สู้กลียุค ด้วยความจริงและสติปัญญา (สารส้ม)
ต่อไปนี้ รัฐบาลจะปล่อยความเท็จเอาไว้เฉยๆ โดยอ้างว่า ประเดี๋ยวความจริงก็จะปรากฏเอง ไม่ได้เด็ดขาด ! สำหรับกรณีใดๆ ที่บรรดาแกนนำเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นระดับตัวพ่อที่อยู่นอกประเทศ หรือระดับนายหน้าที่หากินอยู่ตามเวทีปลุกระดมในประเทศ เมื่อใดที่มีการปลุกปั่นประชาชนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือนสาระสำคัญ เพื่อมุ่งหวังผลทางการเมืองเพื่อนายใหญ่ของเขาที่คอยป่วนอยู่นอกประเทศนั้น รัฐบาลจะต้องใช้สื่อของรัฐ และใช้กลไกทุกอย่าง เพื่อ "ให้ข้อเท็จจริงกับประชาชน" อย่างกระจ่างชัด
ทักษิณและพวกปลุกม็อบ ปลุกปั่นประชาชนด้วยความเท็จ แต่รัฐบาลไม่ต้องไประดมคนมาใส่เสื้อสีอะไร แล้วจัดชุมนุมสู้กับเขาด้วยปริมาณคนที่เข้ามาร่วมชุมนุม
ถ้าทำอย่างนั้น ถือว่า "ไม่ใช้ปัญญา"
สิ่งที่ควรทำ และต้องทำ คือ เร่งให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนแก่ประชาชน โดยเฉพาะบรรดาความเลวร้ายที่ถูกบิดเบือนกลับมาอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์
กรณีล่าสุด ก็คือเรื่องทุจริตที่ดินรัชดา ซึ่งมีการวีดีโอลิงค์มาบิดเบือนโกหกประชาชนกลางสนามหลวง อ้างว่า ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะถูกตัดสินโดยกฎหมายเผด็จการ เมียเป็นคนซื้อกลับไม่ผิด แต่ตัวเองกลับผิด เพราะถูกรังแก มั่วนิ่มสิ้นดี ! อย่างไรก็ตาม เมื่อการที่คำโกหกแบบนี้ ยังใช้ได้ผล ยังหลอกประชาชนได้อยู่ ก็สะท้อนว่า รัฐยังให้ข้อมูลข้อเท็จจริงประชาชนไม่เพียงพอ ทั้งๆ ที่ การให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านี้ เป็นหน้าที่โดยตรงของภาครัฐ เพื่อสลายความเลวทรามต่ำช้าของนักโทษหลบหนีคุก ด้วยการให้ความจริงแก่สังคม
ยิ่งกว่านั้น กรณีส่วนใหญ่ที่นักโทษหนีคุกนำมาปลุกปั่นบิดเบือน ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลยุติธรรม หรืออย่างน้อยที่สุด ก็มีคำพิพากษาหรือรายงานสอบสวนของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ สามารถนำมาเทียบเคียงโต้แย้งได้ทั้งสิ้น
ที่สำคัญ รัฐบาลจะได้ทำหน้าที่เสริมสร้างความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันยุติธรรม ปกป้องอำนาจตุลาการ ยืนยันให้สังคมได้มั่นใจและแน่ใจว่า ปัญหาวุ่นวายของบ้านเมืองในวันนี้ สามารถยุติได้หากทุกคนเคารพระบบและกระบวนการยุติธรรมของประเทศชาติ
กรณีทุจริตที่ดินรัชดา รัฐบาลก็สามารถทำได้ไม่ยากเลย เพียงนำคำพิพากษาของศาลฎีกา และข้อมูลข้อเท็จจริงแวดล้อม มาแจกแจง อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ด้วยภาษาชาวบ้าน ด้วยสำนวนชาวบ้าน โดยอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้อง แล้วนำเสนอผ่านสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะสื่อของรัฐ หรือแม้แต่วิทยุชุมชนที่รัฐมีส่วนช่วยสนับสนุนอยู่ทั่วประเทศในเวลานี้
ตัวอย่างกรณีที่ดินรัชดา รัฐบาลควรจะต้องสื่อสารให้สังคมเห็นจะจะ อย่างน้อย ในประเด็นดังนี้ 1. กฎหมายที่ใช้ตัดสินในคดีนี้ ไม่ใช่กฎหมายเผด็จการ แต่เป็นกฎหมาย ป.ป.ช. ที่มีมาตั้งแต่ก่อนทักษิณจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
2. หลักฐานต่างๆ ที่ใช้ในคดีนี้ ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริง ไม่มีหลักฐานปลอม หรือการใส่ร้ายป้ายสีลอยๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างมีเอกสารอ้างอิงได้ทั้งหมด
3. ทักษิณได้เข้ามาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว (ในยุคที่รัฐบาลหุ่นเชิดครองอำนาจ) แต่ศาลยุติธรรมก็ทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระ ไม่ยอมถูกแทรกแซง ในที่สุด เมื่อใกล้วันพิพากษา ทักษิณก็หนีออกนอกประเทศไปเอง และปรากฏในภายหลังว่า ทนายของทักษิณในคดีนี้ถูกศาลจับได้ว่าเอาเงิน 2 ล้าน ใส่ถุงขนมมาเสนอให้เจ้าหน้าที่ศาล จนทีมทนายความถูกศาลสั่งจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล
4. ทักษิณมีความผิด แต่เมียไม่มีความผิด เพราะเมียไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ป.ป.ช. พูดง่ายๆ ว่า ทักษิณผิด เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีที่กระทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. โดยไปรู้เห็นเป็นใจร่วมกันกับเมีย ให้เข้ามาประมูลทำสัญญาซื้อที่ดินของหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของตนเอง เป็นการกระทำที่มีการขัดกันของประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งกฎหมายห้ามเอาไว้ ทั้งตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐและคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มิให้ทำเช่นนี้
แต่กรณีนี้ ทั้งๆ ที่ กฎหมายห้ามเอาไว้แล้ว ทักษิณซึ่งเป็นถึงนายกฯ ก็ยังบังอาจร่วมกันกับเมีย เข้าไปเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่นายกฯ มีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
กล่าวโดยสรุปง่ายๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องเมียซื้อไม่ผิด-ผัวกลับผิด แต่มันเป็นเรื่องผัวและเมียสุมหัวกันเข้าประมูลซื้อที่ดินหลวงโดยผิดกฎหมาย
คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ บางตอน ก็สามารถลำดับให้อ่านเข้าใจง่ายๆ เช่นว่า
"จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลกองทุนเพื้อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งต้องห้ามมิให้กระทำ
จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 100(1) ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 122 วรรคหนึ่ง
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น มาตรา 100 เป็นบทบัญญัติให้การกระทำเป็นความผิดเนื่องจากผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งยังบัญญัติให้การกระทำของคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐถึงเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเอง แต่มาตรา 122 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืนมาตรา 100 ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ลงโทษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฝ่าฝืนมาตรา 100 ไม่ได้ระบุให้ลงโทษรวมไปถึงคู่สมรสหรือบุคคลอื่นด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด และไม่ต้องร่วมรับโทษตามมาตรา 122 กับจำเลยที่ 1"
แค่นี้ สังคมก็จะเข้าใจว่า ทำไมเมียทักษิณจึงไม่ถูกลงโทษไปด้วย !
5. ประชาชนควรได้ความรู้ด้วยว่า ไม่สามารถนำกรณีการซื้อไฟฟ้า ซื้อน้ำประปา หรือซื้อตั๋วเครื่องบินการบินไทย มาเทียบเคียงกับกรณีเข้าไปประมูลซื้อที่ดินรัชดา เนื่องจากมีข้อเท็จจริง มีพฤติการณ์ และมีเจตนารมณ์ของกฎหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และการซื้อไฟฟ้าก็ดี น้ำประปา หรือตั๋วเครื่องบินก็ดี ก็เป็นเรื่องที่มีราคาแน่นอน ตามราคาตลาด ไม่ต้องมีกระบวนการประมูลหรือการเจรจาต่อรอง ที่อาจจะทำให้การดำเนินการของหน่วยงานรัฐมีผลต่อส่วนได้เสียของผลประโยชน์ส่วนรวม ผิดกับการประมูลซื้อดังกล่าว ซึ่งราคาซื้อขายจะถูกแพงขึ้นอยู่กับกระบวนการเจรจาต่อรองหรือการประมูล อันทำให้เกิดการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม
6. ยิ่งกว่านั้น กระบวนการประมูลซื้อที่ดินรัชดาดังกล่าว ยังมีข้อพิรุธ แบบไม่อายฟ้าดิน อาทิ
6.1 เมียนายกฯ ซื้อได้ไปในราคาถูกกว่าราคาขั้นต่ำที่เคยประกาศในการเปิดประมูลครั้งแรก
6.2 การประมูล กำกนดให้ผู้เข้าประมูลต้องวางมัดจำสูงถึง 100 ล้านบาท เกินกว่าระเบียบราชการ จนทำให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย
6.3 หลังจากที่เมียนายกฯ ซื้อที่ดินของรัฐไปแล้ว ปรากฏว่า มีการยกเลิกข้อจำกัดเรื่องความสูงอาคารในการก่อสร้างบนที่ดินแปลงดังกล่าว ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น
กล่าวคือ ตอนที่ประมูลกันนั้น ที่ดินแปลงนี้ ติดปัญหาเรื่องอาคารชุด เพราะถูกห้ามไม่ให้สร้างตึกสูงไม่เกิน 5 ชั้น หรือ 23 เมตร เป็นเหตุให้มีคนมาเสนอราคาน้อยราย เพราะประเมินมูลค่าที่ดินไว้ต่ำ แต่พอคู่สมรสนายกฯ ได้เป็นเจ้าของ หน่วยงานของรัฐก็ยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว จนทำให้มูลค่าที่ดินพุ่งสูงขึ้นทันที
6.4 รัฐบาลทักษิณอุตส่าห์ประกาศให้วันที่ 31 ธันวาคม 2546 ไม่เป็นวันหยุดราชการ เอื้อให้เกิดการเร่งรัดโอนที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งช่วยให้เมียนายกฯ ประหยัดค่าโอนที่ดินมากกว่า 10 ล้านบาท เพราะถ้าเลยไปถึงปี 2547 จะมีการปรับขึ้นค่าโอนที่ดิน ฯลฯ
ข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านี้ รัฐบาลจะต้องนำเสนอสู่สังคมให้แพร่หลายที่สุด และเข้าใจง่ายที่สุด กรณีอื่นๆ ที่ทักษิณและบริวารนำมาปลุกปั่นบิดเบือนก็เช่นกัน ควรต้องถูกตอบโต้ด้วยความจริงและชุดข้อมูลที่มีความหมาย มีเป้าหมาย และชัดเจน
ไม่ใช่เพราะต้องการจะกลั่นแกล้งผู้ใด แต่เป็นเพราะทักษิณและบริวารนั่นเองที่เป็นฝ่ายออกมาบิดเบือนข้อเท็จจริงเหล่านี้ต่อสังคม ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย รัฐจึงมีหน้าที่ต้องให้ข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง เพื่อให้สังคมรู้เท่าทัน จะได้ไม่ตกหล่มกลียุคในสงครามการเมืองของทักษิณ
สารส้ม http://www.naewna.com/news.asp?ID=174838