เช neverdie wrote:ถ้ามืดบอดในธรรมกันขนาดนี้แล้ว การอ้างตนเป็นพุทธแล้วกราบอิฐ ปูน ไม้ และนาๆวัสดุช่วยที่เอามาปั้นสร้างเป็นพระพุทธรูป จะต่างอะไรกับการเป็นพุทธที่กราบซากลูกหมา บูชาศพลูกควาย จุดธูปเทียนใหว้ต้นไม้พิการ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตละครับ
Anubitz wrote:
ตรงนี้ผมมองว่าเป็นการสอนเพื่อไม่ให้ยึดติดกับสิ่งใดๆมากกว่าครับ แต่ไม่ได้ชี้นำให้ไปยึดติดกับสิ่งอื่น
Anubitz wrote:ใช่ครับ ถ้าเปรียบเทียบกับเกาะฟางอยู่กลางทะเลแล้ว ยากที่จะไปถึงฝั่ง ในกรณีพระพุทธรูป ผมว่าทั้งพระเกษมและท่านพุทธทาส ใช้เทคนิคการสอนที่คล้ายกัน ซึ่งทั้งสองคงไม่ได้คิดให้ไปยึดเกาะสิ่งอื่นอย่างแน่นอน เพราะฟางย่อมดีกว่าก้อนขี้หมาอยู่แล้ว แต่ฟางก็ไม่ได้นำทางให้ไปถึงฝั่ง ตรงกันข้ามอาจจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปให้ยิ่งออกห่างจากฝั่งอีกก็เป็นได้
*กระแสน้ำ ในที่นี้หมายถึงกระแสสังคม ณ เวลานั้นๆนะครับ
บุคคลทั่วไป wrote:ผมมองว่าพระเกษมพอโดนกระแสสังคมเข้าไป ท่านกลับอ่อนไหวถูกพัดไปตามกระแสครับ
sleepless wrote:
ใช่ครับ ฟังก็รู้แล้วว่าทั้ง ส. และท่านเกษมอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสที่กล่าวถึงภูเขากางกั้นธรรม แล้วไปหยิบเอามาสอนชาวบ้านเพราะคิดว่าเทห่ดี
sleepless wrote:ใช่ครับ ฟังก็รู้แล้วว่าทั้ง ส. และท่านเกษมอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสที่กล่าวถึงภูเขากางกั้นธรรม แล้วไปหยิบเอามาสอนชาวบ้านเพราะคิดว่าเทห่ดี
จีรนุช wrote:เราไม่เห็นด้วยกับใครทั้งนั้นเเหละที่ปกป้องนายคนนี้
Anubitz wrote:sleepless wrote:
ใช่ครับ ฟังก็รู้แล้วว่าทั้ง ส. และท่านเกษมอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสที่กล่าวถึงภูเขากางกั้นธรรม แล้วไปหยิบเอามาสอนชาวบ้านเพราะคิดว่าเทห่ดี
เท่ดีหรือไม่นั้น อยากให้ดูที่การกระทำทั้งสองท่านเข้าใจได้ลึกซึ้งหรือเปล่า จะกล่าวว่านำมาสอนเพราะฟังแล้วเท่ดีคงจะกระไรอยู่ครับ
โดยส่วนตัวผมได้ยินประโยคเรื่องพระพุทธรูปนี้ครั้งแรกจากคลิปเสียง การเทศนาธรรมของท่านพุทธทาส ครั้งที่สองจาก อาจารย์ ส. ในรายการ พื้นที่ชีวิต ถามว่าเท่ร์มั๊ย บอกได้ว่าสิ่งแรกที่คิดคือ จริงด้วย เหมือนกับเป็นการเปิดโลกทัศน์บางอย่าง (ผมก็ใช้คำไม่ถูกเหมือนกันว่าใช้คำว่าอะไรดีนะ ) แต่ความรู้สึกว่าเท่ร์คงไม่มีเลยครับ หากแต่ มองว่าประโยคนี้ เป็นประโยคที่ง่ายต่อการนำไปพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายๆมากกว่า ผมมองเช่นนั้นหน่ะครับ
sleepless wrote:เช neverdie wrote:ถ้ามืดบอดในธรรมกันขนาดนี้แล้ว การอ้างตนเป็นพุทธแล้วกราบอิฐ ปูน ไม้ และนาๆวัสดุช่วยที่เอามาปั้นสร้างเป็นพระพุทธรูป จะต่างอะไรกับการเป็นพุทธที่กราบซากลูกหมา บูชาศพลูกควาย จุดธูปเทียนใหว้ต้นไม้พิการ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตละครับ
Alien007 wrote:sleepless wrote:ใช่ครับ ฟังก็รู้แล้วว่าทั้ง ส. และท่านเกษมอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสที่กล่าวถึงภูเขากางกั้นธรรม แล้วไปหยิบเอามาสอนชาวบ้านเพราะคิดว่าเทห่ดี
แล้วที่พระเกษมยกพระไตรปิฎกมาอ้างด้วยล่ะ sleeplessก็คงคิดว่า อ้างเพื่อความเท่ด้วยล่ะสิ หึหึ
ไม่มีปัญญาหาเหตุผลที่เข้าท่ากว่านี้มาอธิบายแล้วใช่มั้ย เลยแถใส่ แม่ม ดื้อๆ ว่าพระพูดวิจารณ์เพราะอยากเท่ แถได้ควายจริงๆ
เช neverdie wrote:ต้องถามกลับไปว่าคุณมองพระพุทธชินราชจำลองนั้นเป็นอะไร ถ้าคุณมองพระพุทธชินราชจำลองนั้นเป็นตถาคตที่ใครจะล่วงละเมิดมิได้ ก็แปลว่าคุณยังติดอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก ยังเข้าไม่ถึงแก่นธรรม ยังเข้าไม่ถึงความว่าง ยังเข้าไม่ถึงธรรมของตถาคต ยังมองไม่เห็นตถาคตครับ ก่อนที่ตถาคตจะเสด็จดับขันฑ์ปรินิพพานนั้น ทรงตรัสใว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ธรรมของตถาคตคือ มีอริยสัจสี่ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับสูญไปเป็นเบื้องต้น ฯลฯ แต่ถ้าคุณมองพระพุทธชินราชจำลองนั้นเป็นก้อนอิฐก้อนดินที่ประกอบกันขึ้นมาด้วยฝีมือช่าง วันนึงก็ต้องแตกหักสลายผุพังไปตามกาลเวลา คุณจะได้คำตอบว่าคุณกำลังกราบใหว้อะไร
แปลว่าใจจะสงบได้ก็ต้องด้วยพระพุทธรูป จะมีหรือไม่มีธรรมของตถาคตก็ไม่สำคัญแล้วว่างั้น ต้องขอมีพระพุทธรูปใว้ก่อน อย่างนั้นก็ไม่แปลกหรอกที่ปราชญ์หลายๆท่านว่าใว้ว่า "พระพุทธรูปคือภูเขาที่กางกั้นธรรมสำหรับปุถุชน"[/color]
เช neverdie wrote:สรุปให้ง่ายๆ ตถาคตวางแนวทางง่ายๆสำหรับคนธรรมดา ให้รู้จักให้"ทาน" แล้วรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ แค่นี้"สมาธิ"ก็จะตามมา "ปัญญา"ก็จะเกิด ชีวิตก็จะผ่านพ้นความวุ่นวายไปได้ ไม่ว่าโลกรอบตัวจะวุ่นวายแค่ไหน
แต่ถ้ามีพระพุทธรูปที่บ้านเป็นร้อยองค์ แต่เป็นคนขาดซึ่ง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ชืวิตก็ต้องวุ่นวายไม่รู้จบ พระพุทธรูปเป็นร้อยที่บ้านก็ช่วยอะไรไม่ได้ครับ![]()
![]()
เช neverdie wrote:เคยมีประสพการณ์สอนสมาธิ(meditation)ให้เพื่อนฝรั่ง ต่างกรรมต่างวาระกันไป
จากที่เจอ ถ้าไปบอกฝรั่งว่าทำแล้วจะเข้าฌานอย่างนั้นอย่างนี้ฝรั่งมันขำกันหงายท้อง
แต่ถ้าบอกว่านี่คือวิธีฝึกการควบคุมการหายใจ วิธีการนี้ทำให้สติปัญญาแข็งแรงขึ้น ฝรั่งมันอึ้ง ทึ่ง
เพราะคอสค่าเรียนฝึกหายใจที่ยุโรปคอสนึงคิดกันเป็นพันยูโรสำหรับบริษัทที่เปิดอบรมวิธีหายใจ
sleepless wrote:เช neverdie wrote:สรุปให้ง่ายๆ ตถาคตวางแนวทางง่ายๆสำหรับคนธรรมดา ให้รู้จักให้"ทาน" แล้วรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ แค่นี้"สมาธิ"ก็จะตามมา "ปัญญา"ก็จะเกิด ชีวิตก็จะผ่านพ้นความวุ่นวายไปได้ ไม่ว่าโลกรอบตัวจะวุ่นวายแค่ไหน
แต่ถ้ามีพระพุทธรูปที่บ้านเป็นร้อยองค์ แต่เป็นคนขาดซึ่ง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ชืวิตก็ต้องวุ่นวายไม่รู้จบ พระพุทธรูปเป็นร้อยที่บ้านก็ช่วยอะไรไม่ได้ครับ![]()
![]()
ผมถามหน่อยว่าหากเลิกกราบไหว้พระพุทธรูปแล้ว จะส่งผลดี และช่วยให้เกิดสมาธิ และปัญญาได้ดีกว่าการกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างไร?
พระอริยะอย่างหลวงตาบัวท่านกราบลงที่ใด ที่นั้นก็คือพระพุทธเจ้า เพราะท่านเข้าถึงพุทธะ ท่านไม่ต้องการวัตถุสมมุติมาให้กราบไหว้ (แต่ท่านก็ยังกราบพระพุทธรูปอยู่ทุกวัน)
แล้วไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างคุณ อย่างผม อย่าง ส. อย่างพระเกษม เข้าถึึงพุทธะแล้วหรือ จึงไม่ต้องมีสมมุตบัญญัติเลย?
sleepless wrote:เช neverdie wrote:สรุปให้ง่ายๆ ตถาคตวางแนวทางง่ายๆสำหรับคนธรรมดา ให้รู้จักให้"ทาน" แล้วรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ แค่นี้"สมาธิ"ก็จะตามมา "ปัญญา"ก็จะเกิด ชีวิตก็จะผ่านพ้นความวุ่นวายไปได้ ไม่ว่าโลกรอบตัวจะวุ่นวายแค่ไหน
แต่ถ้ามีพระพุทธรูปที่บ้านเป็นร้อยองค์ แต่เป็นคนขาดซึ่ง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ชืวิตก็ต้องวุ่นวายไม่รู้จบ พระพุทธรูปเป็นร้อยที่บ้านก็ช่วยอะไรไม่ได้ครับ![]()
![]()
ผมถามหน่อยว่าหากเลิกกราบไหว้พระพุทธรูปแล้ว จะส่งผลดี และช่วยให้เกิดสมาธิ และปัญญาได้ดีกว่าการกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างไร?
พระอริยะอย่างหลวงตาบัวท่านกราบลงที่ใด ที่นั้นก็คือพระพุทธเจ้า เพราะท่านเข้าถึงพุทธะ ท่านไม่ต้องการวัตถุสมมุติมาให้กราบไหว้ (แต่ท่านก็ยังกราบพระพุทธรูปอยู่ทุกวัน)
แล้วไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างคุณ อย่างผม อย่าง ส. อย่างพระเกษม เข้าถึึงพุทธะแล้วหรือ จึงไม่ต้องมีสมมุตบัญญัติเลย?
sleepless wrote:เช neverdie wrote:เคยมีประสพการณ์สอนสมาธิ(meditation)ให้เพื่อนฝรั่ง ต่างกรรมต่างวาระกันไป
จากที่เจอ ถ้าไปบอกฝรั่งว่าทำแล้วจะเข้าฌานอย่างนั้นอย่างนี้ฝรั่งมันขำกันหงายท้อง
แต่ถ้าบอกว่านี่คือวิธีฝึกการควบคุมการหายใจ วิธีการนี้ทำให้สติปัญญาแข็งแรงขึ้น ฝรั่งมันอึ้ง ทึ่ง
เพราะคอสค่าเรียนฝึกหายใจที่ยุโรปคอสนึงคิดกันเป็นพันยูโรสำหรับบริษัทที่เปิดอบรมวิธีหายใจ
And your point is?
kainuy555 wrote:นายเกษมครับ ไม่ใช่พระเกษม
สาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ปฎิบัติแบบนี้แน่นอน
คนบาป wrote:คล้ายๆ จะบอกว่ากราบพระพุทธรูปแล้วจะช่วยให้เกิดสมาธิ
แต่การทำสมาธิหรือวิถีเข้าสู่สมาธิ ไม่มีเรื่องกราบพระพุทธรูปแล้วจะเกิดสมาธินะ
เช neverdie wrote:
อย่าเพิ่งหลงประเด็นครับ จะกราบใหว้หรือไม่กราบใหว้พระพุทธรูปหรือการทำพิธีกรรมต่างๆตามศาสนาอย่างที่ยึดถือกันมา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า บริจาคทาน รักษาศีลให้ถึงพร้อมหรือยัง เพราะถ้ายังกราบใหว้พระพุทธรูปเช้าค่ำ แต่ไม่รักษาปัญจะศีลให้บริสุทธิ ยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยิงนกตกปลาเพื่อความสนุกสนาน เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่นอยู่เสมอๆ ยังลักโขมยคดโกงอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตนอยู่เนืองๆ ยังผิดลูกผิดเมียชาวบ้านเขาอยู่เป็นประจำ ยังโป้ปดมดเท็จ พูดส่อเสียดใส่ร้ายกันอยู่เรื่อยๆ ยังตั้งวงก๊งเหล้าทุกเช้าเย็น ต่อให้กราบใหว้พระพุทธรูปเช้าเย็นเป็นประจำ ชีวิตก็ไม่มีทางหลีกพ้นจากความทุกข์ ความเดือดเนื้อร้อนใจไปได้เลย
![]()
![]()
![]()
sleepless wrote:คนบาป wrote:คล้ายๆ จะบอกว่ากราบพระพุทธรูปแล้วจะช่วยให้เกิดสมาธิ
แต่การทำสมาธิหรือวิถีเข้าสู่สมาธิ ไม่มีเรื่องกราบพระพุทธรูปแล้วจะเกิดสมาธินะ
ปุถุชนอย่างเรามันยังตัดขาดจากสมมุติบัญญัติไม่ได้หรอกคุณแคน
เราเดินไปแล้วก้มลงกราบพระพุทธเจ้าโดยไม่มีพระพุทธรูปได้หรือยัง
สำหรับบางคน การกราบพระพุทธรูปในห้องพระที่บ้าน ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวัตรปฏิบัติเหมือนการเริ่มสูดลมหายใจจะเริ่มทำงานสักอย่าง
ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธรูปทำให้เกิดสมาธิ แต่ ถามกลับว่า เลิกกราบไหว้พระพุทธรูปแล้วทำให้เกิดสมาธิสว่างไสวกว่าได้อย่างนั้นหรือ? ก็ไม่
sleepless wrote:เช neverdie wrote:
อย่าเพิ่งหลงประเด็นครับ จะกราบใหว้หรือไม่กราบใหว้พระพุทธรูปหรือการทำพิธีกรรมต่างๆตามศาสนาอย่างที่ยึดถือกันมา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า บริจาคทาน รักษาศีลให้ถึงพร้อมหรือยัง เพราะถ้ายังกราบใหว้พระพุทธรูปเช้าค่ำ แต่ไม่รักษาปัญจะศีลให้บริสุทธิ ยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยิงนกตกปลาเพื่อความสนุกสนาน เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่นอยู่เสมอๆ ยังลักโขมยคดโกงอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตนอยู่เนืองๆ ยังผิดลูกผิดเมียชาวบ้านเขาอยู่เป็นประจำ ยังโป้ปดมดเท็จ พูดส่อเสียดใส่ร้ายกันอยู่เรื่อยๆ ยังตั้งวงก๊งเหล้าทุกเช้าเย็น ต่อให้กราบใหว้พระพุทธรูปเช้าเย็นเป็นประจำ ชีวิตก็ไม่มีทางหลีกพ้นจากความทุกข์ ความเดือดเนื้อร้อนใจไปได้เลย
![]()
![]()
![]()
ศึลของคุณ เช กับศีลของผมอาจจะไม่เหมือนกัน
ผมไม่ทราบว่าศีลของคุณ เช เป็นอย่างไร
แต่ศีลของผมคือ "ใจสงบ" ไม่สั่นไหว
การรักษาศีลคือการรักษาใจให้สงบ
การกราบพระพุทธรูป ระลึกถึงพระรัตนตรัย ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ใจสงบได้
งั้นผมถามกลับด้วยการใช้ตรรกะแบบโลกๆ เรานี่แหล่ะว่า การเลิกกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างที่พระเกษมสอน แต่ไม่รักษาศีล (ตามคำนิยามของคุณเชก็ได้) แล้วมันจะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ ความเดือดเนื้อร้อนใจได้อย่างไร?