แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2552 เกมวัดดวง....ยื้อได้ อยู่นาน
ทีมข่าวเศรษฐกิจ7/5/2552
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2552
เกมวัดดวง....ยื้อได้ อยู่นาน
เมื่อวานนี้ (6 พ.ค.) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555 ตามที่ยกระทรวงการคลังเสนอ
“กรณ์ จาติกวณิช” ให้รายละเอียดว่า แผนปฏิบัติดังกล่าวเป็นแผนต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว การเพิ่มเติมวงเงินรายจ่ายงบประมาณปี 2552 กว่าแสนล้านบาท การขยายระยะเวลาของ 5 มาตรการ ใน “6มาตรการ6เดือนฝ่าวิกฤตเพี่อคนไทยทุกคน”ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งช่วยประคับประคองดูแลประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งความจำเป็นในการดูแลประชาชนยังต้องมีอย่างเนื่องในเมื่อระบบเศรษฐกิจมันติดขัด เอกชนไม่ลงทุน มีคนตกงาน ไม่มีรายได้ ไม่เกิดการบริโภค จึงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการที่อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อให้มันเดินหน้าได้ ไม่หยุดชะงัก
การทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ ก็มีการพูดถึงการมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาตรการไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการเพิ่มแรงซื้อให้แก่ประชาชนด้วยการให้เช็คช่วยชาติ 2,000 บาทไปก่อนหน้า ซึ่งล่าสุดมีตัวเลขเช็คที่มาขึ้นเงินแล้วกว่า 11 ล้านฉบับ ส่วนที่เหลือน่าจะถูกนำไปใช้ในการจับจ่ายซื้อสินค้าตามโปรโมชั่นของผู้ประกอบการต่างๆ แม้จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเห็นผลได้ชัด แต่ก็ทำให้ความคึกคักในระบบเศรษฐกิจไม่หดหายไปซะทีเดียว หากแต่รัฐต้องพยายามหามาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจให้ต่อเนื่อง
จึงเป็นที่มาของโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 วงเงิน 1.56 ล้านล้านบาท และครม.ได้พิจารณามีมติอนุม้ติเรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้ชื่อเรียกโครงการนี้ว่า “แผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555” ซึ่งปี 2555 จะเป็นปีที่มาตรการชั่วคราวนี้จะไปเสร็จสิ้นพอดี แต่ไม่ได้หมายความรัฐบาลจะไม่มีมาตรการอะไรอีก
โดยกรอบของการลงทุนจะแบ่งออกเป็นหมวดการลงทุน ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำ (17%) อาทิ โครงการชลประทานขนาดใหญ่/โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำ การขนส่ง (40%) อาทิ งานบำรุงรักษาทางหลวง/โครงการถนนไร้ฝถ่น/รถไฟฟ้า ด้านพลังงาน/พลังงานทดแทน (14%) อาทิ โครงการพัฒนาระบบสายส่ง และระบบส่งไฟฟ้า การสื่อสารสื่อสาร (2%) อาทิ โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 โครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว (1%) อาทิ โครงการประปา/สายเคเบิ้ลใต้น้ำ การศึกษา (10%) อาทิ ปัจจัยสนับสนุนด้านการศึกษา/พัฒนาครูทั้งระบบ การสาธารณสุข (7%) โครงการพัฒนาระบบบริการระดับชุมชน/ศูนย์โรคพิเศษ เรื่องของสวัสดิภาพของประชาชน (1%) อาทิ อาคารตำรวจ พัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (1%) อาทิ โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีภาคการผลิต ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (0.3%) อาทิ โครงการส่งเสริมการอนุรักษ์และปลูกป่า การพัฒนาการท่องเที่ยว (1%) อาทิ โครงการสร้างรายได้ในพื้นที่อุทยาน ด้านเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (1%) อาทิ ยกระดับความชำนาญด้านนวัตกรรม/อุตสาหกรรมบันเทิง
และ การลงทุนระดับชุมชน (6%) อาทิ ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตในระดับหมู่บ้าน สำหรับ “แผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555” นี้ รมว.คลัง ระบุว่า ได้มีการพิจารณารายละเอียดโครงการแล้วเบื้องต้นจะมีวงเงินประมาณ 1.43 ล้านล้านบาท ส่วนกรอบที่เหลือจะให้แต่ละหน่วยงานไปดูเพิ่มเติม ซึ่งจะพิจารณาภายในเดือนก.ค.นี้
ส่วนการจัดโครงการจะถูกแบ่งกลุ่มตามความสำคัญ ได้แก่
โครงการขนส่ง/Logistic จำนวน 5.71 แสนล้านบาท จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง (Logistic Cost) จากปัจจุบันที่สูงถึง 19%ของ GDP, โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร จำนวน 2.38 แสนล้านบาท จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการเกษตรให้แก่เกษตรกร,
โครงการสาธารณสุข จำนวน 9.9 หมื่นล้านบาท จะช่วยปฏิรูปคุณภาพระบบสาธารณสุขที่มีมาตรฐานสูงสำหรับคนไทย, โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท จะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ โครงการลงทุนตามแผนนี้ มีโครงการลงทุนที่เริ่มดำเนินการได้ทันที เป็นมูลค่าลงทุน 1.06 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลงทุนด้านแหล่งน้ำและระบบชลประทานขนาดเล็ก โครงการก่อสร้างถนนในชนบท โครงการก่อสร้างสถานีอนามัย และโครงการก่อสร้างโรงเรียน “การพิจารณาโครงการ เราพยายามที่จะคำนึงโครงการที่เป็นไปได้เร็ว และครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งเมื่อทำโครงการแล้ว เงินที่ใช้มันจะลงเข้าไปสู่ระบบโดยเร็ว ที่สำคัญจะพยายามให้เงินมันไปถึงมือประชาชนให้มากที่สุด ตกหล่นน้อยที่สุด ก็จะมีการกำชับทุกหน่วยงานให้วางแผนและมีการป้องกันเงินรั่วไหล แม้ว่าในความเป็นจริงมันอาจไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ เราวางแนวเอาไว้ว่าแผนปฏิบัติการนี้จะยึด 3 ร. คือ เร็ว รอบด้านและรอบคอบ”
“กรณ์ จาติวณิช” กล่าวอีกว่า ภายใต้แผนงานดังกล่าว ก็ได้วางกรอบในการหาเงินเพื่อมาใช้ ซึ่งจะมีการออก พ.ร.ก. ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นการใช้เพื่อลงทุนในโครงการลงทุน ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ได้ทันที รวมถึงการใช้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลัง กระทรวงการคลัง จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.2553 เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินได้ในวงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท
อีกส่วนหนึ่งก็จะออกเป็น พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในวงเงิน ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท กระทรวงการคลังจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค. 2554 ใช้เพื่อโครงการลงทุนตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ในช่วงปีที่ 2-3
“ที่ต้องแบ่งเงินออกเป็นสองส่วน ออกกฎหมายสองแบบนั้น ทางนายกฯ “อภืสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มองว่าเรื่องที่เร่งด่วนควรจะพิจารณาสิ่งที่เร่งด่วนจริงๆ ดังนั้นโครงการที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินเวลานี้ หรือเป็นแผนอีก 2-3 ปีข้างหน้า ก็ให้ไปทำเป็นพรบ.แทน อีกประการหนึ่งก็คือเพื่อทำให้เรามีความระมัดระวังในการบริหารเงินด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี”
ส่วนผลที่คาดว่าจะได้ก็คือผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทย จะปรับสูงขึ้นไปอยู่ระดับ 10 ล้านล้านบาท รายได้ต่อหัวจะเป็น 4,000 เหรียญสหรัฐ ในช่วงปลายปี 2554 และ ขณะที่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยปี 2552 ต้องยอมรับว่าจีดีพีจะติดลบที่ระดับร้อยละ -3.5 จากนั้นในปี 2554 จีดีพีจะเติบโตร้อยละ 4 และปี 2557 จีดีพีจะเติบโตร้อยละ 5.5แผนดังกล่าวยังจะช่วยลดการใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ซึ่งในปัจจุบันคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของต้นทุนรวม ลดการขนส่งทางถนนซึ่งมีประสิทธิภาพการใช้น้ำมันต่ำ ที่สำคัญแผนนี้จะช่วยสร้างงานทั้งหมดประมาณ 1.6-2.0 ล้านคน
“เรื่องของแรงงานนับว่าเป็นสิ่งที่จะเห็นได้ชัด เชื่อว่าเมื่อเราทำโครงการ ก็จะเกิดการจ้างงาน ทำให้ประชาชนกลับมามีรายได้และนำไปใช้จ่าย มันก็จะเกิดการหมุนเวียน ทำให้เศรษฐกิจมันเดินหน้าต่อไปได้”
แต่ไม่ใช่แค่การเปิดช่องการกู้เงินไว้เท่านั้น รมว.คลัง บอกอีกว่า รัฐยังได้เปิดช่องเพื่อที่เพิ่มรายได้ด้วยการปรับเพิ่มภาษี แต่การปรับเพิ่มภาษีนี้จะไม่กระทบต่อประชาชนที่ใช้ชีวิตทั่วไปแ คือการปรับเพิ่มภาษีสุรา เบียร์ ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็จะมีรายได้เข้ามาส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มากก็ตาม อีกอย่างหนึ่งก็คือ ความต้องการให้ประชาชนลดการบริโภคสิ่งที่ไม่จำเป็นลงไป แล้วในอนาคตก็จะมีการปรับภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มเติมด้วย ซึ่งต้องรอการออกพรก.ให้เรียบร้อยเสียก่อน
ทั้งหมดนี้เป็นภาพรวมของแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2552 หรือ โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่ง “กรณ์” รมว.คลัง กล่าวยืนยันชัดเจนว่า จะพยายามติดตามและดูแลการใช้เงินเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณากลั่นกรอง และดูแลความคืบหน้าของโครงการต่างๆ รวมทั้ง รายงานความคืบหน้าต่อ ครม.และรัฐสภา โดยอาจให้นายกรัฐมนตรีมานั่งเป็นประธาน เพราะมันเกี่ยวข้องทุกกระทรวง
ส่วนปัญหาเรื่องการเมืองที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานนั้น เชื่อว่าเมื่อทำความเข้าใจและได้หารือกับทุกฝ่ายแล้ว จะปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน
“มีคนหลายคนถามว่า การออกกฎหมายเพื่อกู้เงินมาทำโครงการ มันจะคุ้มหรือไม่ ซึ่งผมเชื่อว่าใครที่อยู่ตรงนี้ก็ต้องทำแบบเดียวกัน หากรัฐไม่ทำแล้วใครจะทำ เพราะเอกชนมันหยุดไปแล้ว การลงทุนต่างประเทศมันหายไปหมด เพียงแต่เราต้องทำความเข้าใจและชี้แจงถึงความจำเป็นและสิ่งที่ประชาชนจะได้ให้ตรงกัน แล้วก็พยายามระมัดระวังในการเลือกโครงการ การใช้เงิน ถ้าไม่ทำผมว่ามันเสี่ยงมากกว่านี้ แล้วหากโครงการเหล่านี้เดินหน้าได้ตามแผน ผมว่ามันจะเห็นผลได้เร็ว ใช้เวลาไม่นาน” กรณ์ จาติกวณิช กล่าวทิ้งท้ายอย่างเชื่อมั่น
http://www.siamrath.co.th/uifont/Articl ... &acid=3265