MOU 43

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: MOU 43

Postby finder » Thu Aug 05, 2010 11:13 pm

แดง ขาว น้ำเงิน wrote:
finder wrote:
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:เฮ้อ ไทยปักปันกับลาวเสียดินแดนมั้ยครับ

ถ้าเสียทำไมไม่โวย

ถ้าไม่เสียก็เพราะการปักปันดำเนินไปตามระเบียบ

เขมรเหมือนกันเราเสียส่วนไหนไปแล้วชี้ชัดๆ สิครับ จาก MOU เนี่ย

ชี้มาเลยเราเสียส่วนไหนไปแล้วที่มันเป้นผลมาจาก MOU 43

เราเสียดินแดนเพราะการปักปันอันเป็นผลมาจาก MOU 2543 ตรงส่วนไหน

ชี้มาเลยครับที่เสียไปแล้วตรงไหน

จากคำตัดสินของศาลโลก ให้เขมรได้สิทธิ์ตัวปราสาท
แต่พื้นที่โดยรอบยังเป็นของไทยแม้แต่บันไดทางขึ้น ตามที่จอมพลสฤษดิ์เอารั้ว
ไปกั้นไว้ และไทยได้ขอสงวนสิทธิ์ตามกฎของศาลโลกว่าถ้าวันหนึ่งข้างหน้า
ไทยมีหลักฐานเพิ่มเติมก็จะขอนำมาใช้อ้างสิทธิ์ได้อีก

จากผลการยื่นของไทยดังกล่าว ทำให้ไทยยังสามารถอ้างสิทธิ์ในตัวปราสาทได้อีก เท่ากับว่า

ตัวปราสาทคือพื้นที่ทับซ้อนหรือจะเรียกพื้นที่พิพาทก็แล้วแต่

เพราะอ้างสิทธิ์โดยสองประเทศ ส่วนพื้นที่รอบๆเป็นของไทย100% ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนอื่นใดอีก แผ่นดินบริเวณนั้นก็เป็นของไทย เพราะศาลโลกไม่ได้รับรองแผนที่ของเขมร(1:200000) และ ไม่มีพื้นที่กันชนใดๆ(BUFFER ZONE)

ไทยจึงมีสิทธิ์เด็ดขาดในพื้นที่ดังกล่าว

ด้วยเหตุดังกล่าว หลังจากมีMOU2543แล้วและตามมาด้วยสนธิสัญญาต่างๆ โดยอ้างอิงMOUฉบับนี้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทำไมจึงมีพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆและพื้นที่พิพาทเพิ่มขึ้นมาได้ ถ้าไม่ใช่มีสาเหตุจากการไปทำสัญญากับเขมร โดยอ้างMOU2543ฉบับนี้เป็นต้นเรื่อง ถ้่าอ้างว่าเขมรรุกเข้ามาเอง ไทยเราย่อมมีสิทธิ์ขับไล่ออกไป ไม่เช่นนั้น ทำไมไทยต้องรบกับลาวที่บ้านร่มเกล้าทั้งๆที่เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันครับ
[b][color=#800000]ข้อความข้างต้นผมโพสท์ไว้ ไม่จริงตรงไหนไหมครับ ถ้าพูดเฉพาะตัวปราสาท เรายอมให้มันขึ้นทะเบียนได้ เราก็เสียดินแดนแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลยก็ได้ครับ


ผมถาม MOU 2543 ที่เกิดจากการปักปันครับ ที่ว่าจะเสีย 1.8 ล้านไร่ครับ เสียตรงไหนไปบ้างแล้ว

ส่วนเรื่องปราสาทพระวิหารไปอ่านมาใหม่นะครับ ผมขี้เกียจเถียงผิดประเด็น

เอาเฉพาะที่เกี่ยวกับ MOU นะครับ อย่าโยงไปมั่ว

การปักหมุดล่าสุด จนเป็นเรื่องที่ชาวบ้านเดือดร้อน คุณคงไม่ปฏิเสธว่า
ไม่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนนะครับ แล้วดูข่าวนี้

จาก http://www.komchadluek.net/detail/20100 ... B8%B3.html

[color=#800000][b]คมชัดลึก : ถึงแม้จะมีเอกสารชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับหมุดปริศนาที่เข้ามาโผล่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 73 หมุด รุกล้ำเข้ามาในเขตไทย 12.5 กิโลเมตร โดยกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธว่า หมุดนี้ไม่ใช่หมุดที่แบ่งอาณาเขตไทยกับกัมพูชา แต่เป็นหมุดขยายโครงข่ายจีพีเอส (GPS) ซึ่งหมุดดังกล่าวจะฝังไว้ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา ทว่าก็ยังเป็นข้อกังขาของชาวบ้านว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ภาครัฐจึงไม่สามารถให้คำตอบที่กระจ่างชัดแก่พวกเขา ?!!

"คม ชัด ลึก" ลงพื้นที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ เกี่ยวกับหมุดปริศนา โดยมุ่งหน้าไปที่บ้านภูมิชลอน จ.ศรีสะเกษ ที่ตั้งปราสาทเขาพระวิหาร มี กำลังทหารกองทัพภาคที่ 2 ตั้งด่านสกัดทางขึ้นปราสาทบริเวณผามออีแดงอย่างเคร่งครัด จากการตรวจสอบกับทหารและชาวบ้านภูมิชลอนได้รับคำตอบว่า ขณะนี้บริเวณปราสาทเขาพระวิหารและบริเวณรอบๆ รวมถึงบันไดทางขึ้น คนไทยไม่สามารถเข้าไปในบริเวณนี้ได้อีกต่อไป

ปัจจุบันมีกำลังทหารและชาวกัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่ดังกล่าว และระหว่างวันที่ 7-25 กรกฎาคมนี้ จะมีการฉลองชัยชนะที่ยูเนสโกตัดสินเรื่องการครอบครองปราสาทเขาพระวิหารให้ เป็นของกัมพูชาด้วย !?!

[color=#800000] ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาว บ้านในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านภูมิชลอนถูกผลักดันไม่ให้เข้าไปทำกินในพื้นที่รอบๆ ปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น แต่พื้นที่กว่า 750 กิโลเมตรตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา คนไทยชายขอบถูกผลักดันออกจากแนวสันปันน้ำ ซึ่งเป็นแนวชายแดนเดิมแทบทั้งหมด


"สิงห์สุวรรณภร สาครไพรสนณ์" เลขาธิการเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ เล่าว่า ราวเดือนสิงหาคม 2552 มีชาวบ้านพบหมุดปริศนาบริเวณสันเขื่อนห้วยเมฆา บ้านสายตรี 4 ใต้ หมู่ 7 ต.บึงเจริญ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ห่างจากแนวเขตเดิม 12.5 กิโลเมตร ชาวบ้านรู้สึกแปลกใจอย่างมาก เพราะหมุดดังกล่าวระบุว่าเป็นแนวเขตแบ่งดินแดนไทยและกัมพูชา ชาวบ้านพยายามตรวจสอบว่ามีหมุดลักษณะนี้ที่ไหนอีกหรือไม่ก็พบหมุดลักษณะดัง กล่าวอีกหลายจุด เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่พยายามตรวจสอบว่าหมุดเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร โดยตรวจสอบกับชาวบ้านประมาณปี 2550 มีเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหารเป็นผู้เอาหมุดดังกล่าวมาฝังไว้ ชาวบ้านสอบถามก็ได้รับคำตอบว่า เป็นภารกิจลับของทางการทหารจึงไม่ได้สนใจอะไร

ต่อมามีความผิดปกติเกิดขึ้น โดยปี 2552 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเริ่มผลักดันชาวบ้านไม่ให้เข้าไปหลังแนวหมุด พร้อมกับเพิ่มเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่นๆ ลงไปในพื้นที่ เช่น เจ้าหน้าที่ป่าไม้ กรมการปกครอง โดยเคร่งครัดกับคำสั่งข้างต้นมาก มีการจับกุมชาวบ้านที่เข้าไปทำมาหากินในพื้นที่ต้องห้าม ตรงกันข้ามกับชาวกัมพูชาที่เริ่มขยับเข้ามาปักหลักทำกินติดแนวชายแดนมากขึ้น สิงห์สุวรรณภรบอกว่า ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมีการล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทยตลอดแนวชายแดน 7 จังหวัด ตั้งแต่อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด

"เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่พยายามตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็ทราบ ว่า หมุดทั้งหมดที่โผล่มามีความเกี่ยวพันกับข้อสัญญาเอ็มโอยู (MOU) ปี 2543 ทั้งไทยกับกัมพูชามีข้อสัญญาใช้ชายแดนร่วมกัน แต่ทั้งสองประเทศถือแผนที่กันคนละฉบับ ถ้าใช้แผนที่ของกัมพูชาในสัญญา พื้นที่หลังแนวสันปันน้ำของไทยจะตกเป็นของกัมพูชา ดังนั้น เพื่อความสบายใจรัฐบาลจะต้องออกมายืนยันว่า หมุดเหล่านี้เป็นอะไรกันแน่ และจะมีผลสืบเนื่องอย่างไรหลังจากนี้ไป" สิงห์สุวรรณภรกล่าว

เลขาธิการเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่บอกว่า ข้อกังขาของชาวบ้านตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ยังไมได้รับคำตอบที่ชัดเจน และรัฐไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ในสิ่งที่ประชาชนสงสัย จะมีก็แต่เพียงหลังการเข้าไปสอบถามแต่ละครั้งทางทหารก็จะเข้ามาเปลี่ยนชื่อ หมุด เช่น หมุดที่ห้วยเมฆาครั้งแรกที่เจอระบุว่า เป็นเขตแดนไทย-กัมพูชา พอมีการทวงถามก็เปลี่ยนเป็นหมุดขยายโครงข่าย เมื่อเข้าไปถามซ้ำอีกว่าเป็นโครงข่ายอะไรก็ไม่ได้รับคำตอบ แถมยังมีการลบชื่อหมุดออก ไม่นานหมุดก็ถูกกลบด้วยยางมะตอยแทน

"บุญมี ศีลศิริ" ชาวบ้านภูมิชลอนวัย 45 ปี ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการหาของป่าขายมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ตั้งแต่มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน เขาและนายพรานคนอื่นๆ ไม่สามารถเข้าไปหาของป่าได้เหมือนอย่างเคย

บุญมีบอกว่า คนชายแดนอย่างเขาไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง และที่ดินที่ใช้ทำกินก็ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ จึงต้องอาศัยอยู่ตามป่าเขาตลอดแนวชายแดน หาเลี้ยงชีพด้วยการหาของป่าเล็กๆ น้อยๆ มาขาย แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขากับเพื่อนร่วมอาชีพไม่สามารถเข้าไปในป่าได้อีกต่อไป เจ้าหน้าที่ทหาร ป่าไม้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ สกัดกั้นไว้ทั้งหมด ที่ผ่านมามีชาวบ้านหลายคนฝ่าฝืนถูกจับดำเนินคดี เพราะไม่รู้จะทำมาหากินอะไร จึงเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน บางคนหนักถึงขั้นถูกจับในพื้นที่ของตัวเองด้วยซ้ำไป

"ใครทนอยู่ได้ก็อยู่ต่อไป ส่วนที่ทนไม่ไหวก็ออกนอกพื้นที่ไปหางานต่างถิ่นทำ" บุญมีกล่าวปลงๆ ถึงชีวิตที่เปลี่ยนไป

หนึ่งในคนที่ผันตัวเองจากแม่ค้าขายของริมบันไดทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร มาเป็นพนักงานบัญชีในตัวเมืองศรีสะเกษ คือ "สินิตรา" ชาวบ้านภูมิชลอนโดยกำเนิด ก่อนหน้านี้เธอกับครอบครัวค้าขายอยู่เชิงปราสาทเขาพระวิหาร แต่พอเกิดเรื่องพิพาทขึ้น เธอและแม่ค้าคนไทยถูกผลักดันออกจากพื้นที่ จึงต้องออกมาหางานทำเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนแทน

"ตอนนี้พวกเราเดือดร้อนมาก คนไม่มีความรู้ก็ออกมาเป็นกรรมกรรับจ้างแบกหามรายวัน ไม่สามารถเข้าไปทำมาหากินได้ตามปกติ" สินิตรากล่าวทิ้งท้าย

[b]เอามาทั้งหมดโดยไม่ตัดทอน ให้เห็นว่าเขาลงพื้นที่แล้ว หัวใจหลักของข่าวมันตรงกับที่ASTV เคยเสนอไป ดังนั้นกรุณาอย่ามาแถว่า อภิสิทธิ์ไม่ทำให้เสียดินแดน เค้าลางมันก็บอกอยู่แล้ว

[size=200]ไม่ว่าจะเอาหลักฐานมาจากไหน และหลักฐานจะบอกอย่างไร แต่ความจริงที่เกิดขึ้นณ.ขณะนี้คือ คนไทยที่ชายแดนด้านนี้ไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่เดิมที่ตนอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยถูกกีดกันจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่คนเขมรกลับสามารถเข้ามาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ของไทย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ยอมไล่ออกไป

นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตอบ
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: MOU 43

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Thu Aug 05, 2010 11:55 pm

นั่นเค้าปักปันแล้วเหรอครับ JBC ทำหรือเปล่า

แล้วหมุดนั่นเค้าก็ออกมาแก้แล้วนี่ครับ แถม อ.วีรพันธ์ยังไปพิสูจน์แล้ว

ผมไม่ได้ตัดตอนเช่นกัน และกรุณาอย่าใช้คำว่าแถกับผม ผมคุยด้วยเหตุผล ให้เกียรติทุกคน อย่าเสียมารยาทครับ และหัดรับฟังคนอื่นบ้าง

นักวิชาการไขความจริงหมุดGPSสันเขื่อนห้วยเมฆา

โดย : วีรพันธ์ มาไลยพันธ์
ติงพันธมิตรฯ-เครือ ข่ายทวงคืนแผ่นดินฯ หมุดเขื่อนห้วยเมฆาใช้ดาวเทียมตรวจสอบตาม"ทฤษฎีมุมสามเหลี่ยม" ห่างหลักแดน 6.5กม. ชี้ทหารอ่อนพีอาร์
เนื่อง จากปรากฏตามข่าววันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2553 ทาง ASTV รายการคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ความโดยสรุปว่า มีประชาชนพบหลักหมุด GPS ไทย-กัมพูชา ของกรมแผนที่ทหาร ติดตั้งอยู่ที่สันเขื่อนห้วยเมฆาจังหวัดบุรีรัมย์ ตามข่าวแจ้งว่าตำแหน่งล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทยห่างจากแนวเส้นเขตแดนปัจจุบัน ถึง 12.5 กิโลเมตร เมื่อประชาชนในท้องที่แสดงความไม่พอใจ และสงสัยต่อการปักหลักหมุดดังกล่าว ก็มีพฤติกรรมน่าสงสัยยิ่งขึ้น เช่น การขูดลบ- เปลี่ยนแก้ข้อความ และสุดท้ายก็มีการเทลาดทับด้วยยางมะตอยทำถนน

ชาวบ้านจึงนำเรื่องร้องเรียนต่อหลาย ฝ่ายจนความมาถึง ASTV และเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา ลักษณะว่าจะมีการแก้แนวเส้นเขตแดนรุกล้ำประเทศไทยเข้ามาเป็นแนวเส้นตรงตลอด แนวชายแดนอิสานใต้ ต่อเนื่องไปถึงชายฝั่งทะเลจังหวัดตราด สร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชนโดยทั่วไป

วันต่อมา(3 ก.ค.) ผมได้รับเชิญ ASTV ไปออกอากาศกรณีที่ผมได้ค้นพบหลักฐานใหม่เพื่อการต่อสู้แสดงสิทธิการเป็นเจ้า ของผู้ครอบครองบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ร่วมรายการกับประชาชนผู้พบหลักหมุดเขตข้างต้นชื่อ คุณปราโมทย์ หอยมุกข์ และต่างก็ได้ชี้แจงข้อมูลที่ต่างก็ได้ค้นพบแต่ละฝ่ายกันมาออกอากาศต่อสาธารณ ชน

ในระหว่างการนำเสนอผมรู้สึกแปลกใจ กรณีการเสนอข่าวพบหมุดดังกล่าวหลายหมุด มีแนวเส้นตรงตัดผ่านกลางหมู่บ้านชาวไทยในปัจจุบัน ซึ่งถ้ามีการจัดแนวเขตแดนขึ้นดังกล่าวย่อมจะเกิดความเดือดร้อนยิ่งและขัดต่อ แนวทางปฏิบัติที่จะยากเกิดขึ้นได้ แต่ในขณะออกอากาศผมก็ไม่อยู่ในสถานะจะคัดค้านท้วงติงตามความรู้สึกของสามัญ สำนึกโดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับในขณะนั้น

เมื่อกลับมาถึงบ้านจังหวัดกาญจนบุรี แล้ว ผมได้หาโอกาสติดต่อสอบถามข้อมูลเรื่องข้างต้นนี้กับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งผมบังเอิญได้รู้จักระหว่างงานประชุมกันเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหาร ได้รับข้อมูลเบื้องต้น มาดังนี้

1.หมุดหลักเขตที่พบในเขตไทยรวมทั้งที่ สันเขื่อนห้วยเมฆานั้น เป็นหลักประกอบการยืนยันแสดงตำแหน่งตัวหลักเขตตัวจริง ซึ่งอยู่บริเวณสันเขาหน้าผาชายแดนใน "ทฤษฎีกฏของสามเหลี่ยม" ทางเลขาคณิต ซึ่งจะใช้ตรวจค้นหาหลักเขตชายแดนได้ในกรณีถูกเคลื่อนย้ายตำแหน่งหรือสูญหาย โดยตรวจจับสัญญาณผ่านระบบดาวเทียมอิงอาศัยตำแหน่งกันและกัน หลักชุดนี้จึงอยู่ในเขตปลอดภัยฝั่งไทย

2.มีการชี้แจงต่อชาวบ้านมาบ้างแล้ว การชี้แจงยังไม่เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งระบบการชี้แจงยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อจำนวนประชากรที่มีผล กระทบ

3.ข้อความที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด คือ การบันทึกถาวรลงบนหัวหลักคอนกรีตว่า "เขตแดนไทย-กัมพูชา" ซึ่งย่อมสื่อความหมายต่อผู้พบเห็นตามสามัญสำนึกปกติว่า "ที่ตรงนี้คือแนวเขตแดนประเทศทั้งสองที่ปรากฏชื่อบนหลัก"

4.ฝ่ายทหารเริ่มตระหนักในข้อผิดพลาดข้อ ความหัวหลักดังกล่าว จึงได้ขูดลบแก้ไขแต่กลับปรากฏให้เกิดปฏิกิริยาทางลบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีพอ ยิงมีการกลบทับด้วยยางมะตอยทำถนนนั้น ตามข่าวฝ่ายทหารปฏิเสธการกระทำดังกล่าว และสันนิษฐานว่าเป็นกิจกรรมของหน่วยงานราชการอื่น ซึ่งเป็นการกระทำยิ่งให้เกิดความสงสัยในทางลบ เป็นพิรุธต่องานทางราชการหนักยิ่งขึ้นไปอีก ประกอบกับการขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีเพียงพออย่างต่อเนื่อง ทั้งในและนอกพื้นที่

5.ผมได้ชี้แจงข้อมูลนี้ต่อ ASTV ไปแล้ว และหวังในการแก้ไขชี้แจงข่าวดังกล่าวด้วย แต่แม้ว่าท่านนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแก้ไขข่าวด้วยตนเอง (ผมไม่ได้รับฟังการแถลงนี้ด้วยตนเอง เป็นแต่ได้รับข้อมูลถ่ายทอดมา) ประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ และยังหวาดระแวงภัยกันอยู่

6.ระยะทางจากสันเขื่อนห้วยเมฆาถึงแนว เขตแดนตามข่าวแจ้งไว้ว่ามีระยะทาง 12.5 กิโลเมตรนั้น ผมตรวจสอบพบว่าน่าจะความเข้าใจผิดด้วย เพราะระยะทางตามแผนที่ 1 ต่อ 50000 L.7018 มีระยะห่างประมาณ 6.5 กิโลเมตร ตามสำเนาแผนที่แนบมาพร้อมนี้

7.เพื่อแก้ไขป้องกันข้อผิดพลาดการ ปฏิบัติงานของกรมแผนที่ทหาร ด้านการใช้ภาษาราชการบันทึกลงหลักฐานทางการต่าง ๆ ตลอดจนระบบการชี้แจงประชาสัมพันธ์ต่อประชาชน โดยเฉพาะสื่อต่าง ๆ ควรจะมีการตรวจสอบป้องปรามโดยกรรมาธิการรัฐสภาฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

8. วันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ผมได้พยายามประสานงานกับหัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ปัญญา จารุศิริ โดยได้ส่งข้อมูลภาพถ่ายและแผนที่แสดงตำแหน่งที่พบเพื่อการตรวจสอบระบบการทำ งานเครือข่ายสามเหลี่ยม GPS ได้รับคำอธิบายทางโทรศัพท์ ความโดยสรุป ดังนี้ :-

8.1 การใช้หลักหมุดเพื่อการตรวจความถูกต้องของหลักเขตที่อยู่ตามแนวชายแดนนั้น ใช้หมุดตัวที่สาม สำหรับตรวจสอบตัวที่เป็นหลักชายแดนเป็นรูปสามเหลี่ยม จึงมีแนวหมุดอีกแนวหนึ่งอยู่ขนานแนวหลักเขตแดนตามแนวสันปันน้ำเป็นแนวหลัก หมุดสำหรับตรวจสอบอยู่ในฝั่งไทย ทางฝ่ายกัมพูชาถ้าต้องการตรวจสอบก็จะมีหมุดตรวจสอบอยู่ทางฝั่งเขาได้ใน ลักษณะเดียวกัน ทำให้ต่างก็จะสามารถตรวจสอบหมุดหลักเขตตัวที่ใช้เป็นเขตแดนได้
8.2 ชาวกัมพูชาสามารถฟังภาษาไทยและอ่านอักษรไทยได้ ถ้าพบเห็นข้อความในหมุดระบุว่า "เขตแดนไทย-กัมพูชา" ก็ย่อมเข้าใจเช่นเดียวกับคนไทยว่า "ที่นี่คือเขตแดน......” และยึดถือรุกล้ำพื้นที่ด้วยความเข้าใจผิดได้
8.3 การใช้ระบบใหม่ที่ชาวบ้านยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ระบบงานเทคโนโลยีชนิดใหม่ ๆ ควรจะต้องใช้อักษร-ภาษาโดยความรอบคอบป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อน
8.4 สำหรับหลักหมุดชุดนี้ได้ร่วมกันพิจารณาอักษรถ้อยคำบันทึกบนหัวหมุดร่วมกับผม แล้ว น่าจะใช้คำว่า "หมุดตรวจสอบ" ประกอบการชี้แจงให้เป็นที่เข้าใจต่อสาธารณชน
8.5 ศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ที่ประกาศใช้ในงานแผนที่นั้น ควรมีการตรวจสอบพิจารณาถึงความหมายของคำโดยรอบคอบอีกด้วย

9. เพื่อช่วยมิให้เกิดความเข้าใจอคติต่อบางหน่วยงานของรัฐที่ประชาชนเคยมี สะสมมาแต่เดิม และรับฟังได้ด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้น ผมและอาจารย์ปัญญา ในสถานภาพนักวิชาการที่เกี่ยวข้องยินดีไปให้คำอธิบายต่อสื่อต่าง ๆ หรืออาจจะให้ทางสื่อโทรศัพท์มาสัมภาษณ์ก็เป็นไปได้ ซึ่งจะทำความเข้าใจในการดำเนินงานของรัฐต่อประชาชนได้ชัดเจนขึ้น และน่าจะทำให้ลดความหวาดระแวงลงในที่สุด

ทั้งนี้ กรมศิลปากรเคยใช้วิธีนี้ได้ผลดีมาก่อนหน้าแล้ว สามารถแก้ปัญหากรณีราษฎรไม่เชื่อในกิจกรรมข้าราชการ เช่น กรณีพระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี หรือกรณีวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ เป็นต้น โดยจัดสัมนาในท้องที่และให้มีนักวิชาการที่เชื่อถือร่วมสัมมนา

วีรพันธ์ มาไลยพันธ์
อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
7 กรกฎาคม 2553



อะแถมอีกข่าว

กมธ.ต่างประเทศยันไทยไม่เสียดินแดนให้กัมพูชา

ASTVผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ASTVผู้ จัดการรายวัน - กมธ.ต่างประเทศ สภาฯ ยัน ไทยยังไม่เสียดินแดน ชี้ มีคนเข้าใจผิด เผยกรมแผนที่ทหารได้แก้ไขชื่อเป็น "หมุดขยายโครงข่าย GPS" กต.อ้างหลักหมุดจีพีเอส แตกต่างหลักหมุดเขตแดนไทย - กัมพูชา โดยสิ้นเชิง
วาน นี้ (7 ก.ค.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก โฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้แทนจากกรมแผนที่ทหาร กระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติชี้แจงกรณีที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขตปักปันเขต แดนไทย - กัมพูชา ว่าทางกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้แทนจากกรมแผนที่ทหาร ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติเข้าชี้แจงและได้ข้อสรุปว่า ขณะนี้ยังไม่มีการสูญเสียดินแดนของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ามีการเคลื่อนหลักเขตแดน ซึ่งระบุว่าเป็นเขตแดนไทย - กัมพูชา แต่เป็นเพียงการเข้าใจผิดซึ่งกรมแผนที่ทหารได้แก้ไขชื่อแล้วตั้งแต่เมื่อวัน ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นหมุดขยายโครงข่าย ซึ่งเป็นแผ่นซีเมนต์ขนาด 1 ฟุต เพี่อใช้เป็นจุดเชื่อมโยงสัญญาณจีพีเอสเท่านั้น
อย่างไรก็ ตาม ทางกรรมาธิการฯ ต้องการให้ประชาชนทำความเข้าใจและแยกแยะระหว่างหลักเขตแดน กับหมุดขยายโครงข่ายว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย-กัมพูชา และขอย้ำว่ายังไม่มีการปักปันแดนใหม่แต่อย่างใด
ขณะที่กระทรวง การต่างประเทศได้ชี้แจ้งกรณีข่าวการเคลื่อนย้ายหมุดหลักฐานของกรมแผนที่ทหาร ที่หัวเขื่อนห้วยเมฆา อ.บ้านกรวดจ.บุรีรัมย์ ระบุว่า ตามที่มีข่าวว่าได้มีการค้นพบหมุดหลักฐาน หรือที่มีการเข้าใจว่าเป็น "หมุดปักพรมแดน" ที่บริเวณสันเขื่อนห้วยเมฆาอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในดินแดนไทยประมาณ 12 กิโลเมตรครึ่ง และอาจทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของหมุดหลัก ฐานดังกล่าว และสถานะล่าสุดของการดำเนินงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ดังนี้
1. หมุดหลักฐานดังกล่าว ไม่ใช่หลักเขตแดนที่แสดงแนวแบ่งเขตระหว่างไทย - กัมพูชา แต่เป็นหมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ที่ใช้งานทางเทคนิค ซึ่งกรมแผนที่ทหารสร้างขึ้นเมื่อ 11 มิถุนายน 2550 เพื่อใช้เป็นหมุดขยายโครงข่าย GPS สำหรับเป็นค่าพิกัดอ้างอิงในการถ่ายทอดค่าพิกัดให้แก่หลักเขตแดนไทย - กัมพูชา หมายเลข 25 และ 26 โดยหมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ดังกล่าวสร้างในฝั่งไทย 1 หมุด สร้างในฝั่งกัมพูชา 1 หมุด และอยู่ห่างจากแนวเขตแดนประมาณ 7 - 8 กิโลเมตรสาเหตุที่ใช้ข้อความว่า "เขตแดนไทย - กัมพูชา" นั้น ในทางเทคนิคมีจุดประสงค์เพื่อต้องการสื่อความหมายว่าหมุดนี้เป็นหมุดขยาย โครงข่ายGPS ในงานเขตแดนไทย - กัมพูชา ทั้งนี้เพราะว่าที่หมุดดังกล่าวจะมีหมุดทองเหลืองฝังอยู่ตรงกลางซึ่งมีข้อ ความว่า GPS กรมแผนที่ทหารอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อมิให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเข้าใจผิดว่าจุดนี้เป็นแนว เขตแดนไทย - กัมพูชา กรมแผนที่ทหาร จึงได้ดำเนินการเปลี่ยนข้อความบนหมุดดังกล่าวจากเขตแดนไทย - กัมพูชา เป็น "หมุดขยายโครงข่าย" เมื่อกันยายน 2552 ซึ่งในวันที่ 22 มกราคม 2553 และ20 มิถุนายน 2553 กรมแผนที่ทหารได้ชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนและส่วนราชการใน พื้นที่ทราบว่า หมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ไม่ใช่หลักเขตแดนไทย - กัมพูชา แต่อย่างใด
2. การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนด้านไทย - ลาว และไทย มาเลเซีย ก็ได้มีการสร้างหมุดหลักฐานขยายโครงข่าย GPS เพื่อใช้เป็นค่าพิกัดอ้างอิงเช่นเดียวกัน
3. หมุดหลักฐานขยายโครงข่าย GPS มีขนาดประมาณ 30 x 30 เซนติเมตร จะสร้างเสมอพื้นดิน ซึ่งมีขนาด รูปร่าง และลักษณะการสร้างที่แตกต่างจากหลักเขตแดนไทย - กัมพูชา โดยสิ้นเชิง ซึ่งมีขนาด40 x 40 เซนติเมตร สูงเหนือพื้นดินประมาณ 1 เมตร ตามรูปภาพที่แสดงให้เห็นข้างล่างนี้ อนึ่ง หากเป็นหลักเขตแดนซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงสร้างขึ้นมา ฝ่ายไทยย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแต่ฝ่ายเดียวได้
4. การดำเนินงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาดำเนินการไปตามข้อกำหนด อำนาจหน้าที่และแผนแม่บทในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา (Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary : TOR) ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 2546 ซึ่งได้กำหนดขั้นตอนต่างๆ สำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันเป็น5 ขั้นตอน ดังนี้
1) การค้นหาที่ตั้งและสภาพของหลักเขตแดนเดิม 73 หลัก รวมถึงการซ่อมแซมหลักเขตแดนเดิม 2) การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ(Orthophoto Maps) มาตราส่วน 1/25,000 ตลอดแนวเขตแดน 3) การลากแนวที่จะเดินสำรวจบนแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 4) การตรวจสอบภูมิประเทศ 5) การปักหลักเขตแดน
5. ปัจจุบัน งานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย - กัมพูชา รวมทั้งการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา 3 ครั้งที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการในขั้นตอนที่ 1 เท่านั้น กล่าวคือ การค้นหาที่ตั้งของหลักเขตแดนเดิม 73 หลัก จึงมิได้มีการขยับหลักเขตแดนตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด การที่จะทราบว่าตำแหน่งหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาทั้งหมดจะอยู่ที่ใด อย่างแน่นอนนั้น จะต้องรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา ดำเนินการครบ 5 ขั้นตอนก่อน
6. เมื่อครบ 5 ขั้นตอนแล้ว ผลงานของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ก็ยังไม่มีผลผูกพันประเทศทั้งสอง เจ้าหน้าที่ต้องนำผลการสำรวจปักหลักเขตแดนเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณานำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ต่อไป เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว รัฐบาลไทยจะต้องให้สัตยาบันข้อตกลงดังกล่าวเป็นทางการ การสำรวจและปักหลักเขตแดนจึงมีผลทางกฎหมาย
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: MOU 43

Postby SpeedDeVa » Fri Aug 06, 2010 12:05 am

แดง ขาว น้ำเงิน wrote:นั่นเค้าปักปันแล้วเหรอครับ JBC ทำหรือเปล่า

แล้วหมุดนั่นเค้าก็ออกมาแก้แล้วนี่ครับ แถม อ.อะไรนะผมจำไม่ได้ยังบอกเข้าใจผิดอีกต่างหาก


1909 มีการปักหลักไม้ไปแล้วรอบนึง หลังจากนั้นหลายปีจึงเปลี่ยนเป็นหลักปูน เพราะมันผุ เรื่องหลักสกัดนั่น ที่ อ วีรพันธ์ มาลัยพันธ์ ผมก็อ่านแล้ว มันก็เลยเกิดคำถามว่า มีการย้ายหลักเมื่อปี 1909 รึเปล่า ถ้าย้าย ย้ายบนพื้นฐานของอะไร
User avatar
SpeedDeVa
 
Posts: 1126
Joined: Sat Jul 31, 2010 6:54 am

Re: MOU 43

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Fri Aug 06, 2010 12:09 am

SpeedDeVa wrote:
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:นั่นเค้าปักปันแล้วเหรอครับ JBC ทำหรือเปล่า

แล้วหมุดนั่นเค้าก็ออกมาแก้แล้วนี่ครับ แถม อ.อะไรนะผมจำไม่ได้ยังบอกเข้าใจผิดอีกต่างหาก


1909 มีการปักหลักไม้ไปแล้วรอบนึง หลังจากนั้นหลายปีจึงเปลี่ยนเป็นหลักปูน เพราะมันผุ เรื่องหลักสกัดนั่น ที่ อ วีรพันธ์ มาลัยพันธ์ ผมก็อ่านแล้ว มันก็เลยเกิดคำถามว่า มีการย้ายหลักเมื่อปี 1909 รึเปล่า ถ้าย้าย ย้ายบนพื้นฐานของอะไร


ถามใครดีครับ ปี 1909
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: MOU 43

Postby finder » Fri Aug 06, 2010 12:57 am

แดง ขาว น้ำเงิน wrote:นั่นเค้าปักปันแล้วเหรอครับ JBC ทำหรือเปล่า

แล้วหมุดนั่นเค้าก็ออกมาแก้แล้วนี่ครับ แถม อ.วีรพันธ์ยังไปพิสูจน์แล้ว

ผมไม่ได้ตัดตอนเช่นกัน และกรุณาอย่าใช้คำว่าแถกับผม ผมคุยด้วยเหตุผล ให้เกียรติทุกคน อย่าเสียมารยาทครับ และหัดรับฟังคนอื่นบ้าง

นักวิชาการไขความจริงหมุดGPSสันเขื่อนห้วยเมฆา

โดย : วีรพันธ์ มาไลยพันธ์
ติงพันธมิตรฯ-เครือ ข่ายทวงคืนแผ่นดินฯ หมุดเขื่อนห้วยเมฆาใช้ดาวเทียมตรวจสอบตาม"ทฤษฎีมุมสามเหลี่ยม" ห่างหลักแดน 6.5กม. ชี้ทหารอ่อนพีอาร์
....
.....
....

9. เพื่อช่วยมิให้เกิดความเข้าใจอคติต่อบางหน่วยงานของรัฐที่ประชาชนเคยมี สะสมมาแต่เดิม และรับฟังได้ด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้น ผมและอาจารย์ปัญญา ในสถานภาพนักวิชาการที่เกี่ยวข้องยินดีไปให้คำอธิบายต่อสื่อต่าง ๆ หรืออาจจะให้ทางสื่อโทรศัพท์มาสัมภาษณ์ก็เป็นไปได้ ซึ่งจะทำความเข้าใจในการดำเนินงานของรัฐต่อประชาชนได้ชัดเจนขึ้น และน่าจะทำให้ลดความหวาดระแวงลงในที่สุด

ทั้งนี้ กรมศิลปากรเคยใช้วิธีนี้ได้ผลดีมาก่อนหน้าแล้ว สามารถแก้ปัญหากรณีราษฎรไม่เชื่อในกิจกรรมข้าราชการ เช่น กรณีพระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี หรือกรณีวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ เป็นต้น โดยจัดสัมนาในท้องที่และให้มีนักวิชาการที่เชื่อถือร่วมสัมมนา

วีรพันธ์ มาไลยพันธ์
อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
7 กรกฎาคม 2553


เรื่องนี้ ผมแย้งไปหลายครั้งจนคุณMOONรำคาญผมแล้วครับ ไปถามเขาก็ได้

ติงพันธมิตรฯ-เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินฯ หมุดเขื่อนห้วยเมฆาใช้ดาวเทียมตรวจสอบตาม
"ทฤษฎีมุมสามเหลี่ยม" ห่างหลักแดน 6.5กม. ชี้ทหารอ่อนพีอาร์



เมื่อกลับมาถึงบ้านจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ผมได้หาโอกาสติดต่อสอบถามข้อมูลเรื่องข้างต้นนี้กับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งผมบังเอิญได้รู้จักระหว่างงานประชุมกันเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหาร ได้รับข้อมูลเบื้องต้น มาดังนี้

จากย่อหน้านี้ก็ชี้แล้วว่า อาจารย์ท่านนี้รับข้อมูลมาจากคนอื่นอีกที ท่านเองมิได้ลงพื้นที่ การเอาคำพูดที่ท่านได้มาจากคนอื่น มันเชื่อได้แค่ไหนครับ ถ้าท่านลงพื้นที่พิสูจน์เอง ผมก็ให้เครดิตท่านได้ครับ
ย่อหน้าข้างล่างก็ยังยืนยันคำพูดของผม


8. วันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ผมได้พยายามประสานงานกับหัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ปัญญา จารุศิริ โดยได้ส่งข้อมูลภาพถ่ายและแผนที่แสดงตำแหน่งที่พบเพื่อการตรวจสอบระบบการทำงานเครือข่ายสามเหลี่ยม GPS ได้รับคำอธิบายทางโทรศัพท์ ความโดยสรุป ดังนี้ :-

8.1 การใช้หลักหมุดเพื่อการตรวจความถูกต้องของหลักเขตที่อยู่ตามแนวชายแดนนั้น ใช้หมุดตัวที่สาม สำหรับตรวจสอบตัวที่เป็นหลักชายแดนเป็นรูปสามเหลี่ยม จึงมีแนวหมุดอีกแนวหนึ่งอยู่ขนานแนวหลักเขตแดนตามแนวสันปันน้ำเป็นแนวหลักหมุดสำหรับตรวจสอบอยู่ในฝั่งไทย ทางฝ่ายกัมพูชาถ้าต้องการตรวจสอบก็จะมีหมุดตรวจสอบอยู่ทางฝั่งเขาได้ในลักษณะเดียวกัน ทำให้ต่างก็จะสามารถตรวจสอบหมุดหลักเขตตัวที่ใช้เป็นเขตแดนได้


วีรพันธ์ มาไลยพันธ์
อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
7 กรกฎาคม 2553

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 07/341736/นักวิชาการไขความจริงหมุดGPSสันเขื่อนห้วยเมฆา.html

[/quote]

อะแถมอีกข่าว

กมธ.ต่างประเทศยันไทยไม่เสียดินแดนให้กัมพูชา

ASTVผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ASTVผู้ จัดการรายวัน - กมธ.ต่างประเทศ สภาฯ ยัน ไทยยังไม่เสียดินแดน ชี้ มีคนเข้าใจผิด เผยกรมแผนที่ทหารได้แก้ไขชื่อเป็น "หมุดขยายโครงข่าย GPS" กต.อ้างหลักหมุดจีพีเอส แตกต่างหลักหมุดเขตแดนไทย - กัมพูชา โดยสิ้นเชิง
วาน นี้ (7 ก.ค.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก โฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้แทนจากกรมแผนที่ทหาร กระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติชี้แจงกรณีที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขตปักปันเขต แดนไทย - กัมพูชา ว่าทางกรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้แทนจากกรมแผนที่ทหาร ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติเข้าชี้แจงและได้ข้อสรุปว่า ขณะนี้ยังไม่มีการสูญเสียดินแดนของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ามีการเคลื่อนหลักเขตแดน ซึ่งระบุว่าเป็นเขตแดนไทย - กัมพูชา แต่เป็นเพียงการเข้าใจผิดซึ่งกรมแผนที่ทหารได้แก้ไขชื่อแล้วตั้งแต่เมื่อวัน ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นหมุดขยายโครงข่าย ซึ่งเป็นแผ่นซีเมนต์ขนาด 1 ฟุต เพี่อใช้เป็นจุดเชื่อมโยงสัญญาณจีพีเอสเท่านั้น
นี่ก็ฟังหน่วยงานที่เป็นผู้ทำเรื่องเหล่านี้ ไม่ได้ลงไปดู เหมือนอาจารย์ข้างบน
อย่างไรก็ ตาม ทางกรรมาธิการฯ ต้องการให้ประชาชนทำความเข้าใจและแยกแยะระหว่างหลักเขตแดน กับหมุดขยายโครงข่ายว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย-กัมพูชา และขอย้ำว่ายังไม่มีการปักปันแดนใหม่แต่อย่างใด
ขณะที่กระทรวง การต่างประเทศได้ชี้แจ้งกรณีข่าวการเคลื่อนย้ายหมุดหลักฐานของกรมแผนที่ทหาร ที่หัวเขื่อนห้วยเมฆา อ.บ้านกรวดจ.บุรีรัมย์ ระบุว่า ตามที่มีข่าวว่าได้มีการค้นพบหมุดหลักฐาน หรือที่มีการเข้าใจว่าเป็น "หมุดปักพรมแดน" ที่บริเวณสันเขื่อนห้วยเมฆาอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในดินแดนไทยประมาณ 12 กิโลเมตรครึ่ง และอาจทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของหมุดหลัก ฐานดังกล่าว และสถานะล่าสุดของการดำเนินงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ดังนี้

1. หมุดหลักฐานดังกล่าว ไม่ใช่หลักเขตแดนที่แสดงแนวแบ่งเขตระหว่างไทย - กัมพูชา แต่เป็นหมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ที่ใช้งานทางเทคนิค ซึ่งกรมแผนที่ทหารสร้างขึ้นเมื่อ 11 มิถุนายน 2550 เพื่อใช้เป็นหมุดขยายโครงข่าย GPS สำหรับเป็นค่าพิกัดอ้างอิงในการถ่ายทอดค่าพิกัดให้แก่หลักเขตแดนไทย - กัมพูชา หมายเลข 25 และ 26 โดยหมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ดังกล่าวสร้างในฝั่งไทย 1 หมุด สร้างในฝั่งกัมพูชา 1 หมุด และอยู่ห่างจากแนวเขตแดนประมาณ 7 - 8 กิโลเมตร
ผมก็เคยแย้งไปแล้วว่า เมื่อยังไม่รู้ว่าเขตแดนอยู่ที่ใดแน่นอน คุณรู้ได้ไงว่าหมุดนี้จะอยู่ห่างจากชายแดนเท่าใด มันอาจไม่ใช่7-8กิโลก็ได้ และทำไมต้องไล่คนไทยมาอยู่หลังแนวหมุด แล้วให้เขมรเข้ามาอยู่แทนได้ เรื่องนี้ผมแย้งกับคุณกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว และจบไปแล้ว ไปถามคุณกระป๋องสิครับ

สาเหตุที่ใช้ข้อความว่า "เขตแดนไทย - กัมพูชา" นั้น ในทางเทคนิคมีจุดประสงค์เพื่อต้องการสื่อความหมายว่าหมุดนี้เป็นหมุดขยาย โครงข่ายGPS ในงานเขตแดนไทย - กัมพูชา ทั้งนี้เพราะว่าที่หมุดดังกล่าวจะมีหมุดทองเหลืองฝังอยู่ตรงกลางซึ่งมีข้อ ความว่า GPS กรมแผนที่ทหารอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อมิให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเข้าใจผิดว่าจุดนี้เป็นแนว เขตแดนไทย - กัมพูชา กรมแผนที่ทหาร จึงได้ดำเนินการเปลี่ยนข้อความบนหมุดดังกล่าวจากเขตแดนไทย - กัมพูชา เป็น "หมุดขยายโครงข่าย" เมื่อกันยายน 2552 ซึ่งในวันที่ 22 มกราคม 2553 และ20 มิถุนายน 2553 กรมแผนที่ทหารได้ชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนและส่วนราชการใน พื้นที่ทราบว่า หมุดหลักฐานดาวเทียม GPS ไม่ใช่หลักเขตแดนไทย - กัมพูชา แต่อย่างใด
2. การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนด้านไทย - ลาว และไทย มาเลเซีย ก็ได้มีการสร้างหมุดหลักฐานขยายโครงข่าย GPS เพื่อใช้เป็นค่าพิกัดอ้างอิงเช่นเดียวกัน
เขตแดนเหล่านี้ ไม่มีข้อพิพาทแย่งชิงกันรุนแรง จึงอย่านำมาอ้าง เพราะเงื่อนไขไม่เหมือนกัน


[/quote]
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: MOU 43

Postby แดง ขาว น้ำเงิน » Fri Aug 06, 2010 1:37 am

"เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่พยายามตรวจสอบ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็ทราบ ว่า หมุดทั้งหมดที่โผล่มามีความเกี่ยวพันกับข้อสัญญาเอ็มโอยู (MOU) ปี 2543 ทั้งไทยกับกัมพูชามีข้อสัญญาใช้ชายแดนร่วมกัน แต่ทั้งสองประเทศถือแผนที่กันคนละฉบับ ถ้าใช้แผนที่ของกัมพูชาในสัญญา พื้นที่หลังแนวสันปันน้ำของไทยจะตกเป็นของกัมพูชา ดังนั้น เพื่อความสบายใจรัฐบาลจะต้องออกมายืนยันว่า หมุดเหล่านี้เป็นอะไรกันแน่ และจะมีผลสืบเนื่องอย่างไรหลังจากนี้ไป" สิงห์สุวรรณภรกล่าว
----------------------------------------------------------------------
แม่ทัพภาค 2 ก็ออกมาอธิบายแล้วว่า หมุดหลักดังกล่าวเป็นหมุดหลักโครงข่ายจีพีเอส ที่ทางคณะกรรมการปักปันเขตแดน กรมแผนที่ทหาร ได้ทำการปักขึ้น ซึ่งก็จะมีทั้งในฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทยจะมีอยู่ 2 แห่ง คือที่จังหวัดสระแก้ว ส่วนฝ่ายกัมพูชาก็จะอยู่ที่ปันเตียเมียงเจย และอีกแห่งของไทยอยู่ที่สันเขื่อนเมฆา อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ส่วนฝ่ายกัมพูชาจะอยู่ที่บ้านนำปึน คิดว่าที่จังหวัดสระแก้วมีจริงหรือไม่ ที่ปันเตียเมียงเจยมีจริงหรือไม่ และที่บ้านน้ำปึนมีจริงตามที่แม่ทัพภาค 2 บอกหรือไม่ ถ้ามีจริงก็เชื่อในข้อมูลแม่ทัพภาค 2 ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเพื่อความสบายใจให้ออกมาชี้แจง เค้าก็ออกมาชีแจงแล้วครับ



โอ้โหขนาดอดีตคณบดียังไม่น่าเชื่อเอ้าไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ

อื้มไม่ฟังหน่วยงานที่ทำเรื่องนั้นอีก เอ้าไม่ฟังก้ไม่ฟังครับ

แล้วตกลง 6.5 กิโล หรือ 12.5 กิโลละครับ ช่วยฟันธงหน่อย ตกลงจะใช้แผนที่หรือป้ายบอกทางตามถนนครับ

Image

แล้วผมถามการเสียดินแดนที่เกิดจาก JBC อันเป็นผลมาจาก MOU 2543 ครับ เกิดรึยัง ตรงไหน ชี้ชัดๆ ไม่ใช่ชาวบ้านเข้าตรงนั้นไม่ได้

ตรงนั้นผมเข้าใจในความเป็นห่วงผมก็ห่วง และเห็นด้วยที่จะจี้รัฐบาลเรื่องนี้

แต่นั่นไม่ใช่การเสียดินแดน เพราะยังไม่ได้ปักปันครับ

ผมจะถือว่าไทยเสียดินแดนเมื่อมีการปักปันแล้วเขมรได้พื้นที่ของไทยเข้ามานั่นละผมถึงเรียกว่าเสียดินแดน


ส่วนเรื่องลาวเนี่ยก็ใครละครับเอาเอกสาร กต. ที่กล่าวถึงการปักปันกับลาว เมื่อปี 2547 ออกมาพูด

ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวแล้วเอามาพูดทำไมครับ

ถ้าอย่างนั้นก็ฝากถามด้วยว่าใช่แผนที่ตัวนี้มั้ย

แผนที่ไทย-ฝรั่งเศส ฉบับที่ 5 ที่แลกเปลี่ยนยกดินแดนเสียมเรียบพระตะบอง และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส

แล้วแลก “จันทบุรี ตราด และด่านซ้าย (เลย)” กลับคืนมา

ถ้าใช่ ก็แสดงว่าแผนที่ฉบับนี้ก็อ้างอิงเส้นเขตแดนตามสัญญาโดยใช้ "สันปันน้ำ" นะครับ
"ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่ ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส" เพลโต้
User avatar
แดง ขาว น้ำเงิน
Moderator
 
Posts: 4943
Joined: Thu Feb 12, 2009 4:07 pm
Location: Earth

Re: MOU 43

Postby 55555 » Fri Aug 06, 2010 9:09 am

SpeedDeVa wrote:
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:นั่นเค้าปักปันแล้วเหรอครับ JBC ทำหรือเปล่า

แล้วหมุดนั่นเค้าก็ออกมาแก้แล้วนี่ครับ แถม อ.อะไรนะผมจำไม่ได้ยังบอกเข้าใจผิดอีกต่างหาก


1909 มีการปักหลักไม้ไปแล้วรอบนึง หลังจากนั้นหลายปีจึงเปลี่ยนเป็นหลักปูน เพราะมันผุ เรื่องหลักสกัดนั่น ที่ อ วีรพันธ์ มาลัยพันธ์ ผมก็อ่านแล้ว มันก็เลยเกิดคำถามว่า มีการย้ายหลักเมื่อปี 1909 รึเปล่า ถ้าย้าย ย้ายบนพื้นฐานของอะไร


ทั้งหมดกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ ปี 43 ครับ.....
55555
 
Posts: 5131
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:29 am

Re: MOU 43

Postby 55555 » Fri Aug 06, 2010 9:16 am

finder wrote:
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:
เป็นเอกสารที่เชื่อกันว่าเผยแพร่ในวงจำกัดของกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกันยายน 2547


แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ MOU ครับ ขนาดคนเอาเปิดเผยยังเชื่อว่าอยู่ในวงจำกัด แล้วมันจะรับรองแผนที่ได้อย่างไร รับรองแผนที่กับใคร เนื่องจากอะไร

ผมอยากอ่านเต็มเอามาให้ผมอ่านหน่อยได้ไหม ผมอาจจะตีความต่างจากคุณคำนูณก็ได้ เอกสารจำกัดภายในอาจจะเป็นแค่ความคิดเห็นเท่านั้น ยังไม่ใช่การรับรอง

ถ้าหาไม่ได้ผมก็ถือว่าหลักฐานชิ้นนี้ตกไป ไม่รับพิจารณาครับ :D


ผมแปะลิ้งค์ให้คุณแล้วทั้งวิทยุและวีดีโอ แต่คุณคงยังไม่ได้ฟัง

หนังสือที่ทำปี2547 พูดว่าแผนที่1:200000นี้ทำโดยบาร์กแนร์ (คนที่ทำแผนที่เจ้าปัญหานี่แหละ)
เท่ากับยอมรับว่้าเป็นฉบับเดียวกับที่เขมรเอามาอ้าง (ระหว่างไทย-ลาว จึงมิใช่ทำขึ้นใหม่
แต่ก็เป็นฉบับเดียวกับเขมรนั่นเอง)

เอกสาร ตีตราลับ ครับ ถ้าใครๆก็มี คนแจกคงซวย อยากรู้ก็ไปคลิกฟัง สละเวลา15นาทีเท่านั้น



ประเด็นคือ ...ถ้ามันมีการรับรองแนวเขตอย่างเป็นทางการ หรือการกำหนดเขตสิ้นสุดลงแล้ว......ทำไมยังเป็นเอกสารลับอยู่ครับ...

มันเป็นเรื่องข้อตกลงระหว่างประเทศ...กรณีอย่างนี้ มันต้องประกาศเขตแดนกันแล้วสิครับ...

ก็เหมือนกับที่ MOU ต่าง ๆ .....
55555
 
Posts: 5131
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:29 am

Re: MOU 43

Postby SpeedDeVa » Fri Aug 06, 2010 9:40 am

โอ้โหขนาดอดีตคณบดียังไม่น่าเชื่อเอ้าไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ

อื้มไม่ฟังหน่วยงานที่ทำเรื่องนั้นอีก เอ้าไม่ฟังก้ไม่ฟังครับ

แล้วตกลง 6.5 กิโล หรือ 12.5 กิโลละครับ ช่วยฟันธงหน่อย ตกลงจะใช้แผนที่หรือป้ายบอกทางตามถนนครับ

Image

แล้วผมถามการเสียดินแดนที่เกิดจาก JBC อันเป็นผลมาจาก MOU 2543 ครับ เกิดรึยัง ตรงไหน ชี้ชัดๆ ไม่ใช่ชาวบ้านเข้าตรงนั้นไม่ได้

ตรงนั้นผมเข้าใจในความเป็นห่วงผมก็ห่วง และเห็นด้วยที่จะจี้รัฐบาลเรื่องนี้

แต่นั่นไม่ใช่การเสียดินแดน เพราะยังไม่ได้ปักปันครับ

ผมจะถือว่าไทยเสียดินแดนเมื่อมีการปักปันแล้วเขมรได้พื้นที่ของไทยเข้ามานั่นละผมถึงเรียกว่าเสียดินแดน


ส่วนเรื่องลาวเนี่ยก็ใครละครับเอาเอกสาร กต. ที่กล่าวถึงการปักปันกับลาว เมื่อปี 2547 ออกมาพูด

ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวแล้วเอามาพูดทำไมครับ

ถ้าอย่างนั้นก็ฝากถามด้วยว่าใช่แผนที่ตัวนี้มั้ย

แผนที่ไทย-ฝรั่งเศส ฉบับที่ 5 ที่แลกเปลี่ยนยกดินแดนเสียมเรียบพระตะบอง และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส

แล้วแลก “จันทบุรี ตราด และด่านซ้าย (เลย)” กลับคืนมา

ถ้าใช่ ก็แสดงว่าแผนที่ฉบับนี้ก็อ้างอิงเส้นเขตแดนตามสัญญาโดยใช้ "สันปันน้ำ" นะครับ


ทีละข้อช้าๆนะครับ

-เรื่องหลักหมุดอ้างอิงผมเชื่อตามนั้นครับ เพราะโดยหลักการของหมุดอ้างอิงคือป้องกันการย้ายหมุดจริงโดยฝ่ายตรงข้าม จะเข้ามากี่ กม อันนั้นก็แล้วแต่ระเบียบการทำละครับ หรือมันหายไปเพราะอะไรก็แล้วแต่ จะได้ระบุตำแหน่งเดิมได้ ส่วนประเด็นที่ผมเป็นห่วงจริงก็คือการจัดทำหมุดที่ว่า "มันอยู่บนพื้นฐานของแผนที่ฝรั่งเศส(1:200000)หรือไม่?" เพราะมีข้อมูลว่าสุดท้ายแล้วมีการยอมโดย กต ว่าใช่! ประเด็นที่น่าห่วงอันที 2 เนื่องจากครั้งแรก หมุดใช้ประโยคว่าหมุดเขตแดน ถ้าเราเข้าใจผิดได้ เขมรก็เข้าใจผิดได้เหมือนกัน แล้วถ้าไม่คนเข้าใจผิดแล้วโวยวาย จะมีการแก้ไขให้ถูกต้องไม๊ครับ หรือจะรอให้เขมรเข้ามาสร้างบ้านสร้างเมืองก่อน เพราะเค้าก็เข้าใจผิดได้เหมือนกัน แล้วจะรอส่งจดหมายประท้วงเหรอ เพื่อ?


-และถ้าคุณเชื่ออดีตอธิการคนนี้ คุณก็ควรเชื่อต่อไปว่า แผนที่ฝรั่งเศส(1:200000)เป็นหลักฐานเท็จที่ใช้ฟ้องศาลโลก แล้วทำไม MOU2543 มีข้อมูลเท็จอยู่ด้วยล่ะครับ เพราะอดีตอธิการคนนี้แหละที่ยืนยันว่าแผนที่อันนั้นมันเป็นเท็จ มันผิดไปจากความเป็นจริง

แล้วผมถามการเสียดินแดนที่เกิดจาก JBC อันเป็นผลมาจาก MOU 2543 ครับ เกิดรึยัง ตรงไหน ชี้ชัดๆ


ใน TOR2546 ใน 5 ข้อมีอยู่ข้อนึงบอกว่าให้ตามหาหลักเขตเดิมก่อน แต่ปรากฏว่ามีการสำรวจแล้วพบเพียง 43 หลัก(ถ้าจำไม่ผิด) หลักที่หาย(ถ้าผมจำไม่ผิด)ไปส่วนใหญ่อยู่ในระวาง Dangrek(แผนที่ฝรั่งเศส หรือ แผนที่ 1:200000) ย้อนกลับไปกล่าวถึงหลักเขตเดิมหน่อยนึงนะครับว่าทางไทยมีพิกัดหลักเขตทุกหลัก รวมถึงหลักเขตที่พระวิหารด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังหาภาพถ่ายกันอยู่

ผมจะบอกว่าเรากำลังตกอยู่เกมของเขมรนะครับ เค้าเล่นนอกกฏทุกอย่าง แต่เราเล่นตามกฏมีแต่จะเสียเปรียบ เมื่อรวมถึงการเข้าใจผิดของ กต เกี่ยวกับแผนที่ยิ่งควรยกเลิกครับ

คุณถามว่าตอนนี้เราเสียดินแดนหรือยัง ผมก็จะตอบว่า ในทางพฤตินัยบางส่วนเราเสียไปแล้ว มีตลาด มีวัด มีถนน เพราะเราประท้วงอย่างเดียว แต่ไม่ผลักดัน เราเล่นตากฏแต่เขมรไม่!! คุณจะเจรจาไปอีกกี่ปีครับ รอให้เค้ามีลูกมีหลาน มีกองทัพก่อนเหรอครับ ใช่ครับมันต้องผ่านรัฐสภาแต่อีกกี่ปีกันล่ะครับ ถ้าถึงวันนั้นมันจะกลายเป็นสงครามจริงๆนะครับ เพราะความสุภาพบุรุษแบบไม่ฉลาดของเรานี่แหละ สู้แก้ปัญหาตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่าไม๊?

สิ่งที่จะสืบเนื่องต่อไปกับเรื่องพระวิหารก็คือว่า ในเอกสารขอขึ้นทะเบียนพระวิหารเค้าใช้ แผนที่ฝรั่งเศส(1:200000) ทั้งหมดครับ แล้วเราเคยประท้วงไม๊ครับ? แล้วจะให้ต่างชาติเข้าใจว่าไงครับ เค้าก็เข้าใจว่าเราไปรุกรานเขมรสิครับ ถ้าเกิดเขมรดึงต่างประเทศเข้ามาร่วมดูแลพระวิหารล่ะครับ มันมีโอกาสลามไปเป็นปัญหาระหว่างประเทศอื่นรึเปล่า เขมรไม่ได้โง่นะครับ เพราะถ้าขึ้นทะเบียนแบบข้ามพรมแดนได้นี่ ไทยมีแต่เสียกับเสีย


ป้องกันปัญหาตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าครับยังทัน

ส่วนเรื่องลาวผมยังไม่เห็นเอกสารทั้งหมดเท่าที่ทราบก็คือใช้แผนที่ฝรั่งเศสเหมือนกัน แต่ตรงนั้นเราได้ แต่กับเขมรเราเสียครับ
User avatar
SpeedDeVa
 
Posts: 1126
Joined: Sat Jul 31, 2010 6:54 am

Re: MOU 43

Postby SpeedDeVa » Fri Aug 06, 2010 9:42 am

55555 wrote:
SpeedDeVa wrote:
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:นั่นเค้าปักปันแล้วเหรอครับ JBC ทำหรือเปล่า

แล้วหมุดนั่นเค้าก็ออกมาแก้แล้วนี่ครับ แถม อ.อะไรนะผมจำไม่ได้ยังบอกเข้าใจผิดอีกต่างหาก


1909 มีการปักหลักไม้ไปแล้วรอบนึง หลังจากนั้นหลายปีจึงเปลี่ยนเป็นหลักปูน เพราะมันผุ เรื่องหลักสกัดนั่น ที่ อ วีรพันธ์ มาลัยพันธ์ ผมก็อ่านแล้ว มันก็เลยเกิดคำถามว่า มีการย้ายหลักเมื่อปี 1909 รึเปล่า ถ้าย้าย ย้ายบนพื้นฐานของอะไร


ทั้งหมดกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ ปี 43 ครับ.....


ไม่ใช่ครับ ใน TOR2546 บอกขั้นตอนไว้ 5 ข้อครับ 1ในนั้นคือการสำรวจหลักเดิมก่อนครับครับ
User avatar
SpeedDeVa
 
Posts: 1126
Joined: Sat Jul 31, 2010 6:54 am

Re: MOU 43

Postby รักน้องพิณ » Fri Aug 06, 2010 9:38 pm

lynnicky wrote:เห็นหลายครั้งจนรู้สึกถี่เกินไปไม่ว่าจะบอร์ดนั้นหรือบอร์ดนี้ .. :mrgreen:

ทำไมคุณสนธิถึงคิดว่า การท้าท่านนายกไปดีเบท หากเขาเงียบก็หาว่าเขาขี้ขลาด หดหัวอยู่แต่ในรู

มีหลายเรื่องที่ท่านนายกควรทำ กำลังจะทำ และก็ทำอยู่ ซึ่งก็มีประโยชน์มากกว่าไปรับคำท้า คุณคิดว่าเขาไม่เล่นกับคุณ คุณเลยหน้าแตกงั้นเหรอ ตอนนี้ก็เลยร้อนผ่าวๆ เต้นเหยงๆ สร้างกระแสนายกไม่กล้าดีเบทด้วย หลามมาถึงสาวกทั้งหลายแหล่ (ไม่ก่อนไม่ใช่คำนี้ แต่ตอนนี้ใช้แล้ว เพราะมันใช่ว่ะ) ซึ่งก็มีสภาพไม่ต่างกัน


เรื่องนี้ไม่ได้ว่าหลายๆท่านที่ต้องการจะเห็นการดีเบทนะครับเพราะผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงมันจะต้องยังไง (อยากเห็นนายกสอนมวยพวกดีแต่ปากครับ) แต่ผมหมายถึงคนที่มีเจตนาอย่างที่บอกไปแล้ว ซึ่งผมไม่เข้าใจ ทุกวันนี้นายกไม่ต้องทำงานทำการเหรอครับ สนธิกระดิกนิ้วเรียก "เฮ้ย ... มาดีเบทด่วนเลย" นายกก็ต้องแจ้นไปดีเบทตามเขางั้นเหรอ ?? ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าคิดจะทำเพราะมีประโยชน์หรือเห็นแก่ประโยชน์ความรู้ของประชาชนจริงๆ จะต้องมีการเชิญอย่างให้เกียรติเป็นกิจลักษณะและกำหนดหมายที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำตัวไปท้าเขา ... แล้วเขาไม่สน ก็เป็นฟืนเป็นไฟ ..

ปล. ไม่ได้กระแดะนะครับ แต่คือเรื่องจริง ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่บ้านแต่ไปชวนผู้ว่ามาประชุมที่หมู่บ้าน ก็คิดดูแล้วกันว่าจะทำอย่างไร

ผมเข้าใจครับเรื่องการเชิญอย่างให้เกียรติเป็นกิจลักษณะ แต่สิ่งที่ประชาชนได้คือการได้รับรู้ข้อมูล ฝ่ายนึงถามฝ่ายนึงตอบ ประเด็นไหนไม่เคลียร์จะได้ซักถามกัน สิ่งที่เข้าพูดมันไม่ค่อยมีใน Free TV เจอได้แต่ใน cable
วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร­!!
User avatar
รักน้องพิณ
 
Posts: 2710
Joined: Wed Feb 18, 2009 12:42 pm

Re: MOU 43

Postby บุญปลีก » Sat Aug 07, 2010 4:14 pm

นายก รัฐมนตรี เตรียมหารือ ตัวแทนเครือข่ายภาคีคนไทยหัวใจรักชาติ พิจารณาเอ็มโอยู ปี 2543 พรุ่งนี้ ถ่ายทอดสดทีวี 3 ชั่วโมง ย้ำ เป็นประโยชน์ป้องกันกัมพูชาหันกลับไปใช้แผนที่ฝรั่งเศส....

เว็บไซต์ผู้จัดการ รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 13.45 น. วันที่ 7 ส.ค. 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ได้ ขึ้นเวที ตอบข้อซักถามของทางเครือข่ายภาคีคนไทยหัวใจรักชาติ ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ทั้งนี้ ตัวแทนชาวบ้านจาก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ได้สอบถามนายกฯ ถึงการลงนามเอ็มโอยู ปี 2543 สมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี หากจะให้มีการยกเลิกจะติดขัดหรือไม่ และรัฐบาลขณะนี้จะทำอะไรได้บ้าง รวมทั้งมีเรื่องไหนที่จะให้ประชาชนช่วยได้บ้าง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก่อนที่จะตอบข้อซักถาม ขอทักทายพี่น้อง

ซึ่ง ตนได้ติดตามการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชนทุกคนที่ห่วงใย และแสดงออกเคลื่อนไหวต่อการรักษาอธิปไตยของไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้คุยกับแกนนำที่ร่วมเคลื่อนไหวหลายครั้ง ทั้งนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ร.ต.แซมดิน เลิศบุตร ที่ได้หารือกันเมื่อวานนี้ ซึ่งอยากเรียนให้พี่่น้องประชาชนทราบว่าเราไม่ได้คิดต่างกัน รวมทั้งไม่ได้มีผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝงนอกจากผลประโยชน์ของชาติ และขอยืนยันว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอาแผ่นดินไทยไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ อื่น

"ถ้าผมทำเช่นนั้น ไม่เพียงไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ควรที่จะอยู่แผ่นดินนี้ด้วยซ้ำ และ ขอยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านที่อภิปรายในสภาฯไว้อย่างไร จุดยืนวันนี้ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ยังเหมือนเดิมทุกประการ เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่อยากจะขอร้องประชาชนทุกกลุ่มสิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องสามัคคี เป็นเอกภาพร่วมกันตามเป้าหมายของเรา"นายอภิสิทธิ์ ระบุ


นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า จุดยืนของไทยเหมือนเดิม

ซึ่ง รัฐบาลไทยดำเนินการเช่นนั้นมาตลอด แม้ทางกัมพูชาจะพยายามใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไปอ้างสิทธิ์ต่างๆ ซึ่งตนได้มีการคัดค้านมาตลอด โดยรัฐบาลได้แจ้งกลับไปทางกัมพูชาแล้วว่า แผนที่ดังกล่าวเป็นโมฆะ ล่าสุด กัมพูชาได้พยายามอีกครั้ง ในการเอาแผนที่แนบท้ายยื่นขอเป็นมรดกโลก จนมีการเลื่อนมติพิจารณาออกไปเป็นปีหน้า ทำให้ขณะนี้กัมพูชาไม่อาจใช้แผนที่ดังกล่าวได้

"ผม ขอยืนยันว่าการมีเอ็มโอยูนั้น ส่งผลให้กัมพูชานำแผนที่มาอ้างไม่ได้ ดังนั้น เราไม่ได้เห็นต่างกัน เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน เรามีเจตนาเหมือนกันในการรักษาแผ่นดินไทย หากทางไหนที่คิดว่าดีกว่า ผมกพร้อมยินดีทำ ถ้าเห็นว่ายกเลิกเอ็มโอยูดีกว่า ผมก็พร้อมจะเลิก แต่ถ้าคุยกันแล้ว ไม่ยกเลิกดีกว่า ก็ต้องว่ากันไปตามนั้น แต่ขอยืนยันว่าจะคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก เราจะใช้สันปันน้ำมาต่อสู้เรื่องนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาล โดยหลังจากจบรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ จะจัดรายการพิเศษ

ตั้งแต่ เวลา 10.00-13.00 น. ซึ่งจะเชิญผู้แทนเครือข่ายฯ ไม่เกิน 5 คน รวมทั้งฝั่งตน มาร่วมพูดคุยกัน ต่อจากพรุ่งนี้ การทำงานของรัฐบาลจะเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจที่ตรงกัน ทั้งนี้ หลัง นายอภิสิทธิ์ กล่าวจบ ตัวแทนเครือข่ายฯ ได้ลุกขึ้นถามถึง กรณีมีชาวกัมพูชามาตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินไทย รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นมา 5-6 ปีแล้ว ต้องยอมรับว่า มีการละเมิดข้อตกลงเอ็มโอยู แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องทำต่อไป คือ มีมาตรการทูต และ การทหารควบคู่กันไป โดยในส่วนการทูต จะใช้เวทีระดับประเทศ ชี้แจงสถานการณ์ความเป็นจริงเรื่องนี้ เราจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อสร้างความได้เปรียบ ซึ่งประเด็นนี้ตนได้บอก รมว.ต่างประเทศ ไปว่า ให้มีการประสานงานกับกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ตนขอยืนยันว่าจะทำการประท้วงรักษาสิทธิ์ และ เดินหน้า เพื่อให้มีการเคารพข้อตกลงที่ว่า ตนจะพูดคุยปรึกษาให้การประสานงานเรื่องนี้สอดคล้องกัน เราจะไม่ยอมรับการกระทำที่เป็นการละเมิดข้อตกลงดังกล่าว


-----------------------------------------------------------------------
เป็นแหล่งข่าวมาจากไทยรัฐนะครับ พรุ่งนี้คงต้องตั้งหน้าตั้งตารอดูรายการเชื่อมันประเทศไทยซะแล้วสิเรา
บุญปลีก
 
Posts: 7184
Joined: Mon May 03, 2010 12:23 pm

Re: MOU 43

Postby loginofu » Fri Nov 05, 2010 2:28 pm

ขอขุดครับ
http://www.prachathon.org/forum/index.php
ทางเข้าบอร์ดสำรอง http://siamseri.orgfree.com/
ประชาทนธิปไตย : ทนได้ก็ทนไป
loginofu
 
Posts: 10316
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:22 am

Re: MOU 43

Postby finder » Fri Nov 05, 2010 5:44 pm

ถ้างั้น ผมแปะ เพื่อตอบคุณ แดง ขาว น้ำเงิน และถามคนที่บอกว่าไม่เสียดินแดน :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

การที่เราเข้าดินแดนของเราไม่ได้ ก็เหมือนเสียดินแดนโดยพฤตินัย

ถ้าจะอ้างสนธิสัญญามาไล่ภายหลังแล้วเขาไม่ออก จะเกิดเป็นปัญหาชนกลุ่มน้อย

ถ้าตอนนั้นเกิดความรุนแรงเหมือนในหลายประเทศ อาจต้องให้สหประชาชาติเข้ามาถามว่า

พวกสูเจ้าจะอยู่กับใคร ถ้ามันตอบว่า อยากอยู่กับเขมร แล้วจะทำอย่างไรครับ

กลุ่มกบฎพยัคฆ์ทมิฬในศรีลังกาคือกรณีศึกษาเรื่องนี้ แต่โชคดีที่

รัฐบาลศรีลังกาปราบได้เสียก่อน แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยมาเป็นสิบๆปี ทำลายเศรษฐกิจไปมหาศาล

จะรอให้เป็นอย่างนี้ก่อนใช่ไหมครับ
[/quote]

มาต่อสักหน่อยให้สมบูรณ์

1.ถ้ารัฐบาลรอจนคนเขมรเข้ามาตั้งบ้านเรือนจนเต็มไปหมด อย่าหวังว่าคนเหล่านี้

จะยอมถอนออกไปด้วยการเจรจา เพราะจุดประสงค์ของคนเขมรคือต้องการปราสาททั้งหมด

ตามแนวชายแดน เจ้าสีหนุเองก็สั่งลูกๆไว้เช่นนั้น โดยเฉพาะปราสาทพระวิหารต้องเอามาให้ได้

อีกหน่อยจะต้องเกิดปัญหาชนกลุ่มน้อยขึ้นแน่นอน เขมรเองเดินเกมนี้อยู่แล้ว ถ้ารอจนเขาพร้อม

จะยิ่งยุ่งยาก เพราะเขมรสามารถส่งอาวุธสนับสนุนคนกลุ่มนี้ รวมทั้งสามารถเข้าช่วยรบด้วย

เนื่องจากพื้นที่ต่อเนื่องกัน

2.อีกปัญหาหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิมของเขมร ต้องช่วยเขมรในเวทีโลกอย่าง

แน่นอน ก็ดูยูเนสโก้เป็นตัวอย่างก็ได้ ปัญหานี้จะยิ่งแก้ยากมากขึ้น ตอนนั้นจะให้ใครมาหนุนไทยครับ

3. ปัญหาถัดมาคือเมื่อเขตแดนถูกกินลึกเข้ามาโดยพฤตินัย และหลักหมุดอัปรีย์ที่ไปฝังลึกเข้ามาใน

เขตไทย ผมมั่นใจว่าไทยต้องเสียดินแดนครับ เพราะถ้ายังไม่รู้ว่าเขตแดนอยู่ที่แนวสันปันน้ำใด

(ยังไม่กำหนดร่วมกันกับเขมร) การมาลงหมุดไว้ก่อน จะมีประโยชน์อะไรครับ รู้ได้ไงว่า

หมุดเหล่านี้อยู่ห่างจากแนวเขตแดนจริงเท่าไร ดังนั้น หมุดเหล่านี้จะมาใช่เพื่ออ้างอิงไปวาดแผนที่ได้ไงครับ

ในเมื่อยังไม่รู้แนวเขตแดนจริงเลย ทั้งหมดนี้คือคิดอย่างชาวบ้านธรรมดาที่ได้ข้อมูลมาเหมือนทุกๆท่าน



เด็กเด็ก wrote:ดูแผนที่ ระดับคอนทัวร์มีหมดแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าสันปันน้ำอยู่ที่ใด

มันสำคัญว่าจะลากได้ตลอดเส้นทาง 750 กิโลเมตรหรือไม่

ถ้าเป็นที่ราบ จะใช้หลักอะไร มัวงมแต่ สันปันน้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ

แล้วมันจบมั๊ย
[/quote]

ตามสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ยึดแนวสันปันน้ำ ใครๆก็รู้ แม้จะไม่มีแนวสันปันน้ำอยู่ตลอดแนวชายแดนเพื่อให้ชี้แนวเขตแดนได้ แต่ก็ต้องใช้แนวสันปันน้ำทั้งหมดเท่าที่มีเพื่ออ้างอิง ส่วนที่ไม่ใช่สันปันน้ำก็ต้องคุยกันกับเขมรเพื่อกำหนดเขตแดนกัน ตอบแค่นี้คงชัดนะครับ

เมื่อยังคุยกับเขมรไม่จบในเรื่องเขตแดน ทำไมเขมรจึงยึดพื้นที่ที่ชาวบ้านฝั่งไทยใช้ทำมาหากินมาแต่บรรพบุรุษไป โดยเจ้าหน้าที่ของไทยสนับสนุนเขมรอยู่กลายๆ ตอบคำถามนี้สิครับ


ข้อความที่ผมนำมาแปะไว้ บ่งบอกด้วยข้อมูลของคนในพื้นที่
เป็นเรื่องที่นายกฯยังไม่ยอมตอบและยังไม่มีใครที่สนับสนุนข้อมูลของรัฐบาลในเวบนี้มาแย้งครับ
(จนถึงวันนี้4-11-53)

1. การปักปันเขตแดนของJBC ทำให้คนไทยถูกกันออกมาจากพื้นที่เดิมที่เขาอยู่มา แต่กลับให้คนเขมรเข้าไปอยู่
แทน อย่างนี้เรียกว่าเสียดินแดนโดยพฤตินัยใช่ไหมครับ แล้วJBCเกิดจากMOU43ไม่ใช่หรือครับ อย่าอ้างว่าแล้วเราจะเอา
คืนภายหลัง เพราะผมบอกไว้แล้วว่า เขมรไม่มีวันถอยอย่างสงบ

2.ในMOUคงไม่บอกตรงๆว่าทำให้ไทยเสียดินแดนหรอกครับ ไม่เช่นนั้น คนที่เกี่ยวข้องคงพังกันหมด แต่ผลจากการ
กระทำของJBCต่างหากที่ที่แสดงให้เห็นว่า

สัญญาจะทำให้เกิดผลออกมาเป็นอย่างไร

และผลก็เกิดขึ้นแล้วตามที่คม ชัด ลึก นำมาลงไว้ อย่างนี้ยังไม่ชัดหรือครับ อย่าพยายามหาข้อผิดในเอกสารดีกว่า
เพราะคงเถียงกันไม่จบ เอาผลที่เกิดขึ้นมาพิจารณาก็ชัดเจนแล้วครับ


ลองตอบคำถามผมบ้าง ยังไม่มีใครมีปัญญาตอบเลย ตอบได้ถูกหมดจะให้ไอติม :mrgreen:


รัฐบาลลองตอบข้อข้องใจพื้นๆเหล่านี้ดูสิครับ

1.ทำไมต้องอพยพคนไทยมาอยู่หลังแนวหมุด แต่ให้คนเขมรเข้าไปอยู่แทน

2.ทำไมไม่ไล่เขมรที่เข้ามาสร้างบ้านและวัดออกไปเสียที่ ได้แต่ยื่นประท้วง จนเขมรได้ถนน2เส้นและสร้างเสร็จแล้ว

3.การปักปันเขตแดนทำเสร็จไปแล้วเมื่อ1907 (ตามที่อ.สมปอง สุจริตกูลพูดไว้)ทำไมต้องทำmOU เพื่อกลับมาปักปันกันอีก

4.พื้นที่ที่อ้างสิทธิ์โดย2ประเทศ(เขมรได้จากคำพิพากษาศาลโลก,แต่ไทยยังยื่นข้อสงวนไว้)คือตัวปราสาท ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนใดๆอีก ทำไมจึงมีพื้นที่ทับซ้อน4.6ตร.กม.เกิดขึ้น

5.แถลงการณ์ร่วมที่นพดลไปทำกับเขมร และผิดกฎหมาย มีบางคนบอกว่าไทยแถลงยกเลิกแล้ว แต่บางคนบอกว่ายังไม่ยกเลิก ตกลงเป็นอย่างไร เพราะตัวปัญหาที่ทำให้เขมรขึ้นทะเบียนได้อยู่ที่แถลงการณ์นี้ด้วย

และนี่คือคำถามย่อยต่อกรณีแถลงการณ์ร่วมขอถามทุกท่านที่รู้

5.1.การกระทำของนพดล ทำให้ข้อสงวนสิทธิ์ของไทยที่ทำไว้ต่อศาลโลกเมื่อ2505 หมดสภาพด้วยใช่ไหม

5.2.การที่เรายื่นข้อสงวนไว้ ถือว่าเรายังอ้างสิทธิ์อยู่ใช่หรือไม่(ถ้าใช่ ไปตอบข้อ5.3)

5.3.ถ้าใช่ การที่เราปล่อยให้เขมรไปขึ้นทะเบียนก็ไม่ถูกต้อง(ไม่ว่าเราจะอยู่เฉยหรือสนับสนุนการขึ้นทะเบียนของเขมรก็ตาม)ใช่หรือไม่

5.4.เมื่อคัดค้านแถลงการณ์ร่วมที่นพดลไปทำไว้แล้ว ทำไมเขมรยังดำเนินการต่อไปได้ ในเมื่อข้อคัดค้านของเรากลับมามีผลอีก
แต่ ถ้าบอกว่าเขมรได้ปรับขนาดพื้นที่ลงแล้ว(ไม่เอา4.6ตร.กม.มาด้วย) จึงดำเนินการต่อไปได้ อย่างนั้นแล้ว แสดงว่านพดลเอาที่ดินของเราไปช่วยสนับสนุนเขมรใช่ไหม

5.5การขึ้นทะเบียนมรดกโลกเท่าที่ฟังมา ต้องมีพื้นที่บริวาร แต่เมื่อไม่มี4.6ตร.กม.แล้ว ทำไมยังขึ้นต่อไปได้ ในมุมกลับ หรือว่ายังมี4.6ตร.กม.สนับสนุนอยู่

นี่คือคำถามพื้นๆ แต่พยายามลงลึกและคิดมุมกลับด้วย ขอท่านผู้รู้ช่วยตอบที ขอบคุณครับ
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: MOU 43

Postby 55555 » Fri Nov 05, 2010 8:43 pm

55555 wrote:ผมจะผิดมั๊ย ถ้าจะบอกว่า...

" ฮุนเซ็นต์มันชั่วช้า ขายชาติ เพราะดันไปเซ็นต์รับรอง อนุสัญญา 1904 กับ 1907 ที่ระบุการปักปันดินแดน ด้วยสันปันน้ำ ใน MOU 43 ซึ่งมันจะทำให้กัมพูชาเสียเขาพระวิหารไป"


:lol: :lol: :lol:
55555
 
Posts: 5131
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:29 am

Previous

Return to สภากาแฟ



cron