ขอไว้อาลัยต่อท่าน พ.อ ร่มเกล้า ชุวธรรมผู้เสียสละเพื่อประชาชน

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553
ร่มเกล้า ธุวธรรม MO Memoir : Sunday 11 April 2553
ด้วยว่าโรงเรียนที่เรียนมาด้วยกันนั้น เวลาที่ใครอยู่ห้องไหนก็จะอยู่ห้องนั้นด้วยกันตั้งแต่ ป.๑ ไปจนถึง ม.๓ ช่วง ม.๓ ขึ้น ม.๔ ก็จะมีเพื่อน ๆ ย้ายโรงเรียน ทางโรงเรียนก็จะมีการจัดแบ่งห้องใหม่ ทำให้ผมกับมันได้มาเรียนอยู่ห้องเดียวกันในช่วงม.ปลาย
ตอนแรกคิดว่ามันจะเลือกเรียนวิศวด้วยกัน และมันก็จบวิศวด้วย แต่จบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก จากนั้นก็ทราบข่าวว่าได้ไปอยู่แถวชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะกับกองกำลังแถวนั้นก็หลายครั้ง บางครั้งก็ต้องจัดการกับพวกขโมยรถไปขายต่างประเทศ
ตอนผมเรียนจบจากต่างประเทศ มาแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่ชลบุรี ก็มาทราบข่าวว่ามันมาเป็นนายทหารอยู่ที่ค่ายทหารตรงถนนสุขุมวิทก่อนถึงตัวจังหวัดชลบุรี
จากนั้นเราก็ไม่ค่อยเจอกัน เว้นแต่วันที่มีงานรวมรุ่นโรงเรียน (ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะได้ไป) ได้รับการติดต่ออีกทีจากมันเรื่องหาคนที่รู้จักการอ่านแผนที่ดาวเทียม (จำได้ว่าเป็นช่วงหลังเหตุการเผาสถานฑูตไทยมาพักหนึ่งแล้ว) ผมก็เลยพามันไปหาเพื่อนที่เป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อแนะนำให้รู้จักกัน วันแรกที่เขาไปพบกันนั้นผมนั่งฟังสองคนคุยกันอยู่ร่วม ๓ ชั่วโมง (โดยที่ไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเขาคุยอะไรกัน) ดูเหมือนว่าช่วงนั้นมันจะทำงานด้านปราบปรามการบุกรุกป่า
พบกันอีกทีช่วงหลังปฏิบัติ ทราบว่ามันได้รับคำสั่งให้เป็นผู้นำทหารเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งปี ผมก็ได้รับการ์ดเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของเขาที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนถนนพระราม ๑ บรรยากาศของงานวันนั้นสนุกสนานมาก เพื่อนร่วมโรงเรียนต่างเฝ้ารอคอยเวลาสำคัญ คือเวลาที่เจ้าบ่าวจะร้องเพลงที่มันพูดไว้ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนแล้วว่าถ้ามันแต่งงานเมื่อใดมันจะร้องเพลงนี้ให้เจ้าสาวฟัง ซึ่งก็ต้องใช้เวลากว่า ๒๐ ปีกว่าที่มันจะได้ร้องเพลงนี้ และนั่นเป็นการที่ผมได้พบและพูดคุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย
จากสถานการณ์บ้านเมืองที่มีผู้พยายามก่อความเสียหายโดยเห็นแก่เงินและอำนาจที่ตัวเองจะได้ในช่วงเมษายนปีที่แล้ว ทำให้เขาต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพอีก ผมเห็นข่าวเขาอีกครั้งตอนที่ต้องไปชี้แจงให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ใคร ๆ ก็ดูออกว่าอยู่ฝ่ายไหน ในการซักถามนั้นทางผู้แทนเหล่านั้นพยายามจะบังคับให้พูดว่าทหารใช้อาวุธฆ่าประชาชน และพยายามจะบังคับให้กล่าวหาผู้สั่งการ แต่เขาก็ยืนยันว่าทหารที่ปฏิบัติการนั้นไม่ได้ใช้อาวุธยิงประชาชน และก็ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต และการสั่งการนั้นก็เป็นไปตามลำดับขั้นตอน
ก่อนหน้านั้นมันถูกส่งไปปฏิบัติงา่นใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ก่อนจะลงไปมันยังบ่นเลยว่าไม่รู้ว่าจะให้ไปยิงกับใคร แต่ก็ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับ เพื่อไปแก้ปัญหาความไม่สงบที่คนที่ก่อเรื่องไว้ได้หนีไปต่างประเทศแล้ว
เมื่อตอนดึกได้ยินผู้สื่อข่าวประกาศว่ามีนายทหารยศพันเอกนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากอาวุธที่ยิงมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม ตอนมาถึงโรงพยาบาลนั้นเจ้าหน้าที่ต้องปั๊มหัวใจมาตลอดทาง ผมได้ยินเขาประกาศแต่ชื่อ แต่ในขณะนั้นข่าวก็สับสน ตอนเช้ามืดเปิดดูข่าวทางเน็ตก็พบรายงานข่าวว่าสามารถปั๊มหัวใจให้ฟื้นขึ้นมาได้
แต่พอตอนหลังแปดโมงก็มีรายงานข่าวว่ามีนายทหารเสียชีวิต ๑ นาย แต่ยังไม่มีการประกาศชื่อ ต่อมาสักพักก็มีการประกาศชื่อนายทหารยศพันเอกพิเศษที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ผมขับรถไปซื้อหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ที่ร้าน ข่าวหนังสือพิมพ์บอกว่าได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ อาการยังอยู่ในขั้นโคม่า และมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจถูกชี้เป้าให้ยิง
ขอให้วิญญาณของเพื่อนจงไปสู่สุคติ เพื่อได้จากเราไปอย่างสงบแล้ว พวกเราจะไม่มีวันลืมวีรกรรมของเพื่อน
พ.อ.(พิเศษ) ร่มเกล้า ธุวธรรม
ได้รับบาดเจ็บจากในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
เสียชีวิตที่โรงพยายาลพระมงกุฎเกล้าช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๓
ร่มเกล้า ธุวธรรม MO Memoir : Sunday 11 April 2553
ด้วยว่าโรงเรียนที่เรียนมาด้วยกันนั้น เวลาที่ใครอยู่ห้องไหนก็จะอยู่ห้องนั้นด้วยกันตั้งแต่ ป.๑ ไปจนถึง ม.๓ ช่วง ม.๓ ขึ้น ม.๔ ก็จะมีเพื่อน ๆ ย้ายโรงเรียน ทางโรงเรียนก็จะมีการจัดแบ่งห้องใหม่ ทำให้ผมกับมันได้มาเรียนอยู่ห้องเดียวกันในช่วงม.ปลาย
ตอนแรกคิดว่ามันจะเลือกเรียนวิศวด้วยกัน และมันก็จบวิศวด้วย แต่จบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก จากนั้นก็ทราบข่าวว่าได้ไปอยู่แถวชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะกับกองกำลังแถวนั้นก็หลายครั้ง บางครั้งก็ต้องจัดการกับพวกขโมยรถไปขายต่างประเทศ
ตอนผมเรียนจบจากต่างประเทศ มาแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่ชลบุรี ก็มาทราบข่าวว่ามันมาเป็นนายทหารอยู่ที่ค่ายทหารตรงถนนสุขุมวิทก่อนถึงตัวจังหวัดชลบุรี
จากนั้นเราก็ไม่ค่อยเจอกัน เว้นแต่วันที่มีงานรวมรุ่นโรงเรียน (ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะได้ไป) ได้รับการติดต่ออีกทีจากมันเรื่องหาคนที่รู้จักการอ่านแผนที่ดาวเทียม (จำได้ว่าเป็นช่วงหลังเหตุการเผาสถานฑูตไทยมาพักหนึ่งแล้ว) ผมก็เลยพามันไปหาเพื่อนที่เป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อแนะนำให้รู้จักกัน วันแรกที่เขาไปพบกันนั้นผมนั่งฟังสองคนคุยกันอยู่ร่วม ๓ ชั่วโมง (โดยที่ไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเขาคุยอะไรกัน) ดูเหมือนว่าช่วงนั้นมันจะทำงานด้านปราบปรามการบุกรุกป่า
พบกันอีกทีช่วงหลังปฏิบัติ ทราบว่ามันได้รับคำสั่งให้เป็นผู้นำทหารเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งปี ผมก็ได้รับการ์ดเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของเขาที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนถนนพระราม ๑ บรรยากาศของงานวันนั้นสนุกสนานมาก เพื่อนร่วมโรงเรียนต่างเฝ้ารอคอยเวลาสำคัญ คือเวลาที่เจ้าบ่าวจะร้องเพลงที่มันพูดไว้ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนแล้วว่าถ้ามันแต่งงานเมื่อใดมันจะร้องเพลงนี้ให้เจ้าสาวฟัง ซึ่งก็ต้องใช้เวลากว่า ๒๐ ปีกว่าที่มันจะได้ร้องเพลงนี้ และนั่นเป็นการที่ผมได้พบและพูดคุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย
จากสถานการณ์บ้านเมืองที่มีผู้พยายามก่อความเสียหายโดยเห็นแก่เงินและอำนาจที่ตัวเองจะได้ในช่วงเมษายนปีที่แล้ว ทำให้เขาต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพอีก ผมเห็นข่าวเขาอีกครั้งตอนที่ต้องไปชี้แจงให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ใคร ๆ ก็ดูออกว่าอยู่ฝ่ายไหน ในการซักถามนั้นทางผู้แทนเหล่านั้นพยายามจะบังคับให้พูดว่าทหารใช้อาวุธฆ่าประชาชน และพยายามจะบังคับให้กล่าวหาผู้สั่งการ แต่เขาก็ยืนยันว่าทหารที่ปฏิบัติการนั้นไม่ได้ใช้อาวุธยิงประชาชน และก็ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต และการสั่งการนั้นก็เป็นไปตามลำดับขั้นตอน
ก่อนหน้านั้นมันถูกส่งไปปฏิบัติงา่นใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ก่อนจะลงไปมันยังบ่นเลยว่าไม่รู้ว่าจะให้ไปยิงกับใคร แต่ก็ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับ เพื่อไปแก้ปัญหาความไม่สงบที่คนที่ก่อเรื่องไว้ได้หนีไปต่างประเทศแล้ว
เมื่อตอนดึกได้ยินผู้สื่อข่าวประกาศว่ามีนายทหารยศพันเอกนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากอาวุธที่ยิงมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม ตอนมาถึงโรงพยาบาลนั้นเจ้าหน้าที่ต้องปั๊มหัวใจมาตลอดทาง ผมได้ยินเขาประกาศแต่ชื่อ แต่ในขณะนั้นข่าวก็สับสน ตอนเช้ามืดเปิดดูข่าวทางเน็ตก็พบรายงานข่าวว่าสามารถปั๊มหัวใจให้ฟื้นขึ้นมาได้
แต่พอตอนหลังแปดโมงก็มีรายงานข่าวว่ามีนายทหารเสียชีวิต ๑ นาย แต่ยังไม่มีการประกาศชื่อ ต่อมาสักพักก็มีการประกาศชื่อนายทหารยศพันเอกพิเศษที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ผมขับรถไปซื้อหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ที่ร้าน ข่าวหนังสือพิมพ์บอกว่าได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ อาการยังอยู่ในขั้นโคม่า และมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจถูกชี้เป้าให้ยิง
ขอให้วิญญาณของเพื่อนจงไปสู่สุคติ เพื่อได้จากเราไปอย่างสงบแล้ว พวกเราจะไม่มีวันลืมวีรกรรมของเพื่อน
พ.อ.(พิเศษ) ร่มเกล้า ธุวธรรม
ได้รับบาดเจ็บจากในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
เสียชีวิตที่โรงพยายาลพระมงกุฎเกล้าช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๓