หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันเล่าเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสิน
Posted: Sun Oct 19, 2008 8:07 am
ผมอยากตั้งกระทู้นี้มานานแล้วครับ
แต่เกรงว่าจะผิดวัตถุประสงค์เวปบอร์ด เพราะนี่เป็นบอร์ดการเมือง
แต่เห็นว่าทางฝ่ายเสื้อแดง พยายามยัดเยียดความเชื่อโง่ๆ ว่า
"ไอ้เหลี่ยมคือสมเด็จพระเจ้าตากสินกลับชาติมาเกิดเพื่อทวงบัลลังก์คืน"
จึงขออนุญาตนำบทความของพระอริยะเจ้าที่คนนับถือกันทั้งประเทศ
มายืนยันถึงความสัมพันธ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินและล้นเกล้ารัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาาช
ว่ามิได้เป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่เราเคยเรียน
ซึ่งนอกจากหลวงพ่อจรัญแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ครูบาอาจารย์ของผมและแวดวงคนปฏิบัติธรรมที่ผมอยู่
ก็ยืนยันในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ไอ้เหลี่ยมพยายามยัดเยียดให้คนโง่บางกลุ่มเชื่อนั้น เหลวไหลโดยทั้งสิ้น
คนกลุ่มนี้นับถือพุทธศาสนาแค่กรอกเอกสารเท่านั้น
บทความนี้ตัดตอนมาจากหนังสือ "ความหลงในสงสาร" ครับ
ลองอ่านแล้วพิจารณาดูครับ
หนึ่งมหาราชันย์ยอมเสียสละราชบัลลังก์
อีกหนึ่งมหาราชันย์ยอมเสียชื่อเสียง
ทั้งหมดทั้งปวงเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติบ้านเมือง
เรื่องที่จะนำเสนอนี้ไม่ใช่จากการนั่งทางในมา ..หลวงพ่อท่าน "เดิน" ไปพบพระ ๓รูป (ในโบสถ์ของวัด)
นี่เป็นการสนทนาระหว่างหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน, หลวงปู่เทพโลกอุดร (ในหนังสือเรียกท่านว่าหลวงพ่อในป่า) พระบัวเฮียวและพระภิกษุเจ้าตากรูปแรกใช้กายมนุษย์ ส่วน ๓ รูปหลังใช้รูปของพลังงาน (กายทิพย์)ในการสนทนาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี ๒๕๒๘แต่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง (ก.ค. ๒๕๔๙)ขออนุญาตปรับการนำเสนอเป็นรูปแบบคล้าย script บทละคร เพื่อให้ง่ายต่อการพิมพ์และทำการย่นย่อ เก็บใจความสำคัญมา
เวลาสองยามตรงที่โบสถ์วัดป่ามะม่วง (ไม่แน่ใจว่าคือวัดอัมพวันหรือเปล่า?) ประเดี๋ยวหนึ่งมีแสงสว่างไสวไปทั่ววัดพระภิกษุสามองค์เดินเรียงเข้ามาที่ประตูโบสถ์ซึงพระครูจรัญเจ้าอาวาสยืนรออยู่ตรงทางเข้าโบสถ์อาการที่เดินของภิกษุทั้ง 3 รูปผิดแผกไปจากคนธรรมดาคือเลื่อนไหลไปข้างหน้ามากกว่าก้าวขาเดิน แสงสว่างไสวเป็นรัศมีของทวยเทพแต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม ต่างมารายล้อม
พระภิกษุเจ้าตาก : ประวัติศาสตร์กรุงธน ผิดเพี้ยนไปจากความจริงมากไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากเรากับสหายร่วมสาบาน (ร. ๑) (ทรงอนุญาตให้ท่านพระครูใช้ศัพท์สามัญกับพระองค์ ด้วยเหตุผลที่ว่า “...ท่านอย่าลืมว่าขณะนี้เราเป็นใคร ท่านเป็นใครเราทั้งสองมีความเท่าเทียมกันในทางธรรม มีอาจารย์องค์เดียวกันตัดความหลงในสงสารได้เหมือนกันถ้าท่านคิดว่าเราเป็นกษัตริย์และพูดกับเราด้วยคำราชาศัพท์เราก็ต้องพูดคำราชาศัพท์กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะในเจ็ดชาติที่ท่านระลึกได้นั้นท่านก็เคยเป็นกษัตริย์มิใช่หรือ.... แล้วทำไมจะมาติดอยู่กับสิ่งสมมติ” )
พระภิกษุเจ้าตาก : เราไม่อยากให้มีการเข้าใจราชวงศ์จักรีผิดๆทุกวันนี้มีคนจีนจำนวนมากที่ยังเชื่อว่าเราถูกสำเร็จโทษโดยสหายร่วมสาบานของเราเป็นผู้บงการ (จริงๆแล้ว)มีการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์จริงเพียงแต่คนที่ถูกสำเร็จโทษเป็นสหายอีกคนหนึ่งซึ่งมีความจงรักภักดีต่อเราถึงขนาดยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาชีวิตเราไว้บังเอิญว่าเขารูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเรามาก ทั้งที่มิได้เป็นญาติสืบสาโลหิตกัน
พระครูจรัญ : เหตุใดท่านจึงถูกสำเร็จโทษที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าท่านสัญญาวิปลาสก็ต้องไม่จริงเพราะถ้าจริงท่านจะตัดความหลงใน(วัฏ)สงสารไม่ได้ ผู้ขาดสติมิอาจบรรลุธรรมได้
พระภิกษุเจ้าตาก : คนที่เคยทำอะไรอย่างหนึ่งเป็นปกตินิสัยแล้วจู่ๆก็เปลี่ยนไปทำในสิ่งตรงกันข้าม คนเขาก็ต้องคิดว่าคนๆนั้นผิดปกติใช่ไหมเหมือนอย่างเรา เราเคยถือดาบออกรบป้องกันบ้านเมือง กู้อิสรภาพให้กับชาติไทยใครๆก็เห็นเราเป็นนักรบผู้เก่งกาจสามารถ เป็นวีรบุรุษ แล้วอยู่ๆเราก็วางดาบไม่จับดาบอีกเลย เอาแต่เจริญวิปัสสนาถ่ายเดียว คนเขาก็เลยว่าเราบ้า
พระภิกษุเจ้าตาก : เพราะอาจารย์ที่เคารพของพวกเราน่ะสิ (หลวงปู่เทพโลกอุดร) วันหนึ่งเราตั้งค่ายอยู่ที่ในป่าตกดึกมีพระรูปหนึ่งเข้ามาถึงตัวเรา เราก็ถามท่านว่าเข้ามาได้อย่างไรเพราะนั่นย่อมหมายถึงความปลอดภัยของตัวเรา เกิดผู้ที่เข้ามาเป็นข้าศึกเราก็อาจจะถูกฆ่าตาย พระรูปนั้นตอบว่าเดินเข้ามาเราก็ถามอีกว่าทหารยามไม่เห็นท่านหรือ ท่านก็ตอบว่าไม่ทราบเราก็คิดว่าจะต้องลงโทษทหารผู้ทำหน้าที่เป็นเวรยามท่าก็พูดขึ้นมาว่าไม่ต้องคิดแต่จะเพ่งโทษผู้อื่น ขอให้สำรวจตัวเองเพ่งโทษตัวเองดีกว่า เราก็รู้สึกแปลกๆว่าทำไมท่านจึงพูดอย่างนี้อยากจะโกรธแต่ก็ไม่กล้า แล้วท่านก็พูดให้เราสะเทือนใจว่า “มหาบพิตรฆ่าคนมามากมีมือเปื้อนเลือด บาปมาก ตายไปจะต้องตกนรก” หากเป็นคนธรรมดาพูดเช่นนี้เราคงสั่งตัดหัวไปแล้ว แต่นี่เป็นพระพูด เราไม่กล้าแม้แต่จะคิดเราก็เรียนท่านว่าเราเป็นกษัตริย์ มีหน้าที่ทำสงครามปกป้องแผ่นดิน ท่านก็พูดว่า “บัดนี้มหาบพิตร ก็ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วการกู้ชาติเป็นหน้าที่ของมหาบพิตร แต่การทำสงครามปกป้องประเทศชาติมหาบพิตรควรยกให้ผู้อื่น มีคนที่เขาสามารถทำหน้าที่แทนมหาบพิตรได้จงอย่าจับดาบอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาตดาบจากมหาบพิตร” เราก็ถามท่านว่าเราจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ท่านก็ตอบว่า “เพื่อตัดความหลงใน(วัฏ)สงสาร หากมหาบพิตรครองราชสมบัติต่อไปก็จะไม่สามารถตัดความหลงใน(วัฏ)สงสารได้ซึ่งหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบากหากมหาบพิตรไม่ตัดความหลงในสงสารก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดวกวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้นอาตมารู้ว่ามหาบพิตรสามารถตัดความหลงในสงสารได้ จึงมาหา”
หลวงปู่เทพโลกอุดร : เราได้ให้กรรมฐาน (ทำอย่างไร?? สอนวิธีปฏิบัติหรืออย่างไร) แก่พระยาตากเมื่อรับกรรมฐานจากเราแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ยอมจับดาบอีกไม่ยอมออกศึกสงคราม เอาแต่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานคนที่ไม่เข้าใจก็เลยพากันคิดว่าเขาบ้า
พระครูจรัญ :เพราะอะไรประวัติศาสตร์ในกรุงธนบุรีจึงถูกบันทึกให้ผิดไปจากความเป็นจริงมากอย่างนั้นขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก : เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติน่ะสิรู้ไหมว่าเราเป็นกษัตริย์ที่อาภัพที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตอนเราขึ้นครองราชย์เงินในท้องพระคลังไม่มีเลย เราต้องเป็นหนี้ชาวจีนถึงหกหมื่นตำลึงซึ่งถ้าคิดเป็นเงินสมัยนี้ (๒๕๒๘) ก็เท่ากับ ๒๔๐,๐๐๐ บาทสมัยก่อนเงินหมื่นตำลึงมีค่ามาก ถ้าเขาจะให้เราผ่อนใช้ เราก็พอจะหามาผ่อนให้ได้แต่นี่เขาคิดจะยึดประเทศเราไปเป็นของเขา เขาจึงเร่งรัดจะเอาเงินจำนวนนี้ให้ได้เรากับสหายร่วมสาบานก็เลยต้องช่วยกันคิดว่าจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรแล้วเราก็คิดออกว่า การผลัดแผ่นดินเป็นการล้างหนี้ที่ดีที่สุดท่านอย่าคิดว่าเราตั้งใจจะโกง แต่ในเมื่อเขาคิดไม่ดีกับเราเราจึงต้องใช้เล่ห์กลกับเขา อีกประการหนึ่ง ตั้งแต่เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่าเราก็ไม่มีแก่ใจจะครองราชย์อีกต่อไปแล้ว เราอยากตัดความหลงในสงสารให้เด็ดขาดเราสมเพชตนเองที่เป็นกษัตริย์ยากจนเข็ญใจเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ไม่มีเบญจราชกกุธภัณฑ์
พระครูจรัญ :ท่านจะกรุณาเล่าเหตุการณ์ตอนที่ท่านกู้เอกราชให้ฟังได้ไหมขอรับ กระผมอยากทราบว่าตรงกับ ประวัติศาสตร์ มากน้อยเพียงใด
พระภิกษุเจ้าตาก :ประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์ตอนเรากู้ชาติตรงกับความจริงเพียงแต่มีบางเรื่องไม่ได้บันทึกเอาไว้ อย่างเรื่องที่เราตีเมืองจันทบุรีเราได้พามารดาและน้องสาวไปไว้ที่ราชบุรีก่อน จากนั้นจึงมุ่งหน้าตีจันทบุรีประวัติศาสตร์บันทึกไว้แต่เพียงว่า เราสั่งทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกงทิ้งความจริงเราทำมากกว่านั้น คือหลังจากตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว เรามาพิจารณาว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาสาหัสและยืดยาว จึงให้สร้าง “พระยอดธงแบบกรุงศรีอยุธยา”ขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง-มหากาบรรจุไว้ในองค์พระ (พระยอดธงคือพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่สร้างไว้บนยอดธงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้รบชนะข้าศึก)เราเองก็เจริญรอยตามสงเด็จพระนเรศวรด้วยการเจริญพาหุง-มหากา (แต่งโดยพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ขององค์นเรศวร) หรือบทถวายพรพระในปัจจุบันเป็นบทที่มีอานุภาพมาก
พระบัวเฮียว : กระผมอยากฟังเจ้าตากเล่าเรื่องการกู้ชาติครับ
พระภิกษุเจ้าตาก : หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่าเมื่อปี ๒๓๑๐บ้านเมืองระส่ำระสายมาก พม่าเผาผลาญถล่มทลายกรุงศรีฯ เสียย่อยยับวัดวาอารามถูกทำลายยับเยิน พระศรีสรรเพชญ์ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมีความสูงถึง ๘ วา หุ้มด้วยทองคำหนักสองหมื่นบาทก็ถูกพม่าใช้ไฟลนเผาลอกเอาทองคำขนกลับไปเมืองตน ประชุมพงศาวดารภาค ๖ได้บันทึกเร่องราวต่างๆตอนเสียกรุงไว้ว่า พม่าเข้ากรุงได้เป็นเวลากลางคืนพม่าไปถึงไหนก็เอาไฟจุดเผาบ้านเรือนของชาวเมือง ปราสาทราชมณเฑียรไฟไหม้ลุกลามสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดต่อสู้ก็เที่ยวเก็บรวบรวมทรัพย์สิน จับผู้คนอลหม่านไปทั่วพระนครแต่เป็นเพราะเป็นเวลากลางคืน พวกชาวเมืองจึงหนีรอดไปได้มาก พม่าจับได้สัก ๑๐,๐๐๐ คนส่วนพระเจ้าเอกทัศน์นั้น มหาดเล็กพาลงเรือน้อยหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ที่บ้านจิกริมวัดสังฆาวาส แต่พม่ายังหารู้ไม่ จับไม่ได้แต่พระเจ้าอุทุมพรซึ่งทรงผนวชกับทั้งเจ้านายข้าราชการใหญ่น้อยจำนวนมากและพระที่หนีไม่พ้น พม่าจับไปไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ผู้คนแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่ามีก๊กที่สำคัญอยู่ถึง ๖ ก๊กด้วยกัน ก๊กที่ร้ายกาจที่สุดคือก๊กเจ้าพระฝางซึ่งมีหัวหน้าเป็นพระภิกษุ แต่เสพสุรา ฆ่าคน และทำลามกอนาจราต่างๆเจ้าฝางในเครื่องแต่งกายของบรรพชิต คุมกองทัพสงฆ์ออกจี้ปล้นทรัพย์สินของราษฎรทำให้เสียภาพลักษณ์ของพระศาสนาอย่างร้ายแรง
เมื่อเราปราบก๊กสำคัญ ๔ ก๊กได้แล้วจึงยกกองทัพไปตีก๊กเจ้าพระฝางซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่พิษณุโลกกองทัพของเราตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่เจ้าพระฝางหนีไป เป็นอันว่าก๊กทั้ง ๕พ่ายแก่ก๊กพระยาตาก เมื่อได้ชัยชนะแล้ว เราก็คิดว่าจะฟื้นฟูปฏิสังขรณ์กรุงศรีฯแต่ก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะทำให้กรุงศรีฯรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนได้เราเริ่มวิตกกังวล คืนหนึ่งเราจึงแก้ปัญหาด้วยการสวดพาหุง-มหากาแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ดวงพระวิญญาณของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีฯในอดีตทุกพระองค์และขอให้ท่านเหล่านั้นช่วยหาทางออกให้แก่เราด้วย จากนั้นเราก็หลับไป
เราเห็นสมเด็จพระนเรศวรกับอาจารย์ของท่านที่รู้เพราะพระเถระรูปนั้นท่านพูดว่า “อาตมาคืออาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรที่จะมาช่วยท่านแก้ปัญหากรุงศรีฯเสียหายเกินกว่าจะปฏิสังขรณ์ได้ ทั้งพม่าก็รู้ลู่ทางโจมตีขอท่านจงย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงธนบุรี และสถาปนาตัวท่านขึ้นเป็นกษัตริย์เถิดอาตมาขอถวายพระพร” จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า “ขอต้อนรับกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีขอพระองค์จงทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อันเป็นมรดกล้ำค่าของชาวสยาม” แล้วภาพนั้นก็หายวับไป เราตื่นขึ้นมากลางดึก จิตสัมผัสกับความสงบเย็นผิดกับคนที่ฝันร้าย ซึ่งจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวาดกลัวและเหงื่อไหลโทรมกายเรารู้สึกเหมือนกับว่ามิได้ฝันไป เพราะภาพนั้นยังฝังแน่นอยู่ในมโนนึกมาจนบัดนี้ (องค์ดำมาหาเจ้าตากจริงหรือเปล่าคะ)
พระราชดำรัสในสมเด็จพระนเรศวรทำให้เราตั้งปณิธานในบัดนั้นว่าจักทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบไปและนี่เองคือที่มาของปณิธานของเราที่ท่านกล่าวเมื่อครู่นี้การสู้รบสมัยนั้นต้องการขวัญและกำลังใจการสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีที่สุดคือการน้อมนำพระธรรมคำสอนเข้ามาไว้ในใจพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อประเทศชาติ เมื่อใดที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากประเทศสยามเมื่อนั้นประเทศชาติก็คงอยู่ไม่ได้ เราจึงยังอยู่ แม้หมดความหลงในสงสารแล้วก็เพื่อคอยปกป้องดูแลชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ดังที่เรากล่าวไว้ว่า “คิดถึงพ่อพ่ออยู่ คู่กับเจ้า”
เมื่อกรุงแตกเราเป็นผู้นำทหารตีฝ่าวงล้อมพม่าจากกรุงศรีฯมาตั้งมั่นที่กรุงธนบุรีช่วงที่ตีฝ่าวงล้อมออกไป มีเหตุการณ์คล้ายปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกล่าวคือทุกครั้งที่ทหารพม่าตามมาประชิดตัว ก็จะมีไฟลุกโพลงขึ้นในจุดใกล้ๆ กันทำให้ทหารพม่าเบนความสนใจไปที่กองไฟ เราก็เลยหนีรอดมาได้มารู้ภายหลังว่าเพื่อนเก่าของเราตามมาช่วย เพื่อนเก่าสมัยเป็นศิษย์วัดด้วยกันตอนเป็นเด็กโยมมารดาพาเราไปฝากเป็นลูกศิษย์วัดเราเติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาได้ฝึกอาวุธและคาถาอาคมร่วมกับเพื่อนอีก ๔ คน (ผู้ใดทราบชื่อท่านบ้างคะ)แต่ละคนมีความถนัดต่างกัน พวกเขาคอยตามช่วยเหลือเราโดยที่เราไม่รู้ภายหลังที่เราตกลงกับสหายของเราให้ขึ้นครองราชย์แทน และเราได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์พวกที่ไม่เข้าใจแผนการอันแยบยลนี้เลยพากันกบฏแบ่งออกเป็นหมู่เป็นเหล่าเหมือนเหตุการณ์ก่อนกรุงแตกในที่สุดกบฏกลุ่มหนึ่งอ้างคำสั่งของสหายเราให้นำเราไปประหารทั้งที่เราอยู่ในเพศบรรพชิตซ้ำร้ายกว่านั้นคือเกิดกบฏซ้อนกบฏ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร บ้านเมืองระส่ำระสายเราก็ได้เพื่อน ๔ คนนี้แหละพาลงเรือหนีไปนครศรีธรรมราชจากนั้นเราก็ไม่ได้พบพวกเขาอีกเลย เราได้ทราบภายหลังว่าเขาไม่อยากเป็นนักรบอีกกลับไปใช้ชีวิตชาวบ้านธรรมดา หากเราไม่ได้เพื่อน ๔ คนนี้ก็คงต้องตายอยู่ในสมณเพศและพวกที่ฆ่าเราก็ต้องบาปสาหัสมาก
พระครูจรัญ : ช่วงระยะนั้นท่านตัดความหลงในสงสารได้แล้วหรือขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก : ยังแต่ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว (ได้โสดาบัน?) เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่าได้ไม่นานก็เร่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้ดวงตาเห็นธรรม และได้เรียกสหายของเราให้มาหา
พระภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้ข้าหลวงไปตามสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาพบในเครื่องแบบนักรบมีดาบมาด้วย เขาคิดว่าคงจะทรงใช้ให้ไปทำสงครามกับผู้หนึ่งผู้ใด เป็นแน่ครั้นมาเห็นเรานั่งอยู่ในห้องพระแต่ผู้เดียว ในชุดนุ่งขาวห่มขาวสหายของเราก็รีรออยู่ไม่กล้าเข้ามา เพราะเห็นว่าเราอยู่คนเดียวและไม่มีอาวุธข้างกายเลย เราจึงบอกว่า “ด้วงเข้ามาสิ เข้ามาหาข้า เอาดาบมาด้วย” ท่านลองคิดดู ถ้าสหายของเราคิดก่อกบฏจริงก็คงถือโอกาสตอนนี้
แต่เพราะเขาไม่เคยมีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจ จึงวางดาบไว้ข้างนอกแล้วค่อยๆคลานเข้ามาใกล้ หมอบอยู่ห่างวาหนึ่ง
เราก็บอกอีกว่า “ด้วง เข้ามาใกล้ๆเอาดาบของเจ้ามาวางไว้ข้างหน้า”
สหายของเราคลานไปหาดาบแต่แทนที่จะเอามาไว้ใกล้ๆ อย่างที่เราสั่ง เขากลับกระทุ้งให้ไกลออกไปอีกแล้วจึงคลานเข้ามาใกล้ประมาณสองศอก หมอบกราบถวายความเคารพเป็นอย่างดีเราจึงถามเขาว่า “ด้วงอยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม” เราพูดเท่านี้แต่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมีอาการตกใจนัก ถึงกับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าก้มลงกราบแล้วก็มิได้ตอบว่ากระไร เราก็ถามใหม่อีกว่า “ด้วง ได้ยินหรือเปล่าข้าถามว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม” สหายของเราตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยคิดเลยพระเจ้าข้า อยู่อย่างนี้ก็สบายแล้ว” เราจึงถามเพื่อทดสอบว่าสิ่งที่สหายของเราตอบนั้นมาจากใจจริงหรือไม่
“ด้วงข่าวว่าทหารพม่ามาหาเจ้าบ่อยๆรึ”
“มาครั้งเดียวพระเจ้าค่ะ”
“เขามาเรื่องอะไร”
“เขามาถามว่ามีความสุขสบายดีรึข้าพระพุทธเจ้าก็ตอบว่าสบายดีเพราะในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาเวลานี้จึงมีความสุขมาก” เมื่อท่านตอบเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าสหายของเราไม่ได้คิดกบฏไม่คิดเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงดังที่คนอื่นเข้าใจผิดเมื่อเราเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เราจึงบอกเขาไปว่า
“ด้วง ข้าจะให้เจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะเอาไหม”
สหายของเรากราบถวายบังคมอีกครั้ง พร้อมทั้งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อคงจะคาดไม่ถึงว่าเราจะพูดแบบนี้กับเขา
เหตุที่เราถามอย่างนี้เพราะสมัยที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตีพิษณุโลกเราได้ให้สหายของเรายกทัพไปรบกับอะแซหวุ่นกี้ ขุนพลเฒ่า แต่เพราะฝีมือทัดเทียมกันการรบจึงไม่มีใครแพ้ใครชนะ อะแซหวุ่นกี้ใช้อุบายพักรบหนึ่งวัน และขอดูตัวแม่ทัพครั้นเห็นสหายเรา ก็พยากรณ์ว่า
“ต่อไปท่านจะได้เป็นกษัตริย์ขอจงรักษาตัวไว้ให้ดี”
ความจริงอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้เป็นโหรหรือมีความรู้ทางโหราศาสตร์แต่ประการใดแต่เป็นลีลาของข้าศึกที่จะยุแยงให้ไทยฆ่ากันเอง บังเอิญคำพยากรณ์มาตรงกับความจริงโดนที่อะแซหวุ่นกี้เองก็คาดไม่ถึงเรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งสมัยที่เรากับสหายของเราบวชเป็นพระภิกษุ
วันหนึ่งเรากับสหายของเราไปบิณฑบาตด้วยกันซินแสผู้หนึ่งเดินสวนทางมา เขาก็หยุดมองหน้าเรา เสร็จแล้วก็มองหน้าสหายของเราแล้วก็กลับมามองเราอีก เราจึงถามว่า “โยมมองอะไรรึ รึว่าอาตมานุ่งห่มไม่เรียบร้อย” แกก็ยิ้ม แล้วส่ายหน้าไปมา เดินไปสักประเดี๋ยวก็เดินกลับมาอีกพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า
“อักซาจัง อักซาจังจิงๆในหลวงสององค์มาบิงทะบากล่วยกัง”
พอซินแสพูดเช่นนั้น ผู้คนก็พากันสาธุแต่บางคนก็พูดขึ้นว่า “สงสัยตาแป๊ะนี่แกจะแก่จนหลงถึงได้พูดอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ถ้าในหลวง (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) มาได้ยินรับรองหัวขาดแน่”
พระครูจรัญ :ในที่สุดคำทำนายทายทักของซินแสก็กลายเป็นความจริงกระผมคิดว่าท่านน่าจะมีความรู้ทางโหราศาสตร์นะขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก :เราก็คิดอย่างท่าน แต่สำหรับอะแซหวุ่นกี้เขามีความประสงค์จะให้เรากับสหายเป็นศัตรูกัน เพราะถ้าคนไทยรบกันเองพม่าก็จะกลืนชาติได้ง่ายเพราะฉะนั้นการที่เราสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าเฝ้าให้แต่งชุดนักรบถือดาบเข้ามาด้วย ก็เพื่อจะทดสอบใจสหายของเราว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินตามคำพยากรณ์ของอะแซหวุ่นกี้หรือไม่แต่ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไรสหายผู้ซื่อสัตย์ของเราก็ไม่ยอมตกปากรับคำที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบอกแต่ว่ามีความสุขแล้ว มีความชื่นใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัวแล้วยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรักษาราชบัลลังก์ด้วยชีวิตหากมีผู้คิดทรยศต่อพระองค์” เมื่อเราได้ทดลองน้ำใจของสหายจนเป็นที่แน่ใจแล้วจึงพูดแบบเพื่อนว่า
“ด้วง ต่อไปเจ้าจงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนข้านะเจ้าเป็นเพื่อนข้า แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาก ข้าไว้วางใจเจ้า” เมื่อเราพูดอย่างนี้ สหายของเราก็ยังนิ่งอยู่ในท่าหมอบกราบ เราจึงบอกว่า
“ด้วงลุกขึ้นนั่งให้สบาย เงยหน้าขึ้น เวลานี้ไม่มีใคร เราอยู่กันสองคนไม่ต้องเคร่งเรื่องระเบียบประเพณีนักหรอก ข้าก็ถือว่าด้วงเป็นเพื่อนข้าเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ต่อไปนี้เจ้าจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินนะข้าจะสละราชสมบัติ แต่การที่จะสละราชสมบัติเฉยๆย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องมีกุศโลบายเพราะมีเงื่อนไขต่างๆมากมายที่ต้องทำตาม” สหายของเราพูดขึ้นว่า
“ข้าพระพุทธเจ้ารับไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า เพราะพระองค์ก็มีพระราชโอรสในเมื่อพระองค์จะสละราชสมบัติ ก็ควรให้แก่พระราชโอรส” เราจึงบอกเขาว่า
“ด้วงความจริงลูกชายข้าเขาก็เป็นคนดีนะ มีคนรักเขามาก ทหาร ข้าราชการทั้งหมดก็รักเขาแต่ข้าให้เขาเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้หรอก เพราะว่าบ้านเมืองของเรายังไม่มั่นคงนักเพิ่งกู้ชาติได้ใหม่ๆ ถ้าลูกข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จะกลายเป็นหุ่นให้เขาเชิดไปเขาครองเมืองไม่ได้ ด้วงจะต้องครองเมือง เพราะข้าไม่เห็นใครที่มีความเข้มแข็งสามารถรักษาเมืองต่อไปได้ นอกจากเจ้า” สหายเราแย้งว่า
“เวลานี้พระองค์ก็ยังไม่ชราภาพ จึงยังไม่ควรจะสละราชสมบัติพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยทั้งชาติแล้วก็ชาวจีนด้วย ถ้าขาดพระองค์เสียข้าพระพุทธเจ้าเถลิงราชเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ความดีก็คงมีไม่ถึงพระองค์ความเชื่อถือของบุคคลทั่วไปก็จะไม่มีเท่าที่มีในพระองค์ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าประเทศชาติอาจจะต้องสลายไปก็ได้”
เมื่อสหายของเราพูดมาอย่างนี้ เราจึงต้องเล่าความจริงให้ฟังว่า
"ด้วงเวลานี้ข้าเป็นหนี้ชาวจีนอยู่ ๖๐,๐๐๐ ตำลึง ความจริงเงินจำนวนเท่านี้ถ้าหากเขาจะให้เราผ่อนใช้ เราก็พอจะหาได้แต่ทางจีนเขาต้องการจะยึดประเทศไทยไปเป็นประเทศของเขา เขาต้องการจะกลืนเราเขาจึงเร่งรัดจะเอาเงินจำนวนนี้ให้ได้ แล้วเจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนเข็ญใจมาก เพราะไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยเงินในท้องพระคลังก็ไม่มีสักแดงเดียวเวลานี้เบี้ยหวัดเงินปีของข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนก็ยังติดค้างเขาอยู่มากข้าได้กู้เงินจากประเทศจีนมาใช้จ่าย เวลานี้ข้ากันเงินไว้สองส่วนส่วนหนึ่งเป็นเงินให้กับข้าราชการ เป็นเบี้ยหวัดเงินปีที่คั่งค้างอยู่อีกส่วนเป็นเงินที่ข้าเก็บรักษาไว้เพื่อเจ้าจะได้มีใช้จ่ายเมื่อเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินเพราะข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาก่อน ไม่มีเงินทอง มีความลำบากมากข้าเห็นใจจึงไม่อยากให้เจ้าเป็นอย่างข้าแต่เรื่องที่จะต้องให้เจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็มีอยู่ว่า
เมื่อเจ้าหนี้มาทวงข้า เมื่อข้าพ้นจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้สินนี้แทนข้า เพราะเป็นคนละคนกันที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่เพราะข้าคิดจะโกงเขา แต่เขาจะเอาเราไปเป็นประเทศของเขาเขาคิดไม่ดีกับเราก่อน เราก็ต้องหาทางป้องกันรักษาประเทศของเราเอาไว้แต่การที่จะเ)็นพระเจ้าแผ่นดินนั้น จู่ๆจะยกให้เจ้าเป็นแล้วข้าสละราชสมบัติอย่างนั้นทำไม่ได้ เพราะเขาจะรู้เท่าทันแผนการของเราเราจึงต้องใช้กุศโลบายที่แยบยล เวลานี้เมืองเขมรเกิดจลาจลข้าจะให้เจ้ากับเจัาพระยาสุรสีห์น้องชายเจ้ายกทัพไปปราบเมืองเขมรแล้วเวลาที่เจ้าไปก็ให้เอาลูกชายข้าไปด้วยถ้าตีเมืองเขมรได้เมื่อไรก็ให้ลูกชายข้าครองเมืองที่นั่นแล้วข้าอยู่ทางนี้ก็จะทำเป็นวิกลจริตแล้วก็จะแนะให้ข้าราชการบางคนที่นี่จับข้าบวชเสีย ข้าก็จะทำเป็นบ้าไม่สามารถปกครองประเทศต่อไปได้เมื่อเจ้ามาก็ให้ทำพิธีปราบดาภิเษกเถลิงราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วเนรเทศข้าไปอยู่หัวเมืองเสีย เรื่องมันก็หมดเท่านี้เรื่องหนี้สินต่างๆก็เป็นอันว่าหมดไป
พระครูจรัญ :แต่กระผมรู้สึกว่าเรื่องมันไม่ได้หมดแต่เพียงเท่านี้นะขอรับเพราะต่อมาหลังปราบดาภิเษกมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนจีนเขาสะเทือนใจและขุ่นข้องแค้นเคืองมาจนทุกวันนี้
พระภิกษุเจ้าตาก :ท่านคงหมายถึงเหตุการณ์ที่ลูกหลานเราถูกจับลงเรือลอยไปในปากอ่าวแล้วเรือล่มทำให้ตายทั้งลำเรือคนก็พากันเข้าใจว่าเป็นการกระทำของสหายของเราและน้องชายของเขาซึ่งความจริงแล้วสหายของเรามิได้มีเจตนาเช่นนั้นแต่ที่คนหลายกลุ่มที่มักใหญ่ใฝ่สูงต้องการเป็นใหญ่ เลยเกิดกบฏซ้อนกบฏ (มีผู้คิดกบฏต่อร. ๑) วุ่นวายกันไปหมด อ้างคำสั่งของร.๑ให้นำลูกหลานเราไปลอยแพและฆ่าเสียทั้งที่ทรงตั้งพระทัยจะให้ลูกหลานเราอพยพไปอยู่ที่นครศรีธรรมราชซึ่งเราไปบวชที่นั่น แต่พวกกบฏถือโอกาสฆ่าเสียเพื่อขจัดเสี่ยนหนามประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งมุ่งหวังได้ความดีความชอบจากในหลวงคนพวกนี้ในที่สุดก็ได้รับกรรมทันตาเห็นเราคิดไม่ผิดที่เลือกสหายของเราขึ้นครองราชย์แทนที่จะเป็นลูกชายของเราเพราะราชวงศ์จักรีได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึงปัจจุบันและคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือเราเพราะถ้าเราไม่บวชก็จะไม่สามารถตัดความหลงในสงสารได้เลย
พระครูจรัญ :กระผมอยากทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ท่านส่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปปราบเขมรขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้สหายเราและน้องชายนำทัพไปปราบจลาจลในเขมรและให้ลูกชายเราไปด้วยอยู่ทางนี้ก็นัดแนะกันว่าให้พระยาสรรค์จับเราซึ่งใช้อุบายเป็นคนวิกลจริตพอดีกับเวลานั้นพระสงฆ์ประพฤติเสียหายกันมากเราเรียกพระทั้งหลายเข้ามาแล้วประกาศว่า เราเป็นพระโสดาบัน และถามพระทั้งหลายว่าพระที่เป็นปุถุชนจะไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ ถ้ารูปไหนตอบว่า ไม่ได้ก็ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนต่อหน้าประชาชน การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นวาเราเป็นคนสัญญาวิปลาสผิดจากมนุษย์ธรรมดาสามัญไม่น่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อีกต่อไป
พระบัวเฮียว :พระเถรเจ้าสั่งให้เฆี่ยนพระ แล้วไม่บาปหรือขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก :เราไม่ได้สั่งให้เฆี่ยนพระ แต่ให้เฆี่ยนคนโกนหัวห่มผ้าเหลืองหมายความว่าคนที่เราเฆี่ยนไม่ใช่พระ คือเราให้หานักโทษประหารมาโกนหัวแล้วก็ให้นุ่งผ้าเหลือง มิได้มีการบวชแต่อย่างใดอย่างที่บอกเราต้องทำเพื่อความอยู่รอดของชาติบ้านเมือง ต่อมาทางอยุธยามีเรื่องขึ้นแต่ไม่ร้ายแรงเท่าไร เราสั่งให้พระยาสรรค์ยกกองทัพไปปราบเสร็จแล้วให้ยกกลับมากรุงธนบุรีและล้อมพระราชฐานไว้ และจับเราบวชเสียซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตรมแผนกระนั้นก็ปรากฏว่ามีนายทหารที่จงรักภักดีและมีฝีมือจะต่อสู้ เราต้องประกาศมิให้สู้เพราะบุญวาสนาของเราหมดแล้ว บ้านเมืองควรเป็นของสองพี่น้องเขาพระยาสรรค์บังคับให้เราบวช แล้วกักบริเวณไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณฯ
แต่ต่อมาพระยาสรรค์คิดกำเริบเสิบสาน อยากเป็นใหญ่ หลงใหลตำแหน่งนำเงินที่เราเก็บไว้ไปแจกจ่าย ซื้อพรรคพวกให้สนับสนุน และตั้งตนเป็นกษัตริย์สหายของเราทราบข่าว นำทัพกลับมาตั้งอยู่ที่ “วัดสะแก” พวกทหารแลข้าราชบริพารอัญเชิญให้เถลิงราชสมบัติ สหายเราสระผมที่วัดและแต่งกายให้ดีเตรียมตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน วัดนี้จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดสระเกศ” เมื่อมาถึงกรุงธนบุรี สหายเราในฐานะพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งประหารชีวิตพระยาสรรค์ที่ทำการเกินพอดีและสั่งประหารชีวิตเราโดยการทุบด้วยท่อนจันทน์ สหายคนที่หน้าตาเหมือนเรา (หลวงอาสาศึก) รับอาสาตายแทน คนที่รู้ความจริงในเรื่องนี้มีเพียง ๒ คนคือสหายของเราและน้องชายของเขา เพราะได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว วันั้นตรงกับวันที่ ๕เมย. ๒๓๒๕
หลังประหารชีวิตเสร็จ ในเวลากลางคืนสหายของเราก็ส่งเราไปนครศรีธรรมราชโดยออกไปทางราชบุรี พักที่ปากท่อก่อนคนที่ติดตามเราไปชื่อเจ้าพัฒน์ซึ่งต่อมาคือเจ้าพระยาพัฒน์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชนอกจากนี้เจ้าพัฒน์ยังได้พาชายาคนสุดท้ายของเราซึ่งตั้งท้องอ่อนๆไปด้วยเมื่อไปถึงเจ้าพัฒน์ได้พาเราไปอยู่วัดๆหนึ่งเราตั้งใจบวชไม่สึกจึงขอให้เขารับชายาของเราเป็นภรรยาเขาและขอให้รับบุตรในครรภ์เป็นบุตรของเขาด้วย แต่เจ้าพัฒน์จงรักภักดีจึงปฏิเสธที่จะรับชายาของเราไปเป็นภรรยา เขาเลี้ยงดูชายาของเราอย่างดีที่สุดต่อมาชายาของเราได้ให้กำเนิดบุตรชาย เจ้าพัฒน์ก็ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างดีบุตรคนนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชสืบต่อจากเจ้าพระยาพัฒน์ในสมัยร.๓ ซึ่งทรงทราบว่าเป็นบุตรของเรา แต่ก็ยังทรงแต่งตั้งเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่ารางวงศ์มิได้มีเรื่องบาดหมางกับเราบุตรผู้นี้ก็คือต้นตระกูล “ณ นคร” และยังมีบุตรธิดาที่เกิดจากภรรยาคนก่อนๆซึ่งต่อมาคือต้นตระกูล “ณ นครราชสีมา” และ “อินทรกำแหง” ด้วย
สหายของเราและน้องชายของเขาได้บำรุงเลี้ยงเราเป็นอย่างดีแต่งตั้งเจ้าพัฒน์เป็นเจ้าพระยาเพราะเห็นว่าเขาจงรักภักดีต่อเราทั้งที่ไม่รู้ถึงแผนการณ์อันแยบยลที่เรากับสหายคิดขึ้นหากสหายของเราคิดไม่ดี หรือที่คนสมัยนั้นพากันกล่าวหาว่าเขาเป็นกบฏเขาก็ต้องสั่งประหารชีวิตเจ้าพัฒน์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเสี้ยนหนามของเขาแต่นี่เขาแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาให้ครองเมือง จะได้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่เราสหายผู้นี้มีบุญคุณต่อเรามาก ราชวงศ์ของเขาจึงเจริญรุ่งเรืองมาทุกยุคทุกสมัยนี่คือความจริงซึ่งไม่ตรงกับที่ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้
พระภิกษุเจ้าตาก : เมื่ออยู่เมืองนครได้ ๒ ปีก็อยากจะมาอยู่เมืองเพชรบุรี ในตอนแรกเจ้าพัฒน์ไม่อยากให้เรามาแต่เมื่อเรายืนยันที่จะมา เจ้าพัฒน์จึงให้คนติดตามมา ๒ คน และให้อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งเราได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำ ไม่นานนักก็ “ตัดความหลงในสงสาร” ได้เพราะหลวงพ่อใบป่าเมตตาสอนกรรมฐานอย่างใกล้ชิด
หลวงปู่เทพโลกอุดร :วันที่พระยาตากบรรลุธรรมสูงสุดคือวันที่เขาละสังขาร
พระภิกษุเจ้าตาก :ขณะที่เราดูดดื่มอยู่ในวิมุติสุข ก็ถูกชายฉกรรจ์ ๒ คนใช้ไม้คมแฝกฟาดที่ศีรษะครั้นเห็นเราไม่เป็นอะไรเพราะกำลังอยู่ในภาวะแห่งความหลุดพ้นเขาทั้งสองก็กระหน่ำไม้คมแฝกลงไปอีกอย่างนับไม่ถ้วน เสร็จแล้วก็พากันหนีไปคงจะคิดว่าอย่างไรเสียเราก็คงไม่รอดชีวิตไปได้เพราะถูกตีหนักถึงปานนั้นคนดูแลเราก็ถูกฆ่าปิดปากทั้ง ๒ คน
พระบัวเฮียว :ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยพระเถรเจ้าเล่าครับ
หลวงปู่เทพโลกอุดร :เรื่องของกรรมไม่มีใครช่วยได้ พระยาตากสร้างกรรมไว้มากจึงต้องรับผล
พระภิกษุเจ้าตาก :คนร้ายเป็นคนของฝ่ายที่คิดจะเอาความดีความชอบจากพระเจ้าแผ่นดินเป็นความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลกเพราะในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าคนที่ถูกสำเร็จโทษไม่ใช่เราเลยกลัวว่าสหายของเราจะรู้เรื่องนี้ จึงพยายามสืบหาเราจนพบ สหายของเรายังมิทันลงโทษกรรมก็ลงโทษพวกเขาเสียก่อน ก็อย่างที่บอกแล้วว่าเกิดกบฏซ้อนกบฏวุ่นวายไปหมดฆ่ากันเองตายตกกันไปตามกัน
แต่เกรงว่าจะผิดวัตถุประสงค์เวปบอร์ด เพราะนี่เป็นบอร์ดการเมือง
แต่เห็นว่าทางฝ่ายเสื้อแดง พยายามยัดเยียดความเชื่อโง่ๆ ว่า
"ไอ้เหลี่ยมคือสมเด็จพระเจ้าตากสินกลับชาติมาเกิดเพื่อทวงบัลลังก์คืน"
จึงขออนุญาตนำบทความของพระอริยะเจ้าที่คนนับถือกันทั้งประเทศ
มายืนยันถึงความสัมพันธ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินและล้นเกล้ารัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาาช
ว่ามิได้เป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่เราเคยเรียน
ซึ่งนอกจากหลวงพ่อจรัญแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ครูบาอาจารย์ของผมและแวดวงคนปฏิบัติธรรมที่ผมอยู่
ก็ยืนยันในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่ไอ้เหลี่ยมพยายามยัดเยียดให้คนโง่บางกลุ่มเชื่อนั้น เหลวไหลโดยทั้งสิ้น
คนกลุ่มนี้นับถือพุทธศาสนาแค่กรอกเอกสารเท่านั้น
บทความนี้ตัดตอนมาจากหนังสือ "ความหลงในสงสาร" ครับ
ลองอ่านแล้วพิจารณาดูครับ
หนึ่งมหาราชันย์ยอมเสียสละราชบัลลังก์
อีกหนึ่งมหาราชันย์ยอมเสียชื่อเสียง
ทั้งหมดทั้งปวงเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติบ้านเมือง
เรื่องที่จะนำเสนอนี้ไม่ใช่จากการนั่งทางในมา ..หลวงพ่อท่าน "เดิน" ไปพบพระ ๓รูป (ในโบสถ์ของวัด)
นี่เป็นการสนทนาระหว่างหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน, หลวงปู่เทพโลกอุดร (ในหนังสือเรียกท่านว่าหลวงพ่อในป่า) พระบัวเฮียวและพระภิกษุเจ้าตากรูปแรกใช้กายมนุษย์ ส่วน ๓ รูปหลังใช้รูปของพลังงาน (กายทิพย์)ในการสนทนาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี ๒๕๒๘แต่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง (ก.ค. ๒๕๔๙)ขออนุญาตปรับการนำเสนอเป็นรูปแบบคล้าย script บทละคร เพื่อให้ง่ายต่อการพิมพ์และทำการย่นย่อ เก็บใจความสำคัญมา
เวลาสองยามตรงที่โบสถ์วัดป่ามะม่วง (ไม่แน่ใจว่าคือวัดอัมพวันหรือเปล่า?) ประเดี๋ยวหนึ่งมีแสงสว่างไสวไปทั่ววัดพระภิกษุสามองค์เดินเรียงเข้ามาที่ประตูโบสถ์ซึงพระครูจรัญเจ้าอาวาสยืนรออยู่ตรงทางเข้าโบสถ์อาการที่เดินของภิกษุทั้ง 3 รูปผิดแผกไปจากคนธรรมดาคือเลื่อนไหลไปข้างหน้ามากกว่าก้าวขาเดิน แสงสว่างไสวเป็นรัศมีของทวยเทพแต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม ต่างมารายล้อม
พระภิกษุเจ้าตาก : ประวัติศาสตร์กรุงธน ผิดเพี้ยนไปจากความจริงมากไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากเรากับสหายร่วมสาบาน (ร. ๑) (ทรงอนุญาตให้ท่านพระครูใช้ศัพท์สามัญกับพระองค์ ด้วยเหตุผลที่ว่า “...ท่านอย่าลืมว่าขณะนี้เราเป็นใคร ท่านเป็นใครเราทั้งสองมีความเท่าเทียมกันในทางธรรม มีอาจารย์องค์เดียวกันตัดความหลงในสงสารได้เหมือนกันถ้าท่านคิดว่าเราเป็นกษัตริย์และพูดกับเราด้วยคำราชาศัพท์เราก็ต้องพูดคำราชาศัพท์กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะในเจ็ดชาติที่ท่านระลึกได้นั้นท่านก็เคยเป็นกษัตริย์มิใช่หรือ.... แล้วทำไมจะมาติดอยู่กับสิ่งสมมติ” )
พระภิกษุเจ้าตาก : เราไม่อยากให้มีการเข้าใจราชวงศ์จักรีผิดๆทุกวันนี้มีคนจีนจำนวนมากที่ยังเชื่อว่าเราถูกสำเร็จโทษโดยสหายร่วมสาบานของเราเป็นผู้บงการ (จริงๆแล้ว)มีการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์จริงเพียงแต่คนที่ถูกสำเร็จโทษเป็นสหายอีกคนหนึ่งซึ่งมีความจงรักภักดีต่อเราถึงขนาดยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาชีวิตเราไว้บังเอิญว่าเขารูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเรามาก ทั้งที่มิได้เป็นญาติสืบสาโลหิตกัน
พระครูจรัญ : เหตุใดท่านจึงถูกสำเร็จโทษที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าท่านสัญญาวิปลาสก็ต้องไม่จริงเพราะถ้าจริงท่านจะตัดความหลงใน(วัฏ)สงสารไม่ได้ ผู้ขาดสติมิอาจบรรลุธรรมได้
พระภิกษุเจ้าตาก : คนที่เคยทำอะไรอย่างหนึ่งเป็นปกตินิสัยแล้วจู่ๆก็เปลี่ยนไปทำในสิ่งตรงกันข้าม คนเขาก็ต้องคิดว่าคนๆนั้นผิดปกติใช่ไหมเหมือนอย่างเรา เราเคยถือดาบออกรบป้องกันบ้านเมือง กู้อิสรภาพให้กับชาติไทยใครๆก็เห็นเราเป็นนักรบผู้เก่งกาจสามารถ เป็นวีรบุรุษ แล้วอยู่ๆเราก็วางดาบไม่จับดาบอีกเลย เอาแต่เจริญวิปัสสนาถ่ายเดียว คนเขาก็เลยว่าเราบ้า
พระภิกษุเจ้าตาก : เพราะอาจารย์ที่เคารพของพวกเราน่ะสิ (หลวงปู่เทพโลกอุดร) วันหนึ่งเราตั้งค่ายอยู่ที่ในป่าตกดึกมีพระรูปหนึ่งเข้ามาถึงตัวเรา เราก็ถามท่านว่าเข้ามาได้อย่างไรเพราะนั่นย่อมหมายถึงความปลอดภัยของตัวเรา เกิดผู้ที่เข้ามาเป็นข้าศึกเราก็อาจจะถูกฆ่าตาย พระรูปนั้นตอบว่าเดินเข้ามาเราก็ถามอีกว่าทหารยามไม่เห็นท่านหรือ ท่านก็ตอบว่าไม่ทราบเราก็คิดว่าจะต้องลงโทษทหารผู้ทำหน้าที่เป็นเวรยามท่าก็พูดขึ้นมาว่าไม่ต้องคิดแต่จะเพ่งโทษผู้อื่น ขอให้สำรวจตัวเองเพ่งโทษตัวเองดีกว่า เราก็รู้สึกแปลกๆว่าทำไมท่านจึงพูดอย่างนี้อยากจะโกรธแต่ก็ไม่กล้า แล้วท่านก็พูดให้เราสะเทือนใจว่า “มหาบพิตรฆ่าคนมามากมีมือเปื้อนเลือด บาปมาก ตายไปจะต้องตกนรก” หากเป็นคนธรรมดาพูดเช่นนี้เราคงสั่งตัดหัวไปแล้ว แต่นี่เป็นพระพูด เราไม่กล้าแม้แต่จะคิดเราก็เรียนท่านว่าเราเป็นกษัตริย์ มีหน้าที่ทำสงครามปกป้องแผ่นดิน ท่านก็พูดว่า “บัดนี้มหาบพิตร ก็ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วการกู้ชาติเป็นหน้าที่ของมหาบพิตร แต่การทำสงครามปกป้องประเทศชาติมหาบพิตรควรยกให้ผู้อื่น มีคนที่เขาสามารถทำหน้าที่แทนมหาบพิตรได้จงอย่าจับดาบอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาตดาบจากมหาบพิตร” เราก็ถามท่านว่าเราจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ท่านก็ตอบว่า “เพื่อตัดความหลงใน(วัฏ)สงสาร หากมหาบพิตรครองราชสมบัติต่อไปก็จะไม่สามารถตัดความหลงใน(วัฏ)สงสารได้ซึ่งหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบากหากมหาบพิตรไม่ตัดความหลงในสงสารก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดวกวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้นอาตมารู้ว่ามหาบพิตรสามารถตัดความหลงในสงสารได้ จึงมาหา”
หลวงปู่เทพโลกอุดร : เราได้ให้กรรมฐาน (ทำอย่างไร?? สอนวิธีปฏิบัติหรืออย่างไร) แก่พระยาตากเมื่อรับกรรมฐานจากเราแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ยอมจับดาบอีกไม่ยอมออกศึกสงคราม เอาแต่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานคนที่ไม่เข้าใจก็เลยพากันคิดว่าเขาบ้า
พระครูจรัญ :เพราะอะไรประวัติศาสตร์ในกรุงธนบุรีจึงถูกบันทึกให้ผิดไปจากความเป็นจริงมากอย่างนั้นขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก : เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติน่ะสิรู้ไหมว่าเราเป็นกษัตริย์ที่อาภัพที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตอนเราขึ้นครองราชย์เงินในท้องพระคลังไม่มีเลย เราต้องเป็นหนี้ชาวจีนถึงหกหมื่นตำลึงซึ่งถ้าคิดเป็นเงินสมัยนี้ (๒๕๒๘) ก็เท่ากับ ๒๔๐,๐๐๐ บาทสมัยก่อนเงินหมื่นตำลึงมีค่ามาก ถ้าเขาจะให้เราผ่อนใช้ เราก็พอจะหามาผ่อนให้ได้แต่นี่เขาคิดจะยึดประเทศเราไปเป็นของเขา เขาจึงเร่งรัดจะเอาเงินจำนวนนี้ให้ได้เรากับสหายร่วมสาบานก็เลยต้องช่วยกันคิดว่าจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรแล้วเราก็คิดออกว่า การผลัดแผ่นดินเป็นการล้างหนี้ที่ดีที่สุดท่านอย่าคิดว่าเราตั้งใจจะโกง แต่ในเมื่อเขาคิดไม่ดีกับเราเราจึงต้องใช้เล่ห์กลกับเขา อีกประการหนึ่ง ตั้งแต่เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่าเราก็ไม่มีแก่ใจจะครองราชย์อีกต่อไปแล้ว เราอยากตัดความหลงในสงสารให้เด็ดขาดเราสมเพชตนเองที่เป็นกษัตริย์ยากจนเข็ญใจเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ไม่มีเบญจราชกกุธภัณฑ์
พระครูจรัญ :ท่านจะกรุณาเล่าเหตุการณ์ตอนที่ท่านกู้เอกราชให้ฟังได้ไหมขอรับ กระผมอยากทราบว่าตรงกับ ประวัติศาสตร์ มากน้อยเพียงใด
พระภิกษุเจ้าตาก :ประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์ตอนเรากู้ชาติตรงกับความจริงเพียงแต่มีบางเรื่องไม่ได้บันทึกเอาไว้ อย่างเรื่องที่เราตีเมืองจันทบุรีเราได้พามารดาและน้องสาวไปไว้ที่ราชบุรีก่อน จากนั้นจึงมุ่งหน้าตีจันทบุรีประวัติศาสตร์บันทึกไว้แต่เพียงว่า เราสั่งทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกงทิ้งความจริงเราทำมากกว่านั้น คือหลังจากตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว เรามาพิจารณาว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาสาหัสและยืดยาว จึงให้สร้าง “พระยอดธงแบบกรุงศรีอยุธยา”ขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง-มหากาบรรจุไว้ในองค์พระ (พระยอดธงคือพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่สร้างไว้บนยอดธงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้รบชนะข้าศึก)เราเองก็เจริญรอยตามสงเด็จพระนเรศวรด้วยการเจริญพาหุง-มหากา (แต่งโดยพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ขององค์นเรศวร) หรือบทถวายพรพระในปัจจุบันเป็นบทที่มีอานุภาพมาก
พระบัวเฮียว : กระผมอยากฟังเจ้าตากเล่าเรื่องการกู้ชาติครับ
พระภิกษุเจ้าตาก : หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่าเมื่อปี ๒๓๑๐บ้านเมืองระส่ำระสายมาก พม่าเผาผลาญถล่มทลายกรุงศรีฯ เสียย่อยยับวัดวาอารามถูกทำลายยับเยิน พระศรีสรรเพชญ์ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมีความสูงถึง ๘ วา หุ้มด้วยทองคำหนักสองหมื่นบาทก็ถูกพม่าใช้ไฟลนเผาลอกเอาทองคำขนกลับไปเมืองตน ประชุมพงศาวดารภาค ๖ได้บันทึกเร่องราวต่างๆตอนเสียกรุงไว้ว่า พม่าเข้ากรุงได้เป็นเวลากลางคืนพม่าไปถึงไหนก็เอาไฟจุดเผาบ้านเรือนของชาวเมือง ปราสาทราชมณเฑียรไฟไหม้ลุกลามสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดต่อสู้ก็เที่ยวเก็บรวบรวมทรัพย์สิน จับผู้คนอลหม่านไปทั่วพระนครแต่เป็นเพราะเป็นเวลากลางคืน พวกชาวเมืองจึงหนีรอดไปได้มาก พม่าจับได้สัก ๑๐,๐๐๐ คนส่วนพระเจ้าเอกทัศน์นั้น มหาดเล็กพาลงเรือน้อยหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ที่บ้านจิกริมวัดสังฆาวาส แต่พม่ายังหารู้ไม่ จับไม่ได้แต่พระเจ้าอุทุมพรซึ่งทรงผนวชกับทั้งเจ้านายข้าราชการใหญ่น้อยจำนวนมากและพระที่หนีไม่พ้น พม่าจับไปไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ผู้คนแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่ามีก๊กที่สำคัญอยู่ถึง ๖ ก๊กด้วยกัน ก๊กที่ร้ายกาจที่สุดคือก๊กเจ้าพระฝางซึ่งมีหัวหน้าเป็นพระภิกษุ แต่เสพสุรา ฆ่าคน และทำลามกอนาจราต่างๆเจ้าฝางในเครื่องแต่งกายของบรรพชิต คุมกองทัพสงฆ์ออกจี้ปล้นทรัพย์สินของราษฎรทำให้เสียภาพลักษณ์ของพระศาสนาอย่างร้ายแรง
เมื่อเราปราบก๊กสำคัญ ๔ ก๊กได้แล้วจึงยกกองทัพไปตีก๊กเจ้าพระฝางซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่พิษณุโลกกองทัพของเราตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่เจ้าพระฝางหนีไป เป็นอันว่าก๊กทั้ง ๕พ่ายแก่ก๊กพระยาตาก เมื่อได้ชัยชนะแล้ว เราก็คิดว่าจะฟื้นฟูปฏิสังขรณ์กรุงศรีฯแต่ก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะทำให้กรุงศรีฯรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนได้เราเริ่มวิตกกังวล คืนหนึ่งเราจึงแก้ปัญหาด้วยการสวดพาหุง-มหากาแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ดวงพระวิญญาณของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีฯในอดีตทุกพระองค์และขอให้ท่านเหล่านั้นช่วยหาทางออกให้แก่เราด้วย จากนั้นเราก็หลับไป
เราเห็นสมเด็จพระนเรศวรกับอาจารย์ของท่านที่รู้เพราะพระเถระรูปนั้นท่านพูดว่า “อาตมาคืออาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรที่จะมาช่วยท่านแก้ปัญหากรุงศรีฯเสียหายเกินกว่าจะปฏิสังขรณ์ได้ ทั้งพม่าก็รู้ลู่ทางโจมตีขอท่านจงย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงธนบุรี และสถาปนาตัวท่านขึ้นเป็นกษัตริย์เถิดอาตมาขอถวายพระพร” จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า “ขอต้อนรับกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีขอพระองค์จงทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อันเป็นมรดกล้ำค่าของชาวสยาม” แล้วภาพนั้นก็หายวับไป เราตื่นขึ้นมากลางดึก จิตสัมผัสกับความสงบเย็นผิดกับคนที่ฝันร้าย ซึ่งจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวาดกลัวและเหงื่อไหลโทรมกายเรารู้สึกเหมือนกับว่ามิได้ฝันไป เพราะภาพนั้นยังฝังแน่นอยู่ในมโนนึกมาจนบัดนี้ (องค์ดำมาหาเจ้าตากจริงหรือเปล่าคะ)
พระราชดำรัสในสมเด็จพระนเรศวรทำให้เราตั้งปณิธานในบัดนั้นว่าจักทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบไปและนี่เองคือที่มาของปณิธานของเราที่ท่านกล่าวเมื่อครู่นี้การสู้รบสมัยนั้นต้องการขวัญและกำลังใจการสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีที่สุดคือการน้อมนำพระธรรมคำสอนเข้ามาไว้ในใจพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อประเทศชาติ เมื่อใดที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากประเทศสยามเมื่อนั้นประเทศชาติก็คงอยู่ไม่ได้ เราจึงยังอยู่ แม้หมดความหลงในสงสารแล้วก็เพื่อคอยปกป้องดูแลชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ดังที่เรากล่าวไว้ว่า “คิดถึงพ่อพ่ออยู่ คู่กับเจ้า”
เมื่อกรุงแตกเราเป็นผู้นำทหารตีฝ่าวงล้อมพม่าจากกรุงศรีฯมาตั้งมั่นที่กรุงธนบุรีช่วงที่ตีฝ่าวงล้อมออกไป มีเหตุการณ์คล้ายปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกล่าวคือทุกครั้งที่ทหารพม่าตามมาประชิดตัว ก็จะมีไฟลุกโพลงขึ้นในจุดใกล้ๆ กันทำให้ทหารพม่าเบนความสนใจไปที่กองไฟ เราก็เลยหนีรอดมาได้มารู้ภายหลังว่าเพื่อนเก่าของเราตามมาช่วย เพื่อนเก่าสมัยเป็นศิษย์วัดด้วยกันตอนเป็นเด็กโยมมารดาพาเราไปฝากเป็นลูกศิษย์วัดเราเติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาได้ฝึกอาวุธและคาถาอาคมร่วมกับเพื่อนอีก ๔ คน (ผู้ใดทราบชื่อท่านบ้างคะ)แต่ละคนมีความถนัดต่างกัน พวกเขาคอยตามช่วยเหลือเราโดยที่เราไม่รู้ภายหลังที่เราตกลงกับสหายของเราให้ขึ้นครองราชย์แทน และเราได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์พวกที่ไม่เข้าใจแผนการอันแยบยลนี้เลยพากันกบฏแบ่งออกเป็นหมู่เป็นเหล่าเหมือนเหตุการณ์ก่อนกรุงแตกในที่สุดกบฏกลุ่มหนึ่งอ้างคำสั่งของสหายเราให้นำเราไปประหารทั้งที่เราอยู่ในเพศบรรพชิตซ้ำร้ายกว่านั้นคือเกิดกบฏซ้อนกบฏ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร บ้านเมืองระส่ำระสายเราก็ได้เพื่อน ๔ คนนี้แหละพาลงเรือหนีไปนครศรีธรรมราชจากนั้นเราก็ไม่ได้พบพวกเขาอีกเลย เราได้ทราบภายหลังว่าเขาไม่อยากเป็นนักรบอีกกลับไปใช้ชีวิตชาวบ้านธรรมดา หากเราไม่ได้เพื่อน ๔ คนนี้ก็คงต้องตายอยู่ในสมณเพศและพวกที่ฆ่าเราก็ต้องบาปสาหัสมาก
พระครูจรัญ : ช่วงระยะนั้นท่านตัดความหลงในสงสารได้แล้วหรือขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก : ยังแต่ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว (ได้โสดาบัน?) เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่าได้ไม่นานก็เร่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้ดวงตาเห็นธรรม และได้เรียกสหายของเราให้มาหา
พระภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้ข้าหลวงไปตามสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาพบในเครื่องแบบนักรบมีดาบมาด้วย เขาคิดว่าคงจะทรงใช้ให้ไปทำสงครามกับผู้หนึ่งผู้ใด เป็นแน่ครั้นมาเห็นเรานั่งอยู่ในห้องพระแต่ผู้เดียว ในชุดนุ่งขาวห่มขาวสหายของเราก็รีรออยู่ไม่กล้าเข้ามา เพราะเห็นว่าเราอยู่คนเดียวและไม่มีอาวุธข้างกายเลย เราจึงบอกว่า “ด้วงเข้ามาสิ เข้ามาหาข้า เอาดาบมาด้วย” ท่านลองคิดดู ถ้าสหายของเราคิดก่อกบฏจริงก็คงถือโอกาสตอนนี้
แต่เพราะเขาไม่เคยมีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจ จึงวางดาบไว้ข้างนอกแล้วค่อยๆคลานเข้ามาใกล้ หมอบอยู่ห่างวาหนึ่ง
เราก็บอกอีกว่า “ด้วง เข้ามาใกล้ๆเอาดาบของเจ้ามาวางไว้ข้างหน้า”
สหายของเราคลานไปหาดาบแต่แทนที่จะเอามาไว้ใกล้ๆ อย่างที่เราสั่ง เขากลับกระทุ้งให้ไกลออกไปอีกแล้วจึงคลานเข้ามาใกล้ประมาณสองศอก หมอบกราบถวายความเคารพเป็นอย่างดีเราจึงถามเขาว่า “ด้วงอยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม” เราพูดเท่านี้แต่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมีอาการตกใจนัก ถึงกับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าก้มลงกราบแล้วก็มิได้ตอบว่ากระไร เราก็ถามใหม่อีกว่า “ด้วง ได้ยินหรือเปล่าข้าถามว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม” สหายของเราตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยคิดเลยพระเจ้าข้า อยู่อย่างนี้ก็สบายแล้ว” เราจึงถามเพื่อทดสอบว่าสิ่งที่สหายของเราตอบนั้นมาจากใจจริงหรือไม่
“ด้วงข่าวว่าทหารพม่ามาหาเจ้าบ่อยๆรึ”
“มาครั้งเดียวพระเจ้าค่ะ”
“เขามาเรื่องอะไร”
“เขามาถามว่ามีความสุขสบายดีรึข้าพระพุทธเจ้าก็ตอบว่าสบายดีเพราะในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาเวลานี้จึงมีความสุขมาก” เมื่อท่านตอบเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าสหายของเราไม่ได้คิดกบฏไม่คิดเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงดังที่คนอื่นเข้าใจผิดเมื่อเราเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เราจึงบอกเขาไปว่า
“ด้วง ข้าจะให้เจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะเอาไหม”
สหายของเรากราบถวายบังคมอีกครั้ง พร้อมทั้งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อคงจะคาดไม่ถึงว่าเราจะพูดแบบนี้กับเขา
เหตุที่เราถามอย่างนี้เพราะสมัยที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตีพิษณุโลกเราได้ให้สหายของเรายกทัพไปรบกับอะแซหวุ่นกี้ ขุนพลเฒ่า แต่เพราะฝีมือทัดเทียมกันการรบจึงไม่มีใครแพ้ใครชนะ อะแซหวุ่นกี้ใช้อุบายพักรบหนึ่งวัน และขอดูตัวแม่ทัพครั้นเห็นสหายเรา ก็พยากรณ์ว่า
“ต่อไปท่านจะได้เป็นกษัตริย์ขอจงรักษาตัวไว้ให้ดี”
ความจริงอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้เป็นโหรหรือมีความรู้ทางโหราศาสตร์แต่ประการใดแต่เป็นลีลาของข้าศึกที่จะยุแยงให้ไทยฆ่ากันเอง บังเอิญคำพยากรณ์มาตรงกับความจริงโดนที่อะแซหวุ่นกี้เองก็คาดไม่ถึงเรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งสมัยที่เรากับสหายของเราบวชเป็นพระภิกษุ
วันหนึ่งเรากับสหายของเราไปบิณฑบาตด้วยกันซินแสผู้หนึ่งเดินสวนทางมา เขาก็หยุดมองหน้าเรา เสร็จแล้วก็มองหน้าสหายของเราแล้วก็กลับมามองเราอีก เราจึงถามว่า “โยมมองอะไรรึ รึว่าอาตมานุ่งห่มไม่เรียบร้อย” แกก็ยิ้ม แล้วส่ายหน้าไปมา เดินไปสักประเดี๋ยวก็เดินกลับมาอีกพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า
“อักซาจัง อักซาจังจิงๆในหลวงสององค์มาบิงทะบากล่วยกัง”
พอซินแสพูดเช่นนั้น ผู้คนก็พากันสาธุแต่บางคนก็พูดขึ้นว่า “สงสัยตาแป๊ะนี่แกจะแก่จนหลงถึงได้พูดอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ถ้าในหลวง (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) มาได้ยินรับรองหัวขาดแน่”
พระครูจรัญ :ในที่สุดคำทำนายทายทักของซินแสก็กลายเป็นความจริงกระผมคิดว่าท่านน่าจะมีความรู้ทางโหราศาสตร์นะขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก :เราก็คิดอย่างท่าน แต่สำหรับอะแซหวุ่นกี้เขามีความประสงค์จะให้เรากับสหายเป็นศัตรูกัน เพราะถ้าคนไทยรบกันเองพม่าก็จะกลืนชาติได้ง่ายเพราะฉะนั้นการที่เราสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าเฝ้าให้แต่งชุดนักรบถือดาบเข้ามาด้วย ก็เพื่อจะทดสอบใจสหายของเราว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินตามคำพยากรณ์ของอะแซหวุ่นกี้หรือไม่แต่ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไรสหายผู้ซื่อสัตย์ของเราก็ไม่ยอมตกปากรับคำที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบอกแต่ว่ามีความสุขแล้ว มีความชื่นใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัวแล้วยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรักษาราชบัลลังก์ด้วยชีวิตหากมีผู้คิดทรยศต่อพระองค์” เมื่อเราได้ทดลองน้ำใจของสหายจนเป็นที่แน่ใจแล้วจึงพูดแบบเพื่อนว่า
“ด้วง ต่อไปเจ้าจงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนข้านะเจ้าเป็นเพื่อนข้า แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาก ข้าไว้วางใจเจ้า” เมื่อเราพูดอย่างนี้ สหายของเราก็ยังนิ่งอยู่ในท่าหมอบกราบ เราจึงบอกว่า
“ด้วงลุกขึ้นนั่งให้สบาย เงยหน้าขึ้น เวลานี้ไม่มีใคร เราอยู่กันสองคนไม่ต้องเคร่งเรื่องระเบียบประเพณีนักหรอก ข้าก็ถือว่าด้วงเป็นเพื่อนข้าเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ต่อไปนี้เจ้าจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินนะข้าจะสละราชสมบัติ แต่การที่จะสละราชสมบัติเฉยๆย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องมีกุศโลบายเพราะมีเงื่อนไขต่างๆมากมายที่ต้องทำตาม” สหายของเราพูดขึ้นว่า
“ข้าพระพุทธเจ้ารับไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า เพราะพระองค์ก็มีพระราชโอรสในเมื่อพระองค์จะสละราชสมบัติ ก็ควรให้แก่พระราชโอรส” เราจึงบอกเขาว่า
“ด้วงความจริงลูกชายข้าเขาก็เป็นคนดีนะ มีคนรักเขามาก ทหาร ข้าราชการทั้งหมดก็รักเขาแต่ข้าให้เขาเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้หรอก เพราะว่าบ้านเมืองของเรายังไม่มั่นคงนักเพิ่งกู้ชาติได้ใหม่ๆ ถ้าลูกข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จะกลายเป็นหุ่นให้เขาเชิดไปเขาครองเมืองไม่ได้ ด้วงจะต้องครองเมือง เพราะข้าไม่เห็นใครที่มีความเข้มแข็งสามารถรักษาเมืองต่อไปได้ นอกจากเจ้า” สหายเราแย้งว่า
“เวลานี้พระองค์ก็ยังไม่ชราภาพ จึงยังไม่ควรจะสละราชสมบัติพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยทั้งชาติแล้วก็ชาวจีนด้วย ถ้าขาดพระองค์เสียข้าพระพุทธเจ้าเถลิงราชเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ความดีก็คงมีไม่ถึงพระองค์ความเชื่อถือของบุคคลทั่วไปก็จะไม่มีเท่าที่มีในพระองค์ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าประเทศชาติอาจจะต้องสลายไปก็ได้”
เมื่อสหายของเราพูดมาอย่างนี้ เราจึงต้องเล่าความจริงให้ฟังว่า
"ด้วงเวลานี้ข้าเป็นหนี้ชาวจีนอยู่ ๖๐,๐๐๐ ตำลึง ความจริงเงินจำนวนเท่านี้ถ้าหากเขาจะให้เราผ่อนใช้ เราก็พอจะหาได้แต่ทางจีนเขาต้องการจะยึดประเทศไทยไปเป็นประเทศของเขา เขาต้องการจะกลืนเราเขาจึงเร่งรัดจะเอาเงินจำนวนนี้ให้ได้ แล้วเจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนเข็ญใจมาก เพราะไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยเงินในท้องพระคลังก็ไม่มีสักแดงเดียวเวลานี้เบี้ยหวัดเงินปีของข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนก็ยังติดค้างเขาอยู่มากข้าได้กู้เงินจากประเทศจีนมาใช้จ่าย เวลานี้ข้ากันเงินไว้สองส่วนส่วนหนึ่งเป็นเงินให้กับข้าราชการ เป็นเบี้ยหวัดเงินปีที่คั่งค้างอยู่อีกส่วนเป็นเงินที่ข้าเก็บรักษาไว้เพื่อเจ้าจะได้มีใช้จ่ายเมื่อเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินเพราะข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาก่อน ไม่มีเงินทอง มีความลำบากมากข้าเห็นใจจึงไม่อยากให้เจ้าเป็นอย่างข้าแต่เรื่องที่จะต้องให้เจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็มีอยู่ว่า
เมื่อเจ้าหนี้มาทวงข้า เมื่อข้าพ้นจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้สินนี้แทนข้า เพราะเป็นคนละคนกันที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่เพราะข้าคิดจะโกงเขา แต่เขาจะเอาเราไปเป็นประเทศของเขาเขาคิดไม่ดีกับเราก่อน เราก็ต้องหาทางป้องกันรักษาประเทศของเราเอาไว้แต่การที่จะเ)็นพระเจ้าแผ่นดินนั้น จู่ๆจะยกให้เจ้าเป็นแล้วข้าสละราชสมบัติอย่างนั้นทำไม่ได้ เพราะเขาจะรู้เท่าทันแผนการของเราเราจึงต้องใช้กุศโลบายที่แยบยล เวลานี้เมืองเขมรเกิดจลาจลข้าจะให้เจ้ากับเจัาพระยาสุรสีห์น้องชายเจ้ายกทัพไปปราบเมืองเขมรแล้วเวลาที่เจ้าไปก็ให้เอาลูกชายข้าไปด้วยถ้าตีเมืองเขมรได้เมื่อไรก็ให้ลูกชายข้าครองเมืองที่นั่นแล้วข้าอยู่ทางนี้ก็จะทำเป็นวิกลจริตแล้วก็จะแนะให้ข้าราชการบางคนที่นี่จับข้าบวชเสีย ข้าก็จะทำเป็นบ้าไม่สามารถปกครองประเทศต่อไปได้เมื่อเจ้ามาก็ให้ทำพิธีปราบดาภิเษกเถลิงราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วเนรเทศข้าไปอยู่หัวเมืองเสีย เรื่องมันก็หมดเท่านี้เรื่องหนี้สินต่างๆก็เป็นอันว่าหมดไป
พระครูจรัญ :แต่กระผมรู้สึกว่าเรื่องมันไม่ได้หมดแต่เพียงเท่านี้นะขอรับเพราะต่อมาหลังปราบดาภิเษกมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนจีนเขาสะเทือนใจและขุ่นข้องแค้นเคืองมาจนทุกวันนี้
พระภิกษุเจ้าตาก :ท่านคงหมายถึงเหตุการณ์ที่ลูกหลานเราถูกจับลงเรือลอยไปในปากอ่าวแล้วเรือล่มทำให้ตายทั้งลำเรือคนก็พากันเข้าใจว่าเป็นการกระทำของสหายของเราและน้องชายของเขาซึ่งความจริงแล้วสหายของเรามิได้มีเจตนาเช่นนั้นแต่ที่คนหลายกลุ่มที่มักใหญ่ใฝ่สูงต้องการเป็นใหญ่ เลยเกิดกบฏซ้อนกบฏ (มีผู้คิดกบฏต่อร. ๑) วุ่นวายกันไปหมด อ้างคำสั่งของร.๑ให้นำลูกหลานเราไปลอยแพและฆ่าเสียทั้งที่ทรงตั้งพระทัยจะให้ลูกหลานเราอพยพไปอยู่ที่นครศรีธรรมราชซึ่งเราไปบวชที่นั่น แต่พวกกบฏถือโอกาสฆ่าเสียเพื่อขจัดเสี่ยนหนามประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งมุ่งหวังได้ความดีความชอบจากในหลวงคนพวกนี้ในที่สุดก็ได้รับกรรมทันตาเห็นเราคิดไม่ผิดที่เลือกสหายของเราขึ้นครองราชย์แทนที่จะเป็นลูกชายของเราเพราะราชวงศ์จักรีได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึงปัจจุบันและคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือเราเพราะถ้าเราไม่บวชก็จะไม่สามารถตัดความหลงในสงสารได้เลย
พระครูจรัญ :กระผมอยากทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ท่านส่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปปราบเขมรขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้สหายเราและน้องชายนำทัพไปปราบจลาจลในเขมรและให้ลูกชายเราไปด้วยอยู่ทางนี้ก็นัดแนะกันว่าให้พระยาสรรค์จับเราซึ่งใช้อุบายเป็นคนวิกลจริตพอดีกับเวลานั้นพระสงฆ์ประพฤติเสียหายกันมากเราเรียกพระทั้งหลายเข้ามาแล้วประกาศว่า เราเป็นพระโสดาบัน และถามพระทั้งหลายว่าพระที่เป็นปุถุชนจะไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ ถ้ารูปไหนตอบว่า ไม่ได้ก็ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนต่อหน้าประชาชน การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นวาเราเป็นคนสัญญาวิปลาสผิดจากมนุษย์ธรรมดาสามัญไม่น่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อีกต่อไป
พระบัวเฮียว :พระเถรเจ้าสั่งให้เฆี่ยนพระ แล้วไม่บาปหรือขอรับ
พระภิกษุเจ้าตาก :เราไม่ได้สั่งให้เฆี่ยนพระ แต่ให้เฆี่ยนคนโกนหัวห่มผ้าเหลืองหมายความว่าคนที่เราเฆี่ยนไม่ใช่พระ คือเราให้หานักโทษประหารมาโกนหัวแล้วก็ให้นุ่งผ้าเหลือง มิได้มีการบวชแต่อย่างใดอย่างที่บอกเราต้องทำเพื่อความอยู่รอดของชาติบ้านเมือง ต่อมาทางอยุธยามีเรื่องขึ้นแต่ไม่ร้ายแรงเท่าไร เราสั่งให้พระยาสรรค์ยกกองทัพไปปราบเสร็จแล้วให้ยกกลับมากรุงธนบุรีและล้อมพระราชฐานไว้ และจับเราบวชเสียซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตรมแผนกระนั้นก็ปรากฏว่ามีนายทหารที่จงรักภักดีและมีฝีมือจะต่อสู้ เราต้องประกาศมิให้สู้เพราะบุญวาสนาของเราหมดแล้ว บ้านเมืองควรเป็นของสองพี่น้องเขาพระยาสรรค์บังคับให้เราบวช แล้วกักบริเวณไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณฯ
แต่ต่อมาพระยาสรรค์คิดกำเริบเสิบสาน อยากเป็นใหญ่ หลงใหลตำแหน่งนำเงินที่เราเก็บไว้ไปแจกจ่าย ซื้อพรรคพวกให้สนับสนุน และตั้งตนเป็นกษัตริย์สหายของเราทราบข่าว นำทัพกลับมาตั้งอยู่ที่ “วัดสะแก” พวกทหารแลข้าราชบริพารอัญเชิญให้เถลิงราชสมบัติ สหายเราสระผมที่วัดและแต่งกายให้ดีเตรียมตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน วัดนี้จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดสระเกศ” เมื่อมาถึงกรุงธนบุรี สหายเราในฐานะพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งประหารชีวิตพระยาสรรค์ที่ทำการเกินพอดีและสั่งประหารชีวิตเราโดยการทุบด้วยท่อนจันทน์ สหายคนที่หน้าตาเหมือนเรา (หลวงอาสาศึก) รับอาสาตายแทน คนที่รู้ความจริงในเรื่องนี้มีเพียง ๒ คนคือสหายของเราและน้องชายของเขา เพราะได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว วันั้นตรงกับวันที่ ๕เมย. ๒๓๒๕
หลังประหารชีวิตเสร็จ ในเวลากลางคืนสหายของเราก็ส่งเราไปนครศรีธรรมราชโดยออกไปทางราชบุรี พักที่ปากท่อก่อนคนที่ติดตามเราไปชื่อเจ้าพัฒน์ซึ่งต่อมาคือเจ้าพระยาพัฒน์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชนอกจากนี้เจ้าพัฒน์ยังได้พาชายาคนสุดท้ายของเราซึ่งตั้งท้องอ่อนๆไปด้วยเมื่อไปถึงเจ้าพัฒน์ได้พาเราไปอยู่วัดๆหนึ่งเราตั้งใจบวชไม่สึกจึงขอให้เขารับชายาของเราเป็นภรรยาเขาและขอให้รับบุตรในครรภ์เป็นบุตรของเขาด้วย แต่เจ้าพัฒน์จงรักภักดีจึงปฏิเสธที่จะรับชายาของเราไปเป็นภรรยา เขาเลี้ยงดูชายาของเราอย่างดีที่สุดต่อมาชายาของเราได้ให้กำเนิดบุตรชาย เจ้าพัฒน์ก็ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างดีบุตรคนนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชสืบต่อจากเจ้าพระยาพัฒน์ในสมัยร.๓ ซึ่งทรงทราบว่าเป็นบุตรของเรา แต่ก็ยังทรงแต่งตั้งเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่ารางวงศ์มิได้มีเรื่องบาดหมางกับเราบุตรผู้นี้ก็คือต้นตระกูล “ณ นคร” และยังมีบุตรธิดาที่เกิดจากภรรยาคนก่อนๆซึ่งต่อมาคือต้นตระกูล “ณ นครราชสีมา” และ “อินทรกำแหง” ด้วย
สหายของเราและน้องชายของเขาได้บำรุงเลี้ยงเราเป็นอย่างดีแต่งตั้งเจ้าพัฒน์เป็นเจ้าพระยาเพราะเห็นว่าเขาจงรักภักดีต่อเราทั้งที่ไม่รู้ถึงแผนการณ์อันแยบยลที่เรากับสหายคิดขึ้นหากสหายของเราคิดไม่ดี หรือที่คนสมัยนั้นพากันกล่าวหาว่าเขาเป็นกบฏเขาก็ต้องสั่งประหารชีวิตเจ้าพัฒน์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเสี้ยนหนามของเขาแต่นี่เขาแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาให้ครองเมือง จะได้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่เราสหายผู้นี้มีบุญคุณต่อเรามาก ราชวงศ์ของเขาจึงเจริญรุ่งเรืองมาทุกยุคทุกสมัยนี่คือความจริงซึ่งไม่ตรงกับที่ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้
พระภิกษุเจ้าตาก : เมื่ออยู่เมืองนครได้ ๒ ปีก็อยากจะมาอยู่เมืองเพชรบุรี ในตอนแรกเจ้าพัฒน์ไม่อยากให้เรามาแต่เมื่อเรายืนยันที่จะมา เจ้าพัฒน์จึงให้คนติดตามมา ๒ คน และให้อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งเราได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำ ไม่นานนักก็ “ตัดความหลงในสงสาร” ได้เพราะหลวงพ่อใบป่าเมตตาสอนกรรมฐานอย่างใกล้ชิด
หลวงปู่เทพโลกอุดร :วันที่พระยาตากบรรลุธรรมสูงสุดคือวันที่เขาละสังขาร
พระภิกษุเจ้าตาก :ขณะที่เราดูดดื่มอยู่ในวิมุติสุข ก็ถูกชายฉกรรจ์ ๒ คนใช้ไม้คมแฝกฟาดที่ศีรษะครั้นเห็นเราไม่เป็นอะไรเพราะกำลังอยู่ในภาวะแห่งความหลุดพ้นเขาทั้งสองก็กระหน่ำไม้คมแฝกลงไปอีกอย่างนับไม่ถ้วน เสร็จแล้วก็พากันหนีไปคงจะคิดว่าอย่างไรเสียเราก็คงไม่รอดชีวิตไปได้เพราะถูกตีหนักถึงปานนั้นคนดูแลเราก็ถูกฆ่าปิดปากทั้ง ๒ คน
พระบัวเฮียว :ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยพระเถรเจ้าเล่าครับ
หลวงปู่เทพโลกอุดร :เรื่องของกรรมไม่มีใครช่วยได้ พระยาตากสร้างกรรมไว้มากจึงต้องรับผล
พระภิกษุเจ้าตาก :คนร้ายเป็นคนของฝ่ายที่คิดจะเอาความดีความชอบจากพระเจ้าแผ่นดินเป็นความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลกเพราะในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าคนที่ถูกสำเร็จโทษไม่ใช่เราเลยกลัวว่าสหายของเราจะรู้เรื่องนี้ จึงพยายามสืบหาเราจนพบ สหายของเรายังมิทันลงโทษกรรมก็ลงโทษพวกเขาเสียก่อน ก็อย่างที่บอกแล้วว่าเกิดกบฏซ้อนกบฏวุ่นวายไปหมดฆ่ากันเองตายตกกันไปตามกัน