โดยคุณสุนัยได้ตั้งไว้คือการเปิดเผยข้อมูลใน หนังสือชี้ชวนของ SC Asset ว่า "กลุ่มตระกูลชินวัตรถือหุ้นในบริษัทร้อยละ 76 และ 61 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายไว้แล้วทั้งหมดของบริษัทก่อน และหลังการขายหุ้นสามัญในครั้งนี้" และสัดส่วน 61% นี้ให้อำนาจครอบครัวชินวัตรทั้งหมด "ยกเว้นเรื่องที่กฎหมายหรือข้อบังคับบริษัทกำหนดให้ต้องได้รับเสียง 3 ใน 4 ของที่ประชุมผู้ถือหุ้น" โดยการเปิดเผยครั้งนี้มิได้นำหุ้นที่ถือแทนโดย กองทุน OGF และ ODF มานับรวมกับการถือหุ้นของครอบครัว ซึ่งหากนับรวมแล้ว จะทำให้ครอบครัวชินวัตรถือหุ้นรวมทั้งหมดร้อยละ 79.87 คือ เกิน 3 ใน 4ของหุ้นทั้งหมด และจึงเป็นการจงใจปกปิดข้อมูลซึ่ง DSI และ กลต. ได้ชี้ความผิดไปแล้วต่ออัยการว่า เป็นความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มาตรา 278 ซึ่งตราไว้ชัดอยู่แล้วว่า "ผู้ใดแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นตาม มาตรา 65 ในสาระสำคัญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และมีการปรับด้วย"
นอกจากนั้น ความเป็นเจ้าของกองทุนทั้งสองโดยครอบครัวชินวัตรนั้น DSI และ กลต. ก็ได้ยื่นหลักฐานชัดเจนให้กับสำนักงานอัยการซึ่งรวมถึงทั้งพฤติกรรมการโอน หุ้นและเส้นทางเงินที่ใช้ในการชำระหุ้น และหลักฐานการจดทะเบียนจัดตั้งทั้งสองกองทุนโดยคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน ดังนั้น การอ้างโดยอัยการว่า ผู้มีอำนาจกระทำการทั้งสองกองทุนนั้นคือผู้จัดการกองทุน ไม่ใช่ผู้ถือหน่วยลงทุน จึงเป็นการเบี่ยงเบนประเด็น เพราะไม่ว่าใครมีอำนาจกระทำการก็ตาม การปกปิดความเป็นเจ้าของนั้นก็ถือว่า เป็นการแจ้งเท็จอยู่ดี และยิ่งกว่านั้น อัยการเองก็มีหลักฐานในมือว่ามีการใช้อำนาจกระทำการให้สองกองทุนในหลายกรณี โดยผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้จัดการกองทุน ส่วนการอ้างประกาศ กจ.28/2546 ว่ามีผลบังคับใช้หลังจากการยื่นข้อมูลโดยผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของ SC Asset นั้น ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ ประกาศย่อมมีน้ำหนักด้อยกว่า บทกฎหมายอยู่แล้ว และ กลต. ก็ทราบดีว่าเรื่องการแจ้งข้อมูลเท็จโดยครอบครัวชินวัตร ไม่ได้จบลงที่การยื่นข้อมูลในปี 2546 แต่ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็ยังได้ยืนยัน (เท็จ) อีกครั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2549 ว่าทั้งสองกองทุนไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับครอบครัวชินวัตร
ผมต้องขอเรียนกับทั้งสามท่านว่า ความจริงก็คือความจริง และผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตัวแทนของพี่น้องประชาชนคนไทย จะไม่ยอมให้ท่านทำร้ายประเทศด้วยการละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยความซื่อ สัตย์ เพราะมิเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการปล่อยให้ท่านทำลายสามองค์กรที่มีความสำคัญ ยิ่งต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ผมอยากจะวิงวอนขอให้ท่านทบทวนบทบาทหน้าที่ของท่าน และทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของประเทศ ไม่ใช่เพื่อพยายามปกป้องประโยชน์ของอดีตผู้มีอำนาจ แต่เนื่องจากประสบการณ์ที่มีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของท่าน ทำให้ผมไม่สามารที่จะมีความไว้วางใจในความซื่อสัตย์สุจริตของท่านได้อีกต่อ ไป ผมจึงจะยื่นร้องเรียนต่อสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อฟ้องร้องการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ของสำนักอัยการ และถ้า DSI และ กลต. ไม่ออกมาหักล้างคำวินิจฉัยของอัยการที่สวนทางกับการฟ้องร้องเดิมของท่าน ผมก็จะดำเนินการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ให้สอบสวนท่านเช่นเดียวกัน
http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/1 ... 304628.php
อิทธิพลจากทำเนียบลอนดอนเมือง ยังแผ่รังสีอำมหิต
สงสัยของ(ขนม)เค้าแรงจริง
