ไทยไม่ได้ใกล้เสียดินแดนหรอกค่ะ แต่มีความพยายามของบุคคลบางกลุ่มที่พยายามชี้ให้เห็นว่า
ดินแดนนั้นเป็นของเขมรมาก่อน
ไม่ทราบว่ามันเป็นคนไทยหรือเปล่าเพราะว่าปราสาทมันยังเขียนไม่ถูกเลย
อธิฏฐาน wrote:ไทยไม่ได้ใกล้เสียดินแดนหรอกค่ะ แต่มีความพยายามของบุคคลบางกลุ่มที่พยายามชี้ให้เห็นว่า
ดินแดนนั้นเป็นของเขมรมาก่อน
ไม่ทราบว่ามันเป็นคนไทยหรือเปล่าเพราะว่าปราสาทมันยังเขียนไม่ถูกเลย
ผมว่า กว่าครึ่งหนึ่ง คนไทย ไม่เคยรู้ว่า ปราสาจ เขาพระวิหาร เป็นของเขมรมาก่อน
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P809535พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส4/P8095354.html
สรุปว่า หากทั้งสองฝ่ายได้พยายามหาทางเจรจาประนีประนอมในปัญหาปักปันเขตแดนด้วย มาตรการที่โปร่งใส มีหลักเกณฑ์สากล และด้วยสันติวิธี ความสัมพันธ์ที่เคยมีไมตรีต่อกันมา ก็น่าจะได้รับการฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
เครดิต : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=howkky&group=4
ขอบคุณ..คุณ howk_ky
กรุงแตก
เคย คิดเล่นๆว่า ทำไมน้า กรุงศีอยุธยาถึงถูกพม่าตีแตก มันเป็นความรู้สึกที่ว่า เพราะอะไรกันแน่ เราถึงต้องเป็นประเทศราชพม่าถึง 2 ครั้ง
เราถูกสอนว่าในห้องเรียนประวัติศาสตร์ว่า "เพราะเราขาดความสามัคคี เราถึงต้องเสียบ้านเสียเมือง" ไม่เถียงหรอกว่านั่นไม่จริง ใช่!!! มันคือความจริงว่า เราแตกความสามัคคี แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุเริ่มแรกหรอก
ในทางพระพุทธศาสนา เรารู้กันว่า สิ่งนี้ก่อให้เกิดสิ่งนั้น ตามหลักปฏิจสมุปบาท ถ้าการแตกความสามัคคีทำให้เราต้องเสียกรุง แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้เกิดการแตกความสามัคคี
หลังจากใช้รอยหยักในสมองอันน้อยนิดคิดและประมวลผลออกมาแล้ว ทำให้ได้คำตอบว่า "เพราะความคิดเห็นของคนในชาติที่แตกต่างกันนั่นเอง ที่ทำให้เราแตกความสามัคคี" ให้มองในแง่ดีที่สุด เมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 1 เป็นเพราะสมเด็จพระมหาธรรมราชากับสมเด็จพระมหินทร์ไม่ถูกกัน มีความคิดเห็นไปคนละทาง ไม่ต้องมองในแง่ร้ายถึงขั้นที่ว่า มีบุคคลในชาติไม่ประสงค์ดีต่อแผ่นดินแม่ของตัวเองก็ได้
เรา ไม่อาจจะรู้ได้ว่า ใครมีความคิดหรือความต้องการอย่างไร และเพื่ออะไร แต่การกระทำและผลที่แสดงออกในภายหลังจะเป็นคำตอบเองว่า แท้ที่จริงแล้ว คุณมีความจริงใจต่อประเทศชาติมากแค่ไหน ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่า ทั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระมหินทร์ต่างก็รักชาติทั้งสองพระองค์ ทรงอยุ่ในฐานะของพระมหากษัตริย์ของเรา ทำทุกๆอย่างเพื่อบ้านเมือง เพื่อกรุงศรีอยุธยา วิธีการอาจจะต่างกัน ผลลัพท์อาจจะต่างกัน แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตารมณ์ที่แท้จริงที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกรุง ศรีอยุธยา
เราอาจจะรบจนตัวตาย ไม่ยอมแม้จะก้มหัวเพื่อรักษาชีวิต ก็เพราะความรักชาติยิ่งชีพ อย่างที่สมเด็จพระมหินทร์ทรงมี
เราอาจจะยอมก้มหัว เสียเกียรติ เพื่อรอวันเอาคืน ก็เพราะความรักชาติยิ่งเกียรติศักดิ์ อย่างที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงเป็น
อย่างไหนล่ะ ที่ถูกต้อง เราไม่อาจตัดสินได้ เพราะมันก็เป็นเพียงวิ๔ีทางที่ต่างคนต่างเลือกเดิน เลือกทำ
ครั้งแตกครั้งที่ 2 อาจเป็นเรื่องราวที่ทำให้หลายคนสะเทือนใจ "เราไม่ได้แพ้ เพราะเราประมาทเพียงอย่างเดียว เราขาดความสามัคคี แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น เราขาดอุดมการณ์ในการรักษาบ้านเมืองร่วมกัน"
ต่าง คนต่างก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเอง ทางรอดตายของตัวเอง แต่ในครั้งนั้นก็ยังโชคดีที่ยังมีกลุ่มคนที่กล้าหาญฉุดเราขึ้นมาจากเหวลึก ที่มืดมน ทำให้เรากลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง ถึงแม้จะต้องถึงจุดสิ้นสุดแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ความเป็นไทยก็มิได้จางหายไป มันยังคงอาบอยู่ในเนื้อหนัง ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดคนทุกคนจนถึงวันนี้ อย่างน้อย เราก็สามารถรักษาเผ่าพันธุ์และแผ่นดินของเราไว้ได้ ไม่ต้องสูญสิ้นชาติ ไร้แผ่นดินอย่างเช่นหลายเผ่าพันธุ์บนโลกใบนี้ ดังนั้น เราควรจะภูมิใจและระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษของเราให้มาก
หาก เมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 1 เราไม่มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงเติบใหญ่มาพร้อมกับพระราชภารกิจกอบกู้ชาติบ้านเมือง วันนี้ เราจะสามารถเรียกตัวเองว่า "คนไทย" ได้หรือ เราจะยังมีแผ่นดิน"ของเรา"ให้ได้ยืนเต็มฝ่าเท้าหรือ เราจะยังมีฟ้า"เืมืองไทย"ให้มองอีกหรือ
หาก เมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 2 เราไม่มีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผู้ทรงมุ่งมั่นจะกอบกู้เอกราชของเราคืนมา วันนี้ เราจะมีกรุงรัตนโกสินทร์ เราจะได้เห็นวัดพระแก้วอันงดงาม เราจะได้ร้องเพลงชาติไทยตอน 8 โมงเช้า เราจะยังได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์หรือ และที่สำคัญ เราจะได้รับการปลดปล่อยจากทาสให้เป็นไท และประชาธิปไตยที่เราบูชากันนักได้อย่างไร
กรุงแตกทั้ง 2 ครั้ง เรามีผู้มากอบกู้ ฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ เหมือนที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า "กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี" แต่วันนี้กรุงศรีอยุธยาสิ้นสุดยุคสมัยไปแล้ว เราอยู่ในยุคสมัยของกรุงเทพฯ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่า "แล้วกรุงเทพฯ จะยังเหลือคนดีหรือไม่"
ตั้งแต่ มีกรุงเทพมหานครมากว่า 200 ปี เราจวบเจียนจะล่มกันมาก็หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ รศ.112 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่เราเกือบจะต้องเสียกรุงอีกครั้ง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และคนไทยผู้มีความรู้ความสามารถในขณะนั้น ที่ร่วมมือกันทำทุกวิถีทางให้เรายังคงธำรงความเป็น"ชาติ"และรักษาความเป็น"ไท"อยู่ ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่หากว่าสมเด็จพระปกเกล้าฯ มิทรงยินยอมแล้ว เลือดไทยคงจะนองทั่วพื้นปฐพีเป็นแน่
อย่างนี้แล้ว เราคงจะเชื่อได้ว่า "กรุงเทพฯ ก็ไม่สิ้นคนดีเช่นกัน"
ในภาวะที่ยากลำบากของบ้านเมืองที่มองไปทางใดก็มีแต่ความขัดแย้ง แล้วจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้ เราคงไม่อาจหวังได้หรอกว่า จะมี "คนดีศรีกรุงเทพฯ" มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ อย่างเช่น "คนดีศรีอยุธยา" เพราะความซับซ้อนของสถานการณ์มันต่างกันมากนัก ซ้ำยังเป็นการต่อสู้กันเองของคนในชาติที่มิใช่แค่การขาดความสามัคคี แต่มันเป็นภาวะเสื่อมคุณธรรมและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอย่างหน้ามืดตามัว
ภาวนาเหลือเกินว่า เราจะไม่ต้องเผชิญกับ "กรุงแตก ครั้งที่ 3 ด้วยน้ำมือคนบ้าหน้าเงิน" เพราะครั้งนี้ เราอาจไม่มีใครอาสาเป็น "คนดีศรีกรุงเทพฯ" มากู้บ้านเมือง เพราะคงถูกเงินฟาดหน้ากันจนไม่เหลือความเป็น "คนดีศรีกรุงเทพฯ" อีกแล้ว
นี่ ถ้าคณะราษฎร์รู้ว่าประชาธิปไตยมันยุ่งยากเกินไปสำหรับคนไทย วันที่ 24 มิถุนายน 2475 พวกเขาจะยังทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองกันอยู่มั้ยนะ ???
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2551
ScaRECroW wrote:น่าจะใครเป็นแกนนำทำเพ็ทติชั่น รวมกันลงชื่อ แล้วส่งไปประท้วงยูเนสโก้ ให้เป็นเรื่องเป็นราว นะครับ
อารยา wrote:นาง ฟรังซัวส์ ริเวียเร่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ฯมรดกโลกร่วมมือกับกัมพูชาให้มีการจ้างกลุ่มนักสำรวจโบราณสถานแห่งหนึ่งชื่อ ANPV [Autorite Nationale pour la Protection et le Developpement du site culturel et naturel de Preah Vihear (The National Authority for the Protection and Development of the Preah Vihear Natural and Cultural Site)] ประเมินคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ซ้ำจากที่ ICOMOS ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วในปี 2549 [เงื่อนไขความเป็นมรดกโลกของโบราณสถานแห่งนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ 3 Criteria I II IV –ตามมาตรฐานของยูเนสโกเอง]
อนาถา wrote:
ข้อเสนอแนะ
รัฐบาลจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับทั้งกัมพูชาและยูเนสโกว่า ความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนและรัฐบาลของทั้งกัมพูชาและไทยนั้น มีสาเหตุเป็นมาอย่างไร ไม่มีฝ่ายใด ไม่ว่าไทย กัมพูชา หรือ แม้แต่ยูเนสโกปราศจากข้อบกพร่องใดๆ แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้ ในเบื้องต้นจึงไม่มีทางออกใดดีไปกว่า
1. ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาวันที่ 18 มิถุนายน 2551
2. ยกเลิกมติของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32 วันที่ 7 กรกฎาคม 2551
หากทางการไทยมองว่าปล่อยไปเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ให้เงื่อนเวลาผ่านพ้นไปเอง ผลตามมาจะยิ่งสั่งสมความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
จนเป็นไปได้ว่าสงครามระหว่างสองประเทศไม่อาจหลีกเลียงได้ และนั่นย่อมมิใช่ทางออกที่ฝ่ายใดปรารถนา
สรุปว่า หากทั้งสองฝ่ายได้พยายามหาทางเจรจาประนีประนอมในปัญหาปักปันเขตแดนด้วยมาตรการที่โปร่งใส มีหลักเกณฑ์สากล และด้วยสันติวิธี ความสัมพันธ์ที่เคยมีไมตรีต่อกันมา ก็น่าจะได้รับการฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
ก็ผมเองยังไม่เชื่อว่าไทยจะต้องเสียดินแดน เพราะถ้าเชื่อเช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเปิดกระทู้นี้ และก็เพื่อทราบ ไม่ปรารถนาจะตอบโต้ให้เปลืองสมาธิ เออ แต่ถ้าถามว่า ไทยใกล้มีสงครามกับกัมพูชา? บางทีผมอาจจะเชื่อแฮะ เป็นงั้นไป
halfmoon Jul 11, 2009 12:44 am viewtopic.php?f=2&t=11478&start=100 wrote:อย่าง ไรก็ดีแถลงค์การร่วม ไม่ได้ถูกนำไปใช้แล้วนะครับเขมรก็ไม่ได้ใช้ ไม่มีผลใดๆแล้ว เข้าใจจุดนี้ก่อน อนาคตเกิดไรขึ้น จะโทษนภดลไม่ได้
หมายความว่าโจรกระทำการไม่สำเร็จ ก็ไม่ถือว่าเป็นโจรใช่มั๊ยครับ อาจจะคล้ายกับลูกเขยขโมยโฉนดพ่อตายไปขาย แต่ขายไม่ได้ เพราะคู่เขยมาทักไว้ก่อน แถมแม่ยายยังออกโรงปกป้องว่า มันยังไม่ได้ขาย มันขายยังไม่ได้ เพราะยังไง เพราะว่าหลังโฉนดประทับไว้ "ห้ามโอนภายในสิบปี" ดังนั้นมึงอย่ามาเห่า ตอนนี้โฉนดยังอยู่ในมือกู จงเล่าสู่กันฟังต่อไปทั่วประเทศว่าลูกเขยคนเล็กกูไม่ผิด เพราะว่ายังไงมันก็ยังขายไม่สำเร็จตามกฎหมายอย่างนั้นหรือเปล่าครับ
arch_freeman wrote:จขกท ตั้งกระทู้มีสาระ และ เข้าใจหาข้อมูล ไม่ไร้สาระเหมือนบางพวก
ผมขอร่วมแสดงความเห็นด้วยนะครับ
จุดหมายตอนนี้ ไม่ใช่ ว่าเราจะเอาตัวปราสาทที่แพ้คำตัดสินกลับคืนมา
แต่
ทางกองทัพและรัฐบาล ใช้วิธีการคงกำลังทหาร ในจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนรอบๆ ตัวปราสาท เพื่อทำให้เขมรไม่สามารถจัดทำรายงาน แผนพัฒนามรดกโลก ส่ง ยูเนสโกได้ทันตามกำหนด หรือ ทำไม่ได้เลย และ ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ยูเนสโก ก็ต้องถอน เขาพระวิหาร ออกจากทะเบียนมรดกโลก ตามระเบียบข้อบังคับของเขา
หลังจากนั้น ฝ่ายทหารและการเมือง จึง จะเริ่มเจรจาปักปันเขตแดนกับ กัมพูชา ให้เรียบร้อย แล้ว จึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการจดทะเบียนร่วมกัน แบบที่ทำ กับ ประเทศลาว
ในขณะที่่คงทหารไว้ ฝ่ายกัมพูชาย่อมแสดงอาการไม่พอใจ รมต ต่างประเทศ มีหน้ารักษาภาพของประเทศไทย ในฐานะ ประเทศที่ไม่ต้องการทำสงครามและยึดแนวทางสันติและการเจรจาเป็นหลัก สรุปคือ เขมรยิ่งอาละวาด เรายิ่งนิ่งแต่คงทหารไว้เฉยๆ เราก็จะได้เปรียบทั้งภาพลักษณ์ และ เป้าหมายที่มุ่งหวัง
นี่ีคือ แผนที่ทางรัฐบาลและทหารเขากำลังทำอยู่ ซึ่งผมคิดว่า ฝ่ายทหารและการเมืองทำถูกต้องแล้วครับ
คงไม่ต้องไปฟัง สนธิ ลิ้มทองกุล หรือ พันธมิตรบางคนที่ บอกให้ เอา F16 ไปถล่มพนมเปญ แล้ว ส่งกำลังทหารยึดตัวเขาพระวิหาร
อารยา wrote:ผมมองไม่เห็นว่ายุทธวิธีซึ่งต้องอาศัย "ความตึงเครียด" ที่ชายแดนเป็นปัจจัยร่วม จะทำให้ยูเนสโกถอนข้อเสนอของกัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าเป็น The Sacred Site of the ....หรือ The Temple of Preah... กันแน่
เพราะไม่ว่าจะมั่วกันอย่างไร ขั้นตอนต่อไปที่จะทำกันระหว่างกัมพูชากับยูเนสโกคือ ลงมติเด็ดขาดในกลางปีหน้าที่บราซิล ในกระบวนการนี้ก็แค่เพียงรอรายงานที่กัมพูชาจะพบกับไอซีซีในวันที่ 1 ก.พ. 53 เท่านั้น
ที่บอกว่า เราจะตรึงทหารไว้อย่างนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเมื่อทั้งสองฝ่ายตก็ตรึง ใครมากกว่าน้อยกว่าก็จะกลายเป็นการยั่วยุให้โอกาสที่สงครามระหว่างสองประทศจะอุบัติมีมากขึ้น มากกว่าโอกาสที่จะเห็นยูเนสโก"คาย" ข้อเสนอของกัมพูชาออกจากวาระการประชุม
อย่าลืมว่า แถลงการณ์ร่วม 18 มิถุนายน 2551 จะถูกนำมาแสดงในการประชุมที่บราซิลกลางปีหน้า เป็นหลักฐานเดียวและสำคัญที่สุดที่บอกว่าไทยให้ "active support" (แม้จะมีที่มาที่ไปที่โคตรหละหลวม ถ้าเราปล่อยไปมันจะแข็งโป๊กทันที) แต่ถ้าไทยใช้การทูตนำ วันนี้พรุ่งนี้ จะคุยทวิหรือมียูเนสโกมารับรู้พร้อมกันไปเลยก็ได้ ไทยมีแต่จะได้ผลในทางบวก เมื่อข้อเท็จจริงต่างๆได้รับการเปิดเผยมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่เต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้นและไม่โปร่งใสที่เป็นมาตั้งแต่ปี 2544 ระหว่าง 2 ผู้นำไทย-กัมพูชา
จริงอยู่ การยกเลิกการขึ้นทะเบียนมีปรากฏอยู่บ่อยๆ (อุทยานกรุงเก่าที่อยุธยาสองปีก่อนก็เกือบไป เพราะกรมศิลป์ไร้น้ำยา ต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งภายในสามชั่วโมงก็รื้อมลภาวะทางสายตาที่เรื้อรังมานับปีสำเร็จ) แต่นั่นต้องได้รับอนุมัติก่อน (คล้ายๆจะขออภัยโทษต้องนอนคุกก่อน)
ในกรณีปราสาทพระวิหาร การตัดสินขั้นสุดท้ายที่ยูเนสโกจะประชุมว่าจะเอาหรือไม่เอาคือมิถุนายน 2553 ที่บราซิล จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ แต่อย่ารอให้เลย 1 ก.พ. 53 เพราะวันนั้น กัมพูชา-ไทย-ไอซีซี มีกำหนดที่จะพบกันเป็นนัดสุดท้าย เพื่อรายงานให้ยูเนสโกทราบว่าพื้นที่บริหารจัดการตามที่ระบุใน "แผนที่ใหม่" มีพร้อม หรือไม่พร้อม อย่างไร
ถ้าเราตัดตอนก่อนถึงวันนั้นได้ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดที่บราซิล
ผมเข้าใจดีว่า วิธีที่ไทยใช้ก็อย่างที่คุณ arch_freeman พูดมานั่นแหละ
คุณครับ ผมเรียนแล้วว่า 1 ก.พ. 53 เป็นนัดครั้งสุดท้าย (once and for all)
1 กุมภาพันธ์ 2551 นัดครั้งแรก
1 กุมภาพันธ์ 2552 นัดครั้งที่สอง
ไม่ต้องบอกก็ได้นะครับ เราใช้วิธี "ดึง" มาตั้งแต่เชิญคุณเตชมาทำงานนี้ เราทำถึงขนาดไม่ตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะมีเมื่อไหร่ JBC ทำงานคล่องตัวทันที สรุปว่า เราดึงด้วยการทูตผ่าน bilateral talk แล้วจบที่คุณเตช เมื่อหาเจ๋งกว่านั้นไม่ได้เราก็เลิกคุยแล้วไม่ต้องมี JBC และนี่คือทำให้ไม่มีผลการปักปันเขตแดนของประเทศทั้งสองเกิดขึ้น ยิ่ง GBC ไม่ต้องพูดเลย หลังจากพล.อ. บุญสร้างไปแล้วก็จบ
ประเด็นที่ผมต้องการชี้คือ ในขณะที่เรามองว่าประสบความสำเร็จในการทำการทูตแบบ "moonlighting" แล้วให้มีการตรึงกำลัง
สถานะการขึ้นทะเบียนของกัมพูชากลับ "in-progress" เดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
ถ้าคุณจำนายกฯอภิสิทธิ์พูดเมื่อทราบข่าวจากคุณสุวิทย์ที่สเปนรายงานข้ามน้ำข้าทะเลว่า"การประท้วงยูเนสโกล้มเหลว" (27 มิถุนายนที่ผ่านมา)ได้ ก็จะต้องบอกว่า เราไม่ได้เปรียบ นายกฯพูดว่า "ผมยังไม่เห็นรายงานของกัมพูชาเดือนเมษายนที่ผ่านมาเลย" แปลความว่า ไม่มีไทยไปตามนัดทุกครั้ง เราก็ไม่รู้ว่าทำไมยูเนสโกรับรองกัมพูชามาตลอด แบบนี้เขมรจะรายงานว่าไทยให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง (เหมือนรายงานการประชุมที่นิวซีแลนด์มิถุนายน 2550 ที่เขียนแหกตาคนทั้งโลกว่าไทยให้ 'active support" และนั่นอย่าลืมว่ายูเนสโกเป็นเจ้สของรายงานการประชุมนั้นเอง อะไรทำให้ยูเนสโกให้ท้ายกัมพูชาถึงขนาดนั้นมีคำอธิบายแน่นอนครับ แต่เดี๋ยวจะยาว กลับมาประเด็นเก่าก่อนดีกว่า)ยูเนสโกก็แสร้งโง่ เหมือนในที่ประชุมกลางปีกลายที่คานาดาในการยอมรับแถลงการณ์ร่วมซึ่งเขียนทำนองเดียวกับรายงานการประชุมนิวซีแลนด์ที่ผมเอ่ยถึงในวงเล็บนั้นว่าไทยให้การสนับสนุน ทั้งๆที่ไม่มีเอกสารใดๆให้อ้างอิงว่าเป็นอย่างที่เขียนนั้น
ผมไม่เชื่อว่ายูเนสโกจะตัดสินไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในเดือนมิถุนายนปีหน้า
เพราะอีกไม่ถึง 5 เดือน (1 ก.พ.53) เขมรก็รู้ก่อนไทยว่าสามารถขึ้นทะเบียน (final) ได้ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ที่บราซิลในกลางปี ในขณะที่ไทยยังไม่เคยเห็น แม้แต่รายงานที่กัมพูชากับไอซีซี (unesco's proxy/originally ANPV)สมคบกันเขียนปิดปากไทยไปตั้งแต่ปี 2551
จากนั้น ต่อให้ไทยร้องแร่แห่กะเชอจนปากแหกดังไปทั้งโลกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย จ้างก็ไม่มีใครฟังคตรับ
ที่พูดว่าจะใช้วิธีสันติวิธีก็เลยสาย เหลือ 2 ทางเลือกที่สุดห่วย คือรบ หรือยอมเสียค่าโง่
ฝันกันไปเถอะครับว่า วิธีตรึงกำลังทหารยั่วยุให้เขมรคลั่ง จนผิดพลาดยิงเราก่อนนั้น จะได้ผล
เดือนที่แล้วที่รัฐบาลเลือกวิธีประท้วงยูเนสโก ผมยังดีใจแทบตายว่านั่นคือแนวที่ถูกต้องที่สุด
ผมยังประหลาดใจว่า ทำไมเปลี่ยนมาเป็นเอาการทหารมานำ เพราะการตรึงตึงตังที่พื้นที่ทับซ้อนโดยปราศจาก bilateral talk ทวิภาคี อย่าปฏิเสธว่าการทูตดลความสำคัญจนไม่เหลือ
และนั่นคือที่มาของกระทู้ ย้ำอีกคำรบหนึ่งครับ พี่น้อง
== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล == viewtopic.php?f=14&t=14102 -->
arch_freeman wrote:จขกท ตั้งกระทู้มีสาระ และ เข้าใจหาข้อมูล ไม่ไร้สาระเหมือนบางพวก
ผมขอร่วมแสดงความเห็นด้วยนะครับ
จุดหมายตอนนี้ ไม่ใช่ ว่าเราจะเอาตัวปราสาทที่แพ้คำตัดสินกลับคืนมา
แต่
ทางกองทัพและรัฐบาล ใช้วิธีการคงกำลังทหาร ในจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนรอบๆ ตัวปราสาท เพื่อทำให้เขมรไม่สามารถจัดทำรายงาน แผนพัฒนามรดกโลก ส่ง ยูเนสโกได้ทันตามกำหนด หรือ ทำไม่ได้เลย และ ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ยูเนสโก ก็ต้องถอน เขาพระวิหาร ออกจากทะเบียนมรดกโลก ตามระเบียบข้อบังคับของเขา
หลังจากนั้น ฝ่ายทหารและการเมือง จึง จะเริ่มเจรจาปักปันเขตแดนกับ กัมพูชา ให้เรียบร้อย แล้ว จึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการจดทะเบียนร่วมกัน แบบที่ทำ กับ ประเทศลาว
ในขณะที่่คงทหารไว้ ฝ่ายกัมพูชาย่อมแสดงอาการไม่พอใจ รมต ต่างประเทศ มีหน้ารักษาภาพของประเทศไทย ในฐานะ ประเทศที่ไม่ต้องการทำสงครามและยึดแนวทางสันติและการเจรจาเป็นหลัก สรุปคือ เขมรยิ่งอาละวาด เรายิ่งนิ่งแต่คงทหารไว้เฉยๆ เราก็จะได้เปรียบทั้งภาพลักษณ์ และ เป้าหมายที่มุ่งหวัง
นี่ีคือ แผนที่ทางรัฐบาลและทหารเขากำลังทำอยู่ ซึ่งผมคิดว่า ฝ่ายทหารและการเมืองทำถูกต้องแล้วครับ
คงไม่ต้องไปฟัง สนธิ ลิ้มทองกุล หรือ พันธมิตรบางคนที่ บอกให้ เอา F16 ไปถล่มพนมเปญ แล้ว ส่งกำลังทหารยึดตัวเขาพระวิหาร
อารยา wrote:ผมมองไม่เห็นว่ายุทธวิธีซึ่งต้องอาศัย "ความตึงเครียด" ที่ชายแดนเป็นปัจจัยร่วม จะทำให้ยูเนสโกถอนข้อเสนอของกัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าเป็น The Sacred Site of the ....หรือ The Temple of Preah... กันแน่
เพราะไม่ว่าจะมั่วกันอย่างไร ขั้นตอนต่อไปที่จะทำกันระหว่างกัมพูชากับยูเนสโกคือ ลงมติเด็ดขาดในกลางปีหน้าที่บราซิล ในกระบวนการนี้ก็แค่เพียงรอรายงานที่กัมพูชาจะพบกับไอซีซีในวันที่ 1 ก.พ. 53 เท่านั้น
ที่บอกว่า เราจะตรึงทหารไว้อย่างนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเมื่อทั้งสองฝ่ายตก็ตรึง ใครมากกว่าน้อยกว่าก็จะกลายเป็นการยั่วยุให้โอกาสที่สงครามระหว่างสองประทศจะอุบัติมีมากขึ้น มากกว่าโอกาสที่จะเห็นยูเนสโก"คาย" ข้อเสนอของกัมพูชาออกจากวาระการประชุม
อย่าลืมว่า แถลงการณ์ร่วม 18 มิถุนายน 2551 จะถูกนำมาแสดงในการประชุมที่บราซิลกลางปีหน้า เป็นหลักฐานเดียวและสำคัญที่สุดที่บอกว่าไทยให้ "active support" (แม้จะมีที่มาที่ไปที่โคตรหละหลวม ถ้าเราปล่อยไปมันจะแข็งโป๊กทันที) แต่ถ้าไทยใช้การทูตนำ วันนี้พรุ่งนี้ จะคุยทวิหรือมียูเนสโกมารับรู้พร้อมกันไปเลยก็ได้ ไทยมีแต่จะได้ผลในทางบวก เมื่อข้อเท็จจริงต่างๆได้รับการเปิดเผยมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่เต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้นและไม่โปร่งใสที่เป็นมาตั้งแต่ปี 2544 ระหว่าง 2 ผู้นำไทย-กัมพูชา
จริงอยู่ การยกเลิกการขึ้นทะเบียนมีปรากฏอยู่บ่อยๆ (อุทยานกรุงเก่าที่อยุธยาสองปีก่อนก็เกือบไป เพราะกรมศิลป์ไร้น้ำยา ต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งภายในสามชั่วโมงก็รื้อมลภาวะทางสายตาที่เรื้อรังมานับปีสำเร็จ) แต่นั่นต้องได้รับอนุมัติก่อน (คล้ายๆจะขออภัยโทษต้องนอนคุกก่อน)
ในกรณีปราสาทพระวิหาร การตัดสินขั้นสุดท้ายที่ยูเนสโกจะประชุมว่าจะเอาหรือไม่เอาคือมิถุนายน 2553 ที่บราซิล จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ แต่อย่ารอให้เลย 1 ก.พ. 53 เพราะวันนั้น กัมพูชา-ไทย-ไอซีซี มีกำหนดที่จะพบกันเป็นนัดสุดท้าย เพื่อรายงานให้ยูเนสโกทราบว่าพื้นที่บริหารจัดการตามที่ระบุใน "แผนที่ใหม่" มีพร้อม หรือไม่พร้อม อย่างไร
ถ้าเราตัดตอนก่อนถึงวันนั้นได้ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดที่บราซิล
ผมเข้าใจดีว่า วิธีที่ไทยใช้ก็อย่างที่คุณ arch_freeman พูดมานั่นแหละ
คุณครับ ผมเรียนแล้วว่า 1 ก.พ. 53 เป็นนัดครั้งสุดท้าย (once and for all)
1 กุมภาพันธ์ 2551 นัดครั้งแรก
1 กุมภาพันธ์ 2552 นัดครั้งที่สอง
ไม่ต้องบอกก็ได้นะครับ เราใช้วิธี "ดึง" มาตั้งแต่เชิญคุณเตชมาทำงานนี้ เราทำถึงขนาดไม่ตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะมีเมื่อไหร่ JBC ทำงานคล่องตัวทันที สรุปว่า เราดึงด้วยการทูตผ่าน bilateral talk แล้วจบที่คุณเตช เมื่อหาเจ๋งกว่านั้นไม่ได้เราก็เลิกคุยแล้วไม่ต้องมี JBC และนี่คือทำให้ไม่มีผลการปักปันเขตแดนของประเทศทั้งสองเกิดขึ้น ยิ่ง GBC ไม่ต้องพูดเลย หลังจากพล.อ. บุญสร้างไปแล้วก็จบ
ประเด็นที่ผมต้องการชี้คือ ในขณะที่เรามองว่าประสบความสำเร็จในการทำการทูตแบบ "moonlighting" แล้วให้มีการตรึงกำลัง
สถานะการขึ้นทะเบียนของกัมพูชากลับ "in-progress" เดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
ถ้าคุณจำนายกฯอภิสิทธิ์พูดเมื่อทราบข่าวจากคุณสุวิทย์ที่สเปนรายงานข้ามน้ำข้าทะเลว่า"การประท้วงยูเนสโกล้มเหลว" (27 มิถุนายนที่ผ่านมา)ได้ ก็จะต้องบอกว่า เราไม่ได้เปรียบ นายกฯพูดว่า "ผมยังไม่เห็นรายงานของกัมพูชาเดือนเมษายนที่ผ่านมาเลย" แปลความว่า ไม่มีไทยไปตามนัดทุกครั้ง เราก็ไม่รู้ว่าทำไมยูเนสโกรับรองกัมพูชามาตลอด แบบนี้เขมรจะรายงานว่าไทยให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง (เหมือนรายงานการประชุมที่นิวซีแลนด์มิถุนายน 2550 ที่เขียนแหกตาคนทั้งโลกว่าไทยให้ 'active support" และนั่นอย่าลืมว่ายูเนสโกเป็นเจ้สของรายงานการประชุมนั้นเอง อะไรทำให้ยูเนสโกให้ท้ายกัมพูชาถึงขนาดนั้นมีคำอธิบายแน่นอนครับ แต่เดี๋ยวจะยาว กลับมาประเด็นเก่าก่อนดีกว่า)ยูเนสโกก็แสร้งโง่ เหมือนในที่ประชุมกลางปีกลายที่คานาดาในการยอมรับแถลงการณ์ร่วมซึ่งเขียนทำนองเดียวกับรายงานการประชุมนิวซีแลนด์ที่ผมเอ่ยถึงในวงเล็บนั้นว่าไทยให้การสนับสนุน ทั้งๆที่ไม่มีเอกสารใดๆให้อ้างอิงว่าเป็นอย่างที่เขียนนั้น
ผมไม่เชื่อว่ายูเนสโกจะตัดสินไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในเดือนมิถุนายนปีหน้า
เพราะอีกไม่ถึง 5 เดือน (1 ก.พ.53) เขมรก็รู้ก่อนไทยว่าสามารถขึ้นทะเบียน (final) ได้ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ที่บราซิลในกลางปี ในขณะที่ไทยยังไม่เคยเห็น แม้แต่รายงานที่กัมพูชากับไอซีซี (unesco's proxy/originally ANPV)สมคบกันเขียนปิดปากไทยไปตั้งแต่ปี 2551
จากนั้น ต่อให้ไทยร้องแร่แห่กะเชอจนปากแหกดังไปทั้งโลกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย จ้างก็ไม่มีใครฟังคตรับ
ที่พูดว่าจะใช้วิธีสันติวิธีก็เลยสาย เหลือ 2 ทางเลือกที่สุดห่วย คือรบ หรือยอมเสียค่าโง่
ฝันกันไปเถอะครับว่า วิธีตรึงกำลังทหารยั่วยุให้เขมรคลั่ง จนผิดพลาดยิงเราก่อนนั้น จะได้ผล
เดือนที่แล้วที่รัฐบาลเลือกวิธีประท้วงยูเนสโก ผมยังดีใจแทบตายว่านั่นคือแนวที่ถูกต้องที่สุด
ผมยังประหลาดใจว่า ทำไมเปลี่ยนมาเป็นเอาการทหารมานำ เพราะการตรึงตึงตังที่พื้นที่ทับซ้อนโดยปราศจาก bilateral talk ทวิภาคี อย่าปฏิเสธว่าการทูตดลความสำคัญจนไม่เหลือ
และนั่นคือที่มาของกระทู้ ย้ำอีกคำรบหนึ่งครับ พี่น้อง
Server Error wrote:ถ้ามีเหตุให้ทหารไทยกับเขมรปะทะกันช่วงปลายเดือนมกราคม2553
ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้เริ่มก่อนก็ตาม
ท่านอารยาว่า ยูเนสโก ยังจะเดินหน้าเรื่องมรดกโลก
ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
ในเดือนมิถุนายนปีหน้าต่อไหมครับ
== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล == viewtopic.php?f=14&t=14102 -->
Server Error wrote:เป็นไปได้ไหมที่ไทยเราจะแถลงยกเลิกแถลงการณ์ร่วมฉบับเหล่ขายชาติ
หลังจากที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด
จากนั้นก็ให้ไอ้พวกไส้ศึกขายชาติจากไทย
ถอนตัวจากการเป็นกรรมการไอซีซี
แล้วถ้ายูเนสโกยังไม่หยุด
เชื่อว่าต้องดวลปืนกันละครับ
== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล == viewtopic.php?f=14&t=14102 -->
อารยา wrote:Server Error wrote:เป็นไปได้ไหมที่ไทยเราจะแถลงยกเลิกแถลงการณ์ร่วมฉบับเหล่ขายชาติ
หลังจากที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด
จากนั้นก็ให้ไอ้พวกไส้ศึกขายชาติจากไทย
ถอนตัวจากการเป็นกรรมการไอซีซี
แล้วถ้ายูเนสโกยังไม่หยุด
เชื่อว่าต้องดวลปืนกันละครับ
ผมมองว่ารัฐบาลนี้ฉลาดพอที่จะลิ้งค์ผลการสอบของ ปปช. กับความพยายามที่จะกดดันยูเสโกผ่านการทูตไทย-กัมพูชา
เพราะถ้าไม่ทำตรงนี้ ก็เหมือนรัฐบาลนอมินีทักษิณที่เมินคำตัดสินศาลปกครองเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551...