Jseventh wrote:Vihok_Asnii wrote:ในความรู้สึกของชาวนา คนยากคนจนทั่วไป
โดยเฉพาะคนที่เลือกเชื่อผู้อุปถัมป์ที่เป็นนายทุนหรือนักการเมือง ว่าจะมาช่วยเขาให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้
มักจะถูกปลูกฝัง เสี้ยมสอน ให้ตั้งแง่ต่อแนวคิดเรื่อง "ความพอเพียง" ในทำนองว่า
"เป็นแนวคิดที่ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงสนับสนุนเพื่อมากดและจำกัดโอกาสเจริญเติบโตของชนชั้นล่างรากหญ้า
พวกเขาไม่เข้าใจคนจนเพราะพวกเขามีปัจจัยต่างๆ เอื้อให้อยู่อย่างพอเพียงได้อยู่แล้ว
และการฝังความคิดให้คนจนพอเพียง ก็คือให้คนจนเจียมตัว จะได้ไม่พยายามเผยอขึ้นไปแข่งขัน แย่งชิงผลประโยชน์กับพวกเขาเท่านั้นเอง"
ใช่ค่ะ คุณวิหค ท่องเน็ตก็จะเจอคนใส่แนวคิดนี้ให้กันบ่อยๆ..
คนชั้นกลางในเมือง แต่งตัวดี มีของดีๆใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่มีเงินสำรองเก็บ ใช้เงินเดือนชนเดือน ออกถมเถ..บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด ถ้าไม่วางแผนการเงินดีๆ ก็แย่..เขาเรียกว่า ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง / ในความเป็นจริงแล้ว แนวคิดนี้สอนให้รู้จักตัวเองก่อนเป็นสำคัญ ดูแลหรือสร้างรากฐานตนเองให้แข็งแรง จากนั้นจึงพัฒนาต่อ.. / การพัฒนานั้น ก็อยู่ที่ตนเองเป็นสำคัญ ถ้าอยากพัฒนาต่อก็ต้องเพิ่มเติมความรู้ / คนที่มีความพอเพียงในใจ จะเหมือนมีภูมิคุ้มกันที่จะช่วยให้ไม่ติดกับดักการบริโภคนิยมจนเกิดโทษ..(ดิฉัน เคยมีบทเรียนมาบ้าง จึงเข้าใจได้ดี)
บทสัมภาษณ์คุณ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เรื่องวิพากษ์บริโภคนิยม อ่านแล้วก็ให้ข้อคิดดีค่ะ..
http://ac2plad.com/webboard/index.php?topic=63.0
ครับ ความจริงถ้าคิดๆ ดูแล้วก็น่าใจหายที่ในชนบท ในชายขอบของสังคมเรา มีพวก "เจ้าพ่อเจ้าแม่ผู้อุปถัมป์" ที่พยายามจะกรอกหูชาวบ้าน ประทับภาพใส่สมองชาวบ้าน
ให้คิดย้ำๆ ซ้ำๆ เกิดความคับแค้น ในความยากลำบากของตน
ให้มองแต่ภาพความลำบากของตน แล้วไปเทียบกับความสุขสบายของพวกคนอื่น
ให้มองแต่ในสิ่งที่ตนเองไม่มี แล้วไปเทียบกับสิ่งที่คนอื่นมี
ให้คิดว่าสิ่งเหล่านั้น ที่ตนเองผ่านมา โดยที่คนเมืองหรือคนอื่นๆ ไม่ได้ผ่านความลำบากอย่างของตัวเอง
และสิ่งที่ตนเองขาดโดยที่คนเมืองหรือคนอื่นๆ เหล่านั้นมี
มันหมายถึงสังคมทอดทิ้งพวกเขา สังคมนี้และโลกนี้ติดหนี้พวกเขา
แต่ไม่มีใครอื่นเข้าใจ ไม่มีใครอื่นพยายามช่วยเขา และไม่มีปัญญาจะช่วยเขาได้ นอกจากท่านผู้อุปถัมป์เหล่านั้นเท่านั้น
จึงควรที่จะสนับสนุนท่านเหล่านั้นให้เป็นใหญ่เป็นโต จะได้ไปทวงเอาทรัพยากรจากคนอื่นๆ จากสังคมที่ติดหนี้พวกเขา กลับมาบำรุงเลี้ยงให้เขาได้อยู่ดีกินดีกับเขาบ้าง
พร้อมกับจะถือโอกาสใช้อำนาจที่ได้มา ทำอะไรสักหลายๆ อย่างเพื่อล้างแค้นเอาคืนสังคมเหล่านั้นแทนพวกเขาไปด้วยก็ยิ่งดี
ในขณะเดียวกัน...ก็ทำให้ไม่เชื่อในวิถีทางของการลุกขึ้นมาคิดทำพัฒนาด้วยตัวเอง และหวังพึ่งบรรดาท่านผู้อุปถัมป์ กลายเป็นบอนไซแคระแกร็นอยู่ใต้ร่มเงาคนเหล่านั้นต่อไป
แทนที่จะสอนให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง และสอนให้รู้จักวิธีเติบโตด้วยตนเอง
เหมือนกับพ่อแม่ที่แท้จริง ที่มุ่งหวังทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนลูก และมีความยินดีเมื่อได้เห็นลูกเติบใหญ่เป็นคนดีของสังคม เป็นที่พึ่งของตัวลูกเองและคนอื่นๆ ได้
แต่อีกทางหนึ่ง... เจ้าหนี้ที่โหดร้ายย่อมใช้กลลวงหลอกล่อให้ลูกหนี้ต้องติดบ่วงหนี้ของตนเองต่อไปเพื่อใช้ประโยชน์อย่างไม่สิ้นสุด นายทาส เจ้าพ่อเจ้าแม่มาเฟีย เจ้าลัทธิที่โหดร้ายย่อมต้องการผูกมัดคนให้เป็นเบี้ยล่างของตนต่อไป แม้จะต้องใช้วิธีเสี้ยมสอนคนให้หวาดกลัวและปิดกั้นตัวเองออกจากสังคมอื่น หรือสอนให้คิดและทำเยี่ยงอาชญากร สมรู้ร่วมคิดในขบวนการทำความผิดซ้ำซากเพื่อจะได้เป็นโซ่ตรวนผูกมัด ไม่ให้กลับไปอยู่ร่วมกับสังคมปกติได้และจำยอมต้องอยู่ในสังกัดตน ทำงานสกปรกสร้างฐานอำนาจให้ตนตลอดไป จนกว่าจะตายหรือหมดประโยชน์