MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Canthai » Mon Aug 02, 2010 10:40 am

สิ่งที่เป็นคุณจาก MOU2543 ให้ดู สัญญา 1907 ตรงที่ขีดเส้นใต้

หนังสือสัญญาระหว่าง กรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗ )

ข้อ ๑
รัฐบาลสยามยอมยกดินแดนเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐกับเมืองศรีโสภณให้แก่กรุงฝรั่งเศสตามกำหนดเขตร์แดน ดังว่าในข้อ ๑ ของสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนที่ติดท้ายสัญญานี้

ข้อ๒
รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราดกับทั้งเกาะหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดให้แก่กรุงสยาม ตามกำหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ในข้อ ๒ ของสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตร์แดนดังกล่าวมาแล้ว

ข้อ ๓
การส่งมอบดินแดนเหล่านี้ซึ่งกันและกันนั้น จะได้จัดให้สำเร็จภายในยี่สิบวัน ตั้งแต่วันที่ได้แลกเปลี่ยนรัติไฟสัญญานี้

ข้อ ๔
กรรมการรวมกันกองหนึ่ง มีนายทหารแลพนักงานฝ่ายไทยแลฝรั่งเศส ซึ่งสองประเทศที่ทำสัญญานี้ จะได้เลือกตั้งขึ้นภายในสี่เดือน ตั้งแต่วันที่ได้แลกเปลี่ยนรัติไฟสัญญานี้แล้ว แลให้ไปปักปันเขตร์แดนทั้งปวงที่ตกลงกันใหม่นี้ กรรมการนี้จะได้ปักปันในฤดูที่จะทำการได้ทันที แลให้ทำการตามความที่กำหนดที่กล่าวไว้ในสัญญาว่าด้วยการปักปันแดนที่ติดท้ายหนังสือสัญญานี้

(ลงพระนามและประทับตรา) เทวะวงศ์วโรปการ
(ลงนามแลประทับตรา) วี คอลแลง ( เดอ ปลังชี )

0000

สัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดน
ติดท้ายหนังสือสัญญาลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕( ค.ศ. ๑๙๐๗ )

เพื่อประโยชน์ที่จะให้กรรมการซึ่งกล่าวไว้ในข้อ ๔ ของหนังสือลงวันนี้ จัดการปักปันเขตร์แดนได้สดวก และเพื่อที่จะมิให้เกิดมีข้อขัดข้องขึ้นได้ ในการบันทึกเขตร์แดนนั้น รัฐบาลสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม กับรัฐบาลริปับลิกฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกันตามความที่เกล่าวนี้


ข้อ ๑

เขตร์แดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจชินฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเปนหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน แลเปฯที่เข้าใจกันชัดเจนด้วยว่า แม้จะมีเหตุการณ์อย่างไรๆ ก็ดี ฟากไหล่เขาเหล่านี้ข้างทิศตวันออกรวมทั้งลุ่มน้ำคลองเกาะปอด้วยนั้น ต้องคงเปนดินแดนฝ่ายอินโดชินของฝรั่งเศส แล้วแนวเขตร์แดนต่อไปตามสันเขาพนมกระวานทางทิศเหนือ จนถึงเขาพนมทม ซึ่งเปนเขาใหญ่ปันน้ำทั้งหลายระหว่างลำน้ำที่ไหลไปตกอ่าวสยามฝ่ายหนึ่ง กับลำน้ำที่ไหลไปตกทะเลสาปอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแต่เขาพนมทมนี้เขตแดนไปตามทิศพายัพก่อนแล้ว จึงไปทางทิศเหนือตามเขตร์แดน ซึ่งเปนอยู่ในปัจจุบันนี้ระหว่างเมืองพระตะบองฝ่ายหนึ่ง กับเมืองจันทบุรีแลเมืองตราดอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ต่อไปจนถึงที่เขตร์แดนนี้ข้ามลำน้ำใส ตั้งแต่นี้ต่อไปตามลำน้ำนี้จนถึงปากที่ต่อกับลำน้ำศรีโสภณ แลตามลำน้ำศรีโสภณต่อไปจนถึงที่แห่งหนึ่งในลำน้ำนี้ ประมาณสิบกิโลเมตร์หรือสองร้อยห้าสิบเส้นใต้เมืองอารัญ ตั้งแต่นั้นตีเส้นตรงไปจนถึงเขาแดนแรก ตรงระหว่างกลางทางช่องเขาทั้ง # ที่เรียกว่าช่องตะโกกับช่องเสม็ด แต่ได้เป็นที่เข้าใจกันว่า เส้นเขตร์แดนที่กล่าวมาที่สุดนี้ จะต้องปักปันกันให้มีทางเดินตรงในระหว่างเมืองอารัญกับช่องตะโกคงไว้ในเขตร์กรุงสยาม ตั้งแต่ที่เขาแดงแรกที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เขตร์แดนต่อไปตามเขาปันน้ำที่ตกทะเลสาปและแม่น้ำโขงฝ่ายหนึ่ง กับที่ตกน้ำมูนอีกฝ่ายหนึ่งแล้วต่อไปจนตกลำแม่น้ำโขงใต้ปากมูน ตรงปากห้วยดอนตามเส้นเขตร์แดน ที่กรรมการปักปันแดนครั้งก่อนได้ตกลงกันแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๕ คฤสตศักราช ๑๙๐๗
ได้เขียนเส้นพรมแดนประเมินไว้อย่างหนึ่ง ในแผนที่ตามที่กล่าวในข้อนี้ติดเนื่องไว้ท้ายสัญญานี้ด้วย

ข้อ ๒

เขตร์แดนเมืองหลวงพระบางนั้น ตั้งแต่ข้างทิศใต้แม่น้ำโขงที่ปากน้ำเหืองแล้ว ต่อไปตามกลางลำน้ำเหืองนี้ จนถึงที่แรกเกิดน้ำนี้เรียกว่าภูเขาเมี่ยง ต่อนี้เขตร์แดนไปตามสันปันน้ำตกแม่น้ำโขงฝ่ายหนึ่ง กับตกแม่น้ำเจ้าพระยาฝ่ายหนึ่ง จนถึงที่ในลำแม่น้ำโขงที่เรียกว่าแกงผาได ตามเส้นพรมแดนที่กรรมการปักปันแดนได้ตกลงกันไว้แต่ ณ วันที่ ๑๖ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๔ คฤสตศักราช ๑๙๐๖

ข้อ ๓

กรรมการปักปันเขตร์แดนที่กล่าวไว้ในข้อ ๔ ของหนังสือสัญญาลงวันนี้ จะต้องทำการปักปันหมายเขตร์ลงไว้ในพื้นที่ตามเขตร์แดนที่ว่าไว้ในข้อ ๑ นี้ ถ้าในเวลาที่กำลังไปทำการปักปันเขตร์แดนกันอยู่นั้น รัฐบาลฝรั่งเศสจะมีประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นพรมแดนที่ได้ตกลงยินยอมกันไว้นี้แล้ว การที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงกันนี้ ถึงโดยว่าจะเกิดมีเหตุการณ์อย่างไรๆ ก็ดี จะต้องทำให้ไม่เป็นที่ล่วงล้ำเสียประโยชน์ของรัฐบาลสยามด้วย

สัญญานี้ผู้มีอำนาจเต็มทั้งสองฝ่ายได้ลงชื่อแลประทัยตราไว้เปนสำคัญอย่างละ ๒ ฉบับ ณ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๓ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๕ คฤสตศักราช ๑๙๐๗

(ลงพระนามและประทัยตรา) เทวะวงศ์วโรปการ
(ลงนามแลประทัยตรา) วี คอลแลง ( เดอ ปลังชี )
User avatar
Canthai
 
Posts: 14925
Joined: Fri Oct 24, 2008 3:47 pm









Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Canthai » Mon Aug 02, 2010 10:49 am

Image

Image

ระวาง Khong บริเวณ สามเหลี่ยมมรกต ( ต่อจากระวาง Dangrek ไปทางตะวันออก )
User avatar
Canthai
 
Posts: 14925
Joined: Fri Oct 24, 2008 3:47 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Canthai » Mon Aug 02, 2010 10:51 am

ระวาง Dangrek ที่เป็นที่ตั้งเขาพระวิหาร คงเคยเห็นกันแล้วนะครับ
User avatar
Canthai
 
Posts: 14925
Joined: Fri Oct 24, 2008 3:47 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Mon Aug 02, 2010 12:14 pm

Bookmark ไว้ค่ะ :geek:
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Canthai » Mon Aug 02, 2010 1:36 pm

หมายเหตุ : เป็นข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศ ทำไว้ในเว็บ ศูนย์สถานการณ์พื้นที่เขาพระวิหาร
เมื่อเดือนมีนาคม 2552

ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบ
เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารและการเจรจาเขตแดนไทย - กัมพูชา
โดย กระทรวงการต่างประเทศ

ภูมิหลังเกี่ยวกับเขตแดนไทย - กัมพูชา และ ปราสาทพระวิหารโดยสังเขป


๑. ประเทศไทยมีเขตแดนทางบกร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ๔ ประเทศ รวมเป็นระยะทาง ๕,๖๕๖ กิโลเมตร ได้แก่ กับพม่า ๒,๔๐๑ กิโลเมตร กับลาว๑,๘๑๐ กิโลเมตร กับมาเลเซีย ๖๔๗ กิโลเมตร และกับกัมพูชา ๗๙๘ กิโลเมตร

๒. เส้นเขตแดนไทย - กัมพูชา เป็นไปตามความตกลง ๒ ฉบับ คือ อนุสัญญาระหว่างสยาม - ฝรั่งเศส ๒๔๔๗ (ค.ศ. ๑๙๐๔) และสนธิสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส ๒๔๕๐ (ค.ศ. ๑๙๐๗) โดยเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักหลักเขตแดน ๑๙๕ กิโลเมตร (ตามอนุสัญญาระหว่างสยาม- ฝรั่งเศส ๒๔๔๗ (ค.ศ. ๑๙๐๔) และพื้นที่ที่ปักหลักเขตแดนแล้ว (จำนวน ๗๓ หลัก) ๖๐๓ กิโลเมตร (หลักเขตที่ ๑ ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ - หลักเขตที่๗๓ บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด)

Image

๓. พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนช่วงที่ยังไม่มีการปักหลักเขตแดน ซึ่งอนุสัญญาปี๒๔๔๗ (ค.ศ. ๑๙๐๔) กำหนดให้เส้นเขตแดนบริเวณนี้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก และ
กำหนดให้รัฐบาลไทยและฝรั่งเศสจัดตั้งข้าหลวงปักปันขึ้นเพื่อไปทำการปักปันเขตแดน

แผนผังและภาพถ่ายปราสาทพระวิหาร

ข้อมูลสังเขปปราสาทพระวิหาร

ปราสาทพระวิหารเป็นโบราณสถานตามแบบศิลปะขอม ตั้งอยู่บนภูเขาในเทือกเขาพนมดงรักบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตรงข้ามบ้านภูมิซรอล ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ตัวปราสาทไล่เรียงเป็นชั้นๆ เป็นทางยาวตามแกนทิศเหนือ - ใต้ เริ่มจากเชิงเขาด้านล่างทางทิศเหนือไปจนสุดยอดเขาซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ๖๕๗ เมตร

Image

แผนผังอาคารสำคัญต่างๆ
ของปราสาทพระวิหาร
โคปุระชั้นที่ 4
โคปุระชั้นที่ 3
โคปุระชั้นที่ 2
โคปุระชั้นที่ 1
บันไดนาค


ปราสาทพระวิหาร
Image

ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปราสาทพระวิหารสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ เพื่อเป็นศาสนสถานตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด ถือเป็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองและวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต และยังสะท้อนถึงความสำคัญของปราสาทที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้คนในชุมชนโบราณในดินแดนแถบนี้มาแต่บรรพกาล

Image
ปราสาทพระวิหาร

๔. ข้าหลวงปักปันตามอนุสัญญาปี ๒๔๔๗ (ค.ศ.๑๙๐๔) ฝ่ายฝรั่งเศสนำโดยพันตรี แบร์นารด์ และฝ่ายไทยนำโดยพลตรี หม่อมชาติเดชอุดม ได้สำรวจภูมิประเทศ และฝ่ายฝรั่งเศสได้นำผลสำรวจกลับไป
จัดทำแผนที่ที่ประเทศฝรั่งเศส แล้วส่งแผนที่ที่จัดทำแล้ว (แผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐) ให้ประเทศไทยเมื่อ ๒๔๕๑ (ค.ศ. ๑๙๐๘)

๕. เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒ (ค.ศ. ๑๙๕๙)กัมพูชายื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)ขอให้พิพากษาว่า อธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา และให้ไทยถอนกำลังออกจากปราสาท โดยไม่ได้ขอให้พิพากษาเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองในพื้นที่ดังกล่าว

๖. หลังจากที่ได้พิจารณาข้อต่อสู้ของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาแล้ว ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ (ค.ศ.๑๙๖๒) สรุปว่า

๖.๑ ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา (the Temple of PreahVihear is situated in territory under thesovereignty of Cambodia)
๖.๒ ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ หรือผู้เฝ้ารักษาการซึ่งไทยส่งไปประจำที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงปราสาท
๖.๓ ไทยมีพันธกรณีต้องคืนบรรดาโบราณวัตถุที่ไทยได้โยกย้ายออกไปจากปราสาทพระวิหารหรือจากบริเวณปราสาท

๗. ทั้งนี้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ได้พิพากษาชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้พิพากษาว่าเขตแดนจะต้องเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ดังที่กัมพูชากล่าวอ้างอยู่เสมอ ข้อเท็จจริงคือ ศาลเพียงแต่อ้างแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ เป็นเหตุผลในการพิพากษาสามประการข้างต้น โดยชี้ว่าคำขอ (submissionsในภาษาอังกฤษ หรือconclusions ในภาษาฝรั่งเศส) ของกัมพูชาต่อศาลในตอนท้ายของกระบวนการให้ปากคำ (เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๐๕ /ค.ศ. ๑๙๖๒) ซึ่งขอให้ศาลชี้นิติฐานะของแผนที่ดังกล่าวและของเส้นเขตแดนในพื้นที่พิพาทนั้นศาลสามารถพิจารณาให้ได้เฉพาะเท่าที่เป็นสิ่งแสดงเหตุผล (grounds ในภาษาอังกฤษ หรือ motifs ในภาษาฝรั่งเศส) เท่านั้น และไม่ใช่ในฐานะเป็นข้อเรียกร้อง (claims ในภาษาอังกฤษ หรือ demandesในภาษาฝรั่งเศส) ที่จะตัดสินให้ได้ในข้อบทพิพากษา

๘. หลังจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีคำพิพากษา รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๐๕ (ค.ศ. ๑๙๖๒) ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่ในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีต่างๆ อันเป็นผลมาจากคำพิพากษาตามข้อ ๙๔ ของกฎบัตรสหประชาชาติ

กฎบัตรสหประชาชาติ
กฎบัตรสหประชาชาติ (Charter of the UnitedNations) เป็นธรรมนูญขององค์การสหประชาชาติซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ ๕๕ เมื่อวันที่๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๙ (ค.ศ. ๑๙๔๖)

ข้อ ๙๔
“๑. สมาชิกแต่ละประเทศของสหประชา-ชาติ รับที่จะอนุวัตตามคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีใดๆ ที่ตนตกเป็นฝ่ายหนึ่ง

๒. ถ้าผู้เป็นฝ่ายในคดีฝ่ายใดไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันซึ่งตกอยู่แก่ตน ตามคำพิพากษาของศาล ผู้เป็นฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งถ้าเห็นจำเป็นก็อาจทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการที่จะดำเนินเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษานั้น”

๙. รัฐบาลไทยโดยมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๐กรกฎาคม ๒๕๐๕ (ค.ศ. ๑๙๖๒) ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยกำหนดขอบเขตปราสาท กล่าวคือทางทิศเหนือที่ระยะ ๒๐ เมตรจากบันไดนาคไปทางทิศ
ตะวันออกจนถึงช่องบันไดหัก และทางทิศตะวันตกที่ ระยะ ๑๐๐ เมตร จากแกนของตัวปราสาทไปทางทิศใต้ จนจรดขอบหน้าผา โดยเจ้าหน้าที่ไทยได้นำเสาธงไทยออกจากพื้นที่นั้น และถอนกำลังตำรวจตระเวนชายแดนออกจากปราสาท เมื่อเวลาเที่ยงวันของวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๕ (ค.ศ. ๑๙๖๒)

๑๐. นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้มีหนังสือแจ้งการปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวแก่ผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๐๕ (ค.ศ.
๑๙๖๒) โดยในหนังสือดังกล่าวได้แจ้งด้วยว่า ไทยขอสงวนสิทธิ์ที่ไทยมีหรืออาจมีในอนาคตที่จะเรียกเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการทางกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

หนังสือจากนายถนัด คอมันตร์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ (ภาพถ่ายหนังสือ )


ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ศาลโลก)
(คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ)

“ข้อ ๖๐ คำพิพากษาเป็นที่สุดไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ในกรณีมีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา ศาลจะเป็นผู้ตีความโดยคำร้องขอของคู่กรณีฝ่ายใดก็ได้

ข้อ ๖๑
๑. คำขอให้ศาลแก้ไขคำพิพากษานั้นสามารถกระทำได้เฉพาะเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอันมีลักษณะเป็นปัจจัยชี้ขาด ซึ่งในขณะที่ตัดสินคดีนั้นมิได้ปรากฏต่อศาลและคู่กรณีที่ร้องขอให้มีการแก้ไขและความไม่รู้นั้นมิได้เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ

๒. กระบวนการขอให้แก้ไขนั้น ให้เริ่มโดยคำสั่งของศาล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของข้อเท็จจริงใหม่ โดยรับว่าข้อเท็จจริงนั้นมีลักษณะที่สมควรให้เปิดคดีเพื่อแก้ไข และประกาศว่า คำร้องขอนั้นรับฟังได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

๓. ศาลอาจกำหนดให้มีการปฏิบัติตามคำพิพากษาก่อนจะรับให้มีกระบวนการแก้ไข

๔. คำขอให้แก้ไขต้องกระทำภายในหกเดือนเป็นอย่างช้าที่สุดนับแต่ปรากฏข้อเท็จจริงใหม่นั้น

๕. ภายหลังจากสิบปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ไม่อาจจะขอให้มีการแก้ไข”

๑๑. ปัจจุบัน กัมพูชายังคงอ้างเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ในบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งล้ำดินแดนไทยเข้ามาไม่ต่ำกว่า ๓,๐๐๐ไร่ หรือ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ทั้งนี้ โดยอ้างคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศข้างต้น ซึ่งเป็นการอ้างที่ไม่มีเหตุผลทางกฎหมายสนับสนุน (ดูข้อ ๕ ถึง ๗ข้างต้น)

๑๒. ปัญหาเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารเป็นหนึ่งในปัญหาเขตแดนไทย - กัมพูชา ที่มีอยู่ตลอดแนว ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยได้ใช้การอดกลั้นอย่างสูงสุดต่อการละเมิดดินแดนไทยที่มีขึ้น เนื่องจากคำนึงถึงมิตรภาพ ความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของอาเซียน แต่กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานในท้องถิ่น ได้ประท้วงหรือทักท้วงการละเมิดดังกล่าวเป็นระยะเพื่อรักษาสิทธิของไทยไว้ ระหว่างที่รอการแก้ไขปัญหาเขตแดนเสร็จสิ้นโดยการตกลงกันตามกฎหมายระหว่างประเทศและย้ำเสมอว่าการอดกลั้นของไทย ไม่ใช่การนิ่งเฉยหรือการยอมรับการละเมิดดังกล่าว

๑๓. โดยที่ประเทศไทยมีนโยบายมาอย่างต่อเนื่องที่จะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้ชัดเจน เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนอย่างถาวร อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของประชาชนบรรยากาศความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และความร่วมมือกันในด้านต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับกัมพูชา ไทยได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. ๒๕๔๓ (ค.ศ. ๒๐๐๐) และ
จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา(Thai – Cambodian Joint Commission for the Demarcation of Land Boundary หรือ JBC) ขึ้นเป็นกลไกในการเจรจา ฝ่ายไทยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานโดยตำแหน่ง ฝ่ายกัมพูชามีที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นประธาน
Last edited by Canthai on Mon Aug 02, 2010 3:20 pm, edited 4 times in total.
User avatar
Canthai
 
Posts: 14925
Joined: Fri Oct 24, 2008 3:47 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Canthai » Mon Aug 02, 2010 1:37 pm

๑๔. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย -กัมพูชา ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม – ๑ มิถุนายน ๒๕๔๖ (ค.ศ. ๒๐๐๓) ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา และที่จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันที่จะให้มีความร่วมมือเพื่อพัฒนาเขาพระวิหารและบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหารเพื่อเป็นสัญ ลัก ษ ณ์แ ห่ง มิต ร ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม สัม พัน ธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนระหว่างสองประเทศ และเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนไทยกับกัมพูชาเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมดังกล่าว โดยไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเขาพระวิหาร และกัมพูชาได้จัดตั้งคณะกรรมการระหว่างกระทรวงเพื่อเตรียมการพัฒนาพื้นที่ช่องตาเฒ่าและเขาพระวิหาร เพื่อเป็นกลไกหลักในการทำงานร่วมกัน โดยมีการจัดประชุมกลุ่มย่อยเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๗ (ค.ศ. ๒๐๐๔) ที่กรุงเทพฯ ซึ่งที่ประชุมได้ตกลงในหลักการขั้นพื้นฐานเพื่อร่วมพัฒนาเขาพระวิหารและบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหารโดยกัมพูชาได้ร้องขอว่า ความร่วมมือระหว่างไทย -กัมพูชาในเรื่องนี้จะเริ่มขึ้นหลังจากที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนปราสาท พระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งในครั้งนั้นฝ่ายไทยได้รับทราบโดยขอให้มีการร่วมมือและปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดในทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก การพัฒนาพื้นที่ และการบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหาร

ปัญหาจากการที่กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

๑๕. ในระหว่างปี ๒๕๔๘ - ๒๕๔๙ (ค.ศ. ๒๐๐๕- ๒๐๐๖) กัมพูชาได้ดำเนินกระบวนการยื่นขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อยูเนสโกฝ่ายเดียว โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับไทยตามที่เคยหารือกันไว้ในกรอบคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเขาพระวิหารและมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - กัมพูชา


มรดกโลก

มรดกโลกคืออะไร
มรดกโลกคือสถานที่ที่มีคุณค่าอันเป็นสากลควรแก่การอนุรักษ์และทะนุบำรุงเพื่ออนุชนรุ่นหลังอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ (Convention concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage) ปี ๒๕๑๕ (ค.ศ. ๑๙๗๒) ขององค์การยูเนสโก (หรืออนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก) กำหนดให้ประเทศภาคีเสนอสถานที่ที่มีคุณค่า
ในประเทศของตนเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกับนำเสนอแผนการบริหารจัดการในการอนุรักษ์คุ้มครองสถานที่ดังกล่าว

ปัจจุบันมีประเทศต่างๆ เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก ๑๘๕ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเข้าเป็นภาคีเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๐(ค.ศ. ๑๙๘๗) โดยไทยมีสถานที่ที่ได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกจำนวน ๕ แห่ง เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ๓ แห่ง ได้แก่ นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร(๒๕๓๔ / ค.ศ. ๑๙๙๑) เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (๒๕๓๔ / ค.ศ. ๑๙๙๑) และแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี (๒๕๓๕ / ค.ศ.๑๙๙๒) และมรดกโลกทางธรรมชาติ ๒ แห่ง ได้แก่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร - ห้วยขาแข้ง (๒๕๓๔ / ค.ศ. ๑๙๙๑) และพื้นที่ผืนป่าเขาใหญ่ - ดงพญาเย็น (๒๕๔๘ / ค.ศ. ๒๐๐๕)

การคัดเลือกสถานที่เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
การพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกโลกจะทำโดยคณะกรรมการมรดกโลก (World HeritageCommittee) ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกที่ได้รับเลือกตั้งจำนวน ๒๑ ประเทศ มีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ ๖ ปี โดยไทยเคยดำรงตำแหน่งในช่วงปี ๒๕๓๒ - ๒๕๓๘(ค.ศ. ๑๙๘๙ - ๑๙๙๕) และปี ๒๕๔๐ - ๒๕๔๖ (ค.ศ. ๑๙๙๗ - ๒๐๐๓)

ปัจจุบันสมาชิกประกอบด้วย ออสเตรเลีย บาห์เรน บาร์เบโดส บราซิล แคนาดา จีน คิวบา อียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน เคนยา มาดากัสการ์ มอริเชียส โมร็อกโก ไนจีเรีย เปรู เกาหลีใต้ สเปน สวีเดน ตูนีเซีย และสหรัฐฯ

คณะกรรมการมรดกโลกจะประชุมกันปีละครั้งโดยจะพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของรัฐภาคีในระหว่างการประชุมประจำปีด้วย

กระบวนการการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ประเทศที่ประสงค์จะขอขึ้นทะเบียนจะต้องส่งคำขอไปยังศูนย์มรดกโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยคำขอจะต้องประกอบด้วยข้อมูลแผนบริหารจัดการพื้นที่เขตแกน (core zone) การกำหนดพื้นที่กันชน (buffer zone) เพื่อกำหนดมาตรการอนุรักษ์คุ้มครองสถานที่ที่ขอขึ้นทะเบียนและต้องแนบแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนที่ชัดเจนของสถานที่และพื้นที่อนุรักษ์ดังกล่าว จากนั้น ศูนย์มรดกโลกจะส่งองค์กรที่ปรึกษาของคณะกรรมการมรดกโลก คือ International Council onMonuments and Sites หรือ อิโคมอส (ICOMOS) ซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองคำขอขึ้นทะเบียน ไปสำรวจสถานที่และจัดทำรายงานข้อเสนอแนะเกี่ยวกับข้อมูลด้านวัฒนธรรมและเทคนิค และร่างคำตัดสินเสนอเพื่อบรรจุในระเบียบวาระของการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก


๑๖. ปัญหาที่เกิดขึ้นและกระทบต่อประเทศไทยคือเอกสารประกอบคำร้องยื่นขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก (Nomination File) ของกัมพูชาได้แนบแผนที่กำหนดเขตแกน (Core Zone)เขตกันชน (Buffer Zone) และเขตพัฒนา (Development Zone) ของอาณาบริเวณปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาจะยื่นขอจดทะเบียนเป็นมรดกโลกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย

Image

๑๗. การกำหนดขอบเขตดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจของฝ่ายกัมพูชาในเรื่องเส้นเขตแดนที่ต่างจากไทย (ดูข้อ ๑๑) ซึ่งทำให้บางส่วนของพื้นที่เขตแกนและเขตพัฒนาที่ฝ่ายกัมพูชาระบุล้ำเข้ามาใน
ดินแดนของไทย และทำให้มีชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาก่อสร้างชุมชน ร้านขายของที่ระลึก และวัดในดินแดนของไทย ใกล้กับตัวปราสาทพระวิหารอีกด้วย ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องการรุกล้ำของชุมชนกัมพูชาดังกล่าว
กระทรวงการต่างประเทศได้ทำการประท้วงรัฐบาลกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด

๑๘. ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๙(ค.ศ. ๒๐๐๖) กัมพูชาได้ส่งเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเพื่อการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกถึงศูนย์มรดกโลก ซึ่งต่อมาได้รับรองและนำเสนอเข้าวาระ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ ๓๑ ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ (ค.ศ. ๒๐๐๗)

Image

๑๙. ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ ๓๑ ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ฝ่ายไทยได้รณรงค์ทางการเมืองและการทูต จนประสบผลสำเร็จให้คณะกรรมการมรดกโลกมีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน๒๕๕๐ (ค.ศ. ๒๐๐๗) ให้เลื่อนการพิจารณาขึ้นทะเบียนของกัมพูชาออกไป ๑ ปี และให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องนี้ โดยจะมีการพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๒ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๑(ค.ศ. ๒๐๐๘) ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา

๒๐. ในการดำเนินการของฝ่ายไทยเพื่อหาทางแก้ปัญหาร่วมกันกับฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยได้เสนอในหลายโอกาสให้ฝ่ายกัมพูชาถอนคำขอขึ้นทะเบียนเดิมของตน และให้กัมพูชาและไทยร่วมกันนำปราสาทพระวิหารในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา รวมทั้งโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับปราสาทที่อยู่ในฝั่งไทย อาทิ สระตราวสถูปคู่ แหล่งตัดหิน ไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายกัมพูชาไม่รับข้อเสนอดังกล่าวของไทย

๒๑. ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘)ไทยได้เสนอรายงานข้อโต้แย้งทางวิชาการเกี่ยวกับการประเมินของอิโคมอส (International Council onMonuments and Sites – ICOMOS) กรณีการเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยอ้างเหตุผลต่างๆ อาทิ การไม่ได้นำองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ที่ต่อเนื่องจากปราสาท (อาทิ สระตราว แหล่งตัดหิน)มาพิจารณา การไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของปราสาทกับชุมชนดั้งเดิมในแง่ความผูกพันทางจิตใจ และความคลาดเคลื่อนของการตีความและนำเสนอข้อมูล

๒๒. อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๒ ได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) ณ นครควิเบก ประเทศแคนาดาให้ปราสาทพระวิหาร (ไม่รวมชะง่อนเขาที่มีพื้นที่กว้างหน้าผา และถ้ำต่างๆ) เป็นมรดกโลก เนื่องจากมีคุณค่าสากลที่โดดเด่นของตัวปราสาทพระวิหารเอง

๒๓. ในการประชุมดังกล่าว ไทยในฐานะผู้สังเกตการณ์ได้แถลงคัดค้านการขึ้นทะเบียน รวมทั้งเอกสารทุกชิ้นและแผนผังทั้งปวงที่กัมพูชายื่นประกอบโดยอ้างข้อ ๑๑ (๓) ของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครอง
มรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ๒๕๑๕(ค.ศ. ๑๙๗๒) ซึ่งระบุว่า การรวมเอาทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ ในดินแดน อธิปไตย หรือเขตอำนาจที่อ้างสิทธิโดยรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ จะไม่กระทบกระเทือนสิทธิของคู่พิพาทไม่ว่าในทางใด (The inclusion of a property )

ข้อมติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ ๓๒
ณ นครควิเบก ประเทศแคนาดา

เรื่องการขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘)
situated in a territory, sovereignty or jurisdiction
over which is claimed by more than one State,
will in no way prejudice the rights of the party to
the dispute.)

(คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ)

ข้อมติ: 32 COM 8 B. 102
คณะกรรมการมรดกโลก

1. ได้ตรวจสอบ เอกสาร WHC-08/32.COM/INF.8B.Add2

2. โดยอ้างถึง ข้อมติ 31 COM 8B.24 ซึ่งยอมรับ “ว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งปราสาทพระวิหารมีความสำคัญระหว่างประเทศอย่างสูงและมีคุณค่าสากลที่โดดเด่นบนพื้นฐานของเกณฑ์ (1) (3) และ(4) และตกลงในหลักการว่าปราสาทพระวิหารควรได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก”

3. ได้บันทึกว่า ความคืบหน้าโดยรัฐภาคีกัมพูชาไปสู่การพัฒนาแผนบริหารจัดการสำหรับทรัพย์สิน ดังร้องขอโดยคณะกรรมการโดยข้อมติ 31 COM 8 B.24 ที่เมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์

4. ขอแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลเบลเยียม สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และอินเดีย ที่ให้การสนับสนุนการทำงานของผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยเหลือในความพยายามครั้งนี้ และต่อรัฐบาลจีน และญี่ปุ่นและ ICCROM ที่ได้ให้ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญที่มีค่าในกระบวนการนี้

5. รับรอง ว่าคำแถลงการณ์ร่วมฉบับเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2008 โดยผู้แทนของรัฐบาลแห่งกัมพูชาและไทย กับยูเนสโก รวมทั้งร่างคำแถลงการณ์ร่วมซึ่งได้อ้างผิดว่าได้ลงนามเมื่อวันที่22 และ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ในเอกสาร WHC 08/32.COM/INF.8B1.Add.2 ต้องไม่ใช้ตามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่ระงับผลของแถลงการณ์ร่วม ภายหลังคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองไทยในเรื่องนี้

6. บันทึก ว่ารัฐภาคีกัมพูชาได้ยื่นต่อคณะกรรมการมรดกโลกซึ่งแผนผังฉบับใหม่ของทรัพย์สิน (RGPP) รวมอยู่ใน WHC-08/32.COM/INF.8B.Add2 (ซึ่งต่อจากนี้ไปจะเรียกว่า “RGPP”) ระบุขอบเขตที่ทบทวนใหม่ของพื้นที่ที่เสนอสำหรับการขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก

7. ตัดสิน บนพื้นฐานการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ให้รับในกระบวนการพหุภาคีซึ่งไปสู่การจัดทำรายงานขยายความเสริม ซึ่งเสนอเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 โดยรัฐภาคีกัมพูชา ตามคำขอของคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก ข้อมูลส่งโดยรัฐภาคีนั้นภายหลังกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในวรรค 148 ของแนวปฏิบัติดำเนินการ

8. รับรอง ว่าไทยได้แสดงความปรารถนาซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อที่จะร่วมในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ

9. บันทึก ว่าทรัพย์สินที่เสนอสำหรับขึ้นทะเบียน ได้รับการลดขนาดและประกอบเพียงปราสาทพระวิหารและไม่รวมชะง่อนเขาที่มีพื้นที่กว้าง หน้าผา และถ้ำต่างๆ

10. พิจารณา ต่อไปอีกว่าการค้นคว้าทางโบราณคดีกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งอาจมีการค้นพบสำคัญซึ่งอาจทำให้สามารถพิจารณาการขอขึ้นทะเบียนข้ามพรมแดนใหม่ได้ ซึ่งจะต้องได้รับความยินยอมทั้งจากกัมพูชาและประเทศไทย

11. ส่งเสริม กัมพูชาให้ประสานงานกับไทยในการอนุรักษ์คุณค่าของทรัพย์สินด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าประชาชนในพื้นที่โดยรอบได้ให้คุณค่าแก่ปราสาทพระวิหารมาช้านาน และตกลงว่าจะเป็นสิ่งพึงปรารถนาในอนาคตที่จะสะท้อนคุณค่าและภูมิทัศน์อย่างสมบูรณ์ โดยการขอขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลกเพิ่มเติมซึ่งจะเข้าเกณฑ์ 3 และ 4ซึ่งได้รับการรับรองแล้วโดยคณะกรรมการในคำตัดสิน31 COM 8B.24

12. ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร กัมพูชาในบัญชีมรดกโลกในเกณฑ์ 1

13. ออกคำแถลงเกี่ยวกับคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ดังต่อไปนี้

ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นกลุ่มสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของชุดอาคารที่เชื่อมต่อกันด้วยระบบทางเดินและบันไดเป็นแนวแกนยาว 800 เมตร เป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยมของสถาปัตยกรรมเขมร ในเรื่องของผัง การตกแต่ง และความสัมพันธ์กับภูมิทัศน์แวดล้อมที่น่าตื่นตาตื่นใจ

เกณฑ์ 1 : พระวิหารเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยมของสถาปัตยกรรมเขมร ซึ่งมีความบริสุทธิ์อย่างยิ่งทั้งในเรื่องผังและในรายละเอียดของการตกแต่งความถูกต้องแท้จริงได้รับการยอมรับ ในลักษณะที่อาคารและวัสดุได้แสดงคุณค่าของทรัพย์สินเป็นอย่างดี ข้อเด่นของทรัพย์สินประกอบด้วยกลุ่มปราสาท บูรณภาพของทรัพย์สินถูกทำให้เสียไปส่วนหนึ่งเพราะส่วนของชะง่อนเขาไม่ได้รวมไว้ในขอบเขตของทรัพย์สิน

มาตรการป้องกันปราสาท
ในทางกฎหมายถือว่าเพียงพอ และความคืบหน้าในกำหนดแนวทางของแผนบริหารจัดการ ต้องได้รับการพัฒนาเป็นแผนบริหารจัดการเต็มรูปแบบที่ได้รับการรับรอง

14. ร้องขอ ให้รัฐภาคีกัมพูชา โดยการประสาน-งานกับยูเนสโก ให้จัดการประชุมคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศเพื่อรักษาและพัฒนาทรัพย์สินภายในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 โดยเชิญให้รัฐบาลไทยและหุ้นส่วนระหว่างประเทศอีกไม่เกิน 7 ประเทศเข้าร่วม เพื่อตรวจสอบนโยบายทั่วไปเกี่ยวกับการรักษาคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลของทรัพย์สิน โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการอนุรักษ์สากล

15. ร้องขอ รัฐภาคีกัมพูชาให้ส่งเอกสารต่อไปนี้ให้ศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ค.ศ. 2009 :

ก) แผนที่ชั่วคราวซึ่งให้รายละเอียดเพิ่มเติมของทรัพย์สินที่ได้ขึ้นทะเบียน และแผนที่กำหนดขอบเขตของเขตกันชนที่ระบุใน RGPP

ข) เอกสารคำขอขึ้น ทะเบียนที่ปรับปรุงแล้วเพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของทรัพย์สิน

ค) คำยืนยันว่าพื้นที่บริหารจัดการของทรัพย์สินจะรวมทรัพย์สินที่ขึ้นทะเบียนและเขตกันชนที่ระบุใน RGPP

ง) รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการเตรียมแผนบริหารจัดการ

16. ร้องขอเพิ่มเติม ต่อรัฐภาคีกัมพูชาให้ส่งแผนบริหารจัดการที่สมบูรณ์เพื่อทรัพย์สินที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพร้อมทั้งแผนที่ที่แล้วเสร็จให้ศูนย์มรดกโลกภายในกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 เพื่อส่งให้แก่คณะกรรมการมรดกโลกในสมัยประชุมที่ 34 ในค.ศ. 2010

ความตึงเครียดบริเวณชายแดนหลังกัมพูชานำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก

๒๔. การที่กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยไม่รับฟังเสียงทัดทานจากประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน และได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าวของกัมพูชาทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง และบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาโดยกัมพูชาได้ปิดทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเวลาต่อมา

๒๕. ต่อมาในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ.๒๐๐๘) กำลังทหารไทยได้เข้าคุ้มครองชาวไทย ๓ คนในบริเวณวัด “แก้วสิขาคีรีสะวารา” ใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งกัมพูชาสร้างล้ำดินแดนไทย ทำให้กัมพูชาไม่พอใจและทำหนังสือแจ้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑(ค.ศ. ๒๐๐๘) และเสนอให้มีการประชุมด่วนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติโดยอ้างว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา รวมทั้งสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยก็ได้ทำหนังสือถึงสหประชาชาติชี้แจงจุดยืนของไทยและแสดงความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหากับกัมพูชา โดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาคำขอของกัมพูชาออกไป ทั้งนี้ สมาชิกส่วนใหญ่ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เห็นสอดคล้องกับไทยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาในระดับทวิภาคีระหว่าง
ไทยกับกัมพูชา ซึ่งควรแก้ไขปัญหาด้วยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว

๒๖. ประเทศไทยได้พยายามแก้ไขปัญหาความตึงเครียดที่เกิดขึ้นโดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคี อาทิการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GeneralBorder Committee) ระหว่างผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทย (ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย) กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) การพบหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับกัมพูชา ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา และที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘)และวันที่ ๑๘ - ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘)ตามลำดับ

๒๗. แม้จะมีความพยายามเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาดังกล่าว แต่ความตึงเครียดที่ชายแดนบริเวณเขาพระวิหารยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และนำไปสู่การเผชิญหน้าและการใช้กำลังในบริเวณเขาพระวิหารเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) บริเวณภูมะเขือ (ทางด้านตะวันตกของปราสาทพระวิหาร)

เหตุการณ์ที่ทหารไทย จำนวน ๒ คน เหยียบทุ่นระเบิดที่มีการวางใหม่เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ.๒๐๐๘) ทำให้ขาขาดและบาดเจ็บสาหัส และเหตุการณ์ปะทะกันที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) ซึ่งมีผลทำให้ทหารไทยเสียชีวิต๒ คน และทหารกัมพูชาเสียชีวิต ๓ คน ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑(ค.ศ. ๒๐๐๘) เกิดขึ้นเพียง ๒ วัน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชายื่นคำขาด ในโอกาสการเดินทางเยือนกัมพูชาของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๑(ค.ศ. ๒๐๐๘) ให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณเขาพระวิหารภายใน ๒๔ ชั่วโมง

๒๘. หลังเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนดังกล่าว ได้มีการหารือกันระหว่างไทยกับกัมพูชาทั้งในระดับผู้บัญชาการทหารในพื้นที่(การประชุมระหว่างแม่ทัพภาคที่ ๒ ของไทยกับผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ ๔ ของกัมพูชาที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ ๒๓ - ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑/ ค.ศ.๒๐๐๘) ระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ และในระดับผู้นำรัฐบาล (การหารือระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับ นายกรัฐมนตรีฮุน เซนของกัมพูชา ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในระหว่างการประชุมสุดยอดเอเชียยุโรป (ASEM) ครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑ / ค.ศ. ๒๐๐๘)

๒๙. นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชาได้ประชุมหารือกันที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ ๑๐ - ๑๒พฤศจิกายน ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) และ ๑๒พฤศจิกายน ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘) ตามลำดับเพื่อหารือเกี่ยวกับการลดความตึงเครียดบริเวณชายแดนและให้มีการสำรวจและปักปันเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารโดยเร็ว

การดำเนินการของไทยและการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

๓๐. นอกจากการแถลงคัดค้านข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลกในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก รวมทั้งเอกสารทุกชิ้นและแผนผังทั้งปวงที่กัมพูชายื่นประกอบการขอขึ้นทะเบียน
ตลอดจนได้แถลงสงวนสิทธิ์ของไทย ดังกล่าวในข้อ ๒๓ แล้ว ประเทศไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประท้วงและตอบโต้กัมพูชา ตลอดจนชี้แจงให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้าใจท่าทีของไทยเกี่ยวกับการที่กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ความตึงเครียดและการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยที่ตามมาโดยกัมพูชาในทุกกรอบความสัมพันธ์ ทั้งทวิภาคีและพหุภาคี และในทุกเวทีระหว่างประเทศ เช่น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมัชชาสหประชาชาติ องค์การยูเนสโก องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสและอาเซียน และการประชุมอนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเป็นต้น

๓๑. นอกจากนี้ ประเทศไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศยังได้เตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จากการที่คณะกรรมการมรดกโลกได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ด้วย
การกำหนดแนวทางการดำเนินการในกรณีที่มีการดำเนินการของยูเนสโกเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งอาจมีนัยกระทบอธิปไตยของไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘)

สรุปว่า การดำเนินการใดๆ ของยูเนสโกหากจะออกมานอกตัวปราสาท จะต้องได้รับอนุญาตจากประเทศไทยก่อน นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ไม่ให้การดำเนินการใดๆ จากทุกฝ่าย ละเมิดอธิปไตยหรือบูรณภาพแห่งดินแดนราชอาณาจักรไทยโดยเด็ดขาด

๓๒. การที่ไทยกับกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนร่วมกันถึง ๗๙๘ กิโลเมตรและไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ตลอดจนความสัมพันธ์และผลประโยชน์ระหว่างประเทศทั้งสองยังมีร่วมกันอีกหลายด้าน ประเทศไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกับกัมพูชาโดยการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) เพื่อลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าบริเวณชายแดน และการจัดทำหลักเขตแดนให้เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยการดำเนินการเป็น ๒ ระยะ คือ

(๑) ระยะสั้น จัดทำข้อตกลงชั่วคราว (Provisional Arrangement) ในบริเวณปราสาทพระวิหารระหว่างรอการสำรวจจัดทำหลักเขตแดนเสร็จสิ้น

(๒) ระยะยาว ให้ JBC เจรจาและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวกรอบการเจรจา

(๑) ข้อตกลงชั่วคราวไทย - กัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนบริเวณเขาพระวิหารวัตถุประสงค์ เพื่อมีมาตรการชั่วคราวร่วมกันสำหรับลดความตึงเครียดและลดการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ชายแดนบริเวณเขาพระวิหาร ระหว่างรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (Thai – CambodianJoint Commission on Demarcation for LandBoundary – JBC) สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวแล้วเสร็จ

สาระสำคัญ
๑. ปรับกำลังของแต่ละฝ่ายออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา พื้นที่รอบวัด และปราสาทพระวิหารเหลือไว้เพียงชุดติดตามสถานการณ์ทหาร (MilitaryMonitoring Groups) ของแต่ละฝ่ายในจำนวนที่เท่ากัน

๒. จัดการประชุมระหว่างหัวหน้าชุดประสานงานชั่วคราวฝ่ายกัมพูชา (ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๖ส.ค. ๒๕๕๑) กับประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคฝ่ายไทย เป็นครั้งที่สองที่กัมพูชา เพื่อหารือเรื่องการปรับกำลังช่วงที่สอง และให้ฝ่ายไทยจัดตั้งชุดประสานงานชั่วคราว

๓. เก็บกู้ทุ่นระเบิดในลักษณะที่ประสานงานกัน ในพื้นที่ที่จะทำการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนโดย JBC ตามบันทึกความเข้าใจปี ๒๕๔๓

๔. ให้ JBC กำหนดพื้นที่ที่จะทำให้อยู่ในสภาพพร้อมสำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนภายใต้แผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของJBC และทำให้พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในสภาพพร้อมก่อนที่ชุดสำรวจร่วมจะเริ่มงาน

๕. จัดตั้งชุดประสานงานชั่วคราวประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย เพื่อพิจารณาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ รวมทั้งวัดแก้วสิขาคีรี-สะวารา

๖. ข้อตกลงชั่วคราวนี้จะไม่กระทบต่อสิทธิของแต่ละฝ่ายเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในกรอบของ JBC และท่าทีทางกฎหมายของตน

(๒) กรอบการเจรจาด้านการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย - กัมพูชา ตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย- กัมพูชา และกลไกอื่นๆ ภายใต้กรอบนี้ให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชาเจรจากับฝ่ายกัมพูชาเพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารดังต่อไปนี้

๑. อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส แก้ไขข้อบทเพิ่มเติม ข้อบทแห่งสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ (ค.ศ. ๑๘๙๓) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่นๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีสเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๒ (ค.ศ. ๑๙๐๔)

๒. สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสฉบับลงนาม ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕(ค.ศ. ๑๙๐๗) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ ๒๓ มีนาคมร.ศ. ๑๒๕ (ค.ศ. ๑๙๐๗)

๓. แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปีค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. ๑๙๐๗ กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญาฉบับปีค.ศ. ๑๙๐๗ ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส

๓๓. รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบกรอบการเจรจาทั้งสองเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ (ค.ศ. ๒๐๐๘)ด้วยคะแนน ๔๐๙ ต่อ ๗ และ ๔๐๖ ต่อ ๘ (จาก๔๑๘ เสียงของผู้เข้าร่วมประชุม) ตามลำดับ และ
ขณะนี้การเจรจาในกรอบ JBC กำลังดำเนินอยู่


๓๔. กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการให้ข้อมูล รับฟังความเห็นประชาชน และชี้แจงรัฐสภาเกี่ยวกับการเจรจาข้างต้นมาอย่างต่อเนื่องในหลายช่องทาง อาทิ การเปิด website - http://www.mfa.go.th/190หรือ http://www.mfa.go.th คลิกภาษาไทย และคลิกแถบ“การดำเนินการตามมาตรา ๑๙๐” การให้ข้อมูล ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ตลอดจนการจัดการ
ให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในลักษณะสัญจร ทั้งในกรุงเทพฯ และตามต่างจังหวัด

๓๕. กระทรวงการต่างประเทศ ขอเรียนเชิญพี่น้องประชาชนชาวไทยให้ข้อคิดเห็นโดยผ่านช่องทางข้างต้น หรือส่งความคิดเห็นไปที่
ศูนย์สถานการณ์พื้นที่เขาพระวิหาร
และชายแดนไทย - กัมพูชา
กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา
กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐
กระทรวงการต่างประเทศ

มีนาคม ๒๕๕๒
User avatar
Canthai
 
Posts: 14925
Joined: Fri Oct 24, 2008 3:47 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby santa » Wed Aug 04, 2010 5:39 am

กษิตแจง MOU 2543 เป็นเรื่องปักปันเขตแดนที่ต้องอิงอนุสัญญาเวียนนา 1969

นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แถลงถึงความเป็นมาและสถานะของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา 2543 ว่า การเจรจาตามเอ็มโอยู 2543 ต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายสากล ซึ่งฝ่ายไทยตระหนักว่าการปักหลักเขตแดนต้องใช้ตามหลักอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 เพื่อตีความสนธิสัญญาที่สยามได้ตกลงกับฝรั่งเศสในเรื่องเขตแดนเมื่อปี ค.ศ. 1904 และ 1907 นอกจากสนธิสัญญาแล้วยังมีแผนที่อีกหลายสิบฉบับที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะแผนที่ฉบับ 1 ต่อ 2 แสนหน่วยที่มีการพูดถึงกันมาก

รมว.ต่างประเทศกล่าวต่อว่า สถานภาพของเอ็มโอยู 2543 ในวันนี้จึงเป็นแค่ความตกลงที่ทำขึ้นเพื่ออำนวยให้มีการเจรจาเรื่องการจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันเท่านั้นไม่ใช่ความตกลงที่จะมีผลเรื่องเขตแดน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งในเอ็มโอยู ข้อ 5 ก็ระบุชัดเจนว่า ทั้ง 2 ประเทศต้องไม่ดำเนินการใดๆที่จะเป็นการรุกล้ำดินแดน การที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามา ฝ่ายไทยก็ได้ทำหนังสือประท้วงทุกครั้ง เพื่อยืนยันถึงอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนมาตลอด

นายกษิตกล่าวต่อว่า จะทำหนังสือถึงที่ประชุม ครม.เพื่อให้ความเห็นชอบบันทึกข้อตกลงที่เกิดเอ็มโอยู 2543 ทั้ง 3 ฉบับที่ได้นำเสนอต่อรัฐสภาเพราะในสมัยประชุมที่แล้ว และยังไม่ได้พิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบ สำหรับเรื่องร่างแผนการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้น ขณะนี้ติดอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ยังตกลงกันไม่ได้คือ กัมพูชาเสนอให้ใช้คำว่าเปรี๊ยะวิเฮียร์ ขณะที่ฝ่ายไทยเห็นว่าควรยึดตามหลักสากลคือ ให้ใช้คำว่าพระวิหาร-เปรี๊ยะวิเฮียร์ คู่กัน หรือใช้คำกลางว่าปราสาท ทั้งนี้หากกัมพูชายอมรับในเรื่องนี้ตนจะเสนอให้ ครม.พิจารณา และนำเรื่องขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาทันที

"ขอยืนยันว่าไม่มีอะไรเป็นเรื่องส่วนตัวกับกัมพูชา ที่ผ่านมาดำเนินการไปได้ด้วยดี จนกระทั่งถึงเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 52 เห็นว่ามีการแทรกแซงกิจการภายในประเทศเราและวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยในเชิงลบ เป็นสิ่งที่ผมเองในฐานะเป็นตัวแทนรัฐบาลจะต้องปกป้องรักษาผลประโยชน์ ภาพลักษณ์ ศักดิ์ศรีของประเทศไทย ไม่มีอะไรเป็นการส่วนตัว และไม่ได้เป็นตัวปัญหาที่ทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ราบรื่น มีหลายเรื่องเป็นมรดกตกทอดจากที่อื่น ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาตลอด" นายกษิตกล่าว และว่า สำหรับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ครม.ได้มีมติให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับวันที่ 18 มิ.ย.2544 ไปแล้ว เนื่องจากเห็นว่าไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายสากล
User avatar
santa
 
Posts: 47
Joined: Sat Jul 24, 2010 9:23 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Tue Aug 10, 2010 2:39 pm

ขอนำบทความที่เกี่ยวข้องมาแปะไว้ด้วยค่ะ

การเมือง : บทวิเคราะห์
วันที่ 7 มกราคม 2553 11:55
มณฑลบูรพา ยังเป็นของประเทศไทยหรือไม่?

โดย : ธนบูลย์ จิรานุวัฒน์

หลักการกฎหมายระหว่างประเทศ อันเกิดจากมหาอำนาจตะวันตกประนีประนอมเพื่อเลี่ยงสงคราม เป็นแก่นสำคัญ ที่ยังไม่ถูกยกมาเปรียบเทียบกรณีพิพาทไทย-เขมร

มณฑล บูรพา คือ จังหวัดศรีโสภณ จังหวัดพิบูลย์สงคราม (อยู่ในเขตแดนประเทศกัมพูชาปัจจุบัน) จังหวัดล้านช้าง จังหวัดจำปาศักดิ์(ปัจจุบันอยู่ในประเทศลาว) อาณาเขตพื้นที่ในมณฑลบูรพา เฉพาะสองจังหวัดที่อยู่ในเขตแดนของประเทศกัมพูชาในปัจจุบันมีเนื้อที่ประมาณ 56,000 ตารางกิโลเมตรเศษ

พื้นที่อาณาเขตมณฑลบูรพาทั้งหมด ไทยหรือสยามประเทศได้มาจากการทำสงครามป้องกันตนเองจากการรุกรานของประเทศสหพันธรัฐฝรั่งเศส ระหว่างปี ค.ศ.1938 จนถึง ค.ศ.1940 โดย "ฝรั่งเศส-อินโดจีน" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ โดยสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นเจ้าของบริษัทนี้(ทำนองเดียวกับบริษัท อีสต์อินเดีย มีอังกฤษเป็นเจ้าของบริษัท)

การที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส และ สหราชอาณาจักร(อังกฤษ) ต้องตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้นมาครอบครองดินแดน และทำการค้าในย่านนี้ เป็นผลสืบเนื่องจาก สหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ ถูกประชาชนใน 13 มลรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกาทำสงครามประกาศอิสรภาพ แยกออกตัวเองออกจากสหราชอาณาจักร เมื่อค.ศ.1775 - 1776 จึงเป็นบทเรียนแก่ประเทศนักล่าอาณานิคมที่ใช้แสนยานุภาพกองทัพเข้าไปล่าเมืองขึ้นในที่ต่างๆ ทั่วโลก ต้องกลับมาทบทวนบทบาทการใช้กำลังกองทัพจากประเทศแม่เข้าไปปกครองแบบกดขี่ข่มเหงคนในอาณานิคม ครั้นผู้ถูกปกครองทนการกดขี่ไม่ไหวก็ลุกขึ้นต่อสู้ แล้วประเทศนักล่าอาณานิคมต้องพ่ายแพ้ เป็นการเสียศักดิ์ศรีของประเทศอาณานิคม และเสียกำลังทรัพย์อย่างมหาศาล

ประเทศสหราชอาณาจักรจึงปรับเปลี่ยนรูป แบบการปกครองในอาณานิคม โดยใช้วิธีเกณฑ์ประชาชนในอาณานิคมมาตั้งเป็นกองทัพ มีผู้นำทางทหารเพียงไม่กี่สิบคนจากแผ่นดินแม่ มาเป็นผู้นำทางกองทัพนั้น โดยประเทศอินเดียเป็นประเทศแรกที่อังกฤษใช้วิธีนี้ ส่วน ประเทศแอลจีเรีย ซูดาน บางส่วนเป็นประเทศที่สาธารณรัฐฝรั่งเศสปรับแนวทางด้วยการคงกองกำลังไว้ในอาณานิคม โดยใช้วิธีการคล้ายกับอังกฤษ แต่จัดตั้งในรูปกองกำลังทหารรับจ้าง

นี่จึงเป็นที่มา ที่จะตอบคำถามเราได้ว่า เหตุใดประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศสจึงต้องตั้งบริษัทอินโดจีนฝรั่งเศสขึ้นครอบ ครอบครองดินแดนในเวียนนาม กัมพูชา และ ลาว พร้อมกับแผ่อิทธิพลทางการค้าและการศาสนารวมทั้งวัฒนธรรมของตนเองไปในดินแดน เหล่านี้ในเวลาเดียวกัน

ดังนั้น บริษัทอินโดจีนฝรั่งเศส ก็มีสถานะตามกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศเช่นเดียวกัน

การพิจารณาว่า มณฑลบูรพา เป็นดินแดนที่ยังคงเป็นของสยามประเทศ(ประเทศไทย)หรือไม่?
เราควรพิจารณาเรื่องนี้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ (The contemporary International Low) ร่วมสมัย กฎหมายเหล่านี้ มีแหล่งที่มา และมีการบังคับใช้นับแต่ยุคเมโสโปเตเมีย สู่นครรัฐกรีก อาณาจักรโรมัน และเข้าสู่ทวีปยุโรปในยุคต้น

ทวีปยุโรปในยุคต้น(ค.ศ.1500 -ช่วงต้นทศวรรษ1800) ทวีปยุโรปยังไม่เกิดรัฐสมัยใหม่ (The modern states) แล้วรัฐสมัยใหม่เกิดที่ไหน? และในเวลาใด?

หากไปศึกษาประวัติศาสตร์สากลจะเห็น รัฐสมัยใหม่เกิดขึ้นเป็นรัฐแรกในโลก ก็คือประเทศสหพันธรัฐอเมริกา(The Confederation of America) เมื่อ ค.ศ.1775-1776 โดยให้อ่านคำประกาศอิสรภาพ ของประเทศสหพันธรัฐอเมริกาโดยระเอียด จะเห็นหลักการปกครองในรูปแบบที่ใช้วิธีการต่างๆ ตามวิถีแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มีมาแต่นมนาน นับแต่ช่วงเวลาเกิดความเจริญรุ่งเรืองในทางการปกครองนับแต่ยุคเมโสโปเตเมีย สู่นครรัฐกรีก และอาณาจักรโรมัน ที่ได้บัญญัติเอาหลักการสำคัญในกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อใช้ในทางการปกครอง

ดังปรากฏ "หลักการ"ทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งขอยกเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้:

1.หลักการ ต้องให้ประชาชนในเขตปกครองสามารถจะเลือกวิธีการปกครอง หรือผู้ปกครองได้โดยเสรี(The self-determination) นั่นก็คือยอมรับให้ราษฎรในพื้นที่มีสิทธิอัตวินิจฉัยด้วยตัวเอง กรณีราษฎรจะมีสิทธิอัตวินิจฉัยด้วยตัวเองได้ ราษฎรนั้นต้องรู้ถึงระบบการปกครองและผู้ปกครอง และราษฎรจะต้องเข้าใจในวิธีการปกครอง และผู้ปกครอง

2.ข้อห้ามอันเป็นหลักสูงสุด(Jus Cogens) ห้ามไม่ให้ทุกรัฐในโลกนี้ไปกระทำการ เพื่อรุกราน และเผยแพร่ เข้าไปยึดครองเอาพื้นดินทั้งหลายในโลกมาครอบครอง ซึ่งเป็น "ข้อห้ามสูงสุด" แม้จะมีสนธิสัญญาใดๆ ในโลกไปขัดต่อหลักการหรือแย้งกับหลักการนี้ "สนธิสัญญานั้น" ย่อมใช้ไม่ได้

ทั้งนี้ การกระทำที่เป็นเรื่องต้องห้ามตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศข้อนี้ ก็คือ:

2.1 ห้ามทำสงครามรุกรานเอาดินแดนหรือขยายอาณาเขตดินแดน จะเห็นได้ว่าหลักกฎหมายหลักนี้ ในเวลาต่อมาถูกนำไปบัญญัติไว้ในสนธิสัญญา กรุงเจนีวา ว่าด้วย กฎเกณฑ์ในการทำสนธิสัญญา ค.ศ.1969 (บทบัญญัติที่ 52 “ห้ามไม่ให้ใช้กำลังอาวุธ หรือกำลังบังคับคู่สนธิสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ให้เข้าทำสัญญาด้วย หากกระทำการดังกล่าวสนธิสัญญาย่อมตกเป็นโมฆะ”)
2.2 ห้ามทำการค้าทาส (The slave - trade )
2.3 ห้ามทำการอันเข้าลักษณะเป็นโจรสลัด (The Piracy )
2.4 ห้ามกระทำการใดๆ อันเป็นการก่อให้เกิดอาชญากรรมแก่มนุษยชาติ(The crimes against Humanityหรือ ที่เรียกกันในภาษาลาตินว่า Hostis Humanis generis
2.5 การใช้อาวุธเข้าประหัตประหาร หรือแยกส่วนร่างกายของมนุษย์ หรือจีโนไซต์ (Genocide) ต่อประชากรหมู่มาก
2.6 กระทำความผิดฐานเป็นอาชญากรสงคราม (The War Criminal )
2.7 กระทำความผิดฐานกระทำการทรมานมนุษย์ในทุกรูปแบบ (Crimes against tortures)

3.หลักการ Clausula rebus sic stautibus (อ่านว่า คอสซูล่า เลบุชซิก สตางค์ตีบุช) วลีนี้มีความหมายว่ “สิ่งที่ยังคงยืนอย่างยึดมั่นอยู่” หลักการนี้เป็นหลักทฤษฎีกฎหมายที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ใช้บังคับกับสนธิสัญญาหรือข้อความในสนธิสัญญาใดๆ เป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงไปของสภาพการพื้นฐานที่เป็นหลักทางกฎหมาย ที่สำคัญ ซึ่งเมื่อเกิดสภาพการเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว ทำให้เกิดเป็นหลักของข้อยกเว้นทั่วไปของหลักการตามสนธิสัญญา

คู่ภาคีของสนธิสัญญาใดที่ได้รับผลกระทบเช่นว่านั้น อาจยกขึ้นว่ากล่าวเอากับคู่สนธิสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ส่งผลให้สนธิสัญญานั้นหรือข้อความตามที่ได้บัญญัติไว้ในสนธิสัญญานั้น ไม่อาจมีผลบังคับใช้ได้ ซึ่งว่าโดยหลักตามปกติแล้ว เมื่อคู่ภาคีสนธิสัญญาใด ลงนามในสนธิสัญญาใดๆ ย่อมที่จะก่อให้เกิดเป็นสนธิสัญญาขึ้น คู่ภาคีทั้งสองฝ่ายของสนธิสัญญา มีหน้าที่ต้อง:
3.1 เคารพต่อข้อความของสนธิสัญญา
3.2 ต้องปฏิบัติตามความแห่งสนธิสัญญานั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ (bonna fide อ่านว่า โบนาร์ฟิเดห์ หรือ โบนาร์ไฟท์)

หลักการอันเป็นข้อยกเว้นดังกล่าวนี้ เป็น “หลักประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศ" (The Customary Internationl Law) ให้ท่านทั้งหลายไปดูสนธิสัญญากรุงเวียนนา เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใช้บังคับในการทำสนธิสัญญาในบทบัญญัติที่ 62 ซึ่งได้บัญญัติขึ้นมีข้อบังคับ 2 ประการ
(1) ต้องมีเหตุการณ์เช่นว่านั้นเกิดขึ้น ในขณะที่คู่สนธิสัญญาสรุปความตามสนธิสัญญาเพื่อลงนาม และต้องเป็นเหตุการณ์ที่เป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญในหน้าที่ของคู่สนธิสัญญา ที่จะต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญา (ให้ดูวรรค A ของบทบัญญัติที่ 62 ของสนธิสัญญาที่อ้างถึงข้างต้น )
(2) เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ว่านี้แล้วมีผลทำให้สภาพการณ์แปรเปลี่ยนไปกระทบต่อ สิทธิและหน้าที่ของคู่สนธิสัญญา ซึ่งคู่สนธิสัญญาไม่เคยที่จะคาดคิดหรือคาดเห็นมาได้ในเวลาก่อนหน้านี้ หลักการนี้ได้รับการวินิจฉัยไว้ ในคดีของศาลโลก มีชื่อว่า United Kingdom v. Iceland เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ.1974

ในคดีดังกล่าว เรื่องโดยย่อมีว่า ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีสภาพเป็นเกาะแต่เดิมนั้นอาณาเขตทางทะเล ของไอซ์แลนด์คงมีเพียงรอบตัวเกาะ และอยู่ไม่ห่างจากตัวเกาะ ต่อมาในค.ศ.1910 สหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ ได้ไปทำข้อตกลงระหว่างประเทศกับประเทศเดนมาร์ค ให้ไอซ์แลนด์มีเขตอำนาจปกครองในทางทะเลไม่เกินไปกว่า 3 ไมล์ทะเลรอบเกาะนั้น ( 3 nautical miles) ข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้มีผลกระทบต่อไอซ์แลนด์ รัฐสภาของไอซ์แลนด์ และประชาชนไอซ์แลนด์ เมื่อรู้เรื่องนี้เข้าจึงไม่ยินยอม จึงประกาศใช้กฎหมายเพื่อรักษาพืชพันธุ์ธัญญาหารทางทะเล รวมทั้งการทำการประมงในท้องทะเล โดยให้มีการขยายอาณาเขตการปกครองในทางทะเลออกไปเป็น 12 ไมล์ทะเล (12 nautical miles)

ต่อมา มีการประชุมเกี่ยวกับกฎหมายทะเล (Law of The Sea I ) จัดโดยสหประชาชาติเป็นครั้งที่ 1ในค.ศ.1958 เรื่องการใช้ทะเลหลวง (High Sea) ซึ่งการใช้ทะเลหลวงอาจแยกได้เป็นสองส่วนคือ (1) ใช้ทะเลหลวงเป็นทางเดินเรือ (2) ใช้ทะเลหลวงเพื่อการประมง และเก็บเกี่ยวเอาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ซึ่งมีประเทศทั้งหลายที่มีอาณาเขตติดกับทะเล ต้องการที่จะสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เพราะฉะนั้นอาณาเขตทะเลหลวงซึ่งมีเขตพื้นที่ติดต่อกับทะเล อาณาเขต(Territorial Sea) ของรัฐใดรัฐหนึ่ง จึงควรต้องอยู่ในเขตอำนาจและการจัดการโดยสิ้นเชิงของรัฐนั้นๆ และรัฐใดๆ ทุกรัฐที่มีทะเลอาณาเขตติดต่อกับเขตทะเลหลวง

ฉะนั้นในการประชุม (Law of The Sea II ) ค.ศ.1960 แม้จะยังไม่มีข้อตกลงอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของรัฐที่มีทะเล อาณาเขตติดกับเขตทะเลหลวง ในการประชุมครั้งนี้ได้เกิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศขึ้นมาว่า ทะเลหลวง( High Sea) เป็นของทุกๆ รัฐในโลก แต่การจะใช้สิทธิในเขตพื้นที่ทะเลหลวง จะต้องคำนึงถึงการใช้สิทธิและการทรงสิทธิของรัฐใดๆ ที่เป็นเจ้าของทะเลอาณาเขตที่มีเขตติดต่อกับเขตทะเลหลวง ในเรื่องเกี่ยวกับการทำการประมง (fishing Zone)

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปภายหลังในค.ศ.1960 ว่าเกิดเขตอำนาจ"สองวง" ขึ้นซ้อนกันในอาณาเขตทะเลหลวง ต้องไม่ให้สิทธิขาด ในการจัดการเกี่ยวกับพื้นที่อาณาเขตทะเลหลวง ที่มีอาณาเขตทะเลหลวงติดต่อกับทะเลอาณาเขตของรัฐ ที่มีพื้นที่ดินติดกับทะเล ที่จะจัดการทรงสิทธิและใช้สิทธิอย่างเด็ดขาด เพราะหากยอมให้ทำเช่นนั้นได้ ก็จะทำให้สิทธิของรัฐอื่นๆ สูญสิ้นไปในเรื่องของการจัดการและการใช้สิทธิในทะเลหลวง

ต่อมา ค.ศ.1972 ไอซ์แลนด์ ออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการสงวนและรักษาทรัพยากรในทะเลหลวงที่มีอาณาเขต ติดต่อกับทะเลอาณาเขตของไอซ์แลนด์ ทำให้ประเทศอังกฤษและเรือประมงอังกฤษ ไม่อาจ เข้าไปทำการประมงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางทะเลในทะเลหลวง ที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลอาณาเขต อันเป็นเขตพื้นที่ทางทะเลภายในของไอซ์แลนด์ได้ตามใจชอบ อังกฤษได้ประท้วงไอซ์แลนด์

ฝ่ายไอซ์แลนด์ไม่ยอมรับฟัง อังกฤษจึงฟ้องไอซ์แลนด์ ตกเป็นจำเลยในศาลโลกใน ค.ศ.1972 ซึ่งในการต่อสู้คดีนั้น อังกฤษได้อ้างถึงข้อตกลงแลกเปลี่ยนเป็นลายลักษณ์อักษร ระหว่างอังกฤษกับไอซ์แลนด์ในปีค.ศ.1961 ที่อังกฤษยอมให้ไอซ์แลนด์ขยายทะเลอาณาเขตจาก 3 ไมล์ เป็น 12 ไมล์ทะเล

ในขณะเดียวกันไอซ์แลนด์ต้องยอมให้อังกฤษเข้าไปทำการประมงและเก็บเกี่ยว ทรัพยากรธรรมชาติในเขตทะเลหลวงที่มีอาณาเขตติดต่อกับ ทะเลอาณาเขตของไอซ์แลนด์

แต่ไอซ์แลนด์ไม่ยอมเข้ามาเป็นจำเลยในคดี หรือไม่ยอมรับรองเขตอำนาจศาลของศาลโลก ถึงกระนั้นก็ตาม ศาลโลกอ้างว่า การแลกเปลี่ยนตราสารระหว่างอังกฤษกับไอซ์แลนด์ ค.ศ.1961 เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ แม้ไอซ์แลนด์จะออกกฎหมายในปี ค.ศ.1972 เพื่อจะสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล

อังกฤษแม้ไม่โต้แย้งในประเด็นนี้ แต่อังกฤษได้กล่าวอ้างว่า หลักการจากประชุมกฎหมายทางทะเลในค.ศ.1958 โดยสหประชาชาติ ในบทบัญญัติที่ 2 รัฐที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเล ย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำให้ผลประโยชน์ของรัฐต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งอังกฤษต้องสูญสิ้นไปเพราะการบัญญัติกฎหมายภายในของรัฐที่มีอาณาเขต ทะเลภายในติดต่อกับอาณาเขตพื้นที่ทะเลหลวง

นั่นก็คือ เมื่อนำหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อที่ 3 มาปรับใช้ในกรณีเมื่อเกิดเหตุการณ์ตามข้อ 3 เกิดขึ้นกับรัฐคู่ภาคีสนธิสัญญาใดๆ และองค์ประกอบที่จะต้องบังคับใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศข้อนี้ครบถ้วนตาม หลักกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นแต่เพียงทำให้สนธิสัญญาฉบับนั้นไม่มีผลบังคับใช้ แต่รัฐคู่ภาคีสนธิสัญญาใดก็ตาม จะยกหรืออ้างสิทธิตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศในข้อนี้มาบอกเลิก บอกถอนความในสนธิสัญญาแต่เพียงฝ่ายเดียว(unilateral action) ไม่ได้ รัฐเช่นว่านี้ย่อมมีหน้าที่ต้องเปิดการเจรจา และสรุปข้อสนธิสัญญา รวมทั้งทำสนธิสัญญากันใหม่ในระหว่างคู่ภาคีสนธิสัญญา

เราอาจเปรียบเทียบโดยนำคดีที่ศาลโลกตัดสินไว้ ในคดีระหว่างประเทศสหราชอาณาจักร v. ไอซ์แลนด์ มาศึกษาเปรียบเทียบกับกรณีสหพันธรัฐฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากับสยามประเทศ เมื่อค.ศ.1904 และค.ศ.1907 เป็นผลให้ฝรั่งเศสอินโดจีน เกิดอำนาจครอบครองพื้นที่อันเป็นเขตมณฑลบูรพา ซึ่งในเวลาก่อนหน้านั้น ฝรั่งเศสและอังกฤษ ได้เจรจาทำสนธิสัญญาลับ ระหว่างสองชาติ ที่มีชื่อว่า “Entente Cardiale” (อ่านว่า อองตองเต้ คาร์ไดแอล)

ซึ่งสองชาติดังกล่าวใช้เวลาเจรจาสนธิสัญญาฉบับนี้ตั้งแต่ค.ศ.1897 จนถึง ค.ศ.1904 จึงได้มาสรุปข้อสนธิสัญญาและลงนามกันใน "สนธิสัญญาลับ" ฉบับนี้ที่กรุงลอนดอนในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ.1904 โดย Mr.Landowone กับ Monsieur Paul Gambon (ขณะนั้นทั้งคู่เป็นรัฐมนตรีระหว่างประเทศของอังกฤษและฝรั่งเศส)

ในสนธิสัญญาฉบับนี้ทำขึ้นเป็นสามตอน ซึ่งจะกล่าวเฉพาะตอนที่ 3 ที่เกี่ยวกับสยามประเทศ มีข้อสาระสำคัญว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า 1.ให้ฝรั่งเศสขยายอิทธิพลได้ทางซีกตะวันออกของแม่น้ำ(แม่น้ำโขง) 2.ให้อังกฤษขยายอิทธิพลได้ทางซีกตะวันตกของแม่น้ำ(แม่น้ำโขง)

เขตแบ่งแดนให้ถือเอาร่องน้ำลึกที่สุดของท้องน้ำแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งแดน เป็นหลัก คำว่า อิทธิพล ที่ปรากฏในสนธิสัญญานี้ คู่ภาคีสนธิสัญญาทั้งสองใช้คำว่า Influences สาระสำคัญข้อต่อไปของสนธิสัญญาลับฉบับนี้ก็คือ คู่ภาคีสนธิสัญญาฉบับนี้เขียนไว้โดยแน่ชัดว่า ไม่ประสงค์จะผนวกเอาดินแดนของสยามมาเป็นของตน

คำว่า ผนวกเอาดินแดน ก็คือคำว่า Annexation ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น มอรอคโคหรือ อียิปส์ หรือประเทศอื่นๆ ที่อ้างถึงในสนธิสัญญาลับฉบับนี้ คู่สัญญาลับทั้งสองฝ่ายใช้คำว่า มีเขตอำนาจเหนือ (The Jurisdiction) ซึ่งต่างกับกรณีสยามประเทศ ให้ดูสนธิสัญญา อองตองเต้ฯ แนบท้ายนี้

4. Erga Omnes (ภาษาละตินอ่าน “เออร์ก้า ออมเนส") เป็นเรื่องหลักทฤษฎีกฎหมายที่รัฐคู่กรณีมิใช่แต่อาจจะใช้อ้างยันต่อคู่สนธิ สัญญาได้อย่างเดียว แต่อาจใช้อ้างยันได้ถึงประชาคมแห่งรัฐทั้งหลาย เช่น กรณีที่บุคคลธรรมดาก็ดี หรือนิติบุคคลก็ดี เป็นบุคคลที่อยู่ในความคุ้มครองของประเทศใด ย่อมหมายถึง บุคคลเช่นว่านั้น มีที่มาหรือมีถิ่นกำเนิดจากชาติหรือรัฐใดๆ รัฐนั้นๆ มีหน้าที่ต้องให้ความคุ้มครองทางกฎหมายหรือทางการฑูต แก่บุคคลนั้นๆ หรือนิติบุคคลนั้นๆ

เช่นคดีบาร์เซโลน่า แทรกชั่น (Barcelona Traction) บริษัทที่จดทะเบียนในประเทศแคนาดา ซึ่งย่อมมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองดังกล่าว ทั้งนี้เพราะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า นิติบุคคลที่ว่านี้ถือกำเนิดภายใต้กฎหมายภายในของแคนาดา แม้ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นคนเบลเยี่ยม รัฐบาลหรือประเทศเบลเยี่ยมก็ไม่อาจเข้าไปให้ความคุ้มครองได้ เพราะไม่มีสายสัมพันธ์ต่อตัวนิติบุคคลนั้น

คดีดังกล่าวถูกพิพากษาโดยศาลโลก (The International Court of Justice) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ.1964 กับได้รับการพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1970

เมื่อนำหลักกฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัยมาวิเคราะห์ร่วมกับสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904 ,1907 และ สนธิสัญญาลับอองตองเต้ คาร์ไดแอล จะให้ผลดังนี้

1.หากวิเคราะห์ด้วยหลัก กฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัย หลักที่1 คือหลัก The self-determination นั่นก็คือ ประชาชนในรัฐสยามประเทศ จะต้องรู้และเข้าใจถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศสสยาม ค.ศ.1904-1907 โดยตลอด และจะต้องรู้และเข้าใจถึงสนธิสัญญาลับระหว่างอังกฤษฝรั่งเศส ที่ทำไว้ในสนธิสัญญา อองตองเต้ คาร์ไดแอล โดยตลอด
แต่ปรากฏว่าสนธิ สัญญา อองตองเต้ คาร์ไดแอล เพิ่งได้รับการเปิดเผยทางอินเตอร์เน็ตไม่ถึงสิบปีมานี้ เพราะฉะนั้นสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907 เมื่อวิเคราะห์ด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัยหลักที่ 1 จึงตกเป็นโมฆะโดยสิ้นเชิงและไม่มีผลบังคับ

2.หากวิเคราะห์ด้วยหลัก กฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัยหลักที่ 2 คือหลัก Jus Cogens ข้อห้ามขาดอันเป็นกฎสูงสุดของกฎหมายระหว่างประเทศ การทำสงครามเพื่อรุกรานเอาดินแดนหรือการทำสงครามเพื่อขยายดินแดน เป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด ตามหลักการนี้โดยแน่ชัด และนานาชาติต่างยอมรับหลักการนี้มานานนับแต่มีรัฐสมัยใหม่รัฐแรกเกิดขึ้นใน โลก(ประเทศสหรัฐอเมริกา)
ฉะนั้น เมื่อพิเคราะห์สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907และสนธิสัญญาลับอังกฤษ-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 ด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศในหลักนี้ สนธิสัญญาดังกล่าวนี้ จึงตกเป็นโมฆะโดยสิ้นเชิงทันที

3.เมื่อนำเอาสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907 และสนธิสัญญาอองตองเต้ คาร์ไดแอล ระหว่าง อังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่ใช้เวลาเจรจาสนธิสัญญาลับนี้ นับแต่ปีค.ศ.1897 - 1904 จนสรุปสนธิสัญญาและลงนามกันที่กรุงลอนดอน วันที่ 8 เมษายน ค.ศ.1904
มาพิเคราะห์ร่วมหลักกฎหมายระหว่าง ประเทศร่วมสมัยในหลักที่ 3 Clausula rebus sic stautibus
(อ่านว่า คอสซูล่า เลบุชซิก สตางค์ตีบุช) จะเห็นว่าเมื่อสนธิสัญญาลับ(อองตองเต้ คาร์ไดแอล) ระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 ปรากฎแก่ชาวโลก ย่อมทำให้สภาพการพื้นฐานที่สำคัญที่ก่อให้เกิดภาระหน้าที่ตามกฎหมายระหว่าง ประเทศของคู่ภาคีสนธิสัญญาทั้งสองต่อสยามประเทศ ที่ปรากฎอยู่ในสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1904, 1907 ต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ผิดไปจากข้อความทั้งหลายที่เป็นภาระหน้าที่ของสยาม ตามที่ปรากฏอยู่ในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907 และคู่ภาคีสนธิสัญญา ค.ศ.1904, 1907 ไม่ว่าจะเป็นสยาม หรือประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส ไม่อาจคาดเห็น หรือคาดคิดได้ก่อนล่วงหน้า จึงมีผลทำให้สนธิสัญญาสยาม- ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 ,1907 สิ้นผลบังคับใช้ไปโดยทันที

ทั้งนี้ เป็นไปตามหลัก Clausula rebus sic stautibus ดังที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้น อีกทั้งยังสามารถนำไปเทียบเคียงกับคดีที่ได้รับการวินิจฉัยไว้โดยศาลโลก (The International Court of Justice: ICJ) คดีระหว่าง United Kingdom v. Iceland พิพากษาไว้ในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ.1974 ดังได้อธิบายแล้วข้างต้น

4.เมื่อนำเอาสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907 มาพิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัย ในหลักที่ 4 คือหลัก Erga Omnes (เออร์ก้า ออมเนส) เป็นเรื่องหลักทฤษฎีกฎหมาย ที่รัฐคู่กรณีมิใช่แต่อาจจะใช้อ้างยันต่อคู่ภาคีสนธิสัญญาได้เพียงฝ่ายเดียว แต่อาจนำข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดๆ ใช้อ้างยันได้ถึงประชาคมแห่งรัฐทั้งหลาย

การกระทำของฝรั่งเศสที่กระทำต่อสยามประ เทศในค.ศ.1904, 1907 ด้วยการนำเอาเรือรบติดอาวุธมาปิดปากอ่าวประเทศสยาม นับได้ว่าเป็นการทำสงครามรุกรานเพื่อเอาดินแดน หรือการทำสงครามเพื่อขยายดินแดน ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศหลักที่ 1 ที่กล่าวอ้างถึงข้างต้นคือ หลักการ Jus Cogens ซึ่งเป็นเรื่องห้ามขาดมิให้รัฐใดๆ กระทำการเช่นว่านี้ เป็นที่รับรู้ของชาวโลกโดยทั่วไป

ฉะนั้น หลักการในข้อนี้จึงเป็นหลักการทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ชาวโลก "ยึดมั่นและยืนยงคงอยู่" ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัยประกอบการพิจารณากับหลักกฎหมายระหว่าง ประเทศในหลักนี้ ฉะนั้น สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907 เมื่อพิเคราะห์ด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศหลักนี้แล้ว จึงตกเป็นโมฆะโดยสิ้นเชิง

สนธิสัญญาระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1941 กระทำที่กรุงโตเกียว โดยประเทศญี่ปุ่น เป็นคนกลาง ในการสรุปข้อสนธิสัญญาและลงนามตามสนธิสัญญาฉบับนี้ และได้รับการให้สัตยาบัน (Ratification) จากสภานิติบัญญัติของคู่ภาคีสนธิสัญญาทั้งสองฝ่าย ย่อมมีผลบังคับใช้ โดยทันทีปราศจากข้อสงสัย อีกทั้งยังเป็นการยกเลิก เพิกถอน สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907 ไปในตัว

เพราะฉะนั้น จึงสรุปได้ว่าสนธิสัญญาระหว่างไทย -ฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1941 เป็นสนธิสัญญาที่กระทำขึ้นเพื่อระงับสงครามอินโดจีนระหว่างไทย - ฝรั่งเศส ที่มีฝรั่งเศสเป็นผู้รุกรานทางอาวุธมาแต่ค.ศ.1938 จนถึงปีค.ศ.1940 และประเทศไทยใช้สิทธิป้องกันตัวเองจากการรุกรานทางอาวุธของฝรั่งเศส เพราะจากถ้อยคำในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวนี้ใช้คำว่า “สัญญาสันติภาพ” เป็นเรื่องผู้แพ้ในสงคราม ยอมแพ้และขอเสนอมาตรการทางสันติภาพแทนที่มาตรการทางการใช้แสนยานุภาพ

อีกทั้งสนธิสัญญาฉบับนี้ ยังเป็นเรื่องการทำสงครามกันที่เกิดขึ้นก่อนเวลาที่จะเกิดสงครามมหาเอเชีย บูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปเอเชีย) จะต้องนับเวลาเริ่มสงครามนี้ คือวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 อันเป็นวันที่กองทัพของประเทศญี่ปุ่นได้บินถล่มฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกา ที่ เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Habour) ซึ่งในวันดังกล่าวเอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นประจำสหรัฐอเมริกา ได้ยื่นบันทึกประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาที่กรุงวอชิงตันดี.ซี. หลังเวลาที่เพริล์ ฮาร์เบอร์ ถูกกองทัพเรือและกองทัพอากาศญี่ปุ่นถล่มทิ้งระเบิดทำลาย

เมื่อวันเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของโลก ปรากฏข้อเท็จริงเช่นนี้ และมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า สนธิสัญญาระหว่าง ไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1941 กระทำที่กรุงโตเกียว โดยมีญี่ปุ่นเป็นคนกลาง ตามการร้องขอของประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศสผู้รุกราน จึงเป็นสัญญาสันติภาพระหว่างไทย-ฝรั่งเศส จึงมีผลบังคับใช้ได้อยู่จนปัจจุบัน

หากจะมีผู้กล่าวว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทย โดยนายควง อภัยวงศ์ และหม่อมเจ้าวรรณไวทยากรณ์ ไปลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศกับฝ่ายสัมพันธมิตร(สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 (พ.ศ.2489) ข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศ มิใช่สนธิสัญญา อีกทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้มิได้รับการให้สัตยาบันจากรัฐสภาไทย และรัฐสภาแห่งคู่ภาคีสนธิสัญญาในข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้ ข้อตกลงนี้จึงมีผลเป็นเพียงข้อตกลงของฝ่ายบริหารของประเทศไทยกับฝ่ายบริหาร ของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร(โปรดดูคำอธิบายว่า “สนธิสัญญา” ต่างกับ “ข้อตกลงระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร” ในเว็บไซต์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา U.S. State Department)

ฉะนั้น ข้อตกลงระหว่างประเทศระหว่างไทยกับฝ่ายประเทศสัมพันธมิตร จึงมีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศเท่านั้น มีศักดิ์และสิทธิ์ต่ำกว่าสนธิสัญญา จึงไม่มีผลไปยกเลิกสนธิสัญญาระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1941 (สนธิสัญญาโตเกียว ค.ศ.1941) ได้


อีกทั้ง ข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้ มิได้รับการอัตวินิจฉัยโดยประชาชนทั้งหมดของประเทศไทย(The Self - Determination) หรือประชากรผู้มีถิ่นพำนักอาศัยในมณฑลบูรพา อันเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศร่วมสมัย ข้อ 1 ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จึงไม่อาจนำไปยกเลิก เพิกถอน สนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสในปีค.ศ.1941 ได้ดังอธิบายมาแล้ว

บทความนี้ นำมาจาก :
กรุงเทพธุรกิจ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby bird » Tue Aug 10, 2010 3:23 pm

เข้ามาปรบมือให้กับ ลุงแคน คร้าบ

สุดยอดมาก ๆ เยี่ยม ข้อมูลครบทุกด้าน เยี่ยมมมมมมมม :mrgreen:

ว่าแต่ save รวม file เดียวแล้ว pm ให้สักนิดได้มั้ยคร้าบ
แบบว่า..อยากเก็บไว้อ่าน แต่กลัว copy ไว้ไม่หมดอะคร้าบ

ขอบคุณคร้าบ :mrgreen: :mrgreen:
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby pochi » Tue Aug 10, 2010 3:27 pm

เก็บเข้าห้องสมุดด้วยก็ดีนะคะ โปจิใช้ฟีเจอร์ search ที่นี่ไม่ได้ ไม่รุทำไม บางทีจะหาอ้างอิง ก็หาไม่เจอ T^T
RT @Cake_NBC: นายกฯแจงเรื่องที่เอาหมวกถุงยางมาสวมหัว อะไรที่ทำแล้วลดปัญหาได้ ก็พร้อมทำ "เป็นศีรษะผม ไม่ใช่ศีรษะของคนอื่น" #NBT
User avatar
pochi
 
Posts: 5035
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:24 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby nanase » Tue Aug 10, 2010 5:41 pm

ขอบคุณลุงแคนที่รวบรวมมาให้ครับ
User avatar
nanase
 
Posts: 527
Joined: Wed Oct 15, 2008 4:42 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby 1ktip » Tue Aug 10, 2010 7:05 pm

pochi wrote:เก็บเข้าห้องสมุดด้วยก็ดีนะคะ โปจิใช้ฟีเจอร์ search ที่นี่ไม่ได้ ไม่รุทำไม บางทีจะหาอ้างอิง ก็หาไม่เจอ T^T


search function มันกินทรัพยากรระบบเยอะ เลยถูกปิดทิ้งเป็นตัวเลือกแรกประจำน่ะครับ

เหตุการณ์สงบมาพักใหญ่แล้ว เดี๋ยวจะแจ้งให้ทั่น WM รับทราบไว้ก็แล้วกัน :geek:
User avatar
1ktip
Global Moderator
 
Posts: 3919
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:20 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Sun Aug 15, 2010 9:14 pm

ใครอยากจะค้นคว้าทำรายงาน กระทู้นี้พอมีให้ไม่ขัดสน

ที่จริงยังขาดเรื่อง มรดกโลก ( โดยละเอียด ) กับคำตัดสินของศาลโลก ( น่าจะนำบทความอาจารย์สมปอง สุจริตกุล มารวมไว้ด้วยก็ดี )

อ้อ ลุงแคนแกไม่มาเสรีไทยแล้วครับ แกอยู่ที่ โอเคเนชั่น ขึ้นบล็อคร้อนอันดับ 4 ไปแล้ว

อยากคุยกับลุงแคน ไปที่โน่นเลยครับ
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Mon Aug 16, 2010 9:11 am

สำหรับเรื่อง "คำตัดสินของศาลโลก" บทความของอาจารย์สมปอง สุจริตกุล
แนะนำว่าให้ไปที่เว็บพระวิหารดอทเน็ต เลือกหัวข้อจากเมนูด้านขวามือ
http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=frontpage&Itemid=54

ศาลโลกกับคดีปราสาทพระวิหาร
ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
http://www.praviharn.net/index.php?opti ... &Itemid=64

บทความใหม่เรื่อง "ปราสาทพระวิหาร" ของ ดร. สมปอง สุจริตกุล
(ทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทย ในคดีปราสาทพระวิหารศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๐๒-๒๕๐๕) ลงวันที่ 31 ส.ค. 2552
http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=94&Itemid=114
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Mon Aug 16, 2010 9:05 pm

บทความดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ

แถลงการณ์ร่วมไทย – กัมพูชาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
กับมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ

http://www.kpi.ac.th/kpith/index.php?op ... Itemid=104

จดหมายเปิดผนึกอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กรณี"ปราสาทเขาพระวิหาร"
http://www.charnvitkasetsiri.com/PDF/Pr ... 20June.pdf
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 12:23 am

ใครมีลิ้งค์ บทความเกี่ยวกับเขาพระวิหาร ฝากไว้ในกระทู้นี้แบบรวมมิตร น่าจะดีไม่น้อย

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4236 ประชาชาติธุรกิจ

กรณีเขาพระวิหาร

คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
http://www.prachachat.net/view_news.php ... 2010-08-16
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 1:15 am

อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ

ความเป็นมา

อนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือในหมู่ประเทศภาคี ในการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม ทั้งด้านนโยบาย การบริหารเทคนิคและการเงิน เพื่อสงวนรักษา คุ้มครองและส่งเสริม มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่มีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติให้คงอยู่ต่อไป และต่อมาในปี พ.ศ. 2519 องค์การ ยูเนสโก ก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ ดูแลแหล่งวัฒนธรรม และธรรมชาติที่มีความสำคัญระดับโลก โดยมีชื่อว่า "คณะกรรมการมรดกโลก" ( The World Heritage Committee) พร้อมทั้งจัดตั้ง " กองทุนมรดกโลก " ขึ้นเพื่อเป็น แหล่งเงินทุนในการสนับสนุนการอนุรักษ์แหล่งวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกแล้ว

คณะกรรมการดังกล่าว จะมีหน้าที่พิจารณามรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่เสนอมาจากประเทศภาคี ให้เข้าร่วมอยู่ในการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาฯ โดยแบ่งการขึ้นบัญชีหรือขึ้นทะเบียน เป็น 2 ประเภท คือบัญชีมรดกโลก และบัญชีมรดกโลก ที่อยู่ใน ภาวะอันตราย นอกจากนั้นคณะกรรมการมรดกโลก ยังมีหน้าที่พิจารณาให้ความช่วยเหลือ แก่ประเทศภาคี ในการพิทักษ์รักษาแหล่งมรดกโลก ที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้นๆ ด้วยคณะกรรมการดังกล่าว จะมีหน้าที่พิจารณามรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่เสนอมาจากประเทศภาคี ให้เข้าร่วมอยู่ในการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาฯ โดยแบ่งการขึ้นบัญชีหรือขึ้นทะเบียน เป็น 2 ประเภท คือบัญชีมรดกโลก และบัญชีมรดกโลก ที่อยู่ใน ภาวะอันตราย นอกจากนั้นคณะกรรมการมรดกโลก ยังมีหน้าที่พิจารณาให้ความช่วยเหลือ แก่ประเทศภาคี ในการพิทักษ์รักษาแหล่งมรดกโลก ที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้นๆ ด้วย

คณะกรรมการมรดกโลกประกอบด้วย คณะกรรมการบริหารของคณะกรรมการมรดกโลก (Bureau of the World Heritage Committee) ซึ่งมีการประชุมทุกๆ ปีที่สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยจะทำหน้าที่กลั่นกรองงานต่างๆ เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งจะมีการประชุมทุกๆ กลางปีตามประเทศภาคีต่างๆ ที่มีความพร้อมสามารถรับเป็นเจ้าภาพได้

ปัจจุบันคณะกรรมการดังกล่าวมี 21 ประเทศ จากประเทศสมาชิกทั้งหมด 172 ประเทศและมีแหล่งมรดกทั้งหมดจำนวน 730 แหล่ง ( เมื่อมิถุนายน 2545 ) เป็นแหล่งวัฒนธรรม 563 แหล่ง แหล่งธรรมชาติ 144 แหล่ง และแหล่งผสม ทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก 23 แหล่ง

มรดกโลกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือมรดกทางวัฒนธรรม(Cultural Heritage)และมรดกทางธรรมชาติ (Natural
Heritage) ซึ่งในอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกได้ให้คำนิยามไว้ว่า

มรดกทางวัฒนธรรม หมายถึง สถานที่ซึงเป็นโบราณสถานไม่ว่าจะเป็นงานด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม หรือแหล่งโบราณคดีทางธรรมชาติ เช่น ถ้ำ หรือกลุ่มสถานที่ก่อสร้างยกหรือเชื่อมต่อกันอันมีความเป็นเอกลักษณ์ หรือแหล่งสถานที่สำคัญอันอาจเป็นผลงานฝีมือมนุษย์หรือเป็นผลงานร่วมกันระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ รวมทั้งพื้นที่ที่เป็นแหล่งโบราณคดี ซึ่งสถานที่เหล่านี้มีคุณค่าความล้ำเลิศทางประวัติศาสตร์ ศิลป มนุษย์วิทยา หรือวิทยาศาสตร์

มรดกทางธรรมชาติ หมายถึง สภาพธรรมชาติที่มีลักษณะทางกายภาพและชีวภาพอันมีคุณค่าเด่นชัดในด้านความล้ำเลิศ หรือวิทยาศาสตร์ หรือ สถานที่ซึ่งมีสภาพทางธรณีวิทยาและภูมิประเทศที่ได้รับการวิเคราะห์แล้วว่าเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและสัตว์ ซึ่งถูกคุกคามหรือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของพืชหรือสัตว์ที่หายาก เป็นต้น

หมวดที่ 1 นิยามของมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ

มาตราที่ 1
ตามวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา "มรดกทางวัฒนธรรม" มีความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
- อนุสรณ์สถาน : ผลงานทางสถาปัตยกรรม ผลงานทางประติมากรรมหรือจิตรกรรม ส่วนประกอบ หรือโครงสร้างของโบราณคดีธรรมชาติ จารึก ถ้ำที่อยู่อาศัย และร่องรอยที่ผสมผสานกันของสิ่งต่างๆ ข้างต้น ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะหรือ วิทยาศาสตร์

- กลุ่มอาคาร : กลุ่มของอาคารที่แยกจากกันหรือเชื่อมต่อกันโดยลักษณะทางสถาปัตยกรรม หรือโดยความสอดคล้องกลมกลืน หรือโดยสถานที่จากสภาพภูมิทัศน์ ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์

- แหล่ง : ผลงานที่เกิดจากมนุษย์ หรือผลงานที่เกิดจากมนุษย์และธรรมชาติ และบริเวณอันรวมถึงแหล่งโบราณคดี ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ชาติวงศ์วิทยา หรือมานุษยวิทยา

มาตราที่ 2

ตามวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา "มรดกทางธรรมชาติ" มีความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้

- สภาพธรรมชาติที่ประกอบด้วยลักษณะทางกายภาพและทางชีวภาพ หรือกลุ่มของสภาพธรรมชาติ ดังกล่าว ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางสุนทรียศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์

- สภาพองค์ประกอบทางธรณีวิทยา หรือธรณีสันฐาน หรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้ง ว่าเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์สัตว์และพืชที่กำลังได้รับการคุกคาม ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางวิทยาศาสตร์ หรือการอนุรักษ์


- สภาพธรรมชาติหรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้งว่ามีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางวิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์ และความงดงามตามธรรมชาติ

มาตราที่ 3

เป็นภารกิจของรัฐภาคีแห่งอนุสัญญา ในการจำแนกรายละเอียด และวิเคราะห์แยกแยะ ความแตกต่างของทรัพย์สมบัติ หรือทรัพย์สินในขอบเขตดินแดนแห่งรัฐของตน ตามทีระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2

หมวดที่ 2 การคุ้มครองป้องกันมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติในระดับชาติและ
ระดับนานาชาติ

มาตรา 4

รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา พึงรับเป็นภาระหน้าที่ในการดำเนินงานจำแนกรายละเอียด คุ้มครองป้องกัน อนุรักษ์ และนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2 ที่ตั้งอยู่ในดินแดนของตน เพื่อสืบทอดไปสู่คนรุ่นต่อไปในอนาคต รัฐภาคีจะดำเนินการโดยตลอดอย่างเหมาะสมเท่าที่จะกระทำได้ ด้วยทรัพยากรของรัฐเอง หรืออาจรับการสนับสนุนจากความช่วยเหลือระหว่างประเทศ หรือความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งทางด้านการเงินสุนทรียศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคนิควิธ ีในบางกรณี เป็นการเฉพาะก็ได้

มาตรา 5

เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า มรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติในขอบเขตอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ จะได้รับการคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ และการนำเสนอด้วยมาตรการที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง รัฐภาคีจะพยายามดำเนินการต่างๆเท่าที่พึงกระทำได้อย่างเหมาะสมที่สุด ดังนี้

(ก) กำหนดนโยบายทั่วไปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติมีประโยชน์ต่อวิถีชีวิตของประชาชนและเพื่อบูรณาการการคุ้มครองป้องกันมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติไว้ในรายละเอียดของการวางแผนการดำเนินงานของรัฐ

(ข) ภายในขอบเขตอำนาจอธิปไตยหากยังไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรรับผิดชอบดำเนินงานเพื่อการนี้จะต้องจัดให้มีอย่างน้อยหนึ่งหน่วยงาน/องค์กรหรือมากกว่าเพื่อดำเนินงานต่างๆในการคุ้มครองป้องกันการอนุรักษ์และการนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่และกระบวนการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพื่อรับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไป

(ค) พัฒนาการศึกษาวิจัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคนิควิธีเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงานรวมทั้งส่งเสริมศักยภาพของประเทศให้มีความพร้อมในการแก้ไขปัญหาภัยอันตรายที่คุกคามต่อมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ

(ง) กำหนดมาตรการที่เหมาะสมทั้งทางด้านกฎหมาย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคนิควิธี การบริหารจัดการ และการเงินเท่าที่จำเป็นเพื่อการจำแนกรายละเอียด การคุ้มครอง ป้องกัน การอนุรักษ์ การนำเสนอ และการทนุบำรุงรักษามรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทาง ธรรมชาติ

(จ) สนับสนุนให้มีการก่อตั้งหรือพัฒนาศูนย์การฝึกอบรมในระดับชาติ หรือระดับเขตภูมิภาค เพื่อการคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ และการนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ รวมทั้งส่งเสริมการศึกษาวิจัยเพื่อการปฏิบัติงานตามภารกิจดังกล่าว

มาตรา 6

1. ด้วยความเคารพสูงสุดต่ออำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ อันเป็นที่ตั้งของมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2 และด้วยความปราศจากอคติใดๆ ต่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติ หรือทรัพย์สินตามกฎหมายแห่งชาติ รัฐภาคีในอนุสัญญา พึงระลึกว่าการคุ้มครองป้องกันทรัพย์สมบัติ หรือทรัพย์สินอันเป็นองค์ประกอบของมรดกโลก เป็นภาระหน้าที่ของประชาคมระหว่างประเทศ ที่จะประสานความร่วมมือในการดำเนินการต่างๆ

2. ตามข้อบัญญัติแห่งอนุสัญญา รัฐภาคีจะต้องดำเนินการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในการจำแนกรายละเอียด การคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ และการนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรา 11 หากรัฐ อันเป็นที่ตั้งของ มรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาตินั้น ร้องขอ

3. รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา จะต้องละเว้นการดำเนินการใดๆ ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม อันอาจเป็นการทำลายมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2 อันมีที่ตั้งอยู่ในขอบเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐภาคีอื่น

มาตรา 7
เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา การปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติในระดับนานาชาติ มีความหมายถึงการก่อตั้งระบบความร่วมมือระหว่างประเทศ และความช่วยเหลือที่จะมอบให้แก่รัฐภาคี
ในการดำเนินความพยายามอนุรักษ์ และจำแนกรายละเอียดมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ


หมวดที่ 3
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการคุ้มครองป้องกันมรดกโลกทางวัฒนธรรมและ ทางธรรมชาติ

มาตรา 8

1. คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการคุ้มครองป้องกันมรดกทางวัฒนธรรม และทาง ธรรมชาติ ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล เรียกว่า "คณะกรรมการมรดกโลก" ได้รับการกำหนดให้มี โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ในวาระเริ่มต้น ประกอบด้วย ผู้แทนของรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาจำนวน 15 รัฐ จากการเลือกตั้ง
ในการประชุมสมัยสามัญสมัชชาภาคีแห่งอนุสัญญา ซึ่งจัดให้มีขึ้นระหว่างการประชุมใหญ่สมัยสามัญของ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ จำนวนองค์ประกอบของคณะกรรมการมรดกโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 21 รัฐนับจากวันประชุมสมัยสามัญสมัชชาภาคีแห่งอนุสัญญาครั้งที่อนุสัญญามีผลบังคับใช้กับรัฐภาคีแล้ว ไม่น้อยกว่า 40 รัฐ

2. การเลือกตั้งกรรมการในคณะกรรมการมรดกโลก จะต้องยึดถือหลักความเสมอภาคแห่งทวีป (ภูมิภาค) และธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นสากล

3. ผู้แทนขององค์กรระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษาและบูรณะปฏิสังขรณ์ทรัพย์สมบัติทางวัฒนธรรม (ICCROM), ผู้แทนของสภาสากลว่าด้วยอนุสรณ์สถานและแหล่ง (ICOMOS), ผู้แทนสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ(IUCN)หรือผู้แทนอื่นๆที่อาจเพิ่มเติมได้ตามการร้องขอของรัฐภาคีในการประชุมสมัยสามัญสมัชชาภาคีแห่งอนุสัญญา ผู้แทนขององค์กรระหว่างรัฐบาล หรือองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกันจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ในฐานะที่ปรึกษา

มาตรา 9

1. กรรมการ (ซึ่งเป็นผู้แทนของรัฐภาคี) ในคณะกรรมการมรดกโลก มีวาระการดำรงตำแหน่งนับตั้งแต่วันเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่สมัยสามัญในครั้งที่ได้รับการเลือกตั้ง จนถึงวันเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่สมัยสามัญในครั้งที่ 3 ถัดไป

2. กรรมการในคณะกรรมการมรดกโลก ที่ได้รับการเลือกตั้งในวาระเริ่มต้นจำนวน 1 ใน 3 จะหมดวาระลงในการประชุมใหญ่สมัยสามัญครั้งถัดไป จากครั้งที่ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนกรรมการอีก 1 ใน 3 ต่อมา จะหมดวาระลงในการประชุมใหญ่สมัยสามัญครั้งที่ 2 นับจากครั้งที่ได้รับการเลือกตั้ง รายนามของกรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกที่จะต้องหมดวาระตามความที่ระบุ ข้างต้น ได้มาจากการจับฉลากโดยประธานการประชุมใหญ่สมัยสามัญองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ในการเลือกตั้งของวาระเริ่มต้น

3. รัฐภาคีในคณะกรรมการมรดกโลก ควรคัดเลือกผู้แทน (เพื่อทำหน้าที่กรรมการมรดกโลก) ที่มีความรู้ ความสามารถ หรือความเชี่ยวชาญมากเพียงพอด้านมรดกทางวัฒนธรรม หรือมรดกทางธรรมชาติ

มาตรา 10

1. คณะกรรมการมรดกโลก จะต้องทำการรับรองข้อบังคับการประชุม
2. คณะกรรมการมรดกโลก อาจเชิญองค์กรของรัฐ หรือองค์กรเอกชน หรือบุคคล เข้าร่วมการประชุม เพื่อให้คำปรึกษาได้ในบางกรณี
3. คณะกรรมการมรดกโลก อาจจัดตั้งองค์กรที่ปรึกษาเพื่อช่วยปฏิบัติงานตามภารกิจได้ เมื่อเห็นว่าจำเป็น

มาตรา 11

1. หากเป็นไปได้รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา จะต้องยื่นบัญชีรายการทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ในดินแดนของตน ซึ่งรัฐภาคีเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะได้รับการบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อ ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 ของมาตรานี้ เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก บัญชีรายการฯ ดังกล่าว ซึ่งถึงแม้จะยังไม่มีการพิจารณาอย่างละเอียด แต่ก็ควรแนบเอกสารแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับที่ตั้ง และคุณค่าความสำคัญต่างๆ ประกอบมาพร้อมกันด้วย

2. ตามข้อมูลหลักฐานในบัญชีรายการมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติที่รัฐภาคียื่นเสนอตามย่อหน้าที่ 1 ของมาตรานี้ คณะกรรมการมรดกโลก จะพิจารณาบรรจุไว้ใน"บัญชีรายชื่อมรดกโลก" ที่จะมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันและเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง"บัญชีรายชื่อ มรดกโลก" จะต้องเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2 แห่งอนุสัญญา ที่ได้รับการพิจารณาเห็นว่า มีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากลตามเกณฑ์มาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ บัญชีรายชื่อที่เป็นปัจจุบันจะถูกเผยแพร่ให้ทราบโดยทั่วกันทุกๆ 2 ปี เป็นอย่างน้อย

3. การพิจารณาบรรจุทรัพย์สมบัติ หรือทรัพย์สินที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติให้อยู่ใน "บัญชีรายชื่อมรดกโลก" จะต้องได้รับความยินยอมจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่ทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สิน ที่จะพิจารณาบรรจุไว้ใน "บัญชีรายชื่อมรดกโลก" มีที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตหรืออำนาจอธิปไตย หรือเขตอำนาจศาลมากกว่าหนึ่งรัฐ จะต้องไม่เป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งจาก รัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง

4. ตามกรณีแวดล้อมหรือเหตุจำเป็น คณะกรรมการมรดกโลก จะพิจารณาจัดทำ"บัญชีรายชื่อมรดกโลกในภาวะอันตราย" ซึ่งหมายถึงบัญชีรายชื่อของมรดกโลก ที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการอนุรักษ์ครั้งใหญ่ หรือให้ความช่วยเหลือตามการร้องขอภายใต้อนุสัญญา การดำเนินการอนุรักษ์มรดกโลกในภาวะอันตรายแต่ละแหล่ง จะต้องประมาณการค่าใช้จ่ายในแต่ละกิจกรรมไว้ด้วย "บัญชีรายชื่อมรดกโลกในภาวะอันตราย" อาจหมายรวมถึงมรดกโลกที่ได้รับอันตรายอย่างรุนแรง ในองค์ประกอบบางส่วน หรือมีความเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็วรุนแรง ที่อาจเป็นเหตุให้เสื่อมสลายหายไป หรือมีโครงการ/กิจกรรมพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐหรือของเอกชน เพื่อขยายเมืองหรือส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือการทำลายอันมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือเจ้าของ ที่ดิน หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างมากอันหาสาเหตุมิได้ หรือการปล่อยปละละทิ้งด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง หรือการจราจล หรือการสงคราม หรือความหายนะและกลียุค ได้แก่ อัคคีภัยที่ร้ายแรง แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิดการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำ น้ำท่วม และกระแสคลื่น คณะกรรมการ มรดกโลก
ในกรณีฉุกเฉิน อาจบรรจุมรดกโลกดังกล่าวไว้ใน "บัญชีรายชื่อมรดกโลกในภาวะอันตราย" และเผยแพร่แก่สาธารณะในทันที เมื่อใดก็ได้

5. คณะกรรมการมรดกโลก จะต้องจัดทำหลักเกณฑ์ และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องของการบรรจุมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติไว้ใน "บัญชีรายชื่อแหล่งมรดกโลก" และ "บัญชี รายชื่อมรดกโลกในภาวะอันตราย" ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรานี้

6. ก่อนการปฏิเสธคำร้องขอ การบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อใดรายชื่อหนึ่งของสองบัญชีตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรานี้ คณะกรรมการมรดกโลก จะกระทำการหารือกับรัฐภาคี อันเป็นที่ตั้งของมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติที่มีปัญหาดังกล่าวก่อน

7. คณะกรรมการมรดกโลก ภายใต้การตกลงกับรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง จะให้ความร่วมมือและส่งเสริมการศึกษาวิจัยที่จำเป็น สำหรับการจัดทำบัญชีรายชื่อตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรานี้

มาตรา 12

โดยความจริงแท้แล้ว ทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สินอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทาง ธรรมชาติ ที่ยังมิได้รับการบรรจุไว้ใน บัญชีรายชื่อทั้งสองบัญชีตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรา 11 มิได้ถูกตีความว่าไ ม่มีคุณค่าโ ดดเด่นในร ะดับสากลแต่ประการใด ทั้งนี้เนื่องจากบัญชี รายชื่อทั้งสองบัญชีเป็นผลสัมฤทธิ์มาจากวัตถุประสงค์เฉพาะด้านเท่านั้น

มาตรา 13

1.คณะกรรมการมรดกโลกจะรับและศึกษาคำร้องขอความช่วยเหลือระหว่างประเทศสำหรับทรัพย์สมบัติและทรัพย์สินที่เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติของรัฐภาคี ตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งรวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการบรรจุไว้ใน บัญชีรายชื่อตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรา 11 วัตถุประสงค์ของคำร้องขอดังกล่าว ควรเป็นไปเพื่อการคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ การนำเสนอ หรือการทนุบำรุงรักษามรดกทาง วัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติเท่านั้น

2. คำร้องขอความช่วยเหลือระหว่างประเทศภายใต้ย่อหน้าที่ 1 ของมาตรานี้ ควรมีรายละเอียดการจำแนกแยกแยะในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติ หรือทรัพย์สินทางวัฒนธรรมและ ธรรมชาติ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2 ที่ชัดเจนเพียงพอ และเมื่อผลการสอบสวนเบื้องต้นปรากฏแล้ว การสอบสวนในลำดับถัดไป จะต้องแสดงหลักฐานประกอบด้วย

3. คณะกรรมการมรดกโลก มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจว่า สมควรดำเนินการอย่างไร และเมื่อไหร่ เกี่ยวกับการร้องขอต่างๆ ตามความเหมาะสมบนพื้นฐานแห่งข้อมูล และสาระสำคัญของการร้องขอนั้นๆ ทั้งนี้ โดยการประสานการจัดกิจกรรมร่วมกับรัฐที่เกี่ยวข้อง

4. คณะกรรมการมรดกโลก มีอำนาจในการจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานต่างๆ การจัดลำดับดังกล่าวพึงตระหนักถึงลำดับความสำคัญของการคุ้มครองป้องกันที่ทรัพย์สมบัติ หรือทรัพย์สินซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมหรือมรดกทางธรรมชาตินั้นต้องการ นอกจากนั้น ยังควรคำนึงถึงระดับความเป็นตัวแทนของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หรืออัจฉริยภาพการสร้างสรรของมนุษย์ หรือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และความเร่งด่วนของงานที่จะต้องดำเนินการ รวมทั้งทรัพยากรที่พอจะจัดหาได้ในรัฐภาคี อันเป็นที่ตั้งของทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สิน ตลอดจนขีดความสามารถในการปกปักรักษาทรัพย์สมบัติ หรือทรัพย์สินโดยวิธีการของรัฐภาคีนั้นเอง

5. คณะกรรมการมรดกโลก รับที่จะจัดทำ ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน และจัดพิมพ์เผยแพร่บัญชีรายชื่อมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากความช่วยเหลือระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

6. คณะกรรมการมรดกโลก มีอำนาจในการตัดสินใจใช้ทรัพยากร จากกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 15 แห่งอนุสัญญา รวมทั้งมีหน้าที่ในการแสวงหาวิธีการ และดำเนินการต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มพูนทรัพยากรให้แก่กองทุน

7. คณะกรรมการมรดกโลก รับที่จะประสานความร่วมมือกับ องค์กรของรัฐ องค์กรรัฐบาลระหว่างประเทศ และองค์กรพัฒนาเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกันเพื่อสนับสนุนอนุสัญญา ในการปฏิบัติงานตามแผนงาน และโครงการ คณะกรรมการอาจขอรับความร่วมมือจากองค์กรเหล่านี้ รวมทั้งบุคคลอื่นๆ ตามที่เห็นสมควร โดยเฉพาะศูนย์ระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษาและบูรณะปฏิสังขรณ์ทรัพย์สมบัติทางวัฒนธรรม (ICCROM) หรือสภาสากลว่าด้วยอนุสรณ์สถานและแหล่ง (ICOMOS) หรือสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN)

8. การตัดสินใจใดๆ ของคณะกรรมการมรดกโลก จะต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกเสียงข้างมากที่เข้าร่วมการประชุมเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ขององค์ประชุม

มาตรา 14

1. การปฏิบัติภารกิจของคณะกรรมการมรดกโลก จะได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานเลขานุการ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดย ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

2. ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ จะใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและศักยภาพด้านวิชาการในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากศูนย์ระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษาและบูรณะปฏิสังขรณ์ทรัพย์สมบัติทางวัฒนธรรม(ICCROM) สภาสากลว่าด้วยอนุสรณ์สถานและแหล่ง (ICOMOS) และสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากร ธรรมชาติ (IUCN) อย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถกระทำได้ ในการจัดเตรียมเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบวาระการประชุมให้แก่คณะกรรมการ ตลอดจนรับผิดชอบในการดำเนินการต่างๆ ตามมติ หรือการตัดสินใจของคณะกรรมการ

หมวดที่ 4
กองทุนเพื่อการคุ้มครองป้องกันมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ

มาตรา 15

1. กองทุนเพื่อการคุ้มครองป้องกันมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่มีคุณค่า โดดเด่นในระดับสากล เรียกว่า "กองทุนมรดกโลก"

2. กองทุนมีลักษณะเป็นกองทุนเงินฝาก ที่มีความสอดคล้องกับกฎข้อบังคับด้านการเงินขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

3. แหล่งที่มาของกองทุน ประกอบด้วย :
(ก) ค่าธรรมเนียมรายปีและเงินบริจาค จากรัฐภาคีแห่งอนุสัญญา
(ข) เงินบริจาค หรือทรัพย์สิน หรือมรดกตามพินัยกรรม ที่ได้รับจาก
(1) รัฐประเทศอื่นๆ
(2) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติองค์การอื่นๆ ภายใต้ระบบของสหประชาชาติ เช่น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือองค์กรระหว่างรัฐบาลอื่นๆ
(3) สมาคมภาครัฐ หรือสมาคมเอกชน หรือบุคคลทั่วไป
(ค) เงินจากดอกผลและผลประโยชน์ใดๆ ที่เกิดจากกองทุน
(ง) เงินที่ได้จากการรวบรวม และได้จากการจัดกิจกรรมเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับกองทุน
(จ) ทรัพยากรอื่นๆ ที่ได้มาโดยขอบเขตของกฎข้อบังคับแห่งกองทุนที่กำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการมรดกโลก

4. การใช้จ่ายเงินกองทุนและรูปแบบความช่วยเหลืออื่นๆ ที่สามารถจัดหาได้ จะกระทำได้โดยวัตถุประสงค์ที่คณะกรรมการมรดกโลกได้กำหนดไว้ เท่านั้นคณะกรรมการมรดกโลก จะรับและใช้เงินกองทุนในแผนงาน หรือโครงการที่ได้จัดเตรียมรายละเอียดการดำเนินงานที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาตัดสินใจ เท่านั้น ทั้งนี้ การอุดหนุนเงินให้กับกองทุน ผู้บริจาคไม่อาจกำหนดเงื่อนไขทางการเมืองใดๆ ได้

มาตรา 16

1. โดยปราศจากความผูกพันใดๆ กับวงเงินบริจาคโดยสมัครใจที่รัฐภาคีได้มอบให้กับกองทุน รัฐภาคีแห่งอนุสัญญารับที่จะชำระค่าบำรุงแก่กองทุนมรดกโลกเป็นประจำทุกๆ 2 ปี จำนวนเงินค่าบำรุงของแต่ละรัฐภาคี จะมีรูปแบบการคำนวณที่เหมือนกันโดยการพิจารณาตัดสินในการประชุมสมัชชาภาคีแห่งอนุสัญญา ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างการประชุมใหญ่สมัยสามัญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ การตัดสินของสมัชชาภาคีแห่งอนุสัญญา จะต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกเสียงข้างมากที่เข้าร่วมการประชุม ทั้งนี้ โดยรัฐภาคีมิต้องดำเนินการประกาศอย่างเป็นทางการถึงจำนวนเงินที่จะบริจาคตามความที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 ของมาตรานี้ หากไม่มีกรณีเป็นอย่างอื่น ค่าบำรุงประจำปีของรัฐภาคีจะเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 1 ของเงินอุดหนุนประจำปีที่รัฐภาคีมอบให้กับ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

2. โดยหลักปฏิบัติทั่วไป รัฐภาคีทุกรัฐที่ได้ดำเนินการต่างๆ ตามกระบวนการที่ระบุไว้ในมาตรา31หรือมาตรา32ของอนุสัญญาจะต้องประกาศอย่างเป็นทางการถึงจำนวนเงินที่จะบริจาคให้กองทุนมรดกโลกในทันทีที่ยื่นหลักฐานการให้สัตยาบัน หรือการรับรอง หรือการภาคียานุวัติ แต่หลักปฏิบัติ ดังกล่าวข้างต้น จะไม่มีผลผูกพันต่อข้อบัญญัติในย่อหน้าที่ 1 ของมาตรานี้

3. รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา ที่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการตามที่ระบุในย่อหน้าที่ 2 ของมาตรานี้ สามารถถอนคำประกาศได้ โดยแจ้งเพื่อทราบต่อ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม
การถอนคำประกาศ จะยังไม่มีผลต่อการชำระค่าบำรุงประจำของรัฐภาคีนั้น จนกว่าจะถึงวันประชุมสมัชชาภาคีแห่งอนุสัญญาครั้งถัดไป

4. เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกสามารถวางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา ควรแจ้งอย่างเป็นทางการถึงจำนวนเงินค่าบำรุง หรือเงินบริจาคที่จะมอบให้แก่กองทุนมรดกโลกตามความที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 ของมาตรานี้ และชำระเงินจำนวนดังกล่าว เป็นประจำทุกๆ 2 ปี เป็นอย่างช้า นอกจากนั้น จำนวนเงินที่ชำระ ต้องไม่น้อยกว่าวงเงินตามเงื่อนไขของข้อบัญญัติในย่อหน้าที่ 1 ของมาตรานี้

5. รัฐภาคีแห่งอนุสัญญารัฐใด ค้างชำระค่าบำรุงหรือเงินบริจาคประจำปีภายในปีปฏิทินนั้น จะไม่มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการ ในคณะกรรมการมรดกโลก อย่างไรก็ตามความดังกล่างข้างต้นไม่มีผลบังคับใช้กับการเลือกตั้งในครั้งแรก วาระในการดำรงตำแหน่งของรัฐภาคี ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการมรดกโลก จะสิ้นสุดลงในช่วงเวลาของการเลือกตั้งตามที่ระบุไว้ในมาตรา 8 ย่อหน้าที่ 1 ของอนุสัญญา

หมวดที่ 5
เงื่อนไขและการบริหารจัดการความช่วยเหลือระหว่างประเทศ

มาตรา 17
รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา จะต้องพิจารณาหรือส่งเสริมการจัดตั้งองค์กรของรัฐ หรือมูลนิธิเอกชน หรือองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้มีการบริจาค เพื่อการคุ้มครองป้องกันมรดกทางวัฒนธรรมและ
ธรรมชาติ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2 ของอนุสัญญา

มาตรา 18
รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา จะต้องให้ความช่วยเหลือแก่กองทุนมรดกโลก ซึ่งได้รับการรณรงค์ให้จัดตั้งขึ้นโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ โดยมีโครงสร้างและวัตถุประสงค์การรวบรวมเงินกองทุน
ตามที่ได้ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 3 ของมาตรา 15

มาตรา 19
รัฐภาคีที่ขอรับความช่วยเหลือระหว่างประเทศสำหรับทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สินที่เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรม หรือมรดกทางธรรมชาติ ที่มีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ซึ่งตั้งอยู่ในขอบเขตอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ พร้อมไปกับคำร้องขอนั้น รัฐภาคีจะต้องจัดเตรียมข้อมูลและเอกสารตามวิธีการที่ระบุไว้ในมาตรา 21 ตลอดจนขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาและตัดสินใจของคณะกรรมการมรดกโลก

มาตรา 20
ตามนัยของข้อบัญญัติในย่อหน้าที่ 2 ของมาตรา 13 ย่อหน้าย่อย (ค) ของมาตรา 22 แ ละมาตรา 23 ความช่วยเหลือระหว่างประเทศที่อนุสัญญาจัดเตรียมไว้ จะจัดสรรให้แต่เฉพาะทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สินที่เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ ที่คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาเห็นชอบ หรือจะเห็นชอบให้อยู่ในบัญชีรายชื่อมรดกโลก ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรา 11 เท่านั้น

มาตรา 21
1. คณะกรรมการมรดกโลก จะต้องกำหนดระเบียบปฏิบัติเพื่อให้การร้องขอความช่วยเหลือระหว่างประเทศของรัฐภาคี มีขอบเขตและสาระสำคัญที่มีรายละเอียดชัดเจนเพียงพอประกอบการพิจารณา ระเบียบปฏิบัตินั้นควรกำหนดวิธีการพิจารณาที่ละเอียดรอบคอบในประเด็นต่างๆ ได้แก่ เหตุผลความจำเป็น ประมาณการค่าใช้จ่าย ระดับความเร่งด่วน และเหตุผลว่าเหตุใดทรัพยากรของ รัฐภาคี (ที่ขอความช่วยเหลือ) จึงไม่เอื้ออำนวยให้สามารถดำเนินการได้ด้วยงบประมาณของตนเอง นอกจากนั้น การร้องขอความช่วยเหลือดังกล่าว จะต้องได้รับการสนับสนุน โดยรายงานของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทุกครั้งเท่าที่เป็นไปได้

2. การร้องขอที่มีเหตุความจำเป็นมาจากการเกิดหายนะรุนแรง หรือภัยพิบัติอันใหญ่หลวงทางธรรมชาติ รวมทั้งระดับความเร่งด่วนของการร้องขอ คณะกรรมการมรดกโลก จะให้ความสำคัญในระดับต้นเพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้จะมีการสำรองงบประมาณฉุกเฉินไว้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเหตุการณ์สุดวิสัยดังกล่าว

3. ก่อนการตัดสินใจมีมติ คณะกรรมการมรดกโลก จะต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและการปรึกษาหารืออย่างละเอียดรอบคอบเท่าที่จำเป็น

มาตรา 22

การจัดสรรงบประมาณการช่วยเหลือจากกองทุนมรดกโลก จะดำเนินการได้ภายใต้กรอบ กิจกรรม ดังนี้

(ก) การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางวิชาการด้านสุนทรียศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ในการคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ การนำเสนอ และการทนุบำรุงรักษามรดกทาง วัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 2 และ 4 ของมาตรา 11 แห่งอนุสัญญา
(ข) การจัดเตรียมผู้เชี่ยวชาญ ช่างเทคนิค และแรงงานที่มีทักษะ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
(ค) การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ชำนาญการเฉพาะด้านในทุกระดับเพื่อการปฏิบัติงานในการจำแนกรายละเอียด การคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์การนำเสนอ และการทนุบำรุงรักษามรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ
(ง) สนับสนุนอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่รัฐภาคีไม่สามารถผลิตได้ หรือไม่สามารถ จัดให้มีได้
(จ) การให้ยืมด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ย ในกรณีที่สามารถใช้คืนได้ใน ระยะยาว
(ฉ) การช่วยเหลือในลักษณะให้เปล่าสำหรับกรณีพิเศษ และเหตุผลเฉพาะ

มาตรา 23
คณะกรรมการมรดกโลก อาจให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศแก่ศูนย์ระดับภูมิภาค หรือศูนย์ระดับโลก ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้ชำนาญการเฉพาะด้านในทุกระดับ เพื่อการปฏิบัติงานในการจำแนกรายละเอียด การคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ การนำเสนอ และการทนุบำรุงรักษามรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ

มาตรา 24
การช่วยเหลือระหว่างประเทศที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ จะต้องนำเสนอรายงานการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นการล่วงหน้า การศึกษาฯ ดังกล่าวจะต้อง นำเสนอแนวทางที่มีเทคนิควิธีที่นำสมัยที่สุดในการคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ การนำเสนอ และการทนุบำรุงรักษามรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ รวมทั้งจะต้องมีความสอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ของอนุสัญญา และมีกลวิธีที่คำนึงถึงสัดส่วนการใช้ทรัพยากรที่จัดหาได้ภายในรัฐภาคีนั้นๆ ด้วย

มาตรา 25
โดยหลักการทั่วไป งบประมาณการช่วยเหลือระหว่างประเทศที่มอบให้แก่รัฐภาคีที่ร้องขอ มีที่มาหลักจากการจัดสรรทรัพยากรที่ระบุไว้ตามแผนงานหรือโครงการ เว้นเสียแต่ทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่เอื้ออำนวยได้กระทำได้เท่านั้น ที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากประชาคมระหว่างประเทศ

มาตรา 26
คณะกรรมการมรดกโลก และรัฐภาคีที่ได้รับผลประโยชน์จากความช่วยเหลือระหว่างประเทศ จะต้องจัดทำรายละเอียดข้อตกลง ที่ระบุเงื่อนไขการปฏิบัติไว้ในแผนงาน หรือโครงการตามขอบเขตที่อนุสัญญาได้กำหนดไว้รวมทั้งเป็นความรับผิดชอบของรัฐภาคีที่ได้รับผลประโยชน์ในการดำเนินการคุ้มครองป้องกัน อนุรักษ์และนำเสนอทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สิน ตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ในข้อตกลง

หมวดที่ 6
แผนงานการศึกษา

มาตรา 27
1. รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา รับที่จะพยายามดำเนินการด้วยวิธีการต่างๆที่เหมาะสม โดยเฉพาะด้านการศึกษาและสารสนเทศ เพื่อส่งเสริมความซาบซึ้งและสำนึกในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1 และ 2 ให้กับประชาชนโดยทั่วไป

2. รัฐภาคีแห่งอนุสัญญารับที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการสื่อสารเผยแพร่อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เป็นอันตรายต่อมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติ ตลอดจนดำเนิน กิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่องตามความในอนุสัญญา

มาตรา 28
รัฐภาคีซึ่งรับความช่วยเหลือระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญา รับที่จะกำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการรับรู้ถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรม และมรดกทางธรรมชาติจนได้รับความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ตลอดจนบทบาทหน้าที่ของความช่วยเหลือระหว่างประเทศ นั้น

หมวดที่ 7
รายงาน

มาตรา 29
1. รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา จะต้องนำเสนอรายงาน ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายและกระบวนการบริหารจัดการ รวมทั้งกิจกรรมต่างๆที่รัฐภาคีได้ดำเนินการ เพื่ออนุวัติตามอนุสัญญา พร้อมทั้งรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายในเงื่อนไขเวลาและรูปแบบ ที่กำหนดต่อที่ประชุมใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

2. รายงานตามย่อหน้า 1 ของมาตรานี้จะถูกนำเสนอ เพื่อคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในวาระแรก

3. คณะกรรมการมรดกโลก จะนำเสนอรายงานของรัฐภาคีในการประชุมใหญ่สมัยสามัญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

หมวดที่ 8

(หมวดสุดท้าย)

มาตรา 30
อนุสัญญาฉบับนี้เขียนขึ้นเป็นภาษาอาราบิก อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสเปน ทั้งห้าภาษามีความเป็นต้นฉบับเท่าเทียมกัน

มาตรา 31
1. อนุสัญญา จะถูกนำเสนอเพื่อให้รัฐสมาชิกขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ให้สัตยาบัน หรือรับรอง หรือภาคียานุวัติ ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในธรรมนูญขององค์การฯ ตามลำดับ

2. หลักฐานการให้สัตยาบัน หรือรับรอง หรือภาคียานุวัติ จะถูกเก็บรักษาไว้ที่ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

มาตรา 32
1. อนุสัญญาฉบับนี้ จะเปิดให้รัฐต่างๆ ซึ่งรวมทั้งรัฐที่มิได้เป็นรัฐสมาชิกขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ พิจารณาเข้าร่วมเป็นภาคี

2. การภาคียานุวัติของรัฐ จะมีผลอย่างเป็นทางการต่อเมื่อได้มีการยื่นหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรต่อ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

มาตรา 33
อนุสัญญาจะมีผลบังคับใช้เมื่อครบระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับหลักฐานการให้สัตยาบัน หรือการรับรอง หรือการภาคียานุวัติ จากประเทศต่างๆ ครบ 20 รัฐ ในกรณีของรัฐที่ยื่น หลักฐานการให้สัตยาบัน การรับรอง หรือ การภาคียานุวัติ ในช่วงระยะเวลาก่อนการมีผลบังคับใช้ ของอนุสัญญา ตามนัยของความในส่วนแรก อนุสัญญา จะมีผลบังคับใช้กับประเทศอื่นๆ เมื่อครบ ระยะเวลา 3 เดือนนับจากการยื่นหลักฐานการให้สัตยาบัน หรือการรับรอง หรือการภาคียานุวัติของรัฐนั้นๆ

มาตรา 34
ข้อบัญญัติต่อไปนี้ จะใช้สำหรับรัฐภาคีในอนุสัญญา ที่มีการปกครองในระบบสหพันธรัฐ หรือประเทศที่มิได้ปกครองโดยระบบรัฐธรรมนูญรวม(a) ในประเด็นที่เกี่ยวกับข้อบัญญัติของอนุสัญญา ซึ่งส่งผลให้มีการดำเนินการต่างๆ เกิดขึ้น ภายใต้ขอบเขตอำนาจตามกฎหมายของรัฐบาลแห่งรัฐ(สหพันธ์) หรือรัฐบาลกลาง พันธะผูกพันที่มี ต่อรัฐบาลแห่งรัฐ(สหพันธ์) หรือรัฐบาลกลาง มีลักษณะเช่นเดียวกับรัฐภาคีที่มิได้มีการปกครองแบบ สหพันธรัฐ(b) ในประเด็นที่เกี่ยวกับข้อบัญญัติของอนุสัญญา ซึ่งส่งผลให้มีการดำเนินการต่างๆ เกิดขึ้น ภายใต้ขอบเขตอำนาจตามกฎหมายแห่งรัฐธรรมนูญของรัฐ(สหพันธ์) หรือรัฐธรรมนูญของจังหวัดหรือรัฐธรรมนูญของมณฑล หรือรัฐธรรมนูญของเขตการปกครอง ซึ่งมิได้มีพันธะผูกพันโดยระบบ รัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐ ในการกำหนดมาตรการทางกฎหมาย รัฐบาลกลางแห่งสหพันธรัฐนั้นๆ ต้องแจ้งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการดำเนินการต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจบริหารกฎหมายของรัฐ(สหพันธ์) หรือจังหวัด หรือมณฑล หรือเขตการปกครองเหล่านั้น ทราบด้วย


มาตรา 35
1. รัฐภาคีแห่งอนุสัญญา มีสิทธิในการบอกเลิกการเป็นสมาชิกในอนุสัญญา

2. การบอกเลิกต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร ยื่นต่อผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

3. การบอกเลิกจะมีผลเมื่อครบระยะเวลา 12 เดือน นับจากวันที่มีหนังสือแจ้งตอบรับการบอกเลิกของรัฐภาคี ทั้งนี้จะไม่มีผลต่อพันธะผูกพันทางการเงินของรัฐภาคีที่บอกเลิก จนกว่าจะถึงวันที่หนังสือบอกเลิกมีผลบังคับใช้

มาตรา 36
ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ จะมีหนังสือเวียนแจ้งแก่รัฐสมาชิกขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ, รัฐที่มิได้เป็นสมาชิกขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ที่ระบุไว้ในมาตรา 32 รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ เกี่ยวกับหลักฐานของรัฐภาคีในการให้สัตยาบัน หรือการรับรองหรือการภาคียานุวัติ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 31 และ 32 และหลักฐานในการบอกเลิกการเป็นสมาชิกในอนุสัญญาของรัฐภาคีตามที่ระบุไว้ในมาตรา 35

มาตรา 37
1. การแก้ไขอนุสัญญา จะกระทำได้ก็แต่โดยที่ประชุมใหญ่ขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ แม้ว่าการแก้ไขนั้น จะมีผลผูกพันเฉพาะรัฐ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของคณะผู้ร่วมการแก้ไขอนุสัญญาก็ตาม

2. หากที่ประชุมใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ เห็นชอบอนุสัญญาฉบับแก้ไข จะโดยทั้งหมดหรือบางส่วนก็ตาม เว้นแต่จะได้มีการดำเนินการเพื่อให้อนุสัญญาฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ไว้ในอีกทางหนึ่งแล้ว อนุสัญญานี้ จะสิ้นสุดลงเพื่อเปิดให้อนุสัญญาฉบับใหม่ มีการดำเนินการตามกระบวนการ การให้สัตยาบัน หรือการรับรอง หรือภาคียานุวัติ และมีผลบังคับใช้ต่อไป

มาตรา 38
โดยอนุโลมตามมาตรา 102 ของกฎบัตรแห่งองค์การสหประชาชาติ อนุสัญญาฉบับนี้ จะได้รับการจดทะเบียนไว้ที่สำนักเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ โดยการร้องขอของผู้อำนวยการใหญ่ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ อนุสัญญา กระทำที่กรุงปารีส ในวันที่ยี่สิบสามของเดือนพฤศจิกายน คริสตศักราชหนึ่งพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสอง ด้วยต้นฉบับดั้งเดิม แท้จริงจำนวน 2 ชุด ที่ลงนามโดย ประธานการประชุมใหญ่สมัยสามัญครั้งที่ 17 ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ และผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ โดยจะได้รับการเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุของ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ส่วนสำเนาฉบับจริงที่มีการ รับรองอย่างเป็นทางการ จะถูกส่งไปยังรัฐภาคีทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในมาตรา 31 และ 32 และ องค์การสหประชาชาติ
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Tue Aug 17, 2010 3:06 pm

ฉลาม wrote:ใครมีลิ้งค์ บทความเกี่ยวกับเขาพระวิหาร ฝากไว้ในกระทู้นี้แบบรวมมิตร น่าจะดีไม่น้อย


เอามาแปะให้ผู้สนใจอีก 2 ลิงค์ค่ะ (จะได้ช่วยๆกันงง :mrgreen: )
เป็นมุมมองผ่านกฎหมายระหว่างประเทศของ 2 ท่าน

No.1
http://www.geozigzag.com/pdf/66.pdf
คดีปราสาทพระวิหาร : มุมมองกฎหมายระหว่างประเทศ
ผู้เขียน : ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
เจ้าของ : โครงการความมั่นคงศึกษา (เอกสาร 48 หน้า)
เครดิต : http://www.geozigzag.com


No.2
http://news.sanook.com/scoop/scoop_293857.php

เขาพระวิหาร ผ่านมุมมองกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีการระงับข้อพิพาท
มติชน วัน อังคาร ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551 00:05 น.

โดย สมิตา หมวดทอง MA. International Boundaries, University of Durham, UK MA. Speech Communication, Portland State University, US E-mail : nuienglish@hotmail.com

ในปี 1962 ศาลโลกตัดสินให้อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาในขณะที่ประเทศไทย เป็นฝ่ายแพ้คดี เนื่องจากการเพิกเฉย (acquiescence) ไม่คัดค้านแผนที่ของฝรั่งเศสที่ระบุให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของ กัมพูชาเหนือพื้นที่ดังกล่าว

45 ปีต่อมา ประเด็นเขาพระวิหารได้กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอีกครั้ง หลังอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชา แม้อำนาจอธิปไตยเหนือตัวปราสาทจะเป็นที่ยุติ

แต่ยังคงมีข้อกังขาว่าประเทศไทยจะเสียอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทับซ้อน ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดในปี 1962 หรือไม่

บทเรียนจากคดีปราสาทพระวิหาร

ประเด็นเขตอำนาจของศาลโลก

ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศ (contentious cases) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีบทบาทในการเป็นผู้ตัดสินได้ก็ต่อเมื่อ

1.รัฐจะต้องแสดงความยินยอมโดยการยื่นเป็นข้อตกลงพิเศษ (special agreement หรือ compromise) ตาม Article 36 (1) ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

2.สนธิสัญญาระบุให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีเขตอำนาจในการระงับข้อพิพาท อันเกิดจากการตีความและปฏิบัติตามสนธิสัญญานั้น (compromissory clause) ตาม Artcle 36 (1) ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

3.รัฐแถลงยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งเป็นการยอมรับเขตอำนาจโดยบังคับ (compulsory jurisdiction) ไม่ต้องยื่นข้อตกลงพิเศษตามข้อหนึ่ง เพื่อแสดงความยอมรับเขตอำนาจของศาลอีกแล้ว ตาม Article 36 (2) ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

Article 36 ในธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแสดงให้เห็นว่า รัฐสามารถเลือกที่จะใช้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นวิธีระงับข้อพิพาทหรือ ไม่ก็ได้

แต่การจะนำคดีขึ้นสู่ศาลจะต้องตั้งอยู่บนความยินยอม (consent) ของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย

และคำตัดสินของศาลถือเป็นที่สิ้นสุด ไม่มีการอุทธรณ์ตาม Article 60

ดังนั้น หากรัฐประสงค์จะระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอื่น รัฐก็อาจปฏิเสธไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลได้

ในคดีปราสาทพระวิหาร ปี ค.ศ.1962 ประเทศไทยได้ทำข้อคัดค้านในชั้นต้น (preliminary objection) ว่าศาลไม่มีเขตอำนาจพิพากษาเหนือคดีได้ ขณะที่กัมพูชาอ้างว่าไทยได้ยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลล่วงหน้าตาม Article 36(2)

ไทยโต้แย้งข้ออ้างของกัมพูชาโดยยกคำตัดสินของศาล เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 1959 ในคดี Aerial Case of 27 July 1955 ระหว่างอิสราเอลและบัลแกเรียที่ระบุว่า ศาลไม่มีเขตอำนาจที่จะพิพากษาคดี ก่อนจะมีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาล โลกปัจจุบัน (International Court of Justice หรือ ICJ) ขึ้นมาทดแทนองค์การสันนิบาตชาติและศาลโลกเดิม (Permanent Court of International Justice หรือ PCIJ)

ประเทศบัลแกเรียได้แถลงยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลโลกเดิมในปี 1921 อิสราเอลจึงอ้างว่าการแถลงยอมรับดังกล่าวนั้น หมายถึงการยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลโลกปัจจุบันที่ตั้งขึ้นมาทดแทนด้วยตาม Article 36(5) ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

ในท้ายที่สุดศาลปฏิเสธคำกล่าวอ้างของอิสราเอลและยืนตามข้อคัดค้านในชั้นต้น ของบัลแกเรีย ที่ว่าศาลไม่มีเขตอำนาจในการตัดสินด้วยมูลเหตุที่ว่า คำแถลงยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลโลกเดิมจะสามารถสืบทอดสู่ศาลโลกปัจจุบัน ตาม Article 36 (5) ได้ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นลงนามเป็นภาคีของศาลโลกปัจจุบันในระยะเวลาก่อน หรือ ณ วันที่ศาลโลกเดิมสิ้นสุด

ในคดีดังกล่าว ประเทศบัลแกเรียตกลงเป็นภาคีของศาลโลกปัจจุบันในวันที่ 14 ธันวาคม 1955 นับเป็นเวลา 9 ปี ภายหลังการสิ้นสุดของศาลโลกเดิม คำแถลงยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลโลกเดิมจึงถือว่าสิ้นสภาพไปตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 1946 ซึ่งเป็นวันที่ศาลโลกเดิมยุติบทบาทลง

ตามคำคัดค้านในชั้นต้นของคดีปราสาทพระวิหาร ประเทศไทยอ้างว่าตนอยู่ในสถานะเดียวกันกับบัลแกเรีย ไทยตกลงเป็นภาคีของศาลโลกปัจจุบันในวันที่ 16 ธันวาคม 1946 เป็นเวลา 8 เดือนหลังการสิ้นสุดของศาลโลกเดิม จึงควรถือว่าคำแถลงยอมรับเขตอำนาจของศาลสิ้นสภาพไปในวันที่ศาลโลกเดิมยุติ บทบาทเช่นเดียวกัน

ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยประกาศต่ออายุเพื่อยอมรับเขตอำนาจของศาลต่อมาในวันที่ 20 พฤษภาคม 1950 จึงถือว่าไม่มีผล เพราะเป็นการต่ออายุสิ่งที่สิ้นสภาพไปแล้ว

ในกรณีนี้ ศาลปฏิเสธข้อคัดค้านข้างต้นของไทย โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งเจตนา ทั้งนี้ เพราะประเทศไทย ณ เวลานั้นตระหนักดีว่าศาลโลกเดิมได้สิ้นสุดลงไปแล้วตั้งแต่ปี 1946 จึงน่าเชื่อได้ว่าคำแถลงต่ออายุปี 1950 ไม่สามารถตีความเป็นอื่นใดไปได้นอกจากยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลโลก ปัจจุบันซึ่งปรากฏอยู่ในขณะนั้น

การยอมรับเขตอำนาจของศาลนำไปสู่การพิจารณาความและความสูญเสียของฝ่ายไทยในที่สุด

เป็นไปได้ว่าหากไทยสามารถเลือกใช้วิธีอื่นๆ ในการระงับข้อพิพาท ประเทศก็น่าจะได้รับประโยชน์มากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมิได้ต่ออายุการแถลงยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลอีกภายหลังคดี ปราสาทพระวิหาร คู่กรณีจึงไม่สามารถอ้างเขตอำนาจของศาลในส่วนนี้ได้อีกแล้ว หากจะนำคดีอธิปไตยเหนือพื้นที่ทับซ้อนขึ้นสู่ศาลโลก

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง กัมพูชาไม่สามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลฝ่ายเดียวได้ แต่ต้องอาศัยความยินยอมของฝ่ายไทยซึ่งจัดทำขึ้นเป็นข้อตกลงพิเศษด้วย

การระงับข้อพิพาทในประเทศอื่นๆ

ประเด็นการแย่งชิงอธิปไตยเหนือพื้นที่ทับซ้อนไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปแอฟริกา ซึ่งใช้หลักฐานทางพรมแดนที่ประเทศผู้ล่าอาณานิคมทิ้งไว้หลังจากรัฐต่างๆ ในแอฟริกาได้รับเอกราช พรมแดนเหล่านั้นได้รับการกำหนดไว้อย่างคร่าวๆ ไม่สัมพันธ์กับสภาพทางภูมิศาสตร์ หรืออาจไม่มีหลักฐานระบุไว้เลย

ในการนี้ ประเทศจึงอาจระงับข้อพิพาทโดยเลือกใช้วิธีทางการทูตเพื่อให้เกิดผลซึ่งทั้ง สองฝ่ายพอใจ (win-win) แทนที่จะปล่อยให้เป็นสถานการณ์ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งได้แต่อีกฝ่ายหนึ่งเสีย (zero-sum)

บางประเทศใช้วิธีทางศาล ซึ่งแม้ในหลักการจะมีผลผูกพันและเป็นที่สิ้นสุด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดการันตีได้ว่าประเทศจะปฏิบัติตามคำตัดสิน

ดังเช่น คดีข้อพิพาทพรมแดนระหว่างไนจีเรียและแคเมอรูน ตามที่ Srulevitch (2004) ได้เขียนไว้ในบทความ Non-Compliance with International Court Of Justice (การไม่ปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลก)

บางประเทศเลือกระงับข้อพิพาทโดยใช้กำลัง เช่น ประเทศโมร็อกโกใช้กำลังทหารเพื่อสนับสนุนการอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน Western Sahara การใช้กำลังทหารเป็นการละเมิด Article2(4) ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ทั้งยังนำไปสู่การปฏิเสธผลทางกฎหมายที่เกิดขึ้นรวมถึงการคว่ำบาตรทั้งทาง เศรษฐกิจและการเมืองต่อประเทศผู้ใช้กำลัง เว้นแต่ว่าการใช้กำลังนั้นจะเป็นไปเพื่อการป้องกันตนเองหรือเป็นการใช้กำลัง ภายใต้การอนุมัติของ Security Council

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของประชาคมโลกในหลายกรณีก็ยากที่จะหาเหตุผลทางกฎหมายมารองรับ เช่น นานาชาติยอมรับการที่อินเดียใช้กำลังบุกยึดเมือง Goa ภายใต้การปกครองของโปรตุเกสในปี 1961

หรือแม้แต่การยอมรับ ไม่คัดค้านการใช้กำลังทหารของสหรัฐอเมริกาในโคโซโวและในอิรัก โดยปราศจากการอนุมัติของ Security Council จนนำไปสู่การยอมรับผลทางกฎหมายของการกระทำที่อาจไม่ถูกต้อง (ex facto ius oritur) เกิดภาวะไร้ระเบียบและสนับสนุนให้รัฐต่างใช้กำลังตามใจตน

ปฏิกิริยาและท่าทีของประชาคมโลกต่อรัฐหนึ่งรัฐใดขึ้นอยู่กับสถานะอำนาจการ ต่อรอง และบทบาทในเวทีการเมืองระหว่างประเทศของรัฐนั้นอีกด้วย

ดังนั้น การทูต การเจรจา ศิลปะการต่อรอง และการทหาร จึงถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญแต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือเป้าหมาย หากประเทศรวมถึงผู้ปฏิบัติราชการยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะปกป้องผลประโยชน์ ของชาติแล้ว ก็ย่อมจะพัฒนา สร้างสรรค์วิธีการอันจะนำไปสู่การบรรลุจุดมุ่งหมายในที่สุด
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 4:12 pm

ได้รับข้อมูลเป็นบทความเรื่อง "เหตุผลของคนแพ้ที่ฟังไม่ขึ้น" (คดีปราสาทพระวิหาร) ของ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

บทความค่อนข้างโจมตีอาจารย์อาวุโสหลายท่าน อาจโดนข้อหาไม่รักชาติเอาง่าย ๆ เลยไม่อยากนำมาลง ใครอยากอ่าน ลองๆ เสิร์ช ดู น่าจะเจอ

สรุปง่ายๆ ว่า หากเขมรนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้ง ไทยก็แพ้ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ ที่เคยต่อสู้แล้วแพ้มาก่อน โดยเฉพาะเรื่อง แผนที่ฝรั่งเศส

หากพูดไปก็ขัดใจกันเปล่า ๆ
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Tue Aug 17, 2010 6:01 pm

ฉลาม wrote:ได้รับข้อมูลเป็นบทความเรื่อง "เหตุผลของคนแพ้ที่ฟังไม่ขึ้น" (คดีปราสาทพระวิหาร) ของ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

บทความค่อนข้างโจมตีอาจารย์อาวุโสหลายท่าน อาจโดนข้อหาไม่รักชาติเอาง่าย ๆ เลยไม่อยากนำมาลง ใครอยากอ่าน ลองๆ เสิร์ช ดู น่าจะเจอ

สรุปง่ายๆ ว่า หากเขมรนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้ง ไทยก็แพ้ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ ที่เคยต่อสู้แล้วแพ้มาก่อน โดยเฉพาะเรื่อง แผนที่ฝรั่งเศส

หากพูดไปก็ขัดใจกันเปล่า ๆ


อ่านดูแล้ว ก็ถูกแล้วนี่คะ..ที่บอกว่าสู้แบบเดิม ด้วยเหตุผลเดิมๆ เราก็แพ้เหมือนเดิม
แต่โดยส่วนตัวคิดว่า ทุกท่านที่ต่อสู้คดีนี้ ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ในภาวะการณ์ที่ยากลำบากครั้งนั้น
เพราะมีความไม่ชอบธรรมหลายเรื่อง ทั้งความฉ้อฉลของฝรั่งเศส ทั้งมาตรฐานการวินิจฉัยคดีของศาลโลก และความบกพร่องไม่ทันเล่ห์ของเรา แต่เราก็เคารพคำตัดสิน ในเมื่อยังไม่วินิจฉัยเส้นเขตแดนและความถูกต้องของแผนที่ เราก็ถือว่าเรายังมีสิทธิ์อยู่โดยจะใช้การเจรจาทวิภาคีเป็นหลัก อย่างเช่นตามกรอบการเจรจา MOU 43 / ข้อเขียนของนักกฎหมายเหล่านั้น ช่วยให้รู้ว่า เรายังมีสิทธิ์ต่อสู้อยู่ แต่ไม่ใช่ในแบบเดิมๆ

หรือเราในฐานะคนไทย จะตีความยกให้เขาไปเลยดี โดยไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษา
ทำหน้าที่วินิจฉัยสิ่งที่ศาลโลกละเว้นไว้ในครั้งก่อน ใ้ห้เป็นประโยชน์แก่คู่กรณีไปเลย เพื่อความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี!

เคยคิดเหมือนกันนะคะว่า ทำไมผู้พิพากษาตัดสินออกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้?
ถ้าเห็นว่ากัมพูชาและฝรั่งเศสเป็นฝ่ายถูก ก็น่าจะยกให้ไปเลย จะได้จบเรื่องจบราวไป
ไม่ควรวางระเบิดเวลาไว้อย่างนี้ เพราะคงไม่มีประเทศใดในโลกที่ได้รับคำตัดสินแบบนี้แล้วจะไม่ไปพิพาทกันต่ออีก
แต่อ่านดูบทความของคุณประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช ในตอนท้ายแล้วพบว่า..

Robert Jennings อดีตผู้พิพากษาศาลโลกที่เีคยกล่าวว่า..
คำพิพากษาของศาลโลกมิได้แก้ไขข้อพิพาทได้ทั้งหมด หวังว่าในอนาคต ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาจะหาหนทางในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนด้วยสันติวิธี เพื่อทั้งสองประเทศในฐานะประเทศเพื่อนบ้านจะได้อยู่ด้วยฉันท์มิตรต่อไป

เรายังมีโอกาสใช่หรือไม่?

เราอาจจะตกลงกันได้หรือให้เป็น "พื้นที่พัฒนาร่วม" JDA (Joint Development Area) โดยใช้หลักการแบ่งผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมเท่าๆกัน ในนามสองประเทศ (win-win) / กรณีมรดกโลกปราสาทพระวิหาร กัมพูชา-ไทย (win-win) คือขึ้นทะเบียนร่วม ไม่ใช่นำไปรวม เพราะการนำไปรวม ในที่สุดแล้วอาจได้ผลไม่ต่างจากการเสียสิทธิ์ในดินแดนมากนัก เพราะ ICC สามารถถือกำเนิดได้ตลอดเวลาภายใต้การดูแลของมรดกโลก

น่าแปลกที่พวกรักสันติภาพ รักเพื่อนบ้าน ไม่คลั่งชาติ อุดมด้วยเหตุผล กลับไม่สนใจที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิเหล่านี้ของประเทศ แถมยังตั้งข้อจับผิด วิพากษ์วิจารณ์แบบไม่เป็นมิตรอยู่บ่อยๆ

ดิฉันไม่คิดว่าตัวเองคลั่งชาติ หรือชาตินิยมสุดขอบเลยสักนิด (หรือถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงไม่แคร์)
แต่เท่าที่รู้ตัว ดิฉันเป็นคนไทย ก็ต้องสนับสนุนการรักษาสิทธิของประเทศในทางที่เหมาะสม ก็เท่านั้น
Last edited by Jseventh on Tue Aug 17, 2010 6:10 pm, edited 1 time in total.
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Robert De Niro » Tue Aug 17, 2010 6:03 pm

ฉลาม wrote:ได้รับข้อมูลเป็นบทความเรื่อง "เหตุผลของคนแพ้ที่ฟังไม่ขึ้น" (คดีปราสาทพระวิหาร) ของ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

บทความค่อนข้างโจมตีอาจารย์อาวุโสหลายท่าน อาจโดนข้อหาไม่รักชาติเอาง่าย ๆ เลยไม่อยากนำมาลง ใครอยากอ่าน ลองๆ เสิร์ช ดู น่าจะเจอ

สรุปง่ายๆ ว่า หากเขมรนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้ง ไทยก็แพ้ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ ที่เคยต่อสู้แล้วแพ้มาก่อน โดยเฉพาะเรื่อง แผนที่ฝรั่งเศส

หากพูดไปก็ขัดใจกันเปล่า ๆ


ก่อนจะอ้างบทความของใคร อย่าละเลยที่จะใส่ใจปูมหลัง ตลอดจนผลงานในอดีต
ของผู้เขียนบทความด้วยนะครับ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี มีบทความไปลงบ่อยๆใน ฟ้าเดียวกัน ตลอดจนประชาไท
คนคนนี้เคยเขียน "ภูมิซรอล (ตอนวิหารแห่งความเขลา)" ต่อต้านการเปลี่ยนชื่อ
หมู่บ้านในเขตพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร ให้มีความเป็นไทยมากขึ้น

จำได้ไหมเร็วๆนี้ ฮุนเซ็น พูดว่าอย่างไรเรื่องการแบ่งเขตแดน นั่นก็คือไอเดียเดียวกัน
นั่นแหละครับ และถ้าจะเอาตามนั้น ประเทศไทยไม่ได้หายไปแค่ปราสาทเขาพระวิหาร
หรอกครับ แต่จะหายไปหลายจังหวัดเลยล่ะ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี คนคนนี้เค้าเดินเอียงๆ นะครับ :D
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 6:15 pm

อ่านบทความ ดร.โกร่ง ก็รับทราบข้อมูลชั้นที่หนึ่ง จาก อาจารย์ มรว.เสนีย์ ปราโมช ท่านก็บอกแพ้แต่ต้องสู้เต็มที่

ประเด็น แผนที่ ในวิกิพีเดีย ก็มีเนื้อหาทำนองว่า " ไม่ยอมรับ 1 : 200,000 มันเป็นไปได้ยาก" เพราะปักปันกับลาวก็อาศัย ทั้งแผนที่ และ เอกสารในอนุสัญญา 1904-1907

ก็ระวาง Khong นั่นไง จากอุบลราชธานี น้ำยืน นาจะหลวย บุณทริก ไปเกือบๆ ถึง จำปาศักดิ์ ช่วงนี้ ใช้แผนที่ตามสันปันน้ำ และ ระวาง Khong มาตราส่วน 1 : 200,000 ทำไปได้กว่า 80 % แล้วมั๊ง

เพราะมันเป็นข้อตกลงติดกันมาแบบ ไทย/อินโดจีน จะไปทำลักลั่น หลายมาตรฐานก็ลำบาก ทางที่ดี มี MOU 2543 ค่อยเจรจากันไป ได้แค่ไหนก็ดูเอาว่า ได้เปรียบ เสียเปรียบอะไร

บ้านรั้วติดกัน โฉนดติดกันยังมีปัญหากันได้ สอบเขตทีไรก็ต้องอลุ่มอหล่วยกันไป ไม่งั้นไม่จบ ต้องไปที่ศาล เจ้าหน้าที่ที่ดินยังตัดสินให้ไม่ได้ อย่างมากก็ไกล่เกลี่ย ไม่ให้คดีรกศาล

หรือไทยอยากให้มีคนมาไกล่เกลี่ย ยังงั้นหรือเปล่า
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Next

Return to สภากาแฟ



cron