แหลว่า ปชป โกง ปรส แต่ความจริงคือ...ปรส. หรือ คณะกรรมการปฏิรูปสถาบันการเงิน นั้น จัดตั้งโดย มติคณะรัฐมนตรี 23 ตุลาคม 2540 ในรัฐาล พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ (ทักษิณ เป็นรองนายกฯ)
สาเหตุที่ตั้ง ปรส.ขึ้นมาเพราะ ต้องทำตาม หนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่1หรือที่เรียกกันว่า LOI(letter of intent) หนังสือแสดงเจตจำนงนี้ คือ ข้อกำหนดของ IMFที่บังคับให้ไทยต้องทำอะไรบ้าง เมื่อต้องการไปเบิกงินกู้ในแต่ละงวด ซึ่ง รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ไปเบิกเงินงวดที่1 IMFก็บังคับทำLOI ฉบับที่1 (เบิกเงินงวดแรกเมื่อ 14 สิงหาคม 2540)
ใน LOI ฉบับที่1 นี้ บังคับให้ต้องตั้ง ปรส. และยังมีเงื่อนไขอีกว่า ปรส.นี้ ห้ามกระทรวงการคลังเข้ามาก้าวก่าย นั่นหมายความว่า ปรส.ต้องทำงานอย่างอิสระ ห้ามรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงเรื่อง ปรส. จึงสรุปว่า ตั้งขึ้น สมัย รัฐบาล ชวลิต เมื่อ 23 ตุลาคม2540 เหตุที่ต้องตั้งเพราะ รัฐบาล ชวลิตไปกู้เงิน IMF เขาจึงออก LOI บังคับให้ต้องตั้ง และ ปรส.นี้ รัฐบาลก็ไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ตามเงื่อนไข LOI
ถ้ารัฐบาล ชวน ผิดจริง ลองคิดดูว่า 5 ปีกว่า ที่ ทักษิณ เป็นรัฐบาล และมีอำนาจล้นฟ้าขนาดนั้น ทำไมคดีนี้จึงไม่เดินหน้าไปใหนเลย เหตุผลเพราะ มันไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ดังที่ LOI ฉบับที่1 มีข้อกำหนดไว้ชัดเจนแล้วนั่นเอง
พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงินพ.ศ. ๒๕๔๐
http://law2.longdo.com/law/173/#คำชี้แจง ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ "ข้อเท็จจริงในด้านนโยบาย ปรส." หลังจากมีการร้องเรียนต่อกรมสอบสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการเปิดประมูลสินเชื่อ กลุ่มที่อยู่อาศัยขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ของสถาบันการเงิน 56 แห่งที่ถูกปิดกิจการ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ พาดพิงถึงนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งขณะนี้ ดีเอสไอได้ส่งสำนวนการกล่าวโทษต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการ ล่าสุด นายธารินทร์ได้เขียนคำชี้แจง "ข้อเท็จจริงในด้านนโยบายเกี่ยวกับ ปรส." "มติชน" จึงนำเนื้อหาบางส่วนของการชี้แจงมานำเสนอ
ภายหลังพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน 2540 เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2540 รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้จัดตั้งคณะกรรมการ ปรส. ชุดแรกขึ้น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2540 โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขฟื้นฟูฐานะ ของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ เป็นอันดับแรก โดย ปรส. มีฐานะเป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการดูแลบริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ขณะที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เป็นองค์กรอิสระที่จัดตั้งเพื่อเตรียมเข้าประมูลซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ของสถาบันการเงินที่ไม่สามารถฟื้นฟูฐานะได้
ทั้ง ปรส. และ บบส. ได้จัดตั้งขึ้นเสร็จก่อนที่รัฐบาลชวน 2 จะเข้ามาบริหารประเทศ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ปรส.นั้น รัฐมนตรีว่การกระทรวงการคลังเป็นเพียงผู้รักษาการตามพระราชกำหนด ไม่มีอำนาจแทรกแซง การดำเนินงานของ ปรส. เนื่องจากพระราชกำหนดให้อำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการประมูลทรัพย์สิน เป็นของคณะกรรมการ ปรส. แต่ผู้เดียว ส่วน บบส.นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไป โดยสามารถสั่งให้ บบส. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน ตลอดจนสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินงานได้
ความเสียหายและพันธะที่รัฐบาลชวน 2 ต้องแบกรับต่อจากรัฐบาลก่อน
เพื่อให้คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชวน 2 ได้รับทราบสถานการณ์และภาระของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จึงได้รายงานตัวเลขข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงแรกๆ ว่า ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 ยอดการช่วยเหลือของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่ได้ผูกพันไว้จากที่เคยมีประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2539 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลือธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) (บีบีซี) เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1 ล้านล้านบาท ในเวลาเพียง 10 เดือนเศษ ประกอบไปด้วย การช่วยเหลือสภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง สถาบันการเงินที่ยังคงเหลืออีก 10 กว่าแห่ง และโดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนผู้ออมของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการเป็นการชั่วคราวจำนวน 58 แห่ง
เนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มีภาระมากในการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินของประเทศ จึงได้อาศัยวิธีการกู้ยืมเงินระยะสั้นในตลาดเงิน เพื่อรองรับภาระของตัวเองเกือบทั้งหมด หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จึงเป็นหนี้สาธารณะ ซึ่งเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นก็จะต้องตกเป็นภาระของรัฐบาล ตามกฎหมายที่ได้ออกไปก่อนหน้าแล้ว
คณะกรรมการ ปรส. ชุดแรกสั่งปิดถาวร56ไฟแนนซ์
ในวันที่ 8 ธันวาคม 2540 หรือประมาณ 3 สัปดาห์หลังจากรัฐบาลชวน 2 เข้าบริหารราชการแผ่นดิน คณะกรรมการ ปรส. ชุดแรก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลก่อนหน้านั้น ได้สั่งปิดกิจการสถาบันการเงิน 56 แห่ง เป็นการถาวร ส่วนอีก 2 แห่งให้เปิดดำเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งการสั่งปิดนี้เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของคณะกรรมการ ปรส. ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยคณะกรรมการ ปรส. ได้รายการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อทราบเท่านั้น
เมื่อคณะกรรมการ ปรส. ชุดแรกได้ใช้อำนาจทางกฎหมายสั่งปิดกิจการสถาบันการเงิน 56 แห่งเป็นการถาวรแล้ว ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งทั้งชุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2540 กระทรวงการคลังจึงได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการ ปรส. ชุดใหม่ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2540 เช่นกัน
ดังนั้น การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงินข้อที่ 1 คือแก้ไขฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ถือว่าได้เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ที่กำหนดให้ช่วยเหลือผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้ที่สุจริตของสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินกิจการนั้น ปรากฏว่าผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ที่สุจริต และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้เข้ามาเป็นเจ้าหนี้แทนเสียเป็นส่วนใหญ่ไปก่อนหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นหน้าที่ของคณะกรรมการ ปรส. ชุดใหม่จึงเป็นเรื่องของการชำระบัญชีบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ 56 แห่ง
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อ ปรส.
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อ ปรส. เป็นเงิน 769,284.83 ล้านบาท และเจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวน 104,688.98 ล้านบาท รวมเป็น 873,973.81 ล้านบาท นับเป็นสัดส่วนการขอรับชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ร้อยละ 88 และของเจ้าหนี้อื่นร้อยละ 12 เป็นที่น่าสังเกตว่ายอดหนี้ที่เจ้าหนี้ทั้งหมดยื่นขอรับชำระหนี้นี้ มีหนี้เสียอยู่เป็นจำนวนมาก
การสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ปรส.
เนื่องจาก ปรส. โดยผลของกฎหมาย เป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการดำเนินกิจการโดยผ่านคณะกรรมการของ ปรส.เท่านั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะไปกำหนดนโยบายให้ ปรส. ในการพิจารณาขายสินทรัพย์ของ 56 สถาบันการเงินได้ แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ได้มีการแนะนำให้ ปรส. ทำการประเมินผลของการขายสินทรัพย์ว่าจะได้เงินคืนมาในสัดส่วนเท่าไร ซึ่งต่อมาประธานกรรมการ ปรส. ได้ชี้แจงว่าจากการประเมินของที่ปรึกษาเฉพาะกิจและผู้จัดการพิเศษของแต่ละสถาบันการเงิน คาดว่าน่าจะได้รับเงินจากการจัดการสินทรัพย์ประมาณร้อยละ 42 ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่ได้รวบรวมไว้
ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ข้อแนะนำแก่ ปรส. ในการดำเนินการว่า
1.ให้ ปรส. ดำเนินการโดยมีเป้าหมายได้รับชำระคืนประมาณร้อยละ 42 ตามที่ ปรส. เองได้ประเมินไว้ตั้งแต่แรก
2.ให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว เพราะสินทรัพย์เสื่อมคุณภาพเร็ว และเสื่อมคุณภาพไปมากแล้ว จากการสั่งปิดกิจการโดยไม่ได้มีมาตรการรองรับที่ชัดเจน
3.ราคาประมูลขายสินทรัพย์ไม่ควรต่ำกว่าราคาอ้างอิงภายใน (bench-mark price) ในการประมูลแต่ละครั้ง
4.ในกระบวนการประมูลแต่ละครั้งของ ปรส. ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส เป็นที่รับทราบในวงกว้าง และให้มีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ที่สำคัญให้ระมัดระวังอย่าให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในกระบวนการของ ปรส.
5.ไม่ขัดข้องในการที่ ปรส. จะสร้างกำลังซื้อในการประมูล โดยเปิดโอกาสให้กว้าง มีผู้ประมูลทั้งไทยและต่างชาติ ทั้งนี้ เพื่อจะให้ได้ราคาดีที่สุด และนำเงินคืนแก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มากที่สุด
6.ไม่ขัดข้องกับการที่คณะกรรมการ ปรส. ห้ามลูกหนี้เข้าประมูลหนี้ของตนเอง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการส่งสัญญาณ ให้ผู้ประกอบกิจการไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นลูกหนี้อยู่ในระบบการเงินของประเทศว่า รัฐบาลส่งเสริมวัฒนธรรมให้เลิกชำระหนี้ ล้มบนฟูกได้ อันจะนำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงที่สุดต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้วางมาตรการตรวจสอบติดตามการดำเนินงานตามกฎหมายของ ปรส. โดยแต่งตั้ง นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ จากสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้แทนกระทรวงการคลัง เข้าไปเป็นกรรมการ ตามกฎหมาย ปรส. แทนที่จะตั้งบุคคลภายในกระทรวงการคลังเอง เพื่อที่จะให้ผู้แทนกระทรวงการคลังมีส่วนช่วยคณะกรรมการ ปรส.ในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมทั้งได้ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีของ ปรส. และยังได้จัดจ้างผู้ประเมินอิสระเข้ามาตรวจสอบและประเมินการทำงานของ ปรส. จำนวน 2 ครั้ง
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังได้ปรับปรุงกฎหมาย เพื่อส่งเสริมให้มีการแก้ไขปัญหากรณีพิพาททางด้านการเงินอย่างรวดเร็ว และทรงไว้ซึ่งความเป็นธรรม
ดูแลไม่ให้เสียประโยชน์แก่ต่างชาติที่เกี่ยวข้อง
1.ในการดูแลกิจการของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการจำนวน 56 แห่งนั้น เดิม ปรส. ภายใต้คณะกรรมการ ปรส.ชุดแรก ได้พิจารณาข้อเสนอของธนาคารโลก ในการที่จะว่าจ้างบริษัทร่วมทุนต่างชาติเข้ามาเป็นผู้จัดการพิเศษ ทำหน้าที่บริหารงานสถาบันการเงินเสมือนผู้จัดการบริษัท เป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานและการชำระบัญชีของสถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิดกิจการ แต่ปรากฏว่าบริษัทที่ปรึกษาเหล่านี้ได้เรียกร้องค่าตอบแทนจากคณะกรรมการ ปรส. ชุดต่อมา เป็นจำนวนเงินสูงถึง 1,600 ล้านบาท และยังปฏิเสธไม่รับผิดชอบตามกฎหมายทั่วไปหากมีความเสียหายเกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่
ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้ขอให้ประธานกรรมการตามมาตรา 30 ของ พ.ร.บ.สถาบันการเงิน ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการคลังไปใช้บริษัทของไทย คือ บริษัท สินบัวหลวง คอนซัล-แตนซี่ จำกัด เข้ามาดำเนินการแทน โดยบริษัทไทยดังกล่าวจะขอคิดค่าให้บริการตามต้นทุนที่แท้จริงบวกกำไรปกติ ซึ่งจะรวมเป็นยอดเงินประมาณ 200 กว่าล้านบาท ผลของการดำเนินการตามคำแนะนำนี้ นอกจากจะส่งเสริมให้บริษัทไทยเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการแทนบริษัทต่างชาติแล้ว ยังได้ประหยัดเงินให้กับ ปรส. ไปเป็นจำนวน 1,300 กว่าล้านบาท
2.กรณีที่ประธานกรรมการตามมาตรา 30 ของบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ ได้เข้ามาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการที่ บริษัทเลแมน บราเธอร์ส ลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนเอกธนกิจได้ใช้สิทธิในการหักกลบลบหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้ให้คำแนะนำว่า สมควรที่จะดำเนินคดีกับบริษัทเลแมน บราเธอร์ส ในสหรัฐอเมริกา และในส่วนของลูกหนี้ต่างประเทศ หรือในประเทศรายอื่นที่มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับบริษัทเลแมน บราเธอร์ส ก็ควรดำเนินการฟ้องร้องเรียกเงินคืนทุกกรณี
ต่อมา ปรากฏว่าไม่มีสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงใดๆ ในรัฐนิวยอร์ก ยินยอมจะว่าความให้ เนื่องจาก บริษัทเลแมน บราเธอร์ส เป็นกิจการยักษ์ใหญ่ 1 ใน 5 ในวงการวาณิชธนกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ผลจากความพยายามของกระทรวงการคลัง ที่ช่วยหาสำนักงานกฎหมายขนาดเล็กในรัฐนิวยอร์กมาว่าความให้ได้ ทำให้บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีในรัฐนิวยอร์กได้ ซึ่งหากชนะคดีในท้ายที่สุดก็จะทำให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และเจ้าหนี้อื่นได้รับเงินคืนเพิ่มขึ้น
3.เคยมีผู้เข้าร่วมประมูลที่เป็นต่างชาติ คือ บริษัทจีอี แคปปิตอล ขออนุญาตมาที่กระทรวงการคลัง จะออกตราสารหนี้สินในประเทศเป็นเงินบาท เพื่อลดภาระที่ต้องนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาหากชนะการประมูล แต่เพื่อสนับสนุนการสร้างทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลังจึงไม่อนุญาต ซึ่งหากอนุญาตก็เท่ากับว่าบริษัทต่างชาติก็ไม่ต้องนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศในการประกอบกิจการ ทั้งๆ ที่ควรจะนำเงินตราต่างประเทศเข้ามา เพราะเป็นผู้ประกอบการต่างชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ในด้านการเสริมสร้างทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในขณะนั้น
ผลการดำเนินการของ ปรส. และ บบส.
กระบวนการของ ปรส. ที่คาดว่าในท้ายที่สุดกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะได้รับชำระคืนประมาณร้อยละ 39 ของเงินต้นคงค้างหนี้ โดยผู้ที่ชนะการประมูลสินทรัพย์จาก ปรส. เป็นผู้ลงทุนไทยร้อยละ 55.57 ของยอดสินทรัพย์ที่นำมาประมูล เป็นต่างชาติอีกร้อยละ 44.43 ทั้งนี้ บบส. ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นผู้ประมูลชนะรายใหญ่ที่สุด สามารถซื้อสินทรัพย์จาก ปรส. ไปจำนวน 197,047 ล้านบาท หรือร้อยละ 29.08% ของสินทรัพย์ที่ ปรส. จำหน่ายได้ทั้งหมด
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q1/2007march13p5.htm