แขนเดียวยังคงชู สองนิ้วสู้กอบกู้ธรรม
วีระศิลปิน
ตี๋ ชิงชัย อุดมเจริญกิจ
- ตี๋.jpg
- (39.3 KiB) Downloaded 449 times
_______________
เช้าตรู่ ของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตี๋ถูกปลุกให้ตื่นจากเสียงเรียกของแหม่ม ผู้เป็นภรรยาให้มาดูโทรทัศน์เสนอข่าวตำรวจใช้อาวุธร้ายแรงสลายการชุมนุมพันธมิตรหน้ารัฐสภา
ตี๋ ซึ่งโดยปกตินิสัยเป็นคนไม่ช่างพูด รำพึงออกมาด้วยความรันทดใจว่า “ยิงกันอย่างงี้เลยหรือ”
ช่วงสาย ตี๋ออกจากบ้านไปพบลูกค้างานศิลปะ
ตอนเที่ยงวัน ตี๋เดินทางถึงอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เพื่อร่วมกับกลุ่มแนวร่วมศิลปินเพื่อประชาธิปไตย โดยการนำของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรท์ และหงา คาราวาน ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำอันโหดร้าย อำมหิต ของรัฐบาลสมชายและตำรวจ
ตลอดบ่าย ตี๋ใช้เวลาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจประชาชนผู้ถูกทำร้ายที่ ร.พ.วชิรพยาบาล ร่วม กับกลุ่มแนวร่วมศิลปิน
ช่วงเย็น ตี๋คือส่วนหนึ่งของมวลชนพันธมิตรบนถนนราชดำเนิน
ช่วงค่ำ ตี๋พร้อมเพื่อนศิลปินอีก 2 คน คือ ต้อม–ประเสริฐ พุทธสอน และนัด–อดิศร สนใจแท้ อยู่ที่ริมกำแพงกองบัญชาการตำรวจนครบาล ท่ามกลางห่าอาวุธอันประดังเข้าใส่ ฝูงชนที่ล้มร่วงไปคนแล้วคนเล่าและตี๋คือคนหนึ่งในนั้น
ตลอดคืน อันยาวนาน ไม่มีใครทราบว่าตี๋ไปอยู่ที่ใด แหม่มซึ่งดูแลลูกน้อย 2 คน อยู่ที่บ้านต่อโทรศัพท์หาเพื่อนทุกคน..... แต่ไม่มีคำตอบ!
เช้าวันรุ่งขึ้น 8 ตุลาคม 2551 แหม่มและเพื่อน ๆ ศิลปิน ตระเวณทั่วทุกโรงพยาบาล จึงได้พบตี๋ที่ รพ.รามาฯ ในนาม “ชายไทยไม่ทราบชื่อ”
บรรทัด จากนี้ไปคือเรื่องราวชีวิต และจิตวิญญาณของชายไทยไม่ทราบชื่อผู้นี้
กำเนิดอันยากไร้ ตี๋เกิดในดงน้ำครำ สลัมคลองเตย เมื่อ 42 ปีที่ผ่านมา ในสกุลแซ่โอ๊ว บิดา-มารดา เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนที่ยากจน บิดามีอาชีพหาบน้ำหวานขาย ชาวบ้านละแวกนั้นรู้จักกันดีในนามอาแปะน้ำบ๊วย มารดาทำงานรับจ้างเป็นครั้งคราว เพราะต้องรับภาระดูแลลูก 2 คน หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง คือ หมวย (พี่) ตี๋ (น้อง)
ในห้วงชะตา อันลำเค็ญของครอบครัว เคราะห์ก็กระหน่ำซ้ำซัด
แม่ตาย! เมื่อตี๋อายุได้เพียง 7 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.2 และนับแต่นั้นการเรียนของตี๋ก็ต้องยุติลง เหตุเพราะเด็กวัยแค่ 7 ขวบ ในครอบครัวยากจนเช่นนี้ เสา 2 เสาที่ค้ำยัน และเป็นหลักให้จิตใจได้เกาะเกี่ยวพันผูกก็พลันหักสะบั้นลงไปข้างหนึ่ง ส่วนเตี่ยก็ยังต้องใช้หยาดเหงื่อแรงกาย เลี้ยงดูลูกกำพร้าแม่ทั้ง 2 คน ตื่นแต่มืดกลับถึงบ้านย่ำค่ำ หมวยพี่สาวก็อายุเพียง 9 ขวบ ความว้าเหว่ของสองพี่น้องที่ทุกคนในละแวกบ้านเห็นได้ สัมผัสได้นั้น ไม่มีใครรู้ว่าภายในจิตใจของเด็กอย่างตี๋ดำดิ่งหรือเตลิดเปิดเปิงไป ณ มิติใด เมื่อโดดเดี่ยวไร้ไออุ่น ขาดเสียงปลุกปลอบ พร่ำเตือน ตี๋จึงเริ่มขาดเรียนและไม่ได้ไปโรงเรียนตลอดปีนั้นและปีต่อ ๆ มา
เส้นทางของผู้ด้อยโอกาสสู่วุฒิปริญญาตรี ระหว่างที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ตี๋ได้รับการชักชวนจากผู้ใหญ่ให้ร่วมโครงการบวชสามเณรหมู่ที่ต่างจังหวัดอยู่นานนับปี เมื่อลาสิกขาจากชีวิตสามเณรก็กลับมาอยู่กับบิดาและพี่สาว ที่สลัมคลองเตย เส้นทางการศึกษา จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ด้วยเหตุเพราะความอยากเรียนหนังสือของตี๋เอง เด็กน้อยชื่อตี๋จึงพาตัวเองไปฝากเข้าเรียนต่อชั้น ป.3 ที่โรงเรียนชุมชนในสลัม “
เป็นกรณีพิเศษ” เนื่องจาก อายุมากเกินเกณฑ์ แก่กว่าเพื่อนร่วมรุ่นหลายปี มีสถานะเป็น “
เด็กโข่ง” ของชั้นจนเรียนจบ ป.6
เมื่อความยากจนของครอบครัวยังคงที่ โอกาสที่จะเรียนต่อของตี๋ในวัยเยาวชนนั้น มีอยู่ทางเดียวคือ “
ทำงานด้วยเรียนไปด้วย”
ตี๋ได้เข้าทำงานที่ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาบุคคล หรือ เรียกโดยย่อว่า “
ศูนย์ CCF” ในสลัมคลองเตย ซึ่งบริหารโดยบาทหลวง โจเซฟ เอช ไมเออร์ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทำงานด้านช่วยเหลือชาวชุมชน และเด็กด้อยโอกาส หลังเลิกงานตี๋เรียน กศน.ภาคค่ำ ที่โรงเรียนดาราคาม ชั้น ม.1-ม.3 โดยทุนของศูนย์ CCF และได้รับทุนต่อเนื่องให้เข้าเรียนต่อที่สถาบันศิลปะไทยวิจิตรศิลป์ ระดับ ปวช. และสอบเข้าเรียนวิทยาลัยเพาะช่าง จนจบวุฒิ ปวส. ตี๋ได้รับเกียรติบัตรหลายใบ ทั้งประเภท “เรียนดี” และเกียรติบัตรรางวัลผลงานศิลปะดีเด่น จากหลายเวที
อยากเป็นครูคือความฝันแต่ต้องผันเปลี่ยน เมื่อจบ ปวส. ตี๋ได้ทำงานหลายแห่ง รวมทั้งเคยเป็นครูสอนศิลปะในสถาบันเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนต่อในระดับปริญญาตรี โดยสมัครเข้าเรียนที่สถาบันราชภัฎสวนสุนันทา ตี๋เรียนจนเกือบจะจบเหลืออีกเพียงวิชาเดียว แต่ก็ขอเว้นช่วง (ดร็อป) ไว้ และในที่สุดตี๋ก็ค้นใจตัวเอง จนพบว่าสิ่งที่อยากรู้อยากทำในชีวิตนี้คือ เป็นศิลปินทำงานศิลปะ ตี๋จึงตัดสินใจทิ้งวุฒิปริญญาตรีด้านการศึกษาที่อยู่แค่เอื้อมจับ มาสอบเข้าเรียนต่อปริญญาตรีที่สถาบันเพาะช่างเป็น “
น.ศ.โข่ง” อีกครั้ง เพราะแก่กว่าเพื่อนร่วมรุ่นมาก
ไม่พ้นความเพียร แหม่มภรรยาของตี๋เล่าว่าการเรียนปริญญาตรีที่เพาะช่างเป็นภาคปกติ เรียนกลางวัน หลังเลิกเรียนยามเย็นค่ำตี๋ต้องจับดินสอพู่กัน ไปทุกที่ทุกงาน เพื่อเขียนภาพหารายได้ เพราะช่วงที่เรียน ป.ตรี เพาะช่างนั้น ลูกชายคนแรกกำลังจะเกิด ฝีมือทางศิลปะเป็นเครื่องมืออย่างเดียวที่จะเลี้ยงดูครอบครัว และจ่ายค่าเล่าเรียน ถ้อยคำของแหม่มบอกว่าเป็นช่วงที่ลำบากมาก แต่ความเพียรของตี๋ก็ฝ่าฟันจนบรรลุ 2 ภารกิจอันแสนสาหัสนั้นมาได้
ความกตัญญูรู้คุณและความรักครอบครัว หมวย พี่สาวของตี๋ ตอบคำถามเรื่องตี๋กับครอบครัวแทบจะในทันที ที่สิ้นความว่า ตี๋เป็นพวกรักพี่น้อง ห่วงพ่อแม่มากมาแต่เล็ก เมื่อสิ้นแม่ก็ห่วงเตี่ยห่วงพี่มาก จะกระตือรือร้นช่วยเหลือเป็นธุระตลอด แม้ตี๋จะทำงานหาเงินได้ตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยเด็ก ตี๋ก็ส่งเงินให้เตี่ยใช้เป็นประจำ จนกระทั่งเตี่ยจากไปเมื่ออายุประมาณ 60 กว่า
ครั้นเมื่อตี๋แต่งงานกับแหม่ม เริ่มมีชีวิตครอบครัวของตนเอง เด็กกำพร้าแม่แต่เล็กอย่างตี๋ย่อมเข้าใจและตระหนักค่าว่าความอบอุ่นของครอบครัวสำคัญเพียงใด แหม่มเล่าถึงตี๋ด้วยคำแรกว่า รับผิดชอบ อ่อนโยน ห่วงใยครอบครัว และรักลูกมาก
รูปธรรม แห่งถ้อยคำของแหม่มคือ เมื่อคลอดลูกคนแรก ตี๋ให้แหม่มซึ่งมีวุฒิปริญญาตรีเช่นกันออกจากงาน ขอทำงานหนักหารายได้คนเดียว เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว คำพูดของตี๋สะท้อนแสดงหลักคิดเรื่องการเลี้ยงดูลูก คือ “
ไม่มีใครดูแลลูกได้ดีเท่าพ่อแม่” แหม่มจึงทำหน้าที่ของแม่อย่างเต็มตัวนับแต่ลูกคนแรกเกิด
บลูส์ และแจ็ซ หนุ่มน้อยวัยเจ็ดขวบ และห้าขวบในวันนี้ เติบโตมาอย่างอบอุ่น ใกล้ชิดทั้งแม่และพ่อ เพราะตี๋ไม่ใช่พ่อประเภททำงานและโยนเงินเข้าบ้านอย่างเดียว เงินไม่ใช่สัญลักษณ์หรือตัวแทนของความรับผิดชอบ ตอนที่ลูกคนแรกเกิดตี๋เรียนกลางวันทำงานตอนค่ำ ตกดึกช่วยดูแลลูกให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม และเดินหาวออกจากบ้านในตอนเช้า เพื่อไปเรียน
แหม่มอมยิ้มและพูดเบา ๆ ว่า “
ลูก ๆ ติดพ่อ” บทขยายความคือ ตี๋ไปไหนจะบอกครอบครัวตลอด ซึ่งหมายถึงลูก ๆ ก็มีความสำคัญที่จะต้องรับรู้ด้วย ตี๋มักไปงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม และจะซื้อของจากงานแสดงศิลปะมาฝากลูกเสมอ วันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ของลูก ตี๋จะชวนแหม่มพาลูกไปว่ายน้ำกินข้าวนอกบ้าน
ศิลปินอย่างตี๋คู่ชีวิตที่ดีอย่างแหม่ม ร่วมถักทอรวงรังอย่างประณีตด้วยความรักและหลักคิดสู่การปฏิบัติ จนเป็นครอบครัวที่ความงามปรากฎจากภายในจิตใจสู่ภายนอกให้สัมผัสได้ เฉกเช่น ทุกฝีแปรงที่แต่งแต้มงานศิลป์
แววศิลปินและความสนใจใฝ่ศิลปวัฒนธรรม อนุชา เพื่อนร่วมรุ่น ป.3 โรงเรียนชุมชนฯ เล่าว่า ตี๋ชอบเขียนภาพเหมือนใบหน้าคน (Portrait) ตั้งแต่เริ่มเรียนประถม เจอเพื่อนคนไหนก็ขอให้มาเป็นแบบวาด ผู้ที่เห็นแววศิลปินของตี๋ คือ ครูวิชาศิลปะชื่อ ครู ภูสิทธิ์ (จำนามสกุลไม่ได้) เป็นครูคนแรกที่ช่วยบ่มเพาะและเปิดโลกศิลปะแก่ตี๋ ครูภูสิทธิ์มักจะพาตี๋ไปวาดภาพตามงานศิลปะที่ให้เยาวชนมาประกวดฝีมือ
ตี๋ได้รับเกียรติบัตรรางวัลต่าง ๆ มามากมาย ทั้งรางวัลเรียนดี และรางวัลผลงานศิลปะที่ได้อวดฝีมือในงานต่าง ๆ ตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่รางวัลเหล่านั้น มิใช่สาระหลักฝีมือที่พัฒนาก้าวหน้าและความรักความเข้าใจในศิลปะต่างหากคือคุณประโยชน์อันแท้จริง ซึ่งมีผลกำหนดให้ตี๋ก้าวเดินในเส้นทาง ศิลปินอิสระอย่างองอาจแน่วแน่
ความสนใจในศิลปะของตี๋มิได้ขีดวงอยู่แค่การวาดรูปเขียนรูป หากแต่ยังสนใจศิลปวัฒนธรรมแขนงอื่น โดยเฉพาะดนตรี หมั่นเพียรเรียนด้วยตนเองตั้งแต่เด็ก จนอ่านโน้ตได้ เล่นได้ทั้งกีต้าร์ คีย์บอร์ด ขลุ่ย และเริ่มฝึกไวโอลินในช่วงหลัง
แหวกวงล้อมเลวมาสู่ทางดี เมื่อแม่ตาย เลิกไปโรงเรียน เตี่ยก็ยังคงตรากตรำทำกินมืดยันค่ำ สิ่งแวดล้อมและการ “
ยอมรับ” ของตี๋ในสลัมคลองเตยก็คือ “
กลุ่ม” ซึ่งมีหลายประเภทหลายระดับ กลิ่นกาวโชยกรุ่น ตั้งแต่หัวตรอกยันท้ายตรอก “เด็กวิ่งยา” ก็เป็นที่ต้องการของทุกแก๊ง แต่ตี๋แหวกวงเหล่านั้นไปบวชเณร สึกออกมากลับเข้าเรียนอีกครั้งเมื่ออายุ 10 ขวบ ตี๋เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนสลัมคลองเตย ซึ่งเป็นกิจกรรมนอกโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นในปี 2517 โดยผู้นำเยาวชนสลัมยุคนั้น คือ พี่อ๊อด สมุน เจริญสายที่ดูแลและผูกพันกับตี๋เหมือนพี่น้องมาจนทุกวันนี้ “พี่อ๊อด” บอกเล่าถึงกิจกรรมยุคนั้นว่าทำสารพัด (ที่ดี ๆ) เช่น ลงลุยน้ำครำ ซ่อมสร้างสะพานเดินเท้าที่หักพัง กิจกรรมกีฬาก็เริ่มตั้งแต่ หักล้างถางพง ปรับที่ดินขรุขระ ย้ายกองขยะให้กลายเป็นลานกีฬา เชิญผู้ฝึกสอนมาแนะนำการเล่นกีฬาอย่างถูกวิธี กิจกรรมดนตรีก็มีการตั้งวงดนตรีเยาวชน ตี๋เข้าร่วมทุกกิจกรรม แต่หน้าที่หลักคือเป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องที่ใช้เก็บอุปกรณ์ต่างๆ “พี่อ๊อด” บอกว่า “
มันไม่เคยเกี่ยงงาน ใช้อะไรก็ทำ” เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กิจกรรมถูกยกระดับเป็นการพัฒนาชุมชน และสังคมเมือง ก้าวกว้างออกไป จากขอบเขตสลัมคลองเตย ตี๋ก็ยังช่วยงานพี่อ๊อดทุกครั้งที่เอ่ยปาก
เมื่อคนจากสังคมภายนอกได้ยินคำว่า “สลัม” ก็มักนึกถึงภาพอาชญากรรม ยาเสพติด การตีรันฟังแทง เต็มไปด้วยสิ่งล่อเร้าให้เดินสู่ทางอบายมุข ซึ่ง “จริง” แต่เป็นแค่ส่วนเสี้ยวเดียว ชาวสลัม หรือ “คนจนเมือง” คือชาวชนบทยากไร้ อพยพเข้าสู่เมืองเพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพียงแต่โอกาสที่จะเข้าถึงจุดหมายนั้นด้อยกว่า หรือในบางครั้ง บางคนถึงขั้นถูกปิดตายด้วยซ้ำ เหตุหลักคือสังคมทั้งระบบที่พร่องธรรม
คนสลัมที่แหวกวงล้อมอันยากแค้นด้อยโอกาส สู่ชีวิตที่ดีกว่า และรักษาจิตใจให้อยู่ในครรลองของความดีงาม มีอยู่มาก และเป็นส่วนหนึ่งของพลังส่วนดีที่ขับเคลื่อนสังคมไทยอยู่ในเวลานี้ เพราะการดำรงตนเป็นคนดี ก็เป็นจุดหมายหลักชัยของคนสลัมเช่นเดียวกับผู้คนในสังคมอื่น
ปณิธานที่เผชิญวิบาก “
ตี๋ ตั้งใจไว้ว่าเมื่อลูก ๆ โตแล้ว ทำงานเก็บเงินได้สักก้อนก็อยากจะบวช” นี่คือปณิธานของตี๋จากคำบอกเล่าของแหม่ม
ความใฝ่ในธรรมและการบำเพ็ญทานเป็นกิจที่ตี๋ทำมาเรื่อย ๆ เช่นบริจาคโลหิตอยู่เสมอ จนได้เข็มมาหลายอัน บริจาคดวงตาให้สภากาชาด ส่วนการช่วยเหลือผู้อื่น และสังคมส่วนรวมก็เป็นที่ประจักษ์ยอมรับทั้งในหมู่ญาติพี่น้องเพื่อนร่วมชุมชน และแวดวงแนวร่วมศิลปิน
ค่ำวันที่ 7 ตุลาคม 2551 “ชายไทยไม่ทราบชื่อ” ถูกหามส่งโรงพยาบาลรามา ในสภาพสาหัสสากรรจ์
วันที่ 8 ตุลาคม 2551 ตำรวจและหนังสือพิมพ์ข่าวสดกล่าวเท็จว่าตี๋กำระเบิดอยู่ในมือซ้าย เป็นมือระเบิดของพันธมิตร ซ้ำเติมตี๋ที่เสียแขนขวาให้เสียเกียรติและเสียใจเพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่สิ่งที่กำอยู่นั้น คือ พระเครื่องที่ตี๋แขวนคออยู่ประจำ แหม่มภรรยาตี๋ เป็นผู้ให้คำยืนยัน ประกอบกับนายแพทย์และพยาบาลซึ่งรับตัวคนไข้ ก็ออกมาแถลงข่าวแล้วเช่นกันว่าสิ่งที่กำอยู่นั้นมิใช่ระเบิดแน่นอน
วันที่ 9 ตุลาคม 2551 เมื่อตี๋ฟื้นขึ้นจากฤทธิ์ยาสลบ ตี๋ขอกระดาษและดินสอจากแหม่ม เขียนข้อความดังนี้ว่า
ตี๋ผู้ซึ่งถูกทำร้าย จนเหลือแขนข้างเดียวแถมถูกยัดเยียดเท็จกล่าวร้ายซ้ำเติมแต่ตี๋ “อโหสิ”...ประเสริฐนักหัวจิตหัวใจ เป็นการบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่ “
อภัยทาน”
ตำรวจ หนังสือพิมพ์ และคอลัมนิสต์ (ผู้เขียนไม่ต้องการเอ่ยชื่อให้แปดเปื้อนเรื่องราวดีงามของตี๋) จงรู้เถิดว่าตี๋คือคนดี จิตใจสะอาดสูงส่ง และ “
อโหสิ” แต่กฎแห่งกรรม ความเป็นธรรมของสังคม และกบิลบ้านกบิลเมืองนั้นจัก “
ทวงบาป” พวกสูผู้ดิ่งดำอยู่ในบาปอันมืดมิด
ท้ายนี้ เพื่อนพ้องน้องพี่แนวร่วมศิลปินฯ ขอรวมพลังใจให้ตี๋หายจากบาดเจ็บไว ๆ เพื่อ “
กลับมาเดินทางต่อ” ตามแนวทางที่ตี๋บำเพ็ญมาเนิ่นนานคือ ทาน ศีล ภาวนา ถึงตี๋จะมิอาจบวชห่มคลุมผ้ากาสาวพัสตร์ตามปณิธาน แต่ตี๋ก็ได้บวชใจตนเองมาแล้วโดยตลอดและไม่มีท่าทีว่าจะลาสิกขา ฉะนั้นเส้นทางแห่งธรรมนี้จึงย่อมมิอาจมีอุปสรรคใด มาขวางใจมุ่งของตี๋ได้เลย
เอ๊ด ภิรมย์
แนวร่วมศิลปินฯ