- Code: Select all
กฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง และการยุบพรรคการเมืองในช่วงวิกฤติการณ์ทางการเมือง
by : ชยพล ธานีวัฒน์
IP : (124.120.146.63) - เมื่อ : 7/11/2006 11:34 AM
ความสำคัญของพรรคการเมือง
พรรคการเมืองถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเนื่องจากพรรคการเมืองเป็นการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีแนวคิด อุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางการเมืองเช่นเดียวกันทำให้รวมกันจัดตั้งกลุ่มทางการเมืองขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเสนอแนวคิดและ นโยบายทางการเมือง และส่งตัวแทนเข้าไปมีบทบาทในสภา องค์ประกอบที่สำคัญของพรรคการเมืองคือ สมาชิกพรรค ที่มาจากบุคคลที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่เหมือนกันและอาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกันในบางกรณี โดยการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองที่สำคัญของพรรคการเมืองคือ การส่งสมาชิกพรรคลงรับสมัครเลือกตั้งเพื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าไปมีบทบาทในการพิจารณาออกกฎหมายที่จำเป็นและมีประโยชน์แก่ประชาชนในประเทศ
พรรคการเมืองจึงเป็นองค์กรทางการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ผ่านการเลือกสมาชิกพรรคเพื่อเข้าไปเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง พิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ และให้ความเห็นชอบในกฎหมายที่เห็นว่ามีประโยชน์แก่ประชาชน
เพื่อให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่มีความสำคัญและเป็นกลไกที่สำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย จึงได้มีการออกกฎหมาย "พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541" ขึ้นเพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่และแนวทางในการดำเนินการทางการเมืองของพรรคการเมือง รวมถึงการควบคุมพรรคการเมืองให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
หลักเกณฑ์การยุบพรรคการเมือง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองตั้งแต่การจัดตั้งพรรคการเมือง การดำเนินกิจการทางการเมือง และการยุบเลิกพรรคการเมือง ในบทความนี้จะนำเสนอเกี่ยวกับการยุบเลิกพรรคการเมือง ซึ่งมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องหลายมาตรา อีกทั้งในสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาได้มีความเกี่ยวข้องกับการยุบเลิกพรรคการเมือง โดยการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งในชุดก่อนที่มี พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน ได้ยื่นเรื่องให้แก่อัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคการเมือง 5 พรรค และเหตุการณ์ที่สำคัญต่อมาคือ การยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ตั้งแต่การยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และการประกาศยกเลิกกฎหมายบางข้อ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป
สำหรับการยุบพรรคการเมือง ได้กำหนดให้พรรคการเมืองที่ดำเนินการทางการเมืองสามารถเลิกหรือยุบพรรคการเมืองได้ หากไม่ดำเนินการตามที่ พรบ.พรรคการเมืองกำหนด ซึ่งแบ่งการเลิกหรือยุบพรรคออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
ลักษณะแรก (มาตรา65) พรรคการเมืองมีเหตุต้องเลิกหรือยุบพรรคการเมือง เนื่องจากไม่กระทำตามพรบ.พรรคการเมือง เช่น
1. ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับพรรคการเมือง
2. มีสมาชิกพรรคเหลือไม่ถึง 15 คน
3. ไม่สามารถจัดหาสมาชิกพรรคได้ถึง 5,000 คนภายใน 180 วันหลังจากที่นายทะเบียนรับจดแจ้งพรรคการเมือง
4. ไม่มีดำเนินกิจการทางการเมืองและไม่ส่งรายงานการดำเนินงานกิจการของพรรคการเมือง
5. ไม่ส่งรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมือง
นายทะเบียนพรรคการเมือง (ประธานกรรมการการเลือกตั้ง) จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันพบเหตุดังกล่าว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวจริง จะมีคำสั่งให้ยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญและนายทะเบียนต้องประกาศคำสั่งยุบพรรคลงในราชกิจจานุเบกษา
ลักษณะที่สอง (มาตรา 66) พรรคการเมืองอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองได้เมื่อพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
1. กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ
2. กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
3. กระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
4. ในกรณีที่พรรคการเมืองรับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดเข้าเป็นสมาชิกหรือยอมให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง และในกรณีที่พรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมืองได้รับเงิน ทรัพย์สินจากผู้อื่นเพื่อกระทำการสนับสนุนการบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบันชาติ พระมหากษัตริย์ หรือก่อกวน คุกคามทำให้เกิดความไม่สงบหรือมีผลต่อประชาชนทั้งทางด้านศีลธรรม สุขภาพและทรัพยากรของประเทศ หรือมีการรับเงินสนับสนุนจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีผู้จัดการ หรือกรรมการเป็นผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละยี่สิบห้า และรวมไปถึงนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายต่างประเทศ
ในกรณีนี้เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนหรือนายทะเบียนได้รับแจ้งจากพรรคการเมืองใดๆ ที่เห็นว่ามีพรรคการเมืองกระทำผิดตามมาตรา 66 ให้นายทะเบียนส่งเรื่องพร้อมหลักฐานให้กับอัยการสูงสุดเพื่อสั่งฟ้องพรรคการเมืองนั้นๆ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาในการสั่งยุบพรรคต่อไป หากอัยการสูงสุดไม่ยื่นสั่งฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้จัดให้มีคณะทำงานขึ้นโดยมีตัวแทนจากประธานกรรมการการเลือกตั้งและอัยการสูงสุดร่วมกันรวบรวมข้อมูล หลักฐานเพื่อทำสำนวนส่งให้อัยการสูงสุดส่งฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่ สามารถหาข้อยุติในการพิจารณายื่นคำร้องได้ให้นายทะเบียนมีอำนาจยื่นคำร้องเอง (มาตรา 67)
เมื่อมีการสั่งยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญแล้วให้นายทะเบียนประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในช่วงระหว่างของการพิจารณายื่นเรื่องยุบพรรค หากนายทะเบียนต้องการให้พรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาระงับการดำเนินการที่เข้าข่ายมาตรา 66 ก็ให้นายทะเบียนยื่นเรื่องระงับการดำเนินการของพรรคการเมืองต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งระงับการดำเนินการของพรรคการเมืองนั้น ๆ ไว้ชั่วคราว (มาตรา 67)
ศาลรัฐธรรมนูญกับการยุบพรรคการเมือง
ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมือง องค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัย ตัดสินสั่งยุบพรรคการเมืองคือ ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งประกอบด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คน กับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 14 คน โดยอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองได้ถูกบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านนับตั้งแต่มีการตั้งศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้มีการพิจารณาตัดสินสั่งยุบพรรคการเมืองต่าง ๆ ตามกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น ดังนี้
1. การยุบพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 (มาตรา 65 วรรคหนึ่ง)
1.1 มีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรค (มาตรา 65(1)) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไปแล้ว เช่น การสั่งให้ยุบพรรครามสยามและพรรคศรัทธาประชาชน ตามคำวินิจฉัย ที่ 24/2544 และที่ 30/2544
1.2 มีจำนวนสมาชิกเหลือไม่ถึงสิบห้าคน (มาตรา 65(2)) กรณียังไม่ปรากฏคำร้องมายังศาลรัฐธรรมนูญ
1.3 มีการยุบพรรคการเมืองไปรวมกับพรรคการเมืองอื่นตามหมวด 5 การรวมพรรคการเมือง มาตรา 70 - 73 (มาตรา 65(3)) มีคำวินิจฉัยไปแล้ว ได้แก่
- กรณีการรวมพรรคมวลชนเข้าเป็นพรรคการเมืองเดียวกับพรรคความหวังใหม่ ตามคำวินิจฉัยที่ 6/2541
- กรณีการรวมพรรคเสรีธรรมเข้ากับพรรคไทยรักไทย ตามคำวินิจฉัย 28/2544
- กรณีการรวมพรรคความหวังใหม่เข้ากับพรรคไทยรักไทย ตามคำวินิจฉัยที่ 12/2545
- กรณีการรวมพรรคชาติพัฒนาเข้ากับพรรคไทยรักไทย
- กรณีการรวมพรรคต้นตระกูลไทยเข้ากับพรรคไทยรักไทย
1.4 ไม่ดำเนินการดังต่อไปนี้ (มาตรา 65(5))
1.4.1 ไม่กระทำโดยที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองในการเปลี่ยนแปลงรายการสำคัญ ได้แก่ นโยบายพรรค ข้อบังคับพรรค และการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคตามบทบัญญัติ มาตรา 25 เช่น การยุบพรรคเกษตรเสรี ตามคำวินิจฉัยที่ 54/2545
1.4.2 องค์ประชุมใหญ่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับพรรค ตามบทบัญญัติ มาตรา 26 มีคำวินิจฉัยไปแล้ว เช่น พรรคพลังใหม่ ตามคำวินิจฉัยที่ 36/2545
1.4.3 ไม่จัดให้มีสมาชิกครบ 5,000 คนจากทุกภาค (4 ภาค) และไม่มีสาขาพรรคในทุกภาคภายใน 180 วันนับแต่ได้รับจดแจ้งการเป็นพรรคการเมืองจากนายทะเบียนตามบทบัญญัติ มาตรา 29 มีคำวินิจฉัยไปแล้ว เช่น การสั่งให้ยุบพรรคปฏิรูป ตามคำวินิจฉัยที่ 2/2542 เป็นต้น
1.4.4 ไม่จัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด และแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมีนาคมของทุกปี เพื่อประกาศให้สาธารณชนทราบตามบทบัญญัติ มาตรา 35 มีคำวินิจฉัยไปแล้ว เช่น การยุบพรรคประชารัฐ ตามคำวินิจฉัยที่ 6/2544 รวมถึงพรรคถิ่นไทยและพรรคเอกภาพ เมื่อต้นปี 2545 เป็นต้น
1.4.5 ไม่ใช้จ่ายเงินที่ได้รับสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคในรอบปีปฏิทินให้ถูกต้องตามความเป็นจริง และยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป ตามบทบัญญัติ มาตรา 62 มีคำวินิจฉัยแล้ว เช่น การยุบพรรคประชารัฐ ตามคำวินิจฉัยที่ 6/2544 เป็นต้น
การจำกัดสิทธิ และการลงโทษแก่หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกอื่น
1. การจำกัดสิทธิมิให้ดำเนินการเกี่ยวกับพรรคการเมือง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 69 บัญญัติห้ามผู้เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคการเมือง (ประกอบด้วย หัวหน้าพรรคการเมือง รองหัวหน้าพรรคการเมือง เลขาธิการพรรคการเมือง รองเลขาธิการพรรคการเมือง เหรัญญิกพรรคการเมือง โฆษกพรรคการเมือง และกรรมการบริหารอื่น ซึ่งเลือกตั้งจากสมาชิกซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์) ที่ต้องยุบไปเพราะไม่ดำเนินการตามมาตรา 35 หรือมาตรา 62 หรือกระทำการตามมาตรา 66 มิให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1) ห้ามขอจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่
2) ห้ามเป็นกรรมการบริหารของพรรคการเมือง
3) ห้ามมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่
ทั้งนี้ ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไป
2. บทลงโทษ
1) หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 35 หรือมาตรา 62 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท (มาตรา 80)
2) กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการสาขาพรรคการเมืองผู้ใดรู้อยู่แล้ว แต่จัดให้พรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 23 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี (มาตรา 77)
3) พรรคการเมือง หรือสมาชิกผู้ใดกระทำการฝ่าฝืน มาตรา 52 หรือมาตรา 53 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี (มาตรา 89)
อนึ่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติให้หัวหน้าพรรคการเมืองเป็นผู้แทนของพรรคการเมืองในกิจการอื่นเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้ หัวหน้าพรรคการเมืองจะมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการบริหารคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้
การยุบพรรคการเมืองในช่วงวิกฤติการณ์ทางการเมือง
เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมืองที่สำคัญคือ การยื่นเรื่องยุบพรรคการเมืองโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งให้แก่อัยการสูงสุดเพื่อทำสำนวนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมือง 5 พรรค เนื่องจากมีการกล่าวหาว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 โดยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 อัยการสูงสุดได้มอบหมายให้ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ มายื่นคำร้องกรณีอัยการสูงสุดขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมือง รวม 5 พรรค คือ พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย พรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทั้งหมดเข้าข่ายความผิดในมาตรา 66 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ดังนี้
มาตรา 66 เมื่อพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง
1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ได้แก่ พรรคไทยรักไทย
2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์
3) กระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ได้แก่ พรรคไทยรักไทย, พรรคประชาธิปัตย์, พรรคแผ่นดินไทย, พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และพรรคพัฒนาชาติไทย
ในขณะนั้นเรื่องอยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรที่จะทำหน้าที่ตัดสินว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ถูกยื่นฟ้องนั้นจะถูกยุบหรือไม่ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญครั้งหนึ่งของการเมืองไทย นั่นคือการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ซึ่งได้ทำการเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลและได้มีคำสั่งที่สำคัญหลายฉบับโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกรณีการยุบพรรคการเมืองคือ การออกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 เรื่องการประกาศการยึดอำนาจและการสั่งให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 รวมไปถึงการประกาศยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงพร้อมกับรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดคำถามต่อประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องว่าใคร องค์กรใด จะเข้ามาทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างไร ซึ่งในที่สุดคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ออกประกาศรับรองสถานภาพของพระราชบัญญัติพรรคการเมืองและการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ในประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 27 ซึ่งเป็นประกาศแก้ไขประกาศฉบับที่ 15 เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยให้มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ต่อไป จนกว่าจะมีการแก้ไขเพิ่มเติม และหากมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น กำหนด 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งยุบพรรค
องค์กรที่ทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไปในประกาศของคณะปฏิรูปนั้นได้ถูกแต่งตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 มาตรา 35 เพื่อทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญโดยเรียกว่า "คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ" ซึ่งประกอบไปด้วย
1. นายปัญญา ถนอมรอด (ประธานศาลฎีกา) ประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
2. นายอักขราทร จุฬารัตน (ประธานศาลปกครองสูงสุด) รองประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
3. หม่อมหลวง ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ
4. นายสมชาย พงษธา ตุลาการรัฐธรรมนูญ
5. นายกิติศักดิ์ กิติคุณไพโรจน์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ
6. นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ
7. นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการรัฐธรรมนูญ
8. นายจรัญ หัตถกรรม ตุลาการรัฐธรรมนูญ
9. นายวิชัย ชื่นชมพูนุท ตุลาการรัฐธรรมนูญ
การประกาศเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับข้อกฎหมายและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมืองของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทำให้มีผลต่อการดำเนินการเปลี่ยนแปลงพรรคการเมืองใหญ่ ซึ่งในขณะนี้เรื่องการยุบพรรคอยู่ในช่วงของการพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยการพิจารณาจะช้าหรือเร็วต้องขึ้นอยู่กับการทำงานของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ
แต่ประเด็นสำคัญที่นักกฎหมายมหาชนยังหาข้อสรุปไม่ได้คือ การกำหนดโทษเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฉบับที่ 27 ที่ระบุโทษเพิ่มเติมแก่คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบว่าต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี นั่นคือการไม่สามารถลงรับสมัครเลือกตั้ง หรือไม่สามารถเกี่ยวข้องกับการเมืองในทางใด ๆ ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มบทลงโทษหลังจากที่เรื่องการยุบพรรคการเมืองเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นคณะตุลาการรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนั้น จะสามารถนำบทลงโทษนี้มาใช้ลงโทษเพิ่มเติมได้หรือไม่ หรือจะให้พรรคการเมืองที่ถูกยุบรับโทษเดิมที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 เท่านั้น โดยในความเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายบางท่านเสนอว่าน่าจะสามารถนำบทลงโทษเพิ่มเติมมาใช้กับพรรคการเมืองที่ถูกยุบได้ เนื่องจากบทลงโทษของกฎหมายพรรคการเมืองมิได้อยู่ในข่ายของกฎหมายอาญา ซึ่งลักษณะของกฎหมายอาญาจะไม่สามารถลงโทษย้อนหลังได้ การตัดสินลงโทษจะสิ้นสุดเท่าที่กฎหมายที่นำมาบังคับใช้บัญญัติไว้ แต่ในอีกแนวคิดได้เสนอว่าการพิจารณายุบพรรคการเมืองในช่วงเวลานั้นได้นำ พรบ. พรรคการเมืองที่มีอยู่ในขณะนั้นมาใช้ บทลงโทษเพิ่มเติมจึงไม่สามารถที่จะนำมาดำเนินการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดได้ ถึงแม้จะไม่ใช่หลักการเดียวกับกฎหมายอาญาก็ตาม
ประเด็นถกเถียงเหล่านี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่คาดว่าหากมีการตัดสินออกมาว่าพรรคการเมืองนั้น ๆ มีความผิดจริง คงจะต้องมีการมาพิจารณาต่อถึงบทลงโทษแก่กรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้อง โดยอาจมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ (หรือคณะตุลการรัฐธรรมนูญ) ตีความอีกครั้งว่าการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะนี้จะออกมาในรูปแบบใด
อ้างอิง
- กระบวนการยุบพรรคการเมือง : http://www.rakbankerd.com/01_jam/thaiinfor/country _info/index.html?topic_id=3727&db_file=
- ขั้นตอนยุบพรรคการเมือง : http://www.rakbankerd.com/01_jam/thaiinfor/country_ info/index.html?topic_id=3682&db_file=
- ขั้นตอน "ยุบพรรค" กับวิกฤติการเมือง : www.rakbankerd.com/01_jam/thaiinfor/country_info/index.html?topic_id=3668&db_file=
- บทความเรื่อง "ศาลรัฐธรรมนูญไทยกับบทบาทที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง" โดย นายนพดล เฮงเจริญ
**********************
ตอนแรก ก็ไม่เข้าใจ แต่พอฟังนักกม พุด
กรณีปชป การรับเงินที่ไม่นำมาแสดงในรายการ
ถ้าบอกว่า ปชป ผิด
พท ก็ผิด ก็ได้ข่าว่า นัง้อ้อที่คุมเงินที่โกงมา ให้เงินพรรคเพื่อซื้อเสียง
กม พรรค ก็เหมือนกม บริษั่ ทีเป็นนิติบุคคล
ต้องจดหนังสือบริคนณ์สนธิ และข้อบังคับพรรค
ก็เลยไปอ่านข้อบังคับพรรค ถึงบางอ้อ
ว่าทำไม ปชป รอด
การับบริจาคไมผิด แต่ทีผิดคือ การไม่ส่งรายงานและแสดงในงบ
ก็มามองประเด็น
บริษีทและพรรค เขาจะมีการระบุ ว่าคนรับเงินและจ่ายเงินจะต้องได้รับการแต่งตั้งและยินยอมจากพรรค
เงิน258 เข้ามาและไปอยู่บัญชี่ของสส ที่ไม่มีหน้าทีเป็นเหรัญญิก
ก็คือทำให้เข้าใจว่าเหรัญญิกไม่รุ้ และไม่ทราบ เมือไม่รูและไม่ทราบ ก็ต้องไม่มีการลงรายงาน
ก็เลยไม่เข้าม 65 ว่าเป็นไปตามเกณฑ์ข้อบังคับ
ที่เหรัญญิกรับเงินแต่ไม่ทำรายงาน ก็ต้องถุกยุบ
แต่นี้ไม่มีข้อบ่งบอกว่าเหรัญญิกรับเงิน
เขาถึงยกประโยชน์คือทำอะไรต่อพรรคไม่ได้
ผิดก็ผิดบุคคลทีไปรับเงินของบริษีทมหาชนทีกม เขาคุมเข้มเรื่องนี้