สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 8:48 am

ตอนนี้คล้ายๆกับว่ามือที่มองไม่เห็นกำลังชุบเลี้ยงพันธมิตรให้เติบโตด้วยความดุและทรนงเพื่อปราบปรามฝ่ายทักษิณให้ราบคาบ หากวันนี้ฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะโดยการสร้างการเมืองใหม่-จัดระเบียบสังคมและอาจรวมไปถึงการเรียกร้องอื่นๆตามมาอันทำให้ 'มือที่มองไม่เห็น' ไม่สามารถควบคุมความห้าวของพันธมิตรได้อีกต่อไป สังคมไทยจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมโดยคุณสนธิและคุณจำลองทั้งด้านการเมือง-สังคม-ศาสนาและการปกครองในรูปแบบใหม่ใช่หรือไม่? :idea:
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 8:51 am

"โน๊ตเพิ่มเติมจากผู้สื่อข่าวฝรั่ง: เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลา 2551

ที่มา ประชาไท
16 ตุลาคม 2551

หมายเหตุประชาไท: ตามที่ Nick Nostitz เผยแพร่รายงาน What happened on 7/10/2008? เผยแพร่ในเว็บไซต์นวมณฑล (New Mandala) และได้มีการแปลลงในเว็บไซต์ประชาไท บันทึกจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศ: เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลา 2551 นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ผู้เขียนได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในเว็บไซต์ดังกล่าว โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้

Note from Nick Nostitz:
ดูเหมือนว่าขณะนี้งานเขียนของผมจะอยู่ใจกลางของสงครามโฆษณาชวนเชื่อ ผมสามารถบอกซ้ำเพียงว่า มีการประกาศเตือนผ่านรถติดเครื่องขยายเสียงของตำรวจ ชัดเจนว่าไม่มีการเจรจา ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯ ได้สร้างแนวกีดขวางเอาไว้ และไม่มีเจตนาที่จะล่าถอยออกไป หลังจากที่มีการเตือน ตำรวจจึงเคลื่อนเข้าหา

แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งตำรวจต้องถูกตำหนิ ตำรวจในประเทศไทยไม่เคยมีประสบการณ์ในการควบคุมการจลาจลอย่างตำรวจในบางประเทศ เช่น เยอรมนี ที่การจลาจลเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และต้องบันทึกไว้ด้วยว่าที่เยอรมนีผู้ก่อจลาจลไม่ได้พกเอาปืนผาหน้าไม้ออกไปด้วย แน่นอนด้วยว่าอุปกรณ์และเครื่องมือของตำรวจในโลกตะวันตกก็เตรียมการดีกว่ามาก

ผมยังคงเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดตามเงื่อนไขที่จะอำนวยให้ ไม่มีผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ รายไหนถูกยิงด้วยอาวุธปืน ซึ่งจากข้อมูลของผมสิ่งนี้แตกต่างจากเหตุการณ์ในปี 2535, 2519 และ 2516

ผมหวังว่าผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ 7 ตุลา จะไม่ถูกนำมาขยายความเกินจริงเพื่อเปรียบเทียบกับสามเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนหน้านี้ เพราะการทำแบบนี้จะไม่ช่วยอะไรและจะเป็นเหตุก่อให้เกิดความเกลียดชังมากขึ้น เกิดการนองเลือดมากขึ้น

พันธมิตรฯ พกพาอาวุธอย่างท่อนไม้ และหนังสติ๊กด้วย เรื่องนี้ไม่เป็นที่ต้องสงสัย และมีผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ อย่างน้อยรายหนึ่งที่ถูกบันทึกภาพเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วยว่ามีปืนพก มีตำรวจสามรายได้รับบาดเจ็บจากการถูกอาวุธปืนยิง การอ้างว่า สมาชิกพันธมิตรฯ ไม่ได้พกอาวุธจึงเป็นเรื่องน่าขัน เช่นเดียวกับเรื่องสุดขั้วจากฝ่ายตรงข้ามพันธมิตรฯ ที่บอกว่าผู้ที่เสียแขนเสียขาเป็นผู้พิการอยู่แล้ว

การสืบสวนของคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ดูเหมือนจะยืนยันว่าแก๊สน้ำตาชนิดขว้างจะต้องรับผิดชอบสำหรับการบาดเจ็บอันน่าสยดสยองนี้แต่โดยดี

และความรับผิดชอบใหญ่ควรจะอยู่บนบ่าของกรุงเทพมหานครด้วย เพราะได้ปฏิเสธคำขอรถดับเพลิงของตำรวจเพื่อใช้เป็นปืนฉีดน้ำ (water cannon) โดยให้เหตุว่าน้ำที่ไม่สะอาดในถังบรรจุอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ชุมนุม เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นเพิ่มเติม

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจล้วนได้รับคำตำหนิ ผมได้รับรายงานว่าในภาคกลางของไทยมีหลายกรณีที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 7 ตุลา คือเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทำร้ายหรือถูกรุมตีจนได้รับบาดเจ็บ ผมสงสัยว่า ผู้บงการที่ต้องการให้สถานการณ์อยู่ในภาวะสุดโต่งโดยหวังจะบรรลุเป้าหมายในระยะเวลาสั้น ตระหนักถึงผลเสียในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น หากกองกำลังตำรวจของไทยถูกรื้อออกในทิศทางที่เกิดขึ้นในขณะนี้หรือไม่ ทุกความพยายามในการปรับปรุงกองกำลังตำรวจกำลังจะถูกทำลาย

ผมขอบคุณผู้คนที่รู้สึกว่ารายงานของผมพยายามที่มีความเป็นกลางและเที่ยงตรง เท่าที่ผมจะสามารถทำได้ และผมตั้งความหวังด้วยว่าผู้คนที่กำลังโกรธการรายงานของผมจะไม่เป็นความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพของผมหรือครอบครัว

นี่คือสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างมากต่อการทำงานในฐานะผู้สื่อข่าว ความเที่ยงตรงเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากในห้วงยามนี้ ขณะที่มีหลายแง่มุมของสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องพิจารณาและตีความด้วยการใช้แนวทางประวัติศาสตร์ สังคม และใช้แง่มุมที่หลากหลายผสมปนเปกัน สิ่งที่จะเกิดต่อไปนั้นไม่มีใครหยั่งรู้ไปเสียทั้งหมด และสำหรับทุกคน นี่คือเส้นทางของการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่

ขณะนี้ การทำงานมีความเสี่ยงอันตรายมากยิ่งขึ้น ความอันตรายที่เห็นได้ชัดในขณะนี้คือเหตุความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ผมกลัวยิ่งกว่าว่าจะทำผิดพลาดอยู่ในสงครามโฆษณาชวนเชื่อนี้ ไม่มีคนหนึ่งคนจะทำให้ถูกต้องได้สำหรับทุกคน และคนฝ่ายหนึ่งมักจะไม่พอใจสิ่งพิมพ์ของอีกฝ่ายหนึ่ง"
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby loginofu » Tue Oct 21, 2008 8:56 am

ก็กลับบ้านไปทำมาหากิน
ก็คอยจับตาดูนักการเมืองเหียกๆจะมาโกงกินประเทศอีก
ก็พร้อมที่จะออกมาอีกครั้งเพื่อไล่นักการเมืองเลวๆ

ส่วนไอ้เรื่องมือที่มองไม่เห็น.....ไปไกลๆเลยไป อย่ามาโชว์เกรีัยนแถวนี้
http://www.prachathon.org/forum/index.php
ทางเข้าบอร์ดสำรอง http://siamseri.orgfree.com/
ประชาทนธิปไตย : ทนได้ก็ทนไป
loginofu
 
Posts: 10316
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:22 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby OMEGA » Tue Oct 21, 2008 9:05 am

คิดว่าใครเค้าจะมักใหญ่ใฝ่สูงเหมือนไอ้เหลี่ยมพ่อเอ็ง
กับไอ้ฝูงน้องม๋าเสื้อแดงหรือไง
ไอ้นี่สมัครมาเพื่อเพ้อเจ้อโดยเฉพาะ :)
Only three things in life are certain birth, death and change
User avatar
OMEGA
 
Posts: 1134
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:14 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby nonnun » Tue Oct 21, 2008 9:11 am

ถามกลับ ... แล้วสังคมไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าไอ้ทัก..ยังครองประเทศ
(ที่แน่แน่จะไม่มีหมาแดงมาเห่าหอนเหมือนทุกวันนี้)
... ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา... แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น./
(กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์)
User avatar
nonnun
 
Posts: 1695
Joined: Wed Oct 15, 2008 11:52 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby จะบ้าตาย » Tue Oct 21, 2008 9:13 am

มีขี้มาใหม่อีกกอง :lol:
User avatar
จะบ้าตาย
 
Posts: 1317
Joined: Mon Oct 13, 2008 2:41 pm

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby ramboboy26 » Tue Oct 21, 2008 9:19 am

มาอีกแล้ว

เอ้าเพิ่มชื่อๆ :lol:
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby ปุถุชน » Tue Oct 21, 2008 9:26 am

อภิสิทธิ์ wrote:ตอนนี้คล้ายๆกับว่ามือที่มองไม่เห็นกำลังชุบเลี้ยงพันธมิตรให้เติบโตด้วยความดุและทรนงเพื่อปราบปรามฝ่ายทักษิณให้ราบคาบ หากวันนี้ฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะโดยการสร้างการเมืองใหม่-จัดระเบียบสังคมและอาจรวมไปถึงการเรียกร้องอื่นๆตามมาอันทำให้ 'มือที่มองไม่เห็น' ไม่สามารถควบคุมความห้าวของพันธมิตรได้อีกต่อไป สังคมไทยจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมโดยคุณสนธิและคุณจำลองทั้งด้านการเมือง-สังคม-ศาสนาและการปกครองในรูปแบบใหม่ใช่หรือไม่? :idea:



Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

ห้าแกนนำ'พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย' จะบังคับไม่ให้กระทู้ที่บิดเบือนความจริง เบี่ยงเบนประเด็น และหลอกลวงพวก'บัตรเติมเงิน'ปรากฏในเวบเสรีไทย....

เหลือความคิดเห็นแตกต่าง ความคิดเสรีที่สร้างสรรค์เท่านั้น.....!!!
"ถ้าไม่มีการทุจริตตั้งแต่แรก เงื่อนไขการปฏิวัติก็คงไม่เกิด เพราะมันมีการแทรกแซงองค์กรอิสระตลอดเวลา ซึ่งการปฏิวัติก็เป็นการนำตัวคนผิดมาลงโทษ ผมก็ไม่เห็นว่า ทำไมคณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้ถอยหลังไปแค่ 19 กันยา 2549".. อ.ไชยันต์ ไชยพร
User avatar
ปุถุชน
 
Posts: 11805
Joined: Mon Oct 13, 2008 5:19 pm

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby spp » Tue Oct 21, 2008 9:35 am

...พ่อเหลี่ยมก็ไม่ได้กลับเข้าประเทศ อะดิ :oops:
มิตรภาพคือ ความรักลบด้วยเซ็กส์ และบวกเอาเหตุผลเข้าไป

ส่วนความรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซ็กส์ และลบเอาเหตุผลออกไป.
spp
 
Posts: 1024
Joined: Mon Oct 13, 2008 11:11 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby LLTK » Tue Oct 21, 2008 9:58 am

ถ้าไม่มีความคิดเป็นของตัว หรือไปก๊อปมาแปะก้มาใช้บรอด์นี้เลย ที่นี่เขามีแต่คนมีความรู้และปัญญาชน ไม่ใช่เอาหัวชนแบบ นปก
แล้วไอ้ที่พูดๆอะถ้าแน่เอาหลักฐานมาถ้าไม่มีกูจะตามหาหาเมิงว่าดพส์จากที่ไหน แล้วกุจะแจ้งตำรวจ เรื่องหมิ่นแล้วคอยดูว่ากุจะทำได้ไหม
เรื่องหา ไอพีอะเด็กๆ เกต์เวย์ก้รู้ แล้วจะไล่ไปถึงเมิงไหมคอยดู เชือ่ไหมหละ
~~~~~~~٩(̾●̮̮̃̾•̃̾)۶ ٩(͡๏̯͡๏)۶ ٩(-̮̮̃ -̃)۶ ٩(͡๏̯͡๏)۶~~~~~~~~
User avatar
LLTK
 
Posts: 254
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:55 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby superager » Tue Oct 21, 2008 10:04 am

ไอเดียดี เด๋วจะเอาไปบอกแกนนำให้นะ.. :roll: :lol: :shock: :o :( :D :)
เสรีไทยพ้นภัย ด้วยใจสามัคคี
User avatar
superager
 
Posts: 2520
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:11 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby cameronDZ » Tue Oct 21, 2008 10:20 am

ถ้าจำลอง - สนธิ หรือแกนนำพันธมิตรคนอื่น ๆ
เก่งกล้าสามารถ มีพละกำลังเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โตอย่างนั้นได้จริง

คงไม่ต้องพาคนทนแดดทนฝนมาร้อยกว่าวันอย่างนี้หรอก

ไอ้เหลี่ยมและพลพรรค ก็คงตายคามือไปแต่สองปีก่อนแล้วด้วย

คนพวกนี้ ไม่ได้เก่งจริงหรอก แค่อดทนเก่งเท่านั้น

จขกท. หาใครที่เก่ง ๆ กว่านี้ แบบ คว่ำระบอบทักษิณได้ภายในคืนเดียวมาให้หน่อยจิ

หาให้ได้ไหม

ชักเบื่อแกนนำเก่านี่แล้ว

:mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

ถ้าหาไม่ได้ ก็ไปไกลๆ "ตีนที่มองเห็น" ของป๋มหน่อยนะ
การปฏิวัติไม่ใช่งานเลี้ยง - เหมาเจ๋อตุง

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา - โกวเล้ง
User avatar
cameronDZ
 
Posts: 2658
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:59 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby samepong » Tue Oct 21, 2008 10:35 am

ผมไม่รู้ แต่ที่รู้คือ ไม่มีพวกจาบจ้วงและล้มล้างสถาบัน ธงไตรรงค์ก็ยังเป็นธงไตรรงค์อยุ่ ผมพอใจมีไรไหม
User avatar
samepong
 
Posts: 1943
Joined: Mon Oct 13, 2008 4:15 pm

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby katindork » Tue Oct 21, 2008 10:38 am

เชื้อโรคในกระดาน มีหลายแบบ มาสร้างกกระแสปลุกเร้าด้วยคำพูดคำอ่าน แบบยั่วให้โกรธ คันหัวใจ
กับมาทำนิ่ม แต่เรื่องเหตุผลเน่าครือกัน

แถมตั้งชื่อมีเจตนาเลวแฝง ส่อชัด(เป็นความต้องการของมันเอง)
เช่นตั้งชื่อ ให้เป็นอย่างเดียวหรือแนวเดียวกับคนที่คิดเหมือนเรา หรือสถาบัน
เวลาเราด่าก็เหมือนด่าพวกเดียวกันเอง
หัวข้อก็ส่อให้เห็นชัดๆ

ฉะนั้น เวลาเราจะว่าใคร ต้องแยกน้ำดีน้ำเสียให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นน้ำไหน
เช่น จขกท. เราตอบนายในฐานที่นายเป็น นปก. นะ
คำถามนายขึ้นมา มีแต่ถ้าทั้งที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดและเป็นไปไม่ได้ แล้วหลอกด่ากินปล่าวไปเรื่อยๆ
เอาสมองชิ้นสุดท้ายที่แม่ให้มาทำบาปทำชั่วไม่จบสิ้น เป็นต้น

ปกติ เราต้องอ่านให้ออกว่าเขาเล่นเกมส์ไหนอยู่
เขาอยากให้เราไปเถียงกับเรื่องที่ยังไม่เกิด เพื่อให้มีเหตุจูงใจให้เขาด่าไปเรื่อยๆครับ

ไม่ใช่เรื่องห้ามถ้าจะเถียงเขา แต่ก่อนพูดกรุณาจั่วหัวทุกครั้งให้ทุกคนรู้ว่า
เขาคือนปก.แล้วจึงเถียงครับ
katindork
 
Posts: 995
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:00 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 10:42 am

"สนธิ ลิ้มทองกุล ลั่น ศาลสั่งจำคุก3ปี คือ ‘มารผจญ’


ย้อนหลังกลับไปแกะนัยยะและความหมายที่อยู่ในคำพูดของสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 หลังศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ที่ให้สัมภาษณ์กับ กานต์ จอมอินตา ผู้ประกาศข่าวเอเอสทีวี จะพบได้ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้น้อมรับคำพิพากษาด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ที่พิจารณาตัดสินคดีในพระปรมาภิไธยพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากแต่น้อมรับด้วยความจำยอม ทั้งๆ ที่ในใจร่ำร้องคัดค้านและไม่ยอมรับคำพิพากษาครั้งนี้ เพราะยังเชื่อว่าตนทำถูกต้อง ยังประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน มากกว่าเป็นอันตรายร้ายแรงแก่ประเทศชาติ ตามที่ศาลพิพากษา

สนธิ ลิ้มทองกุล บอกว่าสิ่งที่เขาประสบพบเจออยู่ในขณะนี้ หลังจากที่ศาลสั่งจำกคุก 3ปี เป็นวิบากกรรม และเป็นมารผจญ ซึ่งสมควรต้องพิจารณาอย่างยิ่งว่า คำพูดของสนธิ ลิ้มทองกุล มีนัยยะหรือสะท้อนความหายใดไปยังศาล และกระบวนการยุติธรรม ว่าคือ “มารผจญ” ใช่หรือไม่

อีกทั้งยัง กล่าวถ้อยคำเช่นเดียวกับที่ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เคยกล่าว และถูกศาลพิพากษาลงโทษ ฐานความผิดดูหมิ่นศาล มาแล้ว ด้วยคำพูดที่ไม่เชื่อมั่นในความเที่ยงธรรมและสุจริตของศาล ว่า กระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ถูกวางแผนและดำเนินการมาแต่ต้นโดยเครือข่ายของนายกฯทักษิณ ชินวัตร

ถัดจากบรรทัดนี้ไป คือ คำสัมภาษณ์แบบคำต่อคำ ที่ทำให้เราได้รู้ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้เคารพคำพิพากษาของศาลที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย แม้แต่น้อย และความไม่เคารพนี้ได้ส่งทอดไปยังลิ่วล้อบริวารในสื่อเครือข่ายผู้จัดการ อย่างถ้วนหน้า ด้วย

……………

สนธิ - เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เมื่อมีคดีความก็อยากชนะ แต่ผมก็น้อมรับคำพิพากษา เพราะว่า ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า คำพิพากษาของศาลนั้นไม่เหมือนกัน บางองค์คณะพิพากษากรณีลักษณะเดียวกันแบบหนึ่ง อีกองค์คณะหนึ่งก็พิพากษาแบบหนึ่ง ประเด็นสำคัญที่ผมพยายามที่จะทำความเข้าใจกับมันก็คือว่า เป็นเพียงแค่ศาลชั้นต้น ก็ยังคงมีศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาต่อไป เพราะผมเป็นคนที่พูดมาตลอดเวลาว่า ผมเป็นคนที่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลสถิตยุติธรรม เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อผมไม่พอใจคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผมก็ต้องอุทธรณ์ต่อไป

กานต์ - เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรม

สนธิ - ถูกต้อง ในทำนองเดียวกัน หลายคดีที่ผมชนะ ฝ่ายที่เขาแพ้ผม เขาก็อุทธรณ์เช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผม แน่นอนทุกคนที่ขึ้นศาลก็อยากให้ตัวเองชนะ แต่ถ้าไม่ชนะก็ต้องทำความเข้าใจกับมัน องค์ประกอบของการตัดสินคดีความแต่ละคดีความนั้นมีอยู่มากมาย เยอะแยะไปหมด อย่าให้ผมพูดออกไปเลย เอาเป็นว่า ในขั้นต้นนั้นจบแล้ว ส่วนในการที่จะมีข้ออ้างอิงอะไรนั้นก็รอการอุทธรณ์ก็แล้วกัน

กานต์ - คุณสนธิ ยืนยันที่จะยื่นอุทธรณ์

สนธิ - 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่า อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าไม่มีใครยอมแพ้หรอกครับ ทุกคนก็ต้องบอกว่า ตัวเองถูกต้อง แน่นอนที่สุด

กานต์ - ถ้าเป็นอย่างนั้น ยังมีบางประเด็นที่ยังติดใจในคำพิพากษาของศาล

สนธิ - มีมากครับ มีมาก มีหลายประเด็น ผมจะไม่เอ่ยในที่นี้ก็แล้วกัน มีหลายประเด็น ซึ่งหลายๆ ประเด็นผู้ที่อยู่ในแวดวงกฎหมายก็ยังงงเป็นไก่ตาแตก แต่ว่า ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมน้อมรับคำพิพากษาก็แล้วกัน แต่ผมขอใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ไป แล้วก็ ถ้าผมชนะอุทธรณ์ โจทก์เขาก็ต้องฎีกา ก็ไปตัดสินกันที่ศาลฎีกา ส่วนฎีกาจะตัดสินอย่างไรก็เป็นไปตามอย่างนั้น ถ้าศาลฎีกาบอกผมต้องติดคุกผมก็ติด ผมไม่ออกมาร้องแรกแหกกระเชอแล้วผมไม่หนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะผมเป็นคนเชื่อมั่นในระบบ

กานต์ - คนที่ทำผิดหรือคิดว่าจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ควรกลับมาต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรมจะดีกว่า

สนธิ - มันเป็นกรณีที่เปรียบเทียบให้เห็นว่า คุณทักษิณจริงๆ ไม่ควรจะไปหลบอยู่ต่างประเทศ แล้วก็ใช้วิถีทางหลายๆ วิถีทางเพื่อก่อให้เกิดกระแส แล้วพรรคพวกตัวเองได้รับเลือกตั้งเข้ามา จะด้วยวิธีใดก็ตาม จะด้วยถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ผมไม่ขอออกความเห็น แล้วในที่สุดแล้ว ก็เอาพวกนี้เข้ามาปัดกวาด ทำให้ถนนหนทางมันไม่ขรุขระ เขาจะได้เดินกลับมาง่ายๆ

กานต์ - ไม่ถึงขั้นปูพรมแดง

สนธิ - ไม่ถึง เอาแค่ไม่ให้ขรุขระก็พอใจแล้ว อย่างเช่น ผมเชื่อว่าพรรคพลังประชาชนเองก็ต้องการกุมตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ทั้งหมดนั้นเกี่ยวพันกับคุณทักษิณหมดเลย

กานต์ - อย่างนี้ในแง่กำลังใจที่จะเดินต่อสู้บนถนนสายนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร

สนธิ - ผมมีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า ผมเชื่อในคุณงามความดี ที่ดีมาตั้งแต่ต้น ดีไปตรงกลาง แล้วก็ดีให้ถึงที่สุด สังคมไทยวันนี้เป็นสังคมไทยน่าสงสาร แล้วก็ บางครั้งผมมานั่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วหลังเลือกตั้ง ผมเห็นความโลภของคน ผมเห็นคนบางคนซึ่งเคยยืนอยู่ข้างประชาชน ต่อต้านคุณทักษิณ วันนี้ยกพรรคพวกเข้าไปอยู่กับคุณทักษิณ

กานต์ - เพียงไม่กี่วัน

สนธิ - เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง เพียงเพราะว่าตัวเองต้องการลาภ ต้องการอะไรก็ตามที่เข้ามา คนบางคนสู้คุณทักษิณก็เพราะว่าตัวเองนั้นถูกรังแกมาก่อน พอวันนี้รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้หมด ก็เสนอตัวเข้าไปร่วมกับคุณทักษิณ พูดในทำนองที่เรียกว่า คือผมเข้าใจการเมืองชอบพูดคำว่า ก่อนที่จะเลือกตั้งก็จะทะเลาะกัน ไม่รวมไม่ร่วม พอเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย ตัวเองไม่มีข้อต่อรอง ตัวเองจะบอกว่า ร่วมกับพรรคไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วสังคมไทย อุดมการณ์ทางการเมืองมันไม่รู้อยู่ที่ไหน ส่วนผมนั้น อุดมการณ์ของการเป็นคนดีแล้วต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองนั้น จากวันแรกที่ผมตัดสินใจเดินมา ผมเสียสละแล้วหมดทุกอย่าง ผมเอาธรรมนำหน้า ผมบอกกับตัวผมเองว่า คุณกานต์คงจำได้ว่า ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง คำว่า ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง มันมีนัยที่ลึกซึ้งมาก คือว่า ผมมองว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ทุกอย่างไม่แน่นอน ทุกอย่างเป็นทุกข์หมด พอจบไปแล้วก็ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นแล้ว คำว่า ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง ก็คือว่า เมื่อตัดสินใจทำงานให้ชาติบ้านเมืองแล้ว ต้องยอมเสียสละหมดทุกอย่าง ถึงแม้จะต้องถึงแก่ชีวิตก็ต้องยอม ถึงแม้ว่าจะหมดทรัพย์สมบัติไปก็ต้องยอม เพราะว่าเรามีศรัทธาในสิ่งที่เราทำ และสิ่งที่เราทำนั้นเราทำเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราทำด้วยความถูกต้อง บางครั้งการกระทำของเรานั้น เราต้องเจอวิบากกรรม อย่างในขณะนี้ต้องถือเป็นวิบากกรรม

กานต์ - เป็นมารผจญ

สนธิ - มารผจญ แม้กระทั่งการที่ผมไปบวชคราวที่แล้วก็ยังมีมารมาผจญ เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องไม่สติแตก เราต้องสติมั่นคง อยู่กับตัวเราเอง อันหนึ่งซึ่งผมอยากจะเรียนให้คุณกานต์ทราบนิดหนึ่งว่า ในขณะนี้สังคมไทยของปลอมเยอะ เยอะมาก หลายๆ คนที่เข้ามาร่วมกระบวนการกับเราตั้งแต่ต้น วันนี้แปรเปลี่ยนไปหมดแล้ว จำนวนคนที่ยังคงยืนหยัดอยู่เหมือนเดิม น้อยลง คนที่มาเอาประโยชน์กับเราได้ไปเยอะ หลายๆ คน คมช. ก็ได้ประโยชน์ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกฯ ขึ้นมาก็เพราะว่าพวกเราเป็นคนทำ

กานต์ - หลายๆ คน รัฐมนตรีหลายคนมาจากเรา

สนธิ - มาจากเราทั้งนั้น แต่คนพวกนี้เข้ามาร่วมพวกเราเพียงเพราะเห็นว่าเรามีกำลังจะโค่นคุณทักษิณได้ พอเราโค่นคุณทักษิณเสร็จเขาก็มาฉกฉวยผลประโยชน์ที่เขาต้องการจะได้ตั้งแต่ต้นเอาไป ที่เราพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าเราเห็นว่าเราไม่ได้มีประโยชน์อะไรแล้วเราก็มาทำตัวเป็นองุ่นเปรี้ยว ไม่ใช่ ที่เราพูดเช่นนี้เราต้องการชี้ให้พี่น้องและประชาชนเห็นสัจธรรมของชีวิต โชคดีอย่างหนึ่งที่ อุดมการณ์ผมไม่เคยเปลี่ยน แล้วผมยัง

กานต์ - เป็นสิ่งสำคัญ

สนธิ - สำคัญมากคุณกานต์ คนเราตอนนี้ มีคนถามผมวันนี้ว่าผมจะท้อใจไหมในการต่อสู้ต่อไป ผมไม่ท้อหรอก ผมเป็นนักรบคุณกานต์ เมื่อผมเป็นนักรบ อย่ามาเรียกผมขุนพลแล้วกัน ผมไม่ใช่เป็นขุนพลของใคร ผมเป็นนักรบ ผมรบในสิ่งที่ผมเชื่อ และศรัทธา คือสัจธรรมแห่งคุณงามความดี ผมเชื่อในเรื่องนี้ เมื่อผมเชื่อในเรื่องนี้ ถ้าผมจำเป็นต้องบาดเจ็บ บางครั้งบาดเจ็บเล็กน้อย บางครั้งบาดเจ็บสาหัส ผมก็ต้องทน คุณกานต์ ผมเคยโดนคดีหนึ่งที่คุณภูมิธรรม เวชชยชัย ฟ้องผม แล้วท่านผู้พิพากษาท่านพิพากษาจำคุกผม 2 ปี 1 กรรม 1 กรรม 2 ปี ไม่มีรอลงอาญา ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของวงการศาลในเมืองไทย ไม่เคยมีมาก่อน ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ตกตะลึง และงงไปหมด เกิดอะไรขึ้น เพราะธรรมดา 1 กรรม จะจำคุก 1 ปีแล้วให้รอลงอาญา หรือบางครั้ง อย่างกรณีหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยคดีหมิ่นประมาท ศาลจำคุก 6 เดือน ให้รอลงอาญา แต่ถ้าเป็นผู้จัดการแล้วจะไม่มีรอลงอาญา

กานต์ - จำคุกเลย

สนธิ - หรือตัวผม ซึ่งผมไม่ได้มาตัดพ้อต่อว่า ผมกำลังเล่าให้คุณกานต์ฟังว่า คนเราถ้าอดทนต้องอดทนให้ถึงที่สุด พูดง่ายๆ ว่า ถ้าบาดเจ็บสาหัสแล้วอย่าร้อง ร้องไม่ได้คุณกานต์ ไม่มีสิทธิร้อง ที่ไม่มีสิทธิร้องก็เพราะว่า เรามีความศรัทธา ความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ เหมือนเราเชื่อในพระพุทธเจ้า เราเชื่อในพระธรรมคำสั่งสอน เราจะบอกตัวเราเองว่า ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรม หรือตอนที่เราสู้กับคุณทักษิณ เราก็พูดตลอดเวลาว่า ไม่มีใครที่หนีกรรมได้พ้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเรามีความเชื่อ มีศรัทธาแล้ว อย่าไปหวั่นไหวกับมัน บาดเจ็บสาหัสแน่นอน วันนี้คนเยอะเลยลืมไปหมดแล้วว่าผมเคยสู้อะไรมาบ้าง

กานต์ - ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปไม่ถึง ปีกว่าๆ เท่านั้น

สนธิ - ถูกต้อง วันนี้ผมเดินขึ้นศาล ผมโดนพิพากษาอย่างนี้ คนก็เฉยๆ แต่เขาไม่รู้ เขาไม่ได้หยุดคิดเลยว่า สิ่งซึ่งผมโดนวันนี้คือสิ่งซึ่งผมสู้ในอดีต เพื่อให้พวกเขาได้มีวันนี้กัน

กานต์ - นี่คือสิ่งที่คุณสนธิต้องการจะบอก

สนธิ - ผมก็ไม่เชิงต้องการบอก ผมต้องการเล่าให้ฟังว่า คนเรา คือผมมี 2 ความคิด ความคิดหนึ่ง ผมยอมรับ คนเราขี้ลืม

กานต์ - โดยเฉพาะคนไทย

สนธิ - โดยเฉพาะคนไทย ผมว่าชาติอื่นขี้ลืมเหมือนกัน แต่ว่า อีกมิติหนึ่งผมกำลังจะบอกว่า ถึงเขาจะขี้ลืม ผมควรหรือไม่ลืมไปตามเขา เพราะวันนี้ถ้าผมไปคุยกับคุณทักษิณ ชินวัตร ในทำนองว่ามาร่วมมือกันทำอะไรก็ได้แล้วลืมความหลังครั้งเก่าๆ ผมก็เสียแล้ว ผมเสียศรัทธาคนที่จะมารุมด่าผม แต่ในขณะเดียวกัน ที่ผมมารับเคราะห์รับกรรมเพราะคุณทักษิณอย่างนี้ คนเขาจำไม่ได้ว่าผมเคยทำอะไรมา เพราะฉะนั้นแล้ว มันเป็นเรื่องที่ เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลจริงๆ ที่เอามาเป็นตัวอย่างให้ทุกๆ คนทำตามคงไม่ได้ ผมคงไม่มีสิทธิที่จะไปหวังว่าทุกคนคงจะคิดเหมือนผม ทำเหมือนผม แต่ผมมีสิทธิที่จะทำในสิ่งที่ผมเชื่อมั่นและศรัทธา และผมต้องไม่เปลี่ยนแปลงในจุดยืนของผม เพราะอันนี้สำคัญที่สุด เพราะอันนี้คือคุณค่าของความเป็นคน และที่สำคัญ คุณค่าของความเป็นคนที่ต้องการทำความดี ไม่ใช่แค่พูดแต่ปาก โดนแล้วก็ไม่บ่น มีใครบ้าง มีใครเจออย่างผมบ้าง วันนี้ผมโดนไป 3 ปี ไม่รอลงอาญาเลย ผมรู้สึกเฉยๆ นี่พูดด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรทั้งสิ้นเลย เพราะผมเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว

กานต์ - เข้าใจในสัจธรรม

สนธิ - ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 คุณกานต์ ทุกคดีที่เขาฟ้องผมตอนนี้ คุณกานต์รู้ไหมเขายื่นฟ้องผมตอนที่เขามีอำนาจ คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วให้ลูกน้องมาฟ้องผม การที่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วทะเลาะกับผมตอนนั้น หาเรื่องผมตอนนั้น เขาบริหารระบบทั้งระบบใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในระบบแต่ละระบบจะเกรงใจเขา

กานต์ - จะเป็นไปตามประตู ตามทาง

สนธิ - ประตู ตามทางที่เขาวางเอาไว้ ผมก็ต้องไม่บ่น ไปดูได้ ยอมรับ ไปดูได้เลยทุกคดี ไปดูได้เลย ทุกคดี คุณทักษิณดำเนินคดีกับผมในช่วงที่คุณทักษิณมีอำนาจเต็มๆ เลย เพราะฉะนั้นแล้วมันต้องยอมไป ก็เพียงแต่หวังว่า ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ท่านจะมีเมตตา ท่านจะเข้าใจ ว่าสิ่งที่ผมสู้มา แล้วสิ่งที่ผมต่อสู้มาแล้วไม่ได้รับการหยิบยกมาพิจารณานั้น ท่านอาจจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาก็ได้ แต่ว่า อย่างที่ผมเรียนให้ทราบคุณกานต์ ผมน้อมรับคำพิพากษาทุกประการ เป็นเพียงแต่ว่า ผมขออนุญาตไม่เห็นด้วย และผมขออนุญาตใช้สิทธิของผมในการอุทธรณ์และฎีกาต่อไป

กานต์ - คำพูดที่เราทุกคนชาวพันธมิตรฯ ใส่เสื้อ เราจะสู้เพื่อในหลวง อันนี้คือหลักการใหญ่ อุดมการณ์ใหญ่ที่คุณสนธิบอกว่า นี่คือสิ่งซึ่งทำเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

สนธิ - ถูกต้องครับ แล้วผมยังยืนยันอยู่ทุกวันนี้ แล้วในบางครั้งหลายคนน้อยอกน้อยใจแทนผม บอกคุณสนธิคุณจะสู้ไปทำไม คุณสู้ไปแล้วคุณได้อะไร คุณได้แต่คดีความบ้าๆ บอๆ มา คนอื่นเขาไปตักตวงผลประโยชน์ มีความสุขกันหมดทุกคน ผมบอก อย่าไปคิดอย่างนั้นซิ ดีต้องดีให้ตลอด แล้วดีต้องดีให้ตลอดจริงๆ นะ อย่าไปดีแล้วแอบชั่วแล้วสร้างภาพว่ายังดีอยู่ มีอยู่หลายคนตอนนี้ ดีแล้วแอบชั่ว แล้วสร้างภาพให้ตัวเอง ให้คนอื่นเห็นว่า ตัวเองยังดีอยู่ ดีต้องดีทั้งเปิดเผยและลับหลัง

กานต์ - นี่คือสิ่งที่ คุณสนธิยึดหลักการนี้แล้วทำมาโดยตลอด

สนธิ - ถูกต้องครับ แล้วผมยังทำอยู่ต่อไป บทบาทหน้าที่ผมคงไม่ถดถอยออกไป เป็นเพียงแต่ว่าผมอาจจะเปลี่ยนทิศทางใหม่

กานต์ - เสียกำลังใจ

สนธิ - ไม่เสีย ไม่เสีย ผมกลับมองในมุมกลับว่าทำให้ผมมีกำลังใจมากกว่าเก่า

กานต์ - แรงฮึด

สนธิ - มันไม่ใช่แรงฮึดอย่างเดียวคุณกานต์ ผมมีความรู้สึกว่า ผมต้องทำอะไรแล้วมันได้ผลแน่นอน เขาถึงต้องมาเล่นงานผมอีก คือ วัตถุประสงค์ทั้งหมดต้องการจะปิดปากผมนะ ไม่ให้ผม

กานต์ - ถ้าคุณสนธิไม่อยู่สักคนหนึ่งทุกอย่าง

สนธิ - ถ้าผมไม่อยู่ ถ้าผมไม่อยู่เสียคนหนึ่งทุกอย่างราบรื่นหมด แล้วเขาเคยพูดมาตลอดเวลา เขาพูดตลอดเวลา เขาบอกทหารเขาก็ซื้อได้ นักการเมืองเขาซื้อได้ ข้าราชการแน่นอน เขามีอำนาจทุกคนยอมเขาหมดไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหน เขาบอกเหลืออยู่คนเดียวที่มันไม่ยอมผม ก็คือ สนธิ ลิ้มทองกุล

กานต์ - สุดท้ายครับคุณสนธิ ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า นอกจากระบวนการทางยุติธรรมที่เราต้องดำเนินต่อสู้ต่อแล้ว กระบวนการทางจิตใจ ร่างกาย หลายคนเป็นห่วงกลับคุณสนธิจะถอดใจ

สนธิ - ผมคงไม่ถอดใจหรอกครับ มันไม่คง ผมไม่ถอดใจแน่นอน แต่สิ่งที่ผมจะทำในที่สุดคือ ผมยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ปีใหม่ 2551 บทบาทผมจะเปลี่ยนไป ผมกำลังจะชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชนให้ฟังเรื่องที่ผมพูด แล้วถ้าหลายคนเห็นด้วยให้เข้ามาร่วมกระบวนการกับผม ผมคิดว่าเราจะเริ่มประมาณต้นปี คงจะได้เห็นกันครับ ขอบคุณมากครับคุณกานต์"
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 10:45 am

"ความจงรักภักดีแบบ สนธิ ลิ้มทองกุล



ราวต้นปี 2549 ผมได้อ่านบทความชิ้นหนึ่งใน เวปไซต์ pantip.com ที่เขียนโดย Mr.PaPa เรื่อง “ความจงรักภักดีแบบสนธิ ลิ้มทองกุล” ซึ่งเป็นบทความที่ดีที่สุดบทความหนึ่งที่ผมเคยอ่านมาในห้วงเวลานับแต่ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤติ เพราะ พิษสงของปากและเชื้อร้ายในน้ำลายของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่แพร่เชื้อโรคทำลายความเข้มแข็งของประเทศไทย ให้กลายเป็นประเทศที่อ่อนแอ กลายเป็นขี้โรคแห่งเอเชีย อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ

บทความ เรื่อง ความจงรักภักดีแบบสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เขียนโดย Mr.PaPa ถูกนำไปเผยแพร่ ถ่ายทอด กระจายออกไปในหลายเวปไซต์ ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งผมไม่ทราบว่ามากหรือน้อย หูตาสว่างขึ้นเหมือนกับที่ผมเป็น (ผมเชื่ออย่างนั้น) แต่ผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่ หลงเชื่อหัวปักหัวปำกับทุกคำที่สนธิ ลิ้มทองกุล พูด ก็คงไม่มีประโยชน์อันใด ไม่ว่าจะอ่านกี่เที่ยวกี่หน เพราะคนที่เดินตามสนธิ ไม่ได้ใช้เหตุผล แต่ใช้อารมณ์และความเชื่อเป็นธงนำ

Mr.PaPa เขียนไว้เกือบ 2 ปีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าหลายเรื่องที่อยู่ในบทความดังกล่าว จะมีความใกล้เคียง คล้ายคลึง กับคำพิพากษาของศาล ที่ตัดสินจำคุกสนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี ไม่รอลงอาญา โดยเฉพาะประเด็น สนธิ ลิ้มทองกุล ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือ และอาวุธ ทำร้ายนายกฯทักษิณ ชินวัตร และทำให้ประชาชนเข้าใจผิด

Mr.PaPa เขียนไว้ด้วยว่าหากประชาชนหลงเชื่อและเดินตาม สนธิ ลิ้มทองกุล โดยไม่ใช้พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก แผ่นดินไทยก็จะแตกแยกและลุกเป็นไฟได้ไม่ยากนัก ซึ่งคำพิพากษาของศาล ก็ชี้ให้เห็นว่าการก่อม็อบขับไล่นายกฯทักษิณ คือ ต้นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยไม่สงบเรียบร้อย และเกิดความแตกแยกอย่างใหญ่หลวงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

คำพิพากษาจำคุก สนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี ไม่รอลงอาญา น่าจะเป็นโทษสถานเบา เมื่อเทียบกับความพินาศฉิบหายของประเทศชาติ ที่ต้องประสบอยู่ในขณะนี้ อันมีเหตุมาจากการปลุกระดมประชาชนของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ทำให้ประเทศแตกแยก และก่อให้เกิดวิกฤติที่สุดในโลก โดยการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยทั้งชาติทั้งแผ่นดินเคารพเทิดทูน เพื่อประ โยชน์ทางการเมืองของตนเองเพียงผู้เดียว

Mr.PaPa เขียนไว้เมื่อต้นปี 2549 ซึ่งผ่านมาแล้ว เกือบ 2 ปี ว่าอย่างไร ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกครั้ง ว่า ความจงรักภักดีแบบสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเช่นไร

………………………………………

อาวุธประการสำคัญที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ใช้หมายประหัตประหาร ไล่ล่าทักษิณ ชินวัตร มาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง เกือบ 1 ปีเต็ม ก็คือ “ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” ที่สนธิ อวดอ้างว่าเขามีมากกว่า ทักษิณ ชินวัตร

สนธิ ใช้ “ความจงรักภักดี” เป็นอาวุธ และ ประกาศจุดยืนแห่งชีวิตว่า จะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดทักษิณ ชินวัตร ออกไปจากการเมืองไทย และประเทศไทย ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีก เพื่อปกป้องในหลวง และสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ไม่จงรักภักดี และ ไม่เคารพพระมหากษัตริย์

แต่ทว่าพฤติกรรมที่สำแดงออกถึงความจงรักภักดีของสนธิ ลิ้มทองกุล ในห้วงเวลา 8-9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสนธิ ก่อให้เกิดวิกฤต และความแตกแยกครั้งใหญ่ในประเทศไทย ปลุกระดมให้ประชาชนคนไทยแตกแยก ขัดแย้งกันเอง จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงต้องระงับเหตุด้วยพระองค์เอง ก่อนที่จะบานปลาย และประชาชนบางส่วนจะหลงผิด ไปมากกว่านี้ เป็นพฤติกรรมของผู้จงรักภักดีที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง แต่สมควรจะกระทำตามหรือไม่ เป็นเรื่องที่ทุกคนพึงใช้วิจารณญาณของตนเอง เพราะขึ้นอยู่กับมโนสำนึก และสำนึกใฝ่ดี ใฝ่ต่ำของแต่ละคนว่ามีมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร

เริ่มจาก….

1. ขายเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” เพื่อเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร ที่บังอาจถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกจากช่อง 9 อ.ส.ม.ท. แหล่งข่าวจากโรงงานผลิตเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” เปิดเผยว่าสนธิ สั่งผลิตเสื้อจากหลายโรงงาน แต่รวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 1 ล้านตัว ราคาต้นทุนแขนสั้น 40 บาท แขนยาว 60 บาท ราคาขายแขนสั้น 150 บาท แขนยาว 200 บาท ประมาณการกันว่ารายได้จากการขายเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ไม่น่าจะน้อยกว่า 200 ล้านบาท

ขณะนี้เงินจำนวนนี้ ไปนอนอยู่ในธนาคารแห่งหนึ่งในฮ่องกงแล้ว สนธิ ผลิตเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ออกมาขาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ การแตกความสามัคคีของคนในชาติ ทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยรู้รักสามัคคี และไม่เผชิญหน้ากัน นี่เป็นการอ้างความจงรักภักดีที่น่าประหลาดใจ

แต่ที่น่าประหลาดกว่านี้ก็คือ รายได้จากการขายเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” มีการทักท้วงกันมากว่า มีการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผลิตสินค้าออกจำหน่าย เข้าข่ายหลอกหลวงผู้ซื้อ ว่าเป็นการสมทบทุน “สู้เพื่อในหลวง” แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการทำธุรกิจ หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ทั้งไม่ได้ขอพระบรมราชานุญาต ทั้งไม่ได้นำเงินทูลเกล้าถวายฯ ทั้งไม่ได้ตอบคำถามประชาชนว่าเงินที่ได้มานำไปใช้จ่ายอย่างไร จากการแอบอ้างสถาบัน บางคนเปรียบกับเสื้อคุณทองแดง ที่มีการผลิตขึ้นมาขายโดยหน่วยงานบางหน่วยงาน ยังต้องขอพระบรมราชานุญาต และรายได้ที่เกิดขึ้น ก็นำขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่สนธิ กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อคำถาม คำทักท้วง และคำทวงถาม เรื่องเงินที่ได้จากการขายเสื้อ เหมือนกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพราะเงินอุดหู

2. เปิดประเด็นโจมตี ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำตัวเสมอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรณีทำบุญประเทศไทย ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และหลงเชื่อว่า นายกฯทักษิณ บังอาจทำตัวเสมอพระเจ้าอยู่หัว ทั้งๆที่เป็นการกล่าวหาใส่ร้าย โดยปราศจากข้อเท็จจริง และเป็นการกล่าวหาโดยที่ไม่รู้ระเบียบประเพณี หรือรู้แล้วแต่แสร้างทำเป็นไม่รู้ ปิดบังข้อมูลที่เป็นจริงไว้ นำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ เพื่อให้ประชาชนคนไทย เกลียดชังเข้าใจผิด ต่อนายกฯทักษิณ การแสร้งโง่และโกหกของสนธิ ในเรื่องนี้ ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด และในที่สุดต้องเดือดร้อนไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากที่สำนักราชเลขาธิการ และสำนักพระราชวัง จัดทำหนังสือชี้แจงแล้ว แต่สนธิ ก็ยังคงนำเสนอข้อมูลเท็จ ที่คิดขึ้นมาเอง จินตนาการเอง ไม่ยอมรับฟังคำชี้แจงของสำนักพระราชวัง กระทั่งความเข้าใจผิดของประชาชนที่มีต่อนายกฯทักษิณ ลุกลามไปจนทั่วประเทศ

สุดท้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2548 ว่า “ไม่ผิด” จึงทำให้ประชาชนคลายความคลางแคลงใจต่อนายกฯทักษิณ ลงได้ แต่ สนธิ หาได้นำพาต่อพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ ทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้ไม่ชี้กับพระราชดำรัส ไม่ทุกข์ ไม่ร้อนกับ ข้อกล่าวหาของตัวเอง ที่ใส่ร้ายผู้อื่น จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ลุกลามขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ

ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีคำชี้แจงจากสนธิ แม้แต่คำเดียวว่าเอาข้อมูลจากไหนมากล่าวหาให้ร้ายนายกฯทักษิณ มีแต่การสร้าวงประเด็นใหม่ๆ เพื่อขยายความบาดหมางใจ ความไม่พอใจในหัวใจประชาชนที่มีต่อนายกฯทักษิณ ให้เพิ่มขึ้นอีก

3. การชุมนุมใหญ่ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 และการอ่านคำถวายฎีกาให้ทรงใช้พระอำนาจแก้ไขปัญหา ซึ่งมีตอนจบของคำถวายฎีกา ว่า “ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอกราบบังคมทูลถวายฎีกาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อทรงพระกรุณาปัดเป่าทุกข์ยากของอาณาประชาราษฎร์ อันเกิดจากน้ำมือของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สุดแท้แต่พระองค์จะทรงพระกรุณาวินิจฉัย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายชีวิตด้วยความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ และขอปฏิญาณตนว่าจะต่อสู้เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พิทักษ์รักษาสิทธิผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ เพื่อมิให้อธรรมอ้างความชอบธรรมแสวงหาผลประโยชน์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

สนธิ ทำให้ทุกคนที่ร่วมชุมนุมลานพระบรมรูปทรงม้า และผู้ที่ชมการถ่ายทอดเหตุการณ์ทางโทรทัศน์ ต้องตกตะลึงกับลีลาการอ่านคำถวายฎีกาด้วยท่าทางที่ไม่มีใครเคยพบเคยเห็นมาก่อน กล่าวคือ มีทั้ง ชี้นิ้ว ชี้หน้า ชี้กราด เท้าเอว ตะโกน ซึ่งเป็นอาการที่คนไทยทั่วไปไม่ใช้ และรับไม่ได้กับการถวายฎีกา ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมายถึงความไม่เหมาะสมของสนธิ ที่กระทำต่อเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาท้ายหนังสือถวายฎีกา กลับปรากฎว่ามีชื่อผู้ถวายฎีกา เพียง 2 คน คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ แต่กลับประกาศว่าเป็นฎีกาของประชาชนคนไทยทั้งชาติทั้งแผ่นดินไม่พอใจและได้รับความเดือดร้อนจากการทำงานของนายกฯทักษิณ ชินวัตร

หลังจากการถวายฎีกา ที่หน้าบ้านพักพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ หน้าประตูพระบรมมหาราช วัง เสร็จสิ้นลง นักวิชาการ และประชาชนจำนวนมาก เสนอให้มีการสลายตัว และยุติการชุมนุมชั่วคราว เพื่อรอพระบรมราชวินิจฉัย แต่สนธิ กลับไม่สนใจที่จะรอพระบรมราชวินิจฉัย กำหนดวันชุมนุมขับไล่รัฐบาต่อทันที เพราะเห็นว่ากระแสกำลังขึ้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การถวายฎีกาของคนไทย ที่จะมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อกดดันให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยทางใดทางหนึ่ง

ไม่ว่าจะมีผู้คัดค้าน ทัดทานอย่างไร สนธิ ก็ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง และเดินหน้าต่อ จนทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่าสนธิ ถวายฎีกาเพื่ออะไร ต้องการใช้การถวายเป็นฎีกา เป็นเครื่องมือสร้างข่าว และปลุกระดมมวลชน เพื่อให้เกิดสัญลักษณ์การเผชิญหน้าระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับ รัฐบาล แค่นั้นใช่หรือไม่ แท้จริงแล้วสนธิ ไม่ได้สนใจผลของการถวายฎีกาเลยแม้แต่น้อย จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยหรือไม่ สนธิ ก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ขอแค่เพียงได้ถวายเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดฉากต่อสู้ยกใหม่กับทักษิณ ชินวัตร ก็เพียงพอแล้ว

แต่ที่น่าสนใจก็คือ นับแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ได้มีการถวายฎีกาไป สนธิ ก็ไม่เคยกล่าวอ้างถึงฎีกานั้นอีกเลย และไม่สนใจติดตามด้วยว่าทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างไร หรือไม่ ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน นึกอยากจะยื่นก็ยื่น นึกอยากจะเลิกก็เลิก ทำราวกับว่าการถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีค่าเสมอเพียงการส่งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้ผู้อ่านทั่วไป นึกอยากส่งก็ส่ง นึกอยากจะเลิกส่งก็เลิก นี่คือพฤติกรรมของผู้จงรักภักดีแบบสนธิ ลิ้มทองกุล

4. การสร้างกระแสเรียกร้องให้ทรงใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อเผด็จศึกทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ให้ได้ ทั้งๆ ที่การคัดค้าน ทัดทาน ทักท้วงจากนักวิชาการจำนวนมาก ว่าเป็นการไม่สมควรที่จะสร้างกระแส กดดัน เรียกร้องให้ใช้พระราชอำนาจ เพราะไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็เพิกเฉยกับเสียงคัดค้านทุกเสียง และเดินหน้าต่อ ปลุกระดมประชาชน ให้เข้าชื่อ ให้ร่วมส่งเสียง ให้ทรงใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 เพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่

การเรียกร้องนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ดังกระหึ่มไปทั่วฟ้าเมืองไทย เพราะสนธิ ชักนำให้ประชาชนเข้าใจผิด ว่าเป็นสิ่งที่ถูก และเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงทำอะไรก็ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ให้อำนาจมากมาย

กว่าประชาชนทั่วประเทศจะรู้ว่าการเดินตามสนธิ เป็นสิ่งที่ผิด ขัดรัฐธรรมนูญ มิหนำซ้ำ ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อพระมหากษัตริย์อีกด้วย ก็ต่อเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ว่าการเรียกร้องมาตรา 7 เป็นการทำให้พระองค์ท่านทรงเดือดร้อน และไม่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย ท่านจะไม่พระราชทานนายกรัฐมนตรี นั่นล่ะ ประชาชนจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเดินผิดทางมายาวไกลมาก

แต่สนธิ ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับพระราชดำรัส และความเดือดร้อนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังไม่ทันที่พระราชดำรัสจะถูกตีพิมพ์เป็นตัวหนังสือ เผยแพร่ต่อประชาชนทั่วไป สนธิ ให้สัมภาษณ์สวนทางพระราดำรัส ทันที ซึ่งคัดลอกมาจากเวปไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ดังนี้

“ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงตรัสว่า มาตรา 7 เรื่องการ ขอนายกฯ พระราชทานไม่สามารถใช้ได้ นายสนธิ กล่าวว่า “มาตรา 7 พระองค์ท่านก็บอกว่าพระองค์ท่านใช้ยาก เพราะพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ท่านก็ไม่ได้ บอกว่าพระองค์ท่านจะไม่ใช้

เมื่อถามต่อว่า แต่กระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านไม่ต้องการที่จะทำเกินหน้าที่ นายสนธิ กล่าวว่า ถูกต้อง แต่ว่า ต้องมีคนรับสนองพระบรมราชโองการ ก็แสดงว่าถ้ามีคนรับสนองพระบรมราชโองการ พระองค์ก็พร้อมจะใช้

ต่อข้อถามถึงข้อเรียกร้องที่กลุ่มพันธมิตรเรียกร้องนายกฯพระราชทาน จะเดินหน้าต่อหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า “เราก็เดินเหมือนเดิม เพราะเราก็ ยังยืนยันว่าการต่อสู้ครั้งนี้เรายืนหยัดเพราะการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย เราก็อยากรู้เหมือนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะโมฆะหรือเปล่า”

เมื่อถามว่า จะทบทวนบทบาทการชูเรื่องมาตรา7 หรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า “เรายังรวมอยู่ในทุกบทบาท เพราะตนคิดว่าถ้ามีคนรับสนองพระบรมราชโองการก็ชูได้ ทำไมจะชูไม่ได้”

ก่อนจะจบท้ายการสัมภาษณ์ว่า "มันแข็งกร้าวตรงไหน และตนก็เห็นด้วยว่าที่จะให้ทุกอย่างอยู่ในระบอบรัฐสภา แต่ถ้า นายกฯ และรัฐบาลชุดนี้ลาออกก็ใช้มาตรา 7 ได้ เพราะมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ"

ก็อย่างนี้ล่ะ ถ้อยคำวาจา และการแสดงออกของผู้จงรักภักดีอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล

5. การสร้างกระแสปฏิญญาฟินแลนด์ ให้ประชาชนหลงเชื่อและเข้าใจผิดว่า นายกฯทักษิณ วางแผนการที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจากประชาชน ลดบาทบาทและอำนาจของพระมหากษัตริย์ ด้วยการปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ และเชื่อมโยงให้เป็นแผนการร้ายของนายกฯทักษิณ ชินวัตร และคณะผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย จำนวนหนึ่ง ที่ไปวางแผนการกันไกลถึงประเทศฟินแลนด์ ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดที่ผูกโยงปะติดปะต่อกันขึ้นมานี้ เป็นการจินตนาการของสนธิ ลิ้มทองกุล ชัยอนันต์ สมุทวณิช ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่ง สองคนหลังเป็นลูกจ้าง เขียนบทความแลกเงินค่าคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของสนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง แล้วก็ยังมี โสภณ สุภาพงษ์ อีกคนหนึ่ง ที่ร่วมกันจินตนาการสร้างแผนร้ายนี้ขึ้นมา แล้วก็โยนว่าเป็นความคิดของนายกฯทักษิณ ชินวัตร กระแสปฏิญญาฟินแลนด์ ไม่ต่างจากกระแสพรรคคอมมิวนิสต์ ในอดีต คือมีการกล่าวหานักการเมืองกลุ่มหนึ่งจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จนนำไปสู่การต่อสู้ และการทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างรุนแรง พฤติกรรมของสนธิ ในเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ไม่แตกต่างจากเรื่องกรณีทำบุญประเทศไทย ในพระอุโบสถวัดพระแก้ว แต่เพิ่มความเข้มข้น และระดับความเกลียดชังคนชื่อทักษิณ ชินวัตร ในหัวใจของคนไทย ให้สูงขึ้นหลายเท่าตัว

แต่น่าเสียดายที่พฤติกรรมของสนธิ และ พวกพ้อง ลูกน้องค่ายผู้จัดการ ทำกันมาแล้วหลายครั้งหลายหน ถูกจับได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเป็นความเท็จ ไม่ใช่ความจริง กรณีปฏิญญาฟินแลนด์ จึงปลุกไม่ขึ้น เพราะสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่เล่นด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ และผู้กล่าวหาก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยันคำพูดของตัวเอง ว่าเป็นเรื่องจริง นี่ก็คือ พฤติกรรมของผู้จงรักภักดีของ สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จงรักภักดี ที่ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือทางการเมืองของตัวเองมาโดยตลอด และ ใช้ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของคนไทย เป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือในการจุดประเด็น โหมไฟไล่นายกฯทักษิณ ชินวัตร มาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่สำเร็จ การสร้างกระแสปฏิญญาฟินแลนด์ขึ้นมา ก็เป็นอีกครั้งของการจุดกระแสและโหมไฟไล่นายกฯทักษิณ

แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่กุเรื่องไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่เกินเลยไปถึงขั้น คิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ กันเลยทีเดียว เมื่อประมวลการพัฒนาทางความคิดของสนธิ ลิ้มทองกุล จากวันเริ่มต้นต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร จนถึงวันนี้ จึงไม่อาจสรุปเป็นอื่นได้ นอกจากว่า

“สนธิ กำลังใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ให้แก่ตัวเอง และเป็นอาวุธประหัตประหารศัตรูของตนเอง โดยหามีความจงรักภักดีอย่างแท้จริงไม่”

ความจงรักภักดีแบบสนธิ ลิ้มทองกุล จึงเป็นความจงรักภักดีจอมปลอม ที่ต้องเร่งกำจัดให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย ก่อนที่ประเทศไทยจะลุกเป็นไฟเพราะบุคคลผู้นี้"
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby tangte » Tue Oct 21, 2008 10:49 am

อ่านรายละเอียดที่ สมาชิกท่านหนึ่ง เข้าไปตอบแล้ว ท่านตอบดีมาก ชัดเจน

ข้อเขียนของนักข่าวคนนี้ เขียนจากความรู้สึก เกือบทุกย่อหน้า ตย.....ย่อหน้าว่า ไม่มี ปชช ถูกยิงด้วยอาวุธปืน เหมือนในปี ... เป็นการโยงความคิดที่มีเจตนาบิดเบือน... จบ

เชื่อถือไม่ได้สำหรับนักข่าวคนนี้

สมาชิกเสรีไทยควรตอบโต้ นักข่าว คนนี้แบบที่ สมาชิกเสรีไทยท่านนั้นทำ ทีละประเด็น ทีละประเด็น

:D :D


หมายเหตุ จขกท เป็นพวกตัดแปะ จขกท จะอ่านหรือเปล่า ยังสงสัย
แต่ ตัดแปะมาให้คนอื่นอ่าน คงเป็นพวกอ่านหนังสือไม่แตก

สุนทรพจน์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๗ (๑๗ ธ.ค. ๕๑)

http://www.youtube.com/watch?v=eiSdgPw9 ... re=related

คัมภีร์โบราณจารึกไว้ มันผู้ใดโกงหลวงแม้สักเฟื้องสลึง โคตรมันต้องวิบัติเจ็ดชั่วโคตร
User avatar
tangte
 
Posts: 3124
Joined: Tue Oct 14, 2008 5:32 pm

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby loginofu » Tue Oct 21, 2008 10:52 am

Image

สันดานตอบไม่ได้ ตัดแปะคุ้นๆแบบนี้ ผมเต็มใจแจก foe ให้ครับ
http://www.prachathon.org/forum/index.php
ทางเข้าบอร์ดสำรอง http://siamseri.orgfree.com/
ประชาทนธิปไตย : ทนได้ก็ทนไป
loginofu
 
Posts: 10316
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:22 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby protecter » Tue Oct 21, 2008 11:04 am

ไม่มีแกนนำ และ พธม คนไหนสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น
ย้อนกลับไปดูหลัง 19 ก.ย 49 .......หลังทหารออกโค่นทักษิณ
เห็นได้ชัด ไม่มีแกนนำ พธม คนใดได้ผลประโยชน์อะไร พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

ถ้าคราวนี้ พธม ชนะเด็ดขาด สิ่งที่ตามนา น่าจะ.................

1.ทักษิณต้องพิสูจน์ตัวเองในศาลทุกข้อหา (หรือหนีตลอดชีวิต)
2.การเมืองจะพัฒนาสู้อีกระดับหนึ่ง ทำให้นักการเมืองที่เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ยากขึ้น คนดีๆเก่งๆ(แต่อาจไม่รวย)จะได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ
3.สถาบันกษัตริย์จะเข้มแข็งเหมือนเดิม หรือ ยิ่งกว่าเก่า
4.การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง คอยตรวจสอบนักการเมืองตลอดเวลา
5.สังคมมีคุณธรรม ศิลธรรม จริยธรรมมากขึ้น
ใอ้มาร์ค เป็นหุ่นให้ ใอ้หน้าดำ + พรรคร่วมเชิด เพื่อโกงกิน....โดยมีไข่แมงสาป เป็นผู้ปกป้อง และ ทำร้าย พธม ...ซึ่งออกมาเปิดโปงความชั่ว
User avatar
protecter
 
Posts: 1963
Joined: Sun Oct 19, 2008 8:06 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby samepong » Tue Oct 21, 2008 11:05 am

มารผจญ คือกรรมเก่า อ่านไม่เข้าใจยังบิดเบือนอีก
User avatar
samepong
 
Posts: 1943
Joined: Mon Oct 13, 2008 4:15 pm

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 11:13 am

tangte wrote:อ่านรายละเอียดที่ สมาชิกท่านหนึ่ง เข้าไปตอบแล้ว ท่านตอบดีมาก ชัดเจน

ข้อเขียนของนักข่าวคนนี้ เขียนจากความรู้สึก เกือบทุกย่อหน้า ตย.....ย่อหน้าว่า ไม่มี ปชช ถูกยิงด้วยอาวุธปืน เหมือนในปี ... เป็นการโยงความคิดที่มีเจตนาบิดเบือน... จบ

เชื่อถือไม่ได้สำหรับนักข่าวคนนี้

สมาชิกเสรีไทยควรตอบโต้ นักข่าว คนนี้แบบที่ สมาชิกเสรีไทยท่านนั้นทำ ทีละประเด็น ทีละประเด็น

:D :D


หมายเหตุ จขกท เป็นพวกตัดแปะ จขกท จะอ่านหรือเปล่า ยังสงสัย
แต่ ตัดแปะมาให้คนอื่นอ่าน คงเป็นพวกอ่านหนังสือไม่แตก



มาร์คแค่นำปัญญามาใส่ขมองผู้โง่เขลาแค่เนี๊ยะ...ตกลงมาร์คผิดอีกซิ!?! :roll:
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby จะบ้าตาย » Tue Oct 21, 2008 11:17 am

สันดอน ขุดได้ *** ขุดไม่ได้ :D มากี่ชื่อ สมองก้อยังเท่าเดิม
User avatar
จะบ้าตาย
 
Posts: 1317
Joined: Mon Oct 13, 2008 2:41 pm

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby loginofu » Tue Oct 21, 2008 11:19 am

อภิสิทธิ์ wrote:มาร์คแค่นำปัญญามาใส่ขมองผู้โง่เขลาแค่เนี๊ยะ...ตกลงมาร์คผิดอีกซิ!?! :roll:


5555 คงไม่ต้องสงสัยแล้วนะว่าใคร
ไอ้หน้าตัวเมียตัวเดิมนั่นแหละ
foe มันได้เลยพี่น้อง ไม่ต้องเกรงใจ
Last edited by loginofu on Tue Oct 21, 2008 11:20 am, edited 2 times in total.
http://www.prachathon.org/forum/index.php
ทางเข้าบอร์ดสำรอง http://siamseri.orgfree.com/
ประชาทนธิปไตย : ทนได้ก็ทนไป
loginofu
 
Posts: 10316
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:22 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 11:19 am

protecter wrote:ไม่มีแกนนำ และ พธม คนไหนสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น
ย้อนกลับไปดูหลัง 19 ก.ย 49 .......หลังทหารออกโค่นทักษิณ
เห็นได้ชัด ไม่มีแกนนำ พธม คนใดได้ผลประโยชน์อะไร พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

ถ้าคราวนี้ พธม ชนะเด็ดขาด สิ่งที่ตามนา น่าจะ.................

1.ทักษิณต้องพิสูจน์ตัวเองในศาลทุกข้อหา (หรือหนีตลอดชีวิต)
2.การเมืองจะพัฒนาสู้อีกระดับหนึ่ง ทำให้นักการเมืองที่เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ยากขึ้น คนดีๆเก่งๆ(แต่อาจไม่รวย)จะได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ
3.สถาบันกษัตริย์จะเข้มแข็งเหมือนเดิม หรือ ยิ่งกว่าเก่า
4.การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง คอยตรวจสอบนักการเมืองตลอดเวลา
5.สังคมมีคุณธรรม ศิลธรรม จริยธรรมมากขึ้น



อ่ะจิงดิ๊...ไม่รับผลประโยชน์ใดๆจากการยึดอำนาจเหรอ? แล้วประสงค์ฟันดำ เจิมสาก คำนูน การุณ ใครต่อใครใน PAD Conntection ที่รับตำแหน่งทางการเมืองและเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆในยุค คมช. นี่มันมาจากฝีมือล้วนๆว่างั้นเถอะ ฮ่าๆๆๆๆ


ไม่เอาน่า...ยอมรับความจริงเถอะว่าพวกทาสเผด็จการอำนาจโบราณดังกล่าวได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้าอิ่มหมีพลีมันก็ช่วงเผด็จการครองเมืองเท่านั้นแหล่ะว๊า เห็นไหมว่าใครต่อใครฝ่ายพันธมิตรที่สมัครสส.ค่ายปชป.ส่วนใหญ่สอบตกกันทั้งนั้น รอดมาได้แค่1-2คนเอง โถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถ :lol:
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 11:23 am

"ย้ำ เลือก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ สนธิ ลิ้มทองกุล




ก่อนจะเข้าเรื่องที่จะเขียนวันนี้ ต้องกราบขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจแก่เราทั้ง 4 คน และสัญญาว่าเราจะจับมือกันเดินไปข้างหน้า โดยไม่หวาดหวั่นต่อภัยอันตรายทั้งปวงอันพึงมี จนกว่าภากิจการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย จะเสร็จสิ้น จนกว่าเผด็จการตัวสุดท้ายจะดับดิ้นสิ้น ลมหายใจไปตรงหน้า

ต้องบอกว่าเหนื่อยมาก และเหนื่อยเหลือเกินกับการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าให้รอดพ้นจากการถูกโจมตี ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการโจมตีที่รุนแรงและหนักหน่วงที่สุด เท่าที่เราเคยเจอมา ด้วยวิธีการที่เราคาดไม่ถึง ว่าจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้ บอกได้แต่เพียงว่าในแวดวงโลกไซเบอร์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ต่างพากันส่ายหัวและทำท่ารังเกียจมากเมื่อได้รู้ว่าผู้มีอำนาจรัฐในประเทศไทย ใช้วิธีการใดจัดการกับ Hi-thaksin เนื่องจากเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้อื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนไปด้วย โดยเฉพาะผู้ใช้อินเตอร์เนตในประเทศที่เราฝากเซิฟเวอร์ไว้

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา Hi-thaksin จึงมีอาการติดๆ ดับๆ บางวันดูได้ตอนเช้า ตอนเย็นดูไม่ได้ บางวันดูแต่ตอนดึกๆ ตอนเช้าถึงเย็นดูไม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าประสงค์ของผู้กระทำการ ที่มุ่งสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากเวปไซต์นี้

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทีมงานของเรา ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดร้ายกับเราอย่างไร หากจะมีที่หายหน้าหายตาไปบ้าง ก็คือผม นายประดาบ นี่ล่ะ ที่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดประสานงานกับผู้ดูแลระบบของเราในต่างประเทศ เพื่อสร้างระบบป้องกันการถูกโจมตีขึ้นมาเพิ่มเติม และจากการทดสอบระบบได้ระยะหนึ่งแล้ว จนถึงขณะนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่า เราจะกลับมาพบกันเหมือนเดิมได้แล้ว แม้อาจจะต้องหายไปอีก แต่ก็คงไม่นานเหมือนครั้งล่าสุดที่ผ่านมา

แจ้งข่าวเรื่องราวส่วนตัวจบแล้ว ก็ อยากจะชี้แจงแถลงไขสักเล็กน้อย ถึงกรณีคลิปวิดีโอ ที่เป็นต้นเหตุให้ สดศรี สัตยธรรม สั่งปิดเวปไซต์ Hi-Thaksin ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ฝีมือของผม หากแต่เป็นน้องสาวคนเก่งในทีมงานคิดและทำขึ้นมา ด้วยอารมณ์ประชดประชัน แกมขบขัน มากกว่าที่จะนำเสนอแบบซีเรียสจริงจัง แต่กลับปรากฎว่าผู้ถูกพาดพิง ไม่รับมุก และไม่มีอารมณ์ขันด้วยเลย จึงทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต

หลังจากเป็นข่าวใหญ่ข่าวดัง ผมก็มานั่งดูอีกหลายๆ เที่ยว ยิ่งดูก็ยิ่งชัด ยิ่งดูก็ยิ่งจริง ยิ่งดูก็ยิ่งใช่ จึงไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้ทำไมต้องโกรธด้วยเมื่อมีผู้เปิดเผยความจริงอีกด้านหนึ่งของตนเอง

โดยเฉพาะ นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อแผ่นดิน รวมไปถึง นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่กำลังรอกินส้มหล่น คนอยากเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ได้ดูสารรูปตัวเองว่าแม้แต่คิดก็ผิดแล้ว แค่จัดงานไทยพาวิลเลี่ยน ในงานเวิล์ดเอ็กซ์โป ที่ญี่ปุ่น เมื่อ 3 ปีก่อน ยังทำให้ประเทศไทยเสียหน้าในเวทีโลก ไม่พอ ยังจะมาอาสาเป็นผู้นำประเทศไทยในเวทีโลก อีก คิดได้ไงหนอพ่อคนนี้

กรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประขาธิปัตย์ ผมยืนยันได้เลยว่า คลิปวิดีโอที่นำมาเสนอ ไม่ผิดไปจากความจริงแม้แต่น้อย หากจะผิด ก็ต้องผิดตรงที่ให้ความจริงน้อยเกินไป เพราะนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้สมคบ วางแผนร่วมกันกับกลุ่มพันธมิตร ของสนธิ ลิ้มทองกุล เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปสู่คณะรัฐประหาร อีกด้วย

เรียกได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ มีส่วนร่วมกับสนธิ ลิ้มทองกุล และ คมช. ในการก่อวิกฤติประเทศไทยขึ้นมาในรอบ 2 ปีนี้ และทำท่าว่าจะลุกลามจนยากจะเยียวยาได้ในปีหน้า ซึ่งทุกสำนักเศรษฐกิจทั้งไทยและเทศ บอกว่า จะเลวร้ายกว่าปีนี้ และปีที่ผ่านไป

อันที่จริง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ควรจะต้องย้อนกลับดูตัวเองก่อนว่า เป็นจริงดังที่ถูกพาดพิงถึงหรือไม่

เลือก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ สนธิ ลิ้มทองกุล ทุกคะแนนที่ได้จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ สนธิ ลิ้ม ผู้นำขบวนการโค่นล้มอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

มีข้อความใดผิด มีข้อความใดใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ หรือพรรคประชาธิปัตย์ มีข้อความใดเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน

นายอภิสิทธิ์ ตั้งสติให้ดี แล้วย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของตัวเอง และพรรคประชาธิปัตย์ แล้วนำมาพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ก็จะได้รู้ว่าความระยำที่พวกตนทำไว้ ไม่เกินไปกว่าที่คลิปวิดีโอ บอกไว้ ยังน้อยไปด้วยซ้ำ และจะได้รู้ว่าเพราะอะไรสื่อมวลชนทั่วไป จึงนำถ้อยคำเหล่านี้ไปนำเสนอซ้ำๆ หลายเที่ยว หลายครั้งหลายหน แบบมีชั้นเชิง คือ เสนอไปก็ตำหนิ Hi-Thaksin ไป แต่เท่ากับย้ำให้ประชาชนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงเวปไซต์ ได้รู้ว่าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจะได้อะไรเป็นของแถม

ในฐานะตัวแทนทีมงาน Hi-Thaksin ประดาบขอน้อมรับคำตำหนิจากทุกท่านไว้แต่เพียงผู้เดียว และขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันนำเสนอข้อความในคลิปวีดีโอไปยังประชาชนทั่วประ เทศ ให้ได้ฉุกคิดก่อนจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือให้คะแนนแก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะต้องเจออะไร และใคร หลังการเลือกตั้ง หากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาล

ลองไล่เรียงพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ กันดูว่า ทำไม เลือกอภิสิทธิ์ แล้วจึงได้สนธิ ลิ้มทองกุล

รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร กำเนิดขึ้นครั้งแรกที่สวนลุมพินี โดยการสนับสนุนสถานที่ ไฟฟ้า และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครันจาก นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งจัดหาผู้ฟังมาร่วมรายการเพื่อให้ดูสมจริงสมจังว่า มีประชาชนสนใจติดตามรับฟังการชำแหละความเลวร้ายของรัฐบาลทักษิณ จำนวนมาก ด้วยการสั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ และพนักงานทำความสะอาด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาฟัง ทุกเย็นวันศุกร์

หากจะบอกว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้จุดเทียนแห่งปัญญา นายอภิรักษ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ ผู้ใช้มือป้องลมกันเปลวไฟที่แท่งเทียนดับ และเป็นผู้ที่คอยอำนวยความสะดวกด้วยความยินดียิ่ง จนกลายเป็นว่า สวนลุมพินี ตกเป็นสมบัติส่วนตัวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทุกเย็นวันศุกร์ ที่ใครจะมาจัดกิจกรรมใดๆ แข่งขัน หรือแย่งความสนใจของประชาชนไปอีกไม่ได้

นอกจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังไม่ปรากฎว่าจะมีใครได้สิทธิพิเศษในการใช้สวนลุมพินีเป็นเวทีจัดการอภิปรายทางการเมืองและปลุกระดมมวลชน อีกเลย

ไม่ใช่เพียงสวนลุมพินี เมื่อนายสนธิ เคลื่อนทัพสมาชิกพันธมิตร ออกมาปักหลักบนท้องถนน นานนับเดือน นายอภิรักษ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้บริการอำนวยความสะดวกแก่ผู้นำม็อบ และผู้ร่วมชุมนุม อย่างครบครัน ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ราวกับว่าเกรงประชาชนจะไม่ได้รับความสะดวกในการมาร่วมชุมนุม แล้วจะไม่มาอีก

การยึดสนามหลวงเป็นเวทีปลุกระดมประชาชนขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตร ก็ได้สิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่ โดยไม่ต้องขออนุญาตเช่นผู้อื่น ด้วยการประกาศวรรทองเพียงวรรคเดียวว่านี่คือ “อารยะขัดขืน”

นายสนธิ และพันธมิตร จะใช้สนามหลวง และท้องถนนที่ยึดมา กระทำการผิดกฎหมาย ขัดศีลธรรมอันดีของบ้านเมืองอย่างใด ก็ทำได้ตามอำเภอใจ จะนำขบวนประชาชนเดินไปทิศใด ทางใด ได้ทั้งนั้น แม้แต่การปิดถนนสายเศรษฐกิจหลักของกรุงเทพ ที่บริเวณสยามสแควร์ ปิดห้างสยามพารากอน ก็ทำได้ ราวกับว่าเป็นเจ้าของกรุงเทพมหานคร โดยที่นายอภิรักษ์ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แต่เอามือซุกหีบ รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น เพราะการมีประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันระหว่างนายสนธิ กับ พรรคประชาธิปัตย์ นั่นเอง

การโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร คือ ผลประโยชน์ร่วมกันของ นายสนธิ กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ก่อนที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะเริ่มทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ทุกเย็นวันศุกร์ ที่สวนลุมพินี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำสมาชิกคนสำคัญของพรรค ไปเข้าพบ คารวะ และให้กำลังใจนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และบอกให้นายสนธิ เดินหน้าสู้ต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ เป็นกำลังใจให้

การพบกันวันนั้น บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น และร่วมมือร่วมใจกันอย่างยิ่ง ดังภาพถ่ายที่ปรากฎในเวปไซต์ต่างๆ เป็นภาพนายสนธิตบหลังตบไหล่ขอบอกขอบใจนายอภิสิทธิ์ ที่หยิบยื่นกำลังใจมาให้ ที่มีชื่อภาพว่า “ดีมากไอ้น้อง”

ไม่เพียงแต่นายอภิสิทธิ์ ที่ไปให้กำลังใจ และคารวะนายสนธิ ถึงสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ สมาชิกคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอลงกรณ์ พลบุตร นายเกียรติ สิทธิอมร คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ยังได้เข้าร่วมกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเปิดเผย และขึ้นเวทีปราศรัยขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย

ว่ากันว่า ทุนในการจัดการชุมนุมของพันธมิตร ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่ก็ไหลมาจากแกนนำคนสำคัญบางคนของพรรคประชาธิปัตย์ นี้เอง จึงทำให้การชุมนุมของพันธมิตรดำเนินมาได้อย่างยาวนานต่อเนื่องกันเป็นแรมปี และยังรวมไปถึงการจัดผู้ฟังทั้งในกรุงเทพและต่างจัง หวัด เข้ามาร่วมสมทบเพื่อเพิ่มยอดจำนวนผู้ชุมนุมในนัดสำคัญๆ เป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากชุมชนในกรุงเทพมหานคร และ ภาคใต้

นักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ต่างพาเหรดเข้าร่วมรายการสนทนาการเมือง ของสถานีโทรทัศน์ ASTV ไม่เว้นแต่ละวัน บางวันมีหลายรายการ ซึ่งทุกรายการล้วนแต่ด่า ไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทั้งนั้น และพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของสถานี โทรทัศน์แห่งนี้ ด้วยการออกสปอตประชาสัมพันธ์พรรคประชาธิปัตย์ อย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ทางตรง ก็คือ ใช้เงินอุดหนุนพรรคการเมืองที่ได้จากกกต. จ่ายค่าโฆษณาให้แก่ ASTV

ทางอ้อม ก็คือ แนะนำให้บริษัทธุรกิจต่างๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ สนิทสนมเป็นพิเศษ เช่น ยูคอม ที่มี ดร.ประกอบ จิรกิตติ เป็นผู้บริหาร และ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซื้อโฆษณาใน ASTV เป็นกรณีพิเศษ

มืออาชีพในการจัดการชุมนุม ประเมินว่าแต่ละนัดของพันธมิตร ที่เรียกระดมประชาชนมาชุมนุกันที่สนามหลวงและลานพระราชวังดุสิต ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านบาท มีการตระเตรียมอาหารและน้ำ ไม่ต่ำกว่า 1 แสนชุด ในแต่ละครั้ง ยังไม่นับรวมค่าเดินทางผู้มาชุมนุมอีกคนละ 500-800 บาท แล้วแต่ว่าค้างคืนหรือไม่ หากไม่ต้องค้างคืน ก็ 500 บาท หากต้องค้างคืน ก็ 800 บาท ครั้งหนึ่งมียอดผู้ชุมนุมที่จัดมา และต้องจ่าย ประมาณ 50,000 คน

หลังการรัฐประหาร ซึ่งนายสนธิ และพรรคประชาธิปัตย์ สมประโยชน์ร่วมกัน เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และไม่สามารถกลับสู่ประเทศไทย ได้ นายอภิสิทธิ์ กับ นายสนธิ ต่างฉลองชัยชนะและความสำเร็จร่วมกัน ในงานวันเกิดของนายสนธิ โดยนายอภิสิทธิ์ ได้นำแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ใบงาม เข้าแสดงความยินดี และคารวะต่อนายสนธิ ในฐานะผู้มีคุณูปการต่อการเมืองไทย และพรรคประชาธิปัตย์ อย่างยิ่ง ที่ได้ขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากการเมืองไทยได้สำเร็จ เพราะเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ จะได้มีโอกาสชนะเลือกตั้งบ้าง

ภาพนายอภิสิทธิ์ มอบแจกันดอกไม้แก่นายสนธิ ด้วยความนอบน้อมยิ่ง คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ของคนสองคนนี้

หลังการรัฐประหาร คนสำคัญของขบวนการพันธมิตร ที่เดินตามนายสนธิ ได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า นายสำราญ รอดเพชร โฆษกบนเวทีพันธมิตร และเป็นลูกจ้างของนายสนธิ ได้เป็น สนช. นายประพันธ์ คูณมี เลขานุการส่วนตัวของนต.ประสงค์ สุ่นศิริ แกนนำสำคัญของพันธมิตร ได้เป็นสนช. ในฐานะที่เป็นผู้นำนายสนธิ เข้าพบ พล.อ.สนธิ ที่กองทัพ บก เพื่อเชื่อมประสานแผนการรัฐประหาร เป็นครั้งแรก

แม้ว่าสถานการณ์การเมืองหลังการรัฐประหาร แม้จะวุ่นวายอยู่บ้าง เพราะผลประโยชน์ที่ได้มาจากการปล้นอำนาจ แบ่งสันปันส่วนกันไม่ลงตัว นายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงออกอาการขัดอกขัดใจ และเคืองๆ คณะรัฐประหาร และรัฐบาลที่ไม่ตามใจ ไม่ให้ประโยชน์ตามที่คิดหวังไว้ ก็มีรายการกระทบกระทั่งให้กระเทือนกันอยู่หลายครั้ง แต่ระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธ มิตร กับพรรคประชาธิปัตย์ ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งมากขึ้น

เมื่อถึงวันที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง จึงปรากฎว่า นายสำราญ รอดเพชร และ นายประพนธ์ คูณมี สองแกนนำคนสำคัญของพันธมิตร และเป็นสองคนที่เป็นมือไม้คอยรับใช้คำสั่งของนายสนธิ ได้รับการพิจารณาจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่าสมควรเป็นผู้แทนราษฎร จึงส่งสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมๆ กัน ในเขตเดียวกัน ที่กรุงเทพมหานคร

การปรากฎชื่อนายสำราญ รอดเพชร และ นายประพันธ์ คูณมี ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะเป็นพยานหลักฐานว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรฯ ขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นพันธ มิตรทางการเมืองต่อกัน

การมีนายสำราญ รอดเพชร และ นายประพันธ์ คูณมี อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะทำให้เชื่อได้ว่า หากเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นของแถม และทุกคะแนนที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับ จะไปสร้างความยิ่งใหญ๋ให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล

ผมกล้าพูดได้เลยว่า จนถึงขณะนี้ นายสำราญ รอดเพชร และ นายประพันธ์ คูณมี เชื่อและฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล มากกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และหาก ทั้งสองคนนี้ได้เข้าไปในสภาผู้แทนราษฎร ก็จะเป็นส.ส.กลุ่มสนธิ ลิ้มทองกุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และจะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เพราะมีเครือข่ายสื่อ และเครือข่ายพันธมิตร เป็นกองหนุนอยู่นอกสภา

หากนายสำราญ และนายประพันธ์ ได้เป็นส.ส. เราก็จะได้เห็นบทบาทใหม่ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ เครือข่ายพันธมิตร อีกบทบาทหนึ่ง อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับที่เราได้เห็นเครือข่ายพันธมิตร ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มีความแข็งขันอย่างยิ่งในการทำลายล้างทุกคน ทุกฝ่ายที่ขัดประโยชน์ตนเอง แม้แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีของเผด็จการทหาร และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. ที่แต่งตั้งมาเป็นสนช. ก็ยังโดนเล่นงาน ฟ้องประจานได้ ในที่สุด

หากพิจารณากันด้วยใจที่เป็นธรรม เรียงลำดับพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นายสำราญ รอดเพชร นายประพันธ์ คูณมี และพรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงเวลา 2 ปีเศษที่ผ่านมา โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตัวขับเคลื่อนให้ทุกคนทุกฝ่ายในซีกข้างนี้ได้รับประโยชน์ตามต้องการแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าคลิปวิดีโอเลือกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หรือใส่ร้ายกัน

หากแต่ไม่น่าเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะวิ่งหนีเงาอดีตของตนเอง ที่เคยไปร่วมกระทำบางสิ่งบางอย่างกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล มาอย่างแนบแน่นและยาวนาน จนสำเร็จสมประโยชน์ด้วยกัน

ไม่น่าเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ยอมรับความจริง ที่ตนได้ทำไปแล้ว และ พยานหลักฐานที่นำมาแสดง ก็ล้วนแต่เป็นการกระทำของตนทั้งสิ้น

นักการเมืองคนหนึ่งเมื่อไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่ตนได้กระทำไปแล้ว ก็อย่าได้หวังว่าเขาจะยอมรับความจริงในเรื่องใดๆ ได้อีกเลย

คงเป็นแบบนี้กระมัง ที่สโลแกน “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น” จึงเป็นสโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์ มาอย่างยาวนานและยั่งยืน

วันที่ สนธิ ลิ้มทองกุล มีประโยชน์ และเป็นจุดสนใจของประชาชน ก็เดินเข้าหา และผูกมิตร

วันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล หมดประโยชน์ และเป็นจุดรวมความเกลียดชังของประชาชน ในฐานะผู้ก่อวิกฤติชาติ ก็เดินหนี ทิ้งห่าง กลัวจะพลอยติดกลิ่นเหม็นมาด้วย

คนอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เพียงเท่านี้เอง

ใครอยากได้คนแบบนี้เป็นผู้นำ ก็อย่าได้ลังเล แต่เลือกแล้ว ต้องยอมรับให้ได้ว่าต่อจากนี้ไป เราจะต้องอยู่ในสังคมที่มีค่านิยม “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ไม่ร่วมต้าน” "
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby vorapoap » Tue Oct 21, 2008 11:26 am

loginofu wrote:
อภิสิทธิ์ wrote:มาร์คแค่นำปัญญามาใส่ขมองผู้โง่เขลาแค่เนี๊ยะ...ตกลงมาร์คผิดอีกซิ!?! :roll:


5555 คงไม่ต้องสงสัยแล้วนะว่าใคร
ไอ้หน้าตัวเมียตัวเดิมนั่นแหละ
foe มันได้เลยพี่น้อง ไม่ต้องเกรงใจ


เหมือนป้าอืดเน่าเลยครับ ลง foe เรียบร้อยแล้ว....
พูดถึงความคิดเห็นที่ตอบข้อเขียนของฝรั่งท่านนี้ ก็ผมเองนั่นแหละ จนได้ไปลงหน้า 1 ประชาไทย..
วันนี้คุณรักษาศีล ให้ทาน และภาวนาแล้วหรือยัง?

อัพเดทข่าว 24 ชม. ทางทวิตเตอร์ @thaiquicknews - The girl who silenced the world for 5 minutes - PAD Blog
User avatar
vorapoap
Moderator
 
Posts: 1910
Joined: Mon Oct 13, 2008 2:10 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby (ลุง)ถึก สไลเดอร์ » Tue Oct 21, 2008 11:27 am

การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้น บ้านเมืองก็จะดีขึ้นแน่นอน
ความคิดเสรีเป็นสิ่งที่ดี แต่ความคิดที่ถูกต้องย่อมประเสริฐกว่า
User avatar
(ลุง)ถึก สไลเดอร์
 
Posts: 355
Joined: Mon Oct 13, 2008 11:08 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 11:32 am

vorapoap wrote:
loginofu wrote:
อภิสิทธิ์ wrote:มาร์คแค่นำปัญญามาใส่ขมองผู้โง่เขลาแค่เนี๊ยะ...ตกลงมาร์คผิดอีกซิ!?! :roll:


5555 คงไม่ต้องสงสัยแล้วนะว่าใคร
ไอ้หน้าตัวเมียตัวเดิมนั่นแหละ
foe มันได้เลยพี่น้อง ไม่ต้องเกรงใจ


เหมือนป้าอืดเน่าเลยครับ ลง foe เรียบร้อยแล้ว....
พูดถึงความคิดเห็นที่ตอบข้อเขียนของฝรั่งท่านนี้ ก็ผมเองนั่นแหละ จนได้ไปลงหน้า 1 ประชาไทย..



วรภพถูกคนในเว๊บประชาไทไล่ถลุงวิ่งหนีหางจุกตูดมาหลบเลียแผลอยู่ที่นี่เองเหรอ? น่าสงสารหว่ะ :lol:
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby อภิสิทธิ์ » Tue Oct 21, 2008 11:36 am

(ลุง)ถึก สไลเดอร์ wrote:การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้น บ้านเมืองก็จะดีขึ้นแน่นอน



จริงเหร๊อ? กลัวแต่ว่าจะผยองหันกลับมางับ 'มือที่มองไม่เห็น' มากกว่าอ่ะ...อย่าลืมว่าสนธิกุมความลับอะไรต่ออะไรของsomeoneไว้เยอะ
User avatar
อภิสิทธิ์
 
Posts: 485
Joined: Tue Oct 21, 2008 8:42 am

Re: สังคมไทยจะเป็นอย่างไรหลังพันธมิตรครองประเทศ!?!

Postby cameronDZ » Tue Oct 21, 2008 11:37 am

อ้าว อีเปรตนี่เอง

สำส่อนล็อกอิน เป็นว่าเล่น เลยนะเอ็ง
การปฏิวัติไม่ใช่งานเลี้ยง - เหมาเจ๋อตุง

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา - โกวเล้ง
User avatar
cameronDZ
 
Posts: 2658
Joined: Mon Oct 13, 2008 12:59 am

Next

Return to สภากาแฟ