digdig wrote:ประการแรก คณะราษฏร "เสี้ยน" ครับผม ท่านปรีดี ไปอยู่ฝรั่งเศษนานไปก้ไปรับเอาไอเดียจักรวรรดินิยมแบบโมเดินมา
อยากจะทำให้ไทยเป็นจักรวรรดินิยมมหาอำนาจ ในอุษาคเณย์ โดยไม่คำนึงถึงสภาพการ์ณจริงๆ ส่วน 4 เสือนั้นก็
อยากจะลัดคิวเจ้าขุนมูลนาย ผู้มีอำนาจตอนนั้นขึ้นไปเป็น ผบ. ใจจะขาด
มีหนังสือหลายเล่มระบุว่า พระยาพหลพลพยุหเสนา ไม่รู้เรื่องเลยว่า ท่านปรีดี จริงๆแล้วพูดอะไรอยู่
ประการที่สอง ตอนนั้นเรามีนโยบายเศรษกิจที่ผิดพลาดอย่างมาก เนื่องด้วยเกิดวิกฤตแล้วดันรัดเข็มขัด
แทนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เงินมันเลยฝีดทั่วประเทศ ทำให้คนชั้นกลางยุคนั้น อยู่อย่างลำบาก
ไม่พอใจรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เป็นอย่างมาก เลยไม่มีใครออกมาต้านมากนัก
ประการที่สาม ต้องยอมรับว่าเมืองดุสิตธานี ที่เราพูดๆกัน ไม่ใช่โมเดลการศึกษาเชิงรัฐศาสตร์
แต่ที่จริงแล้วเป็นแค่ความสนุกสนานส่วนพระองค์ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และล้นเกล้า ร6 เท่านั้นครับ
ประการที่สี่ ประชาชนชั้นกลาง(รวมทั้งพวกคณะราษฏร) รู้สึกไม่ดีต่อระบบกษัตริย์ เนื่องด้วยการบริหารงาน
ปฎิรูปที่ผิดพลาดของ ล้นเกล้า ร6 มาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันยาวนานครับ
เป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่เราชิงสุกก่อนห่ามตอนนั้น เพราะจริงๆเรามีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ที่ทรงทราบถึง
ปัญหาของชาติในตอนนั้นอย่างลึกซึ้งและทรงตั้งใจในการพัฒนาชาติอย่างยิ่งยวด ถ้าคณะราษฏร ยอมทนอีกซัก
5-10ปี เราอาจจะมีปรเทศ ที่มีโครงสร้างทางสังคมชั้นยอดเช่นเดียวกับยี่ปุ่นได้ครับ
digdig wrote:ประการแรก คณะราษฏร "เสี้ยน" ครับผม ท่านปรีดี ไปอยู่ฝรั่งเศษนานไปก้ไปรับเอาไอเดียจักรวรรดินิยมแบบโมเดินมา
อยากจะทำให้ไทยเป็นจักรวรรดินิยมมหาอำนาจ ในอุษาคเณย์ โดยไม่คำนึงถึงสภาพการ์ณจริงๆ ส่วน 4 เสือนั้นก็
อยากจะลัดคิวเจ้าขุนมูลนาย ผู้มีอำนาจตอนนั้นขึ้นไปเป็น ผบ. ใจจะขาด
มีหนังสือหลายเล่มระบุว่า พระยาพหลพลพยุหเสนา ไม่รู้เรื่องเลยว่า ท่านปรีดี จริงๆแล้วพูดอะไรอยู่
ประการที่สอง ตอนนั้นเรามีนโยบายเศรษกิจที่ผิดพลาดอย่างมาก เนื่องด้วยเกิดวิกฤตแล้วดันรัดเข็มขัด
แทนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เงินมันเลยฝีดทั่วประเทศ ทำให้คนชั้นกลางยุคนั้น อยู่อย่างลำบาก
ไม่พอใจรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เป็นอย่างมาก เลยไม่มีใครออกมาต้านมากนัก
ประการที่สาม ต้องยอมรับว่าเมืองดุสิตธานี ที่เราพูดๆกัน ไม่ใช่โมเดลการศึกษาเชิงรัฐศาสตร์
แต่ที่จริงแล้วเป็นแค่ความสนุกสนานส่วนพระองค์ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และล้นเกล้า ร6 เท่านั้นครับ
ประการที่สี่ ประชาชนชั้นกลาง(รวมทั้งพวกคณะราษฏร) รู้สึกไม่ดีต่อระบบกษัตริย์ เนื่องด้วยการบริหารงาน
ปฎิรูปที่ผิดพลาดของ ล้นเกล้า ร6 มาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันยาวนานครับ
เป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่เราชิงสุกก่อนห่ามตอนนั้น เพราะจริงๆเรามีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ที่ทรงทราบถึง
ปัญหาของชาติในตอนนั้นอย่างลึกซึ้งและทรงตั้งใจในการพัฒนาชาติอย่างยิ่งยวด ถ้าคณะราษฏร ยอมทนอีกซัก
5-10ปี เราอาจจะมีปรเทศ ที่มีโครงสร้างทางสังคมชั้นยอดเช่นเดียวกับยี่ปุ่นได้ครับ
digdig wrote:ประการแรก คณะราษฏร "เสี้ยน" ครับผม ท่านปรีดี ไปอยู่ฝรั่งเศษนานไปก้ไปรับเอาไอเดียจักรวรรดินิยมแบบโมเดินมา
อยากจะทำให้ไทยเป็นจักรวรรดินิยมมหาอำนาจ ในอุษาคเณย์ โดยไม่คำนึงถึงสภาพการ์ณจริงๆ ส่วน 4 เสือนั้นก็
อยากจะลัดคิวเจ้าขุนมูลนาย ผู้มีอำนาจตอนนั้นขึ้นไปเป็น ผบ. ใจจะขาด
มีหนังสือหลายเล่มระบุว่า พระยาพหลพลพยุหเสนา ไม่รู้เรื่องเลยว่า ท่านปรีดี จริงๆแล้วพูดอะไรอยู่
ประการที่สอง ตอนนั้นเรามีนโยบายเศรษกิจที่ผิดพลาดอย่างมาก เนื่องด้วยเกิดวิกฤตแล้วดันรัดเข็มขัด
แทนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เงินมันเลยฝีดทั่วประเทศ ทำให้คนชั้นกลางยุคนั้น อยู่อย่างลำบาก
ไม่พอใจรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เป็นอย่างมาก เลยไม่มีใครออกมาต้านมากนัก
ประการที่สาม ต้องยอมรับว่าเมืองดุสิตธานี ที่เราพูดๆกัน ไม่ใช่โมเดลการศึกษาเชิงรัฐศาสตร์
แต่ที่จริงแล้วเป็นแค่ความสนุกสนานส่วนพระองค์ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และล้นเกล้า ร6 เท่านั้นครับ
ประการที่สี่ ประชาชนชั้นกลาง(รวมทั้งพวกคณะราษฏร) รู้สึกไม่ดีต่อระบบกษัตริย์ เนื่องด้วยการบริหารงาน
ปฎิรูปที่ผิดพลาดของ ล้นเกล้า ร6 มาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันยาวนานครับ
เป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่เราชิงสุกก่อนห่ามตอนนั้น เพราะจริงๆเรามีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ที่ทรงทราบถึง
ปัญหาของชาติในตอนนั้นอย่างลึกซึ้งและทรงตั้งใจในการพัฒนาชาติอย่างยิ่งยวด ถ้าคณะราษฏร ยอมทนอีกซัก
5-10ปี เราอาจจะมีปรเทศ ที่มีโครงสร้างทางสังคมชั้นยอดเช่นเดียวกับยี่ปุ่นได้ครับ
paipai wrote:
ถ้ามองกันแบบกลางๆนะ คนชอบยกย่องคุณปรีดี แต่ผมไม่ชอบเลย ผมมองว่าเขาพยายามยึดอำนาจ ร.7 พยายาม
ยึดทรัพย์สมบัติของท่าน พยายามรวบอำนาจการปกครอง ที่ไม่ชอบที่สุดคือ เขาทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตย
แบบคนพิการตั้งแต่กำเนิด แทนที่เขาจะให้ความรู้กับคนก่อนแล้วจึงค่อยเปลี่ยนระบบ แต่นี่มันยัดตูมเลยเหมือนเอา
แบงค์ร้อยใส่มือเด็กอนุบาล มันจะใช้เป็นได้ไง ประชาธิปไตยประเทศนี้ก็แบบเดียวกัน ไปถามตาสีตาสาซิ เขาก็บอกว่า
ประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง แต่ซื้อได้ด้วยนะ แย่จริงเลย
jinnivan wrote:คิดเล่นๆในมุมกลับ ถ้าคณะราษฏร์ไม่ยึดอำนาจ ป่านนี้บ้านเราได้เจออำมาตย์ของแท้คุณหลวงตัวเป็นๆแน่ๆ
แต่ท่านปรีดีก็มีความชอบอยู่บ้างที่เชิญพระยุวกษัตริย์ ขึ้นครองราชย์ แล้วก็โชคดีที่พระยุวกษัตริย์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ รู้ถึงอำนาจของสถาบัน และสามารถรวบรวมความจงรักภักดีของประชาชนต่อพระองค์ได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท่านปรีดีคาดไม่ถึง
paipai wrote:digdig wrote:ประการแรก คณะราษฏร "เสี้ยน" ครับผม ท่านปรีดี ไปอยู่ฝรั่งเศษนานไปก้ไปรับเอาไอเดียจักรวรรดินิยมแบบโมเดินมา
อยากจะทำให้ไทยเป็นจักรวรรดินิยมมหาอำนาจ ในอุษาคเณย์ โดยไม่คำนึงถึงสภาพการ์ณจริงๆ ส่วน 4 เสือนั้นก็
อยากจะลัดคิวเจ้าขุนมูลนาย ผู้มีอำนาจตอนนั้นขึ้นไปเป็น ผบ. ใจจะขาด
มีหนังสือหลายเล่มระบุว่า พระยาพหลพลพยุหเสนา ไม่รู้เรื่องเลยว่า ท่านปรีดี จริงๆแล้วพูดอะไรอยู่
ประการที่สอง ตอนนั้นเรามีนโยบายเศรษกิจที่ผิดพลาดอย่างมาก เนื่องด้วยเกิดวิกฤตแล้วดันรัดเข็มขัด
แทนที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เงินมันเลยฝีดทั่วประเทศ ทำให้คนชั้นกลางยุคนั้น อยู่อย่างลำบาก
ไม่พอใจรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เป็นอย่างมาก เลยไม่มีใครออกมาต้านมากนัก
ประการที่สาม ต้องยอมรับว่าเมืองดุสิตธานี ที่เราพูดๆกัน ไม่ใช่โมเดลการศึกษาเชิงรัฐศาสตร์
แต่ที่จริงแล้วเป็นแค่ความสนุกสนานส่วนพระองค์ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และล้นเกล้า ร6 เท่านั้นครับ
ประการที่สี่ ประชาชนชั้นกลาง(รวมทั้งพวกคณะราษฏร) รู้สึกไม่ดีต่อระบบกษัตริย์ เนื่องด้วยการบริหารงาน
ปฎิรูปที่ผิดพลาดของ ล้นเกล้า ร6 มาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันยาวนานครับ
เป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่เราชิงสุกก่อนห่ามตอนนั้น เพราะจริงๆเรามีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ที่ทรงทราบถึง
ปัญหาของชาติในตอนนั้นอย่างลึกซึ้งและทรงตั้งใจในการพัฒนาชาติอย่างยิ่งยวด ถ้าคณะราษฏร ยอมทนอีกซัก
5-10ปี เราอาจจะมีปรเทศ ที่มีโครงสร้างทางสังคมชั้นยอดเช่นเดียวกับยี่ปุ่นได้ครับ
ถ้ามองกันแบบกลางๆนะ คนชอบยกย่องคุณปรีดี แต่ผมไม่ชอบเลย ผมมองว่าเขาพยายามยึดอำนาจ ร.7 พยายาม
ยึดทรัพย์สมบัติของท่าน พยายามรวบอำนาจการปกครอง ที่ไม่ชอบที่สุดคือ เขาทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตย
แบบคนพิการตั้งแต่กำเนิด แทนที่เขาจะให้ความรู้กับคนก่อนแล้วจึงค่อยเปลี่ยนระบบ แต่นี่มันยัดตูมเลยเหมือนเอา
แบงค์ร้อยใส่มือเด็กอนุบาล มันจะใช้เป็นได้ไง ประชาธิปไตยประเทศนี้ก็แบบเดียวกัน ไปถามตาสีตาสาซิ เขาก็บอกว่า
ประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง แต่ซื้อได้ด้วยนะ แย่จริงเลย
garcon2020 wrote:jinnivan wrote:คิดเล่นๆในมุมกลับ ถ้าคณะราษฏร์ไม่ยึดอำนาจ ป่านนี้บ้านเราได้เจออำมาตย์ของแท้คุณหลวงตัวเป็นๆแน่ๆ
แต่ท่านปรีดีก็มีความชอบอยู่บ้างที่เชิญพระยุวกษัตริย์ ขึ้นครองราชย์ แล้วก็โชคดีที่พระยุวกษัตริย์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ รู้ถึงอำนาจของสถาบัน และสามารถรวบรวมความจงรักภักดีของประชาชนต่อพระองค์ได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท่านปรีดีคาดไม่ถึง
ผมชอบและเห็นด้วยกับความคิดของคุณครับ
rokjitjung wrote:ทั้งหมดเป็นสงคราม "ควาามเชื่อ" ครับ
.....
ดังนั้น กรณีนี้ ต่างคนต่างมีความหวังดีต่อประเทศ แต่ใช้วิธีการที่ผิดกันแค่นั้นเองครับ
ส่วนการที่เราจะเอาผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไประบุว่า สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งได้ทำไปเมื่อ 70 ปีทีค่ผ่านมาแล้วส่งผลให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ณ ขณะที่เขาตัดสินใจ ทางที่เขาเลือกอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้นแล้ว แต่เขาไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าผลในขณะที่ตัดสินใจจะส่งผลอย่างไรบ้าง
Albert Einsteins wrote:rokjitjung wrote:ทั้งหมดเป็นสงคราม "ควาามเชื่อ" ครับ
.....
ดังนั้น กรณีนี้ ต่างคนต่างมีความหวังดีต่อประเทศ แต่ใช้วิธีการที่ผิดกันแค่นั้นเองครับ
ส่วนการที่เราจะเอาผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไประบุว่า สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งได้ทำไปเมื่อ 70 ปีทีค่ผ่านมาแล้วส่งผลให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ณ ขณะที่เขาตัดสินใจ ทางที่เขาเลือกอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้นแล้ว แต่เขาไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าผลในขณะที่ตัดสินใจจะส่งผลอย่างไรบ้าง
หวังดีแต่ไม่รอบคอบคิดให้รอบด้านแบบนี้ ผมถือว่าหวังร้ายมากกว่า
ดังนั้นผลของอดีตที่เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเมืองไม่เคยสงบมาตลอด 76 ปี
ทางที่เขาเลือกอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด
การอ้างว่าไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าผลในขณะที่ตัดสินใจจะส่งผลอย่างไรบ้าง
ถือว่าล้มเหลวทางด้านความคิดโดยสิ้นเชิง หวังเพียงมีประชาธิปไตยก่อน แล้วไปตามเอาดาบหน้า (คุ้นๆ กันหรือไม่ )
แต่เขาควรจะต้องสามารถคาดการณ์ว่าจะมีสมมุติฐาน (hypothesis) แบบใดเกิดบ้าง
มีความเสี่ยงใดๆ บ้างที่จะเกิดกับบ้านเมือง
ไม่ใช่ไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศ เห็นตึกรามใหญ่โต บ้านเมืองเจริญศิวิไล
แล้วบอกว่าความเจริญศิวิไลที่เห็น เป็นผลมาจากการที่ประชาชนมีประชาธิปไตย
เลยคิดเดินตามฝรั่ง คิดเองไม่เป็น ไม่วิจัย วิเคราะห์ แต่สรุปเลย ฝรั่งมันทำยังไงก็จะทำอย่างนั้น
กระหายในอำนาจ อยากได้ อยากมีเป็นของตน เพียงเพื่อหวังจารึกชื่อว่านำความเจริญศิวิไลมาสู่สยามประเทศ
ทั้งๆที่ความเจริญศิวิไลที่เห็น เป็นผลมาจากการที่ประชาชนมีประชาธิปไตยส่วนหนึ่ง
แต่อีกหลายส่วนเป็นผลมาจากการที่ประชาชนเขามีความรู้ ทำงานหนัก มีเหตุมีผล มีความคิด
สิ่งต่างๆเหล่านี้ มีกับคนไทยหรือไม่ อย่างไร
คงต้องบอกว่า เหตุการณ์เมื่อ 76 ปีก่อน เหมือนกับ เอาประชาธิปไตยไปให้ลิงบาบูน
(ไม่ได้บอกว่าคนไทยเป็นลิงบาบูน แค่เปรียบเทียบให้เห็นว่ามันไม่พร้อมจริงๆ)