้นเป็นจริง คงต้องย้อนกลับไปถามว่า

เงินบริจาคตามรายละเอียดนั้นอยู่ที่ใคร ผู้ใดบ้างหนอ
Last edited by bird on Fri Oct 15, 2010 9:59 pm, edited 1 time in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby กรกช » Fri Oct 15, 2010 6:57 pm

หวยใต้ดิน เป็นอบายยมุข เป็นสิ่งไม่ดี
อะไรที่ไม่ดี ก็ต้องหยุด ไม่ใช่เอาขึ้นมาบนดิน

หวยบนดิน ถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดของทักษิณ

คนที่ไม่เคยเล่นหวย หรือคนที่ไม่รู้จะซื้อหวยใต้ดินที่ไหน ก็หันมาเล่น
เพราะซื้อได้ง่ายๆ ใครๆก็ซื้อได้ เยาวชนก็ซื้อได้

ส่วนคนที่เล่นหวยใต้ดินอยู่แล้ว ก็ยังคงเล่นหวยใต้ดินเหมือนเดิม
เพราะหวยใต้ดินจ่ายแพงกว่า

ใครที่บอกว่า เอาหวยบนดินมาปราบหวยใต้ดิน คนนั้นโกหก
เพราะถ้าต้องการปราบจริง แค่มีนโยบายให้ตำรวจปราบปรามอย่างจริงจัง ก็คงไม่เหลือซาก

การหาเงิน โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อสังคม
บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ที่เห็นแก่ตัวของผู้ที่ออกนโยบาย
User avatar
กรกช
 
Posts: 1170
Joined: Wed Mar 11, 2009 8:15 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Wed Dec 01, 2010 10:36 pm

นัยที่ซ่อนเร้น

แรงกระเพี่อมทางการเมือง ในช่วงเย็นวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ภายหลังคณะตุลาการ
ขึ้นบัลลังค์อ่านคำพิพากษาคดีทางการเมือง อีกหนึ่งคดี ที่เป็นจุดสนใจของคนทั่วไป
คงไม่ต้องบอกกระมั้งว่านั้นคือ คดี ๒๙ ล้าน ที่ผู้ถูกร้องเป็นพรรคเก่าแก่พรรคหนึ่ง

ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ตามคำฟ้องนั้นคือช่วงเวลาระหว่าง ๒๕๔๗ และ ๒๕๔๘
ในขณะนั้น รํฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ยังคงมีผลบังคับใช้

ตามที่ทราบกันอย่างแพร่หลาย คณะตุลาการมีคำสั่ง ยกคำร้อง ด้วยเสียงข้างมาก
๔ ต่อ ๒ (สำหรับรายละเอียดคำพิพากษาจะนำมาเสนอในครั้งต่อไป เพื่อความถูก
ต้องตามหลักกฎหมาย ขออนุญาติรอสำเนาคำพิพากษาส่วนตัวของคณะตุลาการ)

ผลของคดีในครั้งนี่้ ส่งผลให้มวลชนกลุ่มหนึ่ง มีปฏิกริยาโต้ตอบทันที ไม่ว่าจะเป็น
การให้สัมภาษณ์ เพื่อให้เกิดความคลุมเครือ การแต่งชุดดำ การนัดชุมนุม ฯลฯ
และ พฤติกรรมอื่น เท่าที่จะสามารถปลุกเร้าอารมณ์มวลชนได้ นั่นเป็นสิทธิพื้นฐาน
ตามระบอบประชาธิปไตย

แต่ว่า...สงสัยจัง....

ทำไม...คดีที่ดินอัลไพน์ ก็หมดอายุความ ไม่เห็นจะมีใคร กลุ่มใด ที่จะตั้งคำถาม
อะไรต่าง ๆ มากมาย ก็ยกคำร้อง เพราะ คดีขาดอายุความเหมือนกันไม่ใช่หรือ..

เอ....หรือว่า เราเข้าใจผิดไป....แปลกเนาะ...แปลกมาก...แปลกจริง ๆ

อีกประเด็น...ช่วงที่เกิดปัญหา ก็ช่วง 47-48 มิใช่หรือ...
แล้วทำไม...รัฐบาลในช่วงเวลานั้นก็.....
แล้วทำไม...ไม่มีใครโอดครวญให้ กกต เค้ายื้่นเรื่องตั้งแต่ 48-49 เล่า
จะมากระตือรือร้น กระเสีอกกระสนอะไรกันในตอนนี้หล่ะ

หรือว่า...มีนัยอะไรซ่อนเร้นไว้หรือป่าวหนอ....

จะว่าไปแล้ว...ที่ปรึกษาก็เก่ง ๆ กฎหมายกันตั้งหลายคน มีทั้งนักเรียนทุน
มีทั้งต่างด้าว ต่างแดน...ก็น่าจะรู้ตั้งแต่ต้นว่า ยื่นไปก็ต้องตกอยู่แล้ว
แต่..ก็ยังดันทุรัง เพราะต้องการหาประเด็นก่อวอดใช่หรือป่าวน๊าาา

ได้ยินข่าวแว่ว ๆ ว่า หลังยกขบวนมาเผาบ้านเผาเมือง พยายามทำให้ภาพลักษณ์
หมุ่นหล่อติดลบ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะคำพูดตัวเองมันมัดแน่น จนจุดไฟไม่ติด

เลยต้องหาเหตุอันใหม่....ก็น่าคิดนะ ว่ามั้ย ?

มติ กกต ตั้งกี่ครั้งกันนะ...ที่ลงมติว่า ไม่ผิด ไม่ผิด แล้วก็ไม่ผิด
เพราะถ้าผิด คงโดนใบแดงกันไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ต้องยื้อจนหมดเวลา
แล้วค่อยมาจุดไฟกันตอนนี้หรอก....

หรือว่า...ที่ปรึกษาคนใหม่ ชี้ช่องทางดิสเครดิตให้กันหนอ...
จะว่าไปแล้ว...ช่วงเวลาที่ได้ที่ปรึกษาคนใหม่ กับ ที่มีใครบางคนขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมา
ก็ดูเหมือนจะ คาบเกี่ยวกันพอดี นะ ...หรือจำผิดไปหว่า...

ไอ้เรามันคนช่างสงสัยซะด้วยสิ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby ริวเซย์ » Thu Dec 02, 2010 7:03 pm

กรกช wrote:หวยใต้ดิน เป็นอบายยมุข เป็นสิ่งไม่ดี
อะไรที่ไม่ดี ก็ต้องหยุด ไม่ใช่เอาขึ้นมาบนดิน

หวยบนดิน ถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดของทักษิณ

คนที่ไม่เคยเล่นหวย หรือคนที่ไม่รู้จะซื้อหวยใต้ดินที่ไหน ก็หันมาเล่น
เพราะซื้อได้ง่ายๆ ใครๆก็ซื้อได้ เยาวชนก็ซื้อได้

ส่วนคนที่เล่นหวยใต้ดินอยู่แล้ว ก็ยังคงเล่นหวยใต้ดินเหมือนเดิม
เพราะหวยใต้ดินจ่ายแพงกว่า

ใครที่บอกว่า เอาหวยบนดินมาปราบหวยใต้ดิน คนนั้นโกหก
เพราะถ้าต้องการปราบจริง แค่มีนโยบายให้ตำรวจปราบปรามอย่างจริงจัง ก็คงไม่เหลือซาก

การหาเงิน โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อสังคม
บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ที่เห็นแก่ตัวของผู้ที่ออกนโยบาย


เข้ามาอ่านและเห็นด้วยกับคุณกรกชครับ

แก้ปัญหาหวยใต้ดินด้วยการเอาหวยขึ้นมาบนดิน
แก้ปัญหาลักลอบทำแท้งด้วยการออกกฎหมายให้ทำแท้งเสรี
มีหลายครั้งที่พวกนักการเมืองพยายามผลักดันให้มีกาสิโนถูกกฎหมาย

อีกหน่อยยาบ้าระบาด รัฐต้องผลิตยาบ้าขึ้นมาแทรกแซงราคาตลาดด้วยรึเปล่า

แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ ศีลธรรมจรรยาของคนเราก็ยิ่งตกต่ำไปกันใหญ่
สงสัยทุกวันนี้ประชาชนคนไทยจะยังงมงายกันไม่พอ
หากดอกไม้แย้มบานในใจแห่งผู้คนที่ทุกข์ทน
ความสว่างส่องทางสับสนด้วยความรักที่มอบแก่กัน
ให้ดอกไม้นั้นแทนความงามแห่งน้ำใจ ยิ่งใหญ่
เมฆหมอกก็คงสลาย ด้วยดอกไม้คือความสดใสในแสงตะวัน
คือดอกไม้อันดีงาม คงอยู่ด้วยความสดใส
คือดอกไม้ของน้ำใจ งดงามเพียงใดให้แก่กัน
User avatar
ริวเซย์
Site Admin
 
Posts: 3386
Joined: Fri Oct 17, 2008 12:34 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby ริวเซย์ » Thu Dec 02, 2010 7:06 pm

ขอบคุณคุณ bird มากนะครับที่สร้างสรรผลงานดีๆให้กับสังคมการเมือง

ขออนุญาตจองพื้นที่ ติดตามผลงาน และเมื่อหมดประเด็นในภาค ๒แล้ว
ขออนุญาตเก็บกระทู้ไว้ในห้องสมุดไว้ศึกษากันต่อไปครับ
หากดอกไม้แย้มบานในใจแห่งผู้คนที่ทุกข์ทน
ความสว่างส่องทางสับสนด้วยความรักที่มอบแก่กัน
ให้ดอกไม้นั้นแทนความงามแห่งน้ำใจ ยิ่งใหญ่
เมฆหมอกก็คงสลาย ด้วยดอกไม้คือความสดใสในแสงตะวัน
คือดอกไม้อันดีงาม คงอยู่ด้วยความสดใส
คือดอกไม้ของน้ำใจ งดงามเพียงใดให้แก่กัน
User avatar
ริวเซย์
Site Admin
 
Posts: 3386
Joined: Fri Oct 17, 2008 12:34 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Mon Dec 13, 2010 11:52 am

ขออนุญาติ ขุดกระทู้หน่อยน่ะค่ะ...
ไม่ว่ากันน่ะค่ะ :mrgreen: :mrgreen:

ขอบคุณ คุณริวเซย์ และคุณกรกช รวมทั้งท่านอื่น ๆ ที่กรุณาแวะมาอ่านค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...ภาค ๒

Postby bird » Mon Dec 13, 2010 12:18 pm

คำกล่าวอ้างอันใด...

ตั้งใจว่าจะไม่ขุดคุ้ยความไม่ดีไม่งามของอดีตนายกแม้วและพรรคพวก
ด้วยกลัวว่ากลุ่มผู้เลื่อมใสในตัวนายใหญ่จะกล่าวหาว่า รื้อฟื้นเรื่องเก่า ๆ
ไม่มีอะไรใหม่ มาโจมตี และอี่นๆ สุดแต่จะสรรหามาเปรียบเปรย

แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ กับพฤติกรรมพูดไปเรื่อยเปื่อย สุดแล้วแต่ว่าข้าทาส
บริวารที่มุ่งหวังเพียงทรัพย์สิน และผลประโยชน์ส่วนตน จะขีดๆ เขียนๆ
อะไรให้พูด รวมทั้งการออกแถลงการณ์อวดอ้างความสำคัญของตนเอง
ประหนึ่งว่าอันตัวข้านั้น มีความเก่งกล้าสามารถ มีสมองอันชาญฉลาดล้ำ
เหนือบุคคลอื่น เป็นที่ต้องการของชาวโลก...

วันที่ ๗ ธันวาคม ทนายหน้าหอออกแถลงการณ์ นายใหญ่ได้รับหนังสือ
เชิญของคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือ
ซีเอสซีอี ใจความโดยสรุป

ข้าพเจ้าส่งจดหมายเชิญมายังท่านเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ

ประเทศไทย : ประชาธิปไตย, การบริหารประเทศ และสิทธิมนุษยชน
ในวันที่ ๑๖ ธันวาคม เวลา ๑๕.00 น. ณ สถานที่ซึ่งจะมีการยืนยันใน
อนาคต

ในฐานะที่เป็นพันธมิตรด้านความร่วมมือขององค์การเพื่อความมั่นคงและ
ความร่วมมือในยุโรปนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งการสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงในกรุงเทพฯ เป็นที่สนใจ
ของคณะกรรมการเฮลซิงกิ และเมื่อไม่นานมานี้ กลุ่ม นปช.ได้ยื่นฟ้อง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

โดยกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์กระทำผิดต่อสิทธิมนุษยชน ระหว่างการ
สลายการชุมนุม ซึ่งหากท่านสามารถให้มุมมองต่อสถานการณ์ด้านสิทธิ
มนุษยชนในประเทศไทย เสรีภาพของสื่อมวลชน และ เสรีภาพในการ
แสดงออกของประชาชน ความพยายามของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหา
เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดทางตอนใต้ของประเทศ และแนวทาง
ที่สหรัฐฯ รวมทั้งประชาคมนานาชาติ รวมทั้งคณะกรรมการเฮลซิงกิ จะมี
ส่วนช่วยยกระดับสิทธิมนุษยชน และสร้างความเชื่อมั่นว่า จะมีการเลือก
ตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม

คณะกรรมการเรียกร้องให้ท่านนำเสนอข้อมูลโดยปากเปล่า เป็นเวลาประ
มาณ ๗-๑๐ นาที ซึ่งท่านอาจร้องขอให้เพิ่มเวลาให้การหรือแถลงการณ์
เป็นลายลักษณ์อักษร หรือนำเสนอวัตถุพยาน เพื่อนำมาบันทึกเป็นหลัก
ฐานอย่างเป็นทางการ

และคณะกรรมการจะรู้สึกขอบคุณอย่างมากหากได้รับถ้อยแถลงของท่าน
ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในวันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม เพื่อที่จะส่งมอบ
ให้แก่กรรมการและเปิดเผยต่อสาธารณะ ณ สถานที่ให้การ “

ต่อมาวันที่ ๑๒ ธันวาคม เวลาประมาณ ๑๒.00 น. ทนายคนเดิมออกแถลง
การณ์อีกครั้ง

ผมได้รับแจ้งจาก (นายใหญ่) เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ ๑๑ ธันวาคม ว่า
ทางซีเอสซีอี ขอเลื่อนการพิจารณา ปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
ออกไปคาดว่าไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งอาจเป็นเดือนมกราคมปีหน้า เนื่องจากคณะ
กรรมาธิการฯ พิจารณาว่า รัฐสภาคองเกสของหรัฐอเมริกา มีการเลือกตั้ง
ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งมีสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่ และจะเปิดสมัย
ประชุมในอีกไม่นาน


สรุป สั้นๆ ง่ายๆ คือ เลื่อนการเดินทางเป็น มค. ปีหน้าซึ่งอาจจะเป็น ๒๕๕๔
หรืออีกหลายสิบปีข้างหน้าก็ได้เพราะไม่ได้มีการระบุให้แน่ชัด เพื่อจะได้ไม่
เป็นการผูกมัดใด ๆ

จุดสังเกตที่น่าคิด นอกเหนือจากที่นายใหญ่ชอบโผล่มาในช่วงเวลาอันเป็น
มงคลแล้ว ยังเป็นช่วงเวลาโค้งสุดท้ายก่อนการเลิอกตั้งซ่อม หากจะมองว่า
เป็นการออกมายืนยันว่า

นายใหญ่ยังสบายดีอยู่ และยังมีพื้นที่ให้ยืนบนเวทีโลก การหยิบยืมชื่อ
ประเทศมหาอำนาจมากล่าวอ้างในช่วงเวลาที่เหมาะสม อาจจะช่วยให้
มวลชนที่ยังพอจะหลงเหลืออยู่บ้าง มีกำลังกายกำลังใจ เพื่อสูบกำลัง
ทรัพย์ของนายใหญ่ต่อไป หรือ อาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งที่เพิ่งจะ
ผ่านพ้นไป

ซึ่งท้ายที่สุด ผลที่ได้รับไม่เป็นน่าพอใจของนายใหญ่สักเท่าไหร่

ด้วยมาตรฐาน การพูดเรื่อยเปื่อยของนายใหญ่ ทำให้นึกย้อนกลับไป
เมื่อครั้งที่นายใหญ่ยังเรืองอำนาจ นายใหญ่ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้
อย่างดีเยี่ยม

ผนวกกับหนังสือที่ได้รับจากเพื่อนคนหนึ่งพร้อมกับคำบอกกล่าวที่ว่า

ลองอ่านดู เผื่อตาจะได้สว่างขึ้นบ้าง

ข้อความหนึ่งที่ปรากฎอยู่ หากเป็นความจริง นายใหญ่คงต้องอยู่ในฐานะ
ที่ลำบากแน่ เนื้อหาสรุปโดยย่อ

“นักการเมืองผู้มากด้วยประสบการณ์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า วันแรกที่นาย
ใหญ่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะบริหารบ้านเมือง ได้กล่าวกับบรรดาท่านผู้
ทรงเกียรติที่ผ่านการเลือกตั้งทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ รวมทั้งรอมอตอใหม่ที่
พรรค (โดนยุบไปแล้ว) ใจความโดยสรุป

...วันนี้ใครใคร่ปราถนาเป็นรอมอตอ ก็ได้สมหวังแล้ว ใครใคร่ปราถนาเป็น
ศศ ก็ได้สมหวังแล้ว ขออย่างเดียว อย่าโกง ถ้าใครเดือดร้อนเรื่องส่วนตัว
มาบอกผม ผมช่วยได้.. สื่อมวลชนบอกว่า ผมมี 2-3 หมื่นล้าน..ไม่จริง
...ผมมีมากกว่านั้น... “

สรุป สั้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ คือ ประกาศว่า อันตัวข้าฯ นั้นมีมากมายเกินกว่า
สองสามหมื่นล้าน...

แต่ว่า...รายการบัญชีแสดงทรัพย์สินที่ยื่นไว้ต่อองค์กรอิสระ เมื่อ 18 กพ.
2544 เมื่อเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก

ทรัพย์สินสุทธิ แม้ว 508 ล้านบาท, อ้อ 9,848 ล้านบาท, แพ 4,727
ล้านบาท รวมประมาณ 15,056 ล้านบาท


น้อยกว่าที่นายใหญ่กล่าวอ้างเท่าตัว...

หรือว่าผู้นำเสนอเข้าใจผิด
อาจจะเป็นการดำรงตำแหน่งครั้งที่ 2 เมื่อ 14 มีค. 48

ทรัพย์สินสุทธิ แม้ว 506 ล้านบาท, อ้อ 8,802 ล้านบาท, แพ 3,262 ล้านบาท
รวมประมาณ 12,570 ล้านบาท


ก็ยังน้อยกว่าที่คำกล่าวอ้างข้างต้น..

หรือว่า...นายใหญ่ มีพฤติกรรมชอบกล่าวคำอ้าง โกหก โป้ปดมดเท็จ
อันเป็นพฤติกรรมพื้นฐาน

หากเป็นเช่นนั้นจริง คำกล่าวอ้าง ถ้อยแถลงต่าง ๆ ของนายใหญ่ที่ผ่านมา
ในช่วงเวลาดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะบริหาร

ก็ล้วนเป็นคำกล่าวอ้างที่เชื่อถือไม่ได้ หลอกลวงมวลชนมาโดยตลอด
ใช่หรือไม่...
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

PreviousNext

Return to สภากาแฟ