"ความจริง"วันนี้ (ฉบับไทยโพสต์นะ ไม่ใช่ของสามเกลอหัวกลม)

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

"ความจริง"วันนี้ (ฉบับไทยโพสต์นะ ไม่ใช่ของสามเกลอหัวกลม)

Postby tman » Mon Oct 13, 2008 8:28 am

"ความจริง"วันนี้

12 ตุลาคม 2551 กองบรรณาธิการ


"เวลาข้อเท็จจริงมันดำรงอยู่ในสภาพของความขัดแย้งสูง สิ่งที่ความขัดแย้งสูงหรือสงครามทำลายก่อน คือความจริง
มีคำกล่าวในภาษาอังกฤษ In war truth is the first casualty แปลว่า

ในสงคราม ความจริงเป็นเหยื่อเป็นรายแรกไม่ใช่มนุษย์"


"งานชิ้นหนึ่งที่ผมทำชื่อความรุนแรงกับการจัดการความจริง ผมอยากจะดูว่า เวลาเกิดความรุนแรงขึ้น
ความจริงมีสภาพอย่างไร เวลาที่เกิดความขัดแย้งที่แรงมากๆ ความจริงมีสภาพอย่างไร และมันถูกใช้อย่างไร
โดยสภาพของสังคมไทยวันนี้คุณดูข่าวจากภาครัฐบาล ดูข่าวจาก ASTV คุณคิดว่านั่นคือความจริงเหรอ
มันก็เป็นชิ้นส่วนของความจริงซึ่งแต่ละฝ่ายนำเสนอ แน่นอนถ้าเราดูแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ผลที่ออกมาก็คือเราก็จะสร้างโลกบนฐานของชุดของความจริงชุดหนึ่ง
ฉะนั้นสิ่งที่อาจจะสำคัญกว่าก็คือจะทำให้สังคมไทยอยู่รอดในอนาคต
เราจะต้องพัฒนาทัศนคติต่อความจริงในอีกลักษณะหนึ่งหรือเปล่า สิ่งที่เราได้รับไม่ว่าจะสื่อแบบไหน
คุณจะอ่านมติชน ไทยโพสต์ บางกอกโพสต์ คมชัดลึก ควรจะมองมันในลักษณะไหน
ผมคิดว่าอันนี้คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทย"


สื่อตอนนี้ก็เป็นปัญหามาก


"สื่อตอนนี้เป็นปัญหาเพราะตัวสังคมไทยอยู่ในความขัดแย้งแบบที่ผมว่า สื่อก็ไม่พ้น
แล้วเวลาเราเรียกร้องว่าสื่อจะต้องเป็นกลาง ผมก็ไม่แน่ใจว่าความเป็นกลางหมายถึงอย่างไร
แล้วเราสามารถนำเสนอได้ให้มันรอบด้านจริงหรือเปล่า มันก็อาจะเป็นไปไม่ได้ ก็ทำเท่าที่สามารถสะท้อน
ความเป็นจริงที่เขาสะท้อนมันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้นปัญหาใหญ่ก็อยู่ที่ผู้รับสารเองจะต้องตั้งข้อสังเกตตั้งแต่ต้นว่าเวลา รับสารจากสื่อ เราจะรับด้วยทัศนะแบบไหน
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราควรจะเชื่อทุกอย่างที่สื่อบอก เชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอก หรือเราควรจะตั้งข้อสังเกต
ควรจะตั้งข้อสงสัย ควรจะมีทัศนะในเชิงวิพากษ์ต่อทุกอย่าง แม้แต่ที่ผมพูดก็ตาม
เวลาที่ผมสอนนักศึกษาที่จริงก็ไม่ได้อาศัยอะไรพิสดาร ผมคิดว่าหลักการทางพุทธศาสนาแนวคิดกาลามสูตร
อย่าเชื่อที่บอกต่อๆ กันมา สมัยศตวรรษที่ 21 ก็คือ อย่าเชื่อเพราะสื่อบอก อย่าเชื่อเพราะคนบอกเป็นครูของท่าน
อย่าเชื่อพวกอาจารย์นักวิชาการทั้งหลาย หรือใครก็ตามที่ออกมาเป็นผู้นำทางความคิดแล้วก็บอก
คุณอย่าไปเชื่อของพวกนี้ คุณก็ต้องใช้วิจารณญาณของตัวเอง แล้วจะคิดอย่างไร ก็อย่ารับสื่อทางเดียว
อย่ากินของอยู่อย่างเดียว ทำได้ไหมล่ะ"


มันก็ไม่ใช่แค่นั้น สังคมไทยตัดสินกันด้วยกระแสสังคม การนำเสนอของสื่อ การชี้นำของสื่อ
บวกกับนักวิชาการที่ออกมาให้ความเห็น มันเอาชนะกันตรงนี้ ซึ่งถ้ากระแสตัวนี้เอียงข้าง
มันก็จะทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบ


"สมมติเราหน้าที่ในฐานะเป็นนักวิชาการ สิ่งที่เราบอกได้ก็คือ
เวลาข้อเท็จจริงมันดำรงอยู่ในสภาพของความขัดแย้งสูง สิ่งที่ความขัดแย้งสูงหรือสงครามทำลายก่อน คือความจริง
มีคำกล่าวในภาษาอังกฤษ In war truth is the first casualty แปลว่า
ในสงครามความจริงเป็นเหยื่อเป็นรายแรกไม่ใช่มนุษย์ ผมแปลต่อไปว่า
ในความขัดแย้งที่รุนแรงขณะนี้เหยื่อรายแรกต้องถูกทำลาย เพราะฉะนั้นเวลาฟังเรื่องจากฝั่งตำรวจก็ออกมาอย่างหนึ่ง
เวลาฟังเรื่องจากเหยื่อที่เขาได้รับอีกอย่าง แต่ข้อเท็จจริงคือเด็กอายุยี่สิบตาย เขามีพ่อมีแม่ อันนี้ของจริง มันมีคน
400 กว่าคนบาดเจ็บ มันมีคน 9 คนเสียแขนเสียขาไป จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่
คนอื่นมายิงเขาหรือกระทั่งเขาหยิบอะไรไป ทั้งหมดนี้คือเหยื่อของความรุนแรงที่สังคมไทยทั้งอันต้องรับผิดชอบ"

ตอนนี้ก็กำลังจะเอาเหยื่อของความรุนแรงมาใช้เอาชนะกัน โดยอาศัยกระแสสังคม
แต่ภาพที่สังคมเห็นคือประจันหน้ากันทั้งคู่ ตำรวจก็รุนแรง พันธมิตรฯ ก็มีระเบิด



"ผมก็ยังใช้สมมติฐานแบบงี่เง่าของผมต่อไป แบบไร้เดียงสาของผม
คือว่ายังไม่มีหลักฐานยังไม่รู้แน่นอนว่ามีอาวุธหรือไม่มีอาวุธเต็มที่หรือ ไม่ แต่มันไม่ต้องมีก็อย่างที่ผมบอก
ถ้ามันมีธงแล้วธงมันแหลมแบบที่ถูกแทง แค่นี้ก็เป็นความรุนแรงแล้ว มีหนังสติ๊กไม่ต้องมีปืนกล
แต่หนังสติ๊กทำให้ตาบอดก็ได้ ฉะนั้นการใช้สันติวิธีที่มีส่วนผสมของความรุนแรงอยู่ในตัว
ในทางหลักวิชาก็คือมันไปลดทอนความชอบธรรมของกระบวนการสันติวิธีแบบนั้น ตลอด
ถ้าคุณยังเป็นกระบวนการสันติวิธีคุณต้องไม่มีอาวุธและความรุนแรงเหล่านั้น อยู่ คุณต้องคุมขบวนคุณให้ได้
ไม่เช่นนั้น ยิ่งคุณใส่อันนี้เข้ามา ไม่ว่าจะด้วยการออกแบบหรือโดยบังเอิญ
ถ้าโดยออกแบบก็เป็นปัญหาของผู้นำทั้งหลายอยู่แล้ว ถ้าโดยบังเอิญก็แปลว่าคุณไม่สามารถควบคุมขบวนของคุณได้
ผลที่เกิดขึ้นก็คือความชอบธรรมของคุณก็จะลดลง และก็เพิ่มความชอบธรรมให้เจ้าหน้าที่รัฐที่จะใช้อาวุธเล่นงาน"


"ภาครัฐเองบอกว่าจะจัดการกับฝูงชนโดยละมุนละม่อม ไม่ใช้กำลัง
มันก็ต้องอธิบายให้ได้ว่าที่เขาแขนขาดขาขาดเพราะอะไร แล้วคุณก็ไปกล่าวหาเขา
คือเวลาคุณบอกว่าเอาเหยื่อของความรุนแรงมาเป็นเครื่องมือ แสดงว่าเวลานี้เหยื่อถูกกระทำความรุนแรงซ้ำหรือเปล่า
โดยการถูกเอามาใช้ เราเห็นเหยื่อว่าเป็นญาติพี่น้องของเราได้ไหม เด็กผู้หญิงคนนี้อายุยี่สิบเอง
เขายังมีอนาคตอีกมาก อนาคตทั้งหมดหยุดลง คือบาปมันติดอยู่กับสังคมไทยนะ และมันก็ติดอย่างนี้มานานแล้วด้วย
ไม่รู้นะ ขนลุกขนพองมากเลยเพราะก่อนที่จะเกิดเหตุนี้ มันผ่าน 6 ตุลาวันเดียวเอง และ 6
ตุลามีเหตุการณ์อะไรขึ้นในบ้านเมืองก็เห็น และถึงวันนี้บาดแผลนั้นก็ไม่ได้หายไปเลยนะ ยังซึมๆ อยู่ตามที่ต่างๆ
คนก็ยังมีชีวิต แล้วมันก็เกิดอีก 30 ปีผ่านไป เศร้ามาก และก็เอาเหยื่อพวกนี้มาใช้
มันน่าเศร้าเพราะว่าเราน่าจะมีบทเรียนกับสิ่งเหล่านี้ แต่คล้ายๆ เรามีบทเรียนแล้วไม่ค่อยจำ"


จะเปรียบเทียบ 6 ตุลากับเหตุการณ์นี้อย่างไร
"ในกรณีนั้นความขัดแย้งมันยังไม่ฉีกร่างของสังคมไทยขนาดนี้ 6 ตุลา มีฝ่ายซ้าย ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายซ้าย
ขณะเดียวก็อาจจะมีคนกลุ่มต่างๆ เยอะแยะ"


แต่ก็ปลุกความเกลียดชังกันรุนแรงเหมือนกัน
"มันก็มีความเกลียดชังแต่ว่าคนตรงกลางยังมีอยู่เยอะ
เวลานี้ผมไม่รู้เลยว่าคนที่เป็นกลางมีเยอะอย่างที่เราคิดว่ามีหรือเปล่า คนกลางๆ มีเยอะจริงหรือ
หรือว่าขณะนี้สังคมได้แบ่งฝ่ายอย่างค่อนข้างชัดเจนไปแล้ว ภาคเหนือภาคอีสานก็เหมือนกับอยู่ฝ่ายหนึ่ง ภาคใต้
กรุงเทพฯ ก็อยู่อีกฝ่าย ในบ้าน ในครอบครัว ในชุมชน เหมือนจะพูดจากันไม่ได้
หนังสือพิมพ์เราก็รู้ว่าฉบับนี้จะพูดอะไร ตกลงก็กลายเป็นอย่างนี้ไป สมัยโน้นมันไม่เกิด และถ้าใครทำแบบนี้
จำได้ไหมหลัง 6 ตุลาหนังสือพิมพ์ที่เจ๊งก่อนคือหนังสือพิมพ์เจ้าพระยาที่รัฐบาลออกเอง
ไม่นานมันก็เป็นเศษกระดาษไป แต่ขณะนี้ไม่ใช่ มันเป็นยุคเทคโนโลยีข่าวสารและมันก็เร็วมาก
และข่าวสารพวกนี้ก็ลงไปในสื่อ อันนี้อันตรายกว่าเยอะ"


6 ตุลาไม่เหมือนตอนนี้ที่ต่างฝ่ายต่างอยากปะทะกัน
"ผมยังไม่อยากจะวิเคราะห์กรณี 6 ตุลา ผมแค่อยากจะบอกว่าความรุนแรงที่เกิดในครั้งนั้น
และคนที่โดนจำนวนหนึ่งก็เป็นนักศึกษา มันก็ตลกมากเลยนะ คือ ณ
เวลานี้คนที่กล่าวหาฝ่ายขวาฝ่ายซ้ายสมัยก่อนวันนี้ตัวละครก็ยังอยู่ ในสภาวันนั้นก็มีการกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่ง
พวกนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน ใช้คำแบบนี้ มันยังมีร่องรอยของความรู้สึกแบบนั้นและมาถึงยุคนี้"
มันสลับข้าง แต่ไม่เรียนรู้ที่จะยับยั้งความรุนแรง


"ไม่เรียนรู้ที่จะเห็นว่าอันตรายของความรุนแรงคืออะไร และจะมีผลอย่างไรต่อสังคมไทยในระยะยาว"
แม้แต่คนที่เคยเป็นเหยื่อ 6 ตุลาเอง


"ไม่รู้ ผมไม่กล้าพูดแทน ผมอยากจะพูดอะไรที่พูดถึงตัวสังคมไทย แต่ผมคิดว่าต้องฟังคนที่เป็นเหยื่อจริงๆ
เหยื่อ 14 ตุลา เหยื่อ 6 ตุลา พฤษภา 35 คนเหล่านั้นใครรับผิดชอบกับชีวิตที่หายไป
คือจะใช้คนที่เคยตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางการเมืองเป็นอนุสติให้สังคม ไทยหน่อยได้ไหม อันนี้สำคัญกว่า
ถ้าจะเป็นอนุสติให้กับสังคมไทยได้ คล้ายๆ จะได้เลือกว่าอย่ามีอย่างนี้เกิดขึ้นอีกเลยนะ พอได้แล้วนะ
ทะเลาะกันก็ทะเลาะกันไปเถอะ แต่อย่าให้เกิดเหตุอย่างนี้อีกเลย"

คนรุ่น 6 ตุลา ที่มีบทบาทในปัจจุบันยังคิดจะเอาชนะกันด้วยความรุนแรง ยังใช้ปีศาจวิทยา

"อันนี้มันไม่ใช่ปัญหาของคนที่เป็นทายาทของเดือนตุลา
แต่หมายความว่าความขัดแย้งทุกชนิดเวลาที่มีลักษณะแบบนี้มันก็จะนำมาสู่ความ รุนแรง
ถ้ายังอาศัยปีศาจวิทยาแบบนี้มันก็เปิดประตูรอให้เกิดความรุนแรง ไม่ว่าปากจะพูดอะไรแต่ถ้าใส่ความเกลียดชังลงไป
ทำให้ทุกคนเชื่อฟังคนที่นำอย่างเดียว มันก็กลายเป็นปัญหาอย่างนี้
แทนที่จะมีหลักในทางกาลามสูตรบ้างในระบบคิดของสังคม จะได้ยับยั้งชั่งใจ จะได้ตั้งข้อสังเกต
จะได้ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นทุกอย่าง ประชาชนก็ควรจะตั้งข้อสังเกตกับทั้ง 2 ฝ่าย สื่อเองต้องระมัดระวัง ต้องตั้งข้อสังเกต
อย่าเชื่ออะไรง่าย"


อ.เกษียรเคยตั้งข้อสังเกตว่า ASTV สร้างม็อบพันธมิตรฯ เหมือนเรียลลิตี้โชว์ อาจารย์มองอย่างไร
"บางทีคนในยุคสมัยนี้ก็น่าเห็นใจนะ มันเป็นยุคสมัยซึ่งความโดดเดี่ยวมีสูง คนในเมือง
คนในยุคสมัยใหม่ความโดดเดี่ยวมีสูง ชีวิตอาจจะมีความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ เล่นหุ้นประสบความสำเร็จ
เวลาตัวเองเดือดร้อนก็โมโหคนที่ทำให้หุ้นตกอะไรต่ออะไร
เวลาเหตุการณ์เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าโอกาสทางเศรษฐกิจของตัวเองสูญเสียไป นั่นก็เรื่องหนึ่ง
แต่อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือว่าอยู่ๆ ไปคล้ายๆ ความหมายของชีวิตของฉันอยู่ตรงไหน
ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เรากำลังเห็นมันอาจจะคือส่วนเติมเต็มความหมายชีวิต ให้คนจำนวนมาก
และมันมีความสำคัญจริงๆ เพราะว่าสำหรับเขามันมีความหมาย เพราะฉะนั้นคนที่ไปทั้งหลายทั้งปวง
สมมติคนที่ไปหาพันธมิตรฯ ก็เพราะว่าพันธมิตรฯ ตอบคำถามบางอย่างที่ลึกซึ้งให้กับเขาได้
ในความปรารถนาของเขา เขามีชุมชนของเขา เขากลายเป็นคนที่รู้จักกัน และเขาก็รักกันจริงๆ นะ ซึ่งน่าสนใจ"

"ปรากฏการณ์นี้น่าสนใจมาก เพียงแต่มันอันตรายตรงที่ว่าถ้ารักต้องขยายความรักออกไปให้ไกล
บังเอิญความรักนี้คล้ายๆ มีเส้นแบ่ง ที่สำคัญมันเป็นกระบวนการสร้างกำแพง กำแพงนี้มีประโยชน์มากนะครับ
เพราะทำให้คนที่อยู่ในกำแพงอบอุ่น รู้สึกปลอดภัย แต่เพราะเป็นกำแพงมันเลยมีปัญหา มันมองคนอื่นเขาไม่ค่อยเห็น
มันจะยื่นมือออกไปสัมผัสคนอื่นเขาไม่ได้ และคนที่อยู่นอกกำแพงใหญ่บางทีก็กลายเป็นภัยอันตรายที่จะมาคุกคามเรา
มันก็เป็นอันตราย"


"แต่ว่ามนุษย์ก็ปรารถนาความหมาย ศาสนา
สถาบันทั้งหลายที่ให้ประโยชน์ให้ความหมายกับมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญทั้ง สิ้น เราถึงแสวงหาสิ่งนี้ตลอดมา
สังคมที่เป็นสมัยใหม่วิธีให้ความหมายคือให้จากจุดต่างๆ เทคโนโลยีก็มีส่วน
พอมีส่วนร่วมทางการเมืองก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ ก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในสังคม
ฉะนั้นเพื่อนผมที่เป็นนักมานุษยวิทยาบอกว่าแปลกมาก
เพราะสมัยก่อนคนที่ไปอยู่บนถนนเวลามีการประท้วงก็คือคนแบบหนึ่ง ที่โทร.ตามคือพ่อแม่ เวลานี้กลับกัน
คนที่ลงไปเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายเต็มไปหมด".
User avatar
tman
 
Posts: 6
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:18 am

Re: "ความจริง"วันนี้ (ฉบับไทยโพสต์นะ ไม่ใช่ของสามเกลอหัวกลม)

Postby katindork » Mon Oct 13, 2008 11:05 am

ฝากถามถึงผู้เขียนบทความว่า
ตอนนี้เราอยู่ในสภาวะสงครามแล้วหรือยัง
สงครามสื่อ สงครามมวลชน สงครามอำนาจทางการเมือง สงครามที่วาดฝันสังคมในอนาคตของเรา
จนกระทั่งสงครามตามรูปแบบดาดดื่นที่หยิบอาวุธมาห้ำหั่นกัน

ต้องถามว่าตอนนี้เป็นสภาวะสงครามหรือไม่
ถ้าใช่ก็ป่วยการที่จะเปลี่ยนความจริงเป็นกลีบกุหลาบ
เพราะมันคือสงคราม
สงครามมีบาดแผลในใจเสมอ ความภูมิใจไม่ได้อยู่ที่แพ้ชนะ
แต่อยู่ที่ความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ
katindork
 
Posts: 995
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:00 am


Return to สภากาแฟ



cron