ผลกำไรโดยรวมสหพัฒนพิบูลย์ลดลงจริงอ่ะ โตไม่ถึงเป้าตั้งแต่ช่วงเสื้อแดงปิดห้างแล้ว
แต่.... อย่าลืมว่าสหพัฒน์มีสินค้าในเครือหลายอย่าง ค่าเงินที่แข็งขึ้น ทำให้ส่งออกจำนวนเท่าเดิม แต่ได้เงินน้อยลง ฯลฯ
แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่า
ผลประกอบการของมาม่า โตเอาๆๆๆๆๆ
มาดูอะไรดีก่า อันนี้ที่เค้า
ทุ่มงบวิจัยตลาดจริงๆเมื่อเดือน พค. ที่ผ่านมา
http://www.arip.co.th/businessnews.php?id=402983ค่ายสหพัฒนพิบูล ซึ่งถือเป็นดิสตริบิวเตอร์รายใหญ่รายหนึ่งและดูแลด้านการตลาดโดยตรงของแบรนด์มาม่า ได้หันมารับมือด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดยังคงเน้นโปรโมชั่นใหม่ คู่มิวสิคมาร์เก็ตติ้ง และการออกรสชาติใหม่อีก 2-3 รสภายในปีนี้ คาดเติบโต 3-5 เปอร์เซ็นต์ หลังจากสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งอย่างชัดเจนเป็น ครั้งแรก
นางเพ็ญนภา ธนสารศิลป์ กรรมการบริษัทสหพัฒนพิบูล (มหาชน) จำกัด เปิดเผยกับ บิสิเนสไทย ว่า ปัจจุบันมาม่ามีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 58 เปอร์เซ็นต์ของตลาดรวม และเป็นผู้นำ เมื่อตลาดขยายใหญ่ขึ้นหรือคู่แข่งได้ใช้กลยุทธ์อย่างหนักแล้วสามารถเพิ่มมาร์เก็ตแชร์จากขั้นต่ำขึ้นมานั้น ง่ายกว่า ขณะที่มาม่าเป็นเหมือนเค้กก้อนใหญ่ ผู้ประกอบการที่เข้ามา หรือ เมื่อบริษัทได้ออกสินค้าใหม่ก็ต้องกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาดของตัวเองเช่นกันเป็นเรื่องปกติ และเป็นธรรมดาของแบรนด์ที่เป็นลีดเดอร์
“ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้ เค้าเอาไปบ้างเราเอามาบ้าง 1-2 เปอร์เซ็นต์ แต่ระยะยาวในสัดส่วนนี้โดยรวม ตัวเองเรายังโตก็โอเคแล้ว เพราะมีมาร์เก็ตแชร์ สำหรับมาม่าแล้ว เติบโตปีละ 3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ระดับดีเพราะฐานตลาดของมาม่ามีขนาดใหญ่”
เพ็ญนภา กล่าวว่า การเข้ามาของคู่แข่ง ที่ประสบความสำเร็จมีเพียงรสชาติเดียว และเป็นรสกลาง และไม่ใช่ทุกตัว และเป็นการเน้นทำตลาดด้านโปรโมชั่นและการทุ่มเงินจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ด้านการตลาดบริษัทกำหนด สำหรับปีนี้กำหนดออกรสชาติใหม่ 2-3 รสชาติ ซึ่งถือว่าไม่มากจนเกินไป ขณะเดียวกันต้องการโฟกัสให้รสชาติหมี่หยกที่เพิ่งออกสู่ตลาดเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เส้นสีเขียวแทนสีเหลืองเดิมและต้องการโชว์ให้ผู้บริโภคที่เคยรับประทานหมี่หยกตามร้านสุกี้ ร้านก๋วยเตี๋ยว สามารถทำเองได้ด้วยตัวเอง ในแง่ยอดขายเบื้องต้นไม่ได้มุ่งหวัง ทำยอดขายจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นตลาดเฉพาะมากและมีมูลค่าตลาดไม่สูงนัก แต่ต้องการให้เป็น ทางเลือกใหม่แก่ผู้บริโภคที่เบื่อรสชาติจัดของรสเดิม
ด้านกิจกรรม ยังคงเน้นแนวทางเดิม ที่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมิวสิคมาร์เก็ตติ้ง และเน้นการหาวิธิการใหม่ที่แตกต่างจากคู่แข่ง และยังคงเน้นโปรโมชั่น ที่ไม่กระทบต่อสินค้า อาทิ กรณีแคมเปญมาม่าแจกทอง ไม่ได้แคมเปญเพิ่มยอดขาย แต่เป็นการตอบแทนผู้บริโภคและได้ส่งออกมาเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก สินค้ามาม่าเป็นแมสมากๆ ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทุกเพศ ทุกวัย โดยในแต่ละปีแจกทองคำมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาทสำหรับ ปีนี้ได้ปรับให้ถี่ขึ้น ทุกอาทิตย์ในรายการชิงร้อยชิงล้าน จากเดิมเดือนละครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นมา
สหพัฒนฯ หารือ เอซี นีลเส็น ปรับมาร์เก็ตแชร์ตามจริง
สำหรับตัวเลขมาเก็ตแชร์ของมาม่า เพ็บนภา เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังหารือกับทางเอซี นีลเส็น ผู้ทำวิจัยตลาด เรื่องการเพิ่มขนาดตัวอย่างวิจัยของช่องทางจำหน่ายที่เป็น Traditional Trade : TT (ร้านโชห่วย)กับ Modern Trade : MT (คอนวีเนียนสโตร์ ห้างสรรพสินค้า ดิสเคาท์สโตร์ ฯลฯ) ของมาม่าและแบรนด์อื่นให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดที่แท้จริง
เนื่องจากมาม่า จำหน่ายสินค้ากว่า 8 0เปอร์เซ็นต์ให้กับ Traditional Trade ไม่ได้เน้นหนักที่ MT อีกทั้ง มาม่ามียอดขายเป็นวอลุ่มใหญ่ ถ้าไปทำอะไร ( จัดรายการส่งเสริมตลาด, โปรโมชั่นลด แลก แจก แถม : เป็นคู่แข่งทำอยู่) กับ MT ก็จะส่งผลกระทบต่อ TT ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ ของสหพัฒน์ ซึ่งไม่ใช่นโยบายของบริษัท และไม่ตรงกับคู่แข่ง ดังนั้น มาร์เก็ตแชร์ที่ออกมาจึงมีส่วนสัมพันธ์ สมมติในตลาดเป็น 80:20 แต่เวลาไปแซมปลิ้งแล้วเน้นหนักที่ MT 4-50 เปอร์เซ็นต์ทำให้ข้อมูลไม่ตรงกัน
นางเพ็ญนภา อธิบายว่า ในผลวิจัยนั้น ได้นำมาเป็นไกด์ไลน์และรู้ว่า ถ้ามีการทำอะไรที่ MT มาร์เก็ตแชร์จะเห็นชัดเจน และหากทำบริษัทก็ได้ แต่ทำไม่ได้มาตลอด เพราะจะมีปัญหากับ TT 80 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันขนาดบริษัทไม่ทำอะไร บางครั้ง MT เช่น แม็คโคร โลตัส เอามาม่าไปลดราคาก็สะเทือน ทั้งที่เราไม่ได้ให้ นี่คือหลักการ มันเป็นกลไกของตลาดที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถพูดได้ชัด นี่คือ เรื่องลึก ไม่ได้แก้ตัว แต่มันเป็นความจริง ตอนนี้จึงไม่อยากพูดอะไรมาก อยากให้รอดูผลอีกทีจะเห็นภาพ
“เวลาพูดถึงมาร์เก็ตแชร์ มักเอาตัวเลขของเอซี นีลเส็นมาวัด แต่ตัวเลขแชร์นี้ มันหนักตรงที่ช่องทางจำหน่ายหลัก คือ MT มากกว่า TT เลยกลายเป็นว่า ตัวเลขมาร์เก็ตแชร์ของมาม่าลดลงไปมาก”
ทางด้าน เจ้าหน้าที่วิจัยด้านการตลาด บริษัทเอซี นีลเส็น กล่าวว่า การวิจัยการตลาด โดยหลักการแล้วบริษัทได้ยึดข้อเท็จจริงของจำนวนช่องทางจำหน่ายสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศทั้ง 2 แบบ แล้วนำมาซุ่มวิจัย ว่าแต่ละแบรนด์ขายสินค้าผ่านช่องทางใด จำนวนเท่าใดบ้าง แล้วนำมาคำนวณเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ดังนั้นตัวเลขที่เปิดเผยออกมาจึงเป็นตัวเลขที่แท้จริง และไม่สามารถเพิ่มหรือลด ช่องทางใดช่องทางหนึ่งมาก หรือ น้อย ดังนั้นตัวเลขที่ออก
ต่อมา เดือนมิถุนายน
http://www.ryt9.com/s/tpd/923021"สหพัฒน์" โกย "มาม่า" รวย เคอร์ฟิวดันยอดขายพุ่ง 50% สูงสุดในรอบ 20 ปีสยามสแควร์ - "สหพัฒน์" โกย "มาม่า" รวย เคอร์ฟิวดันยอดขายพุ่ง 50% สูงสุดในรอบ 20 ปี คุยบอลโลกโกยแล้ว 20% คนนอนดึกแห่กินคัพ มั่นใจสิ้นปีแชร์ทะลุ 55%
นายสุรัตน์ เกตุรัตนกุล ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ 2 บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความวุ่นวายทางการเมืองโดยเฉพาะช่วงการประกาศเคอร์ฟิวกว่า 1 สัปดาห์ในเดือน พ.ค. ส่งผลให้ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา "มาม่า" มีอัตราเติบโตดีมาก เนื่องจากผู้บริโภคซื้อกักตุนสินค้าโดยยอดขายในเดือน พ.ค. เติบโตสูงถึง 50% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ดำเนินธุรกิจ ส่วนเดือน มิ.ย.ซึ่งมีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ล่าสุดมียอดขายมาม่าคัพเพิ่มขึ้น 20% เพราะรับประทานสะดวก
ทั้งนี้ การที่มาม่าเป็นสินค้าที่รับประทานง่ายและราคาไม่แพงจึงถูกนำไปเป็นดัชนีชี้วัดกำลังซื้อ ซึ่งการวิจัยพบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะขายดีและเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคนึกถึงติดอยู่ 1 ใน 2 อันดับต้นๆ ควบคู่กับน้ำดื่ม โดยช่วงเวลาที่นึกถึงมี 2 ช่วงเมื่อเกิดภัยทางธรรมชาติ คือไฟไหม้และน้ำท่วม เพราะมาม่ากินได้ทั้งดิบและสุก เช่นเดียวกับการเกิดความวุ่นวายทางการเมือง เมื่อผู้บริโภคไม่อยากออกไปไหน สินค้าที่จำเป็นมากที่สุดก็คือ มาม่า
สำหรับภาพรวม 5 เดือน เติบโตตามเป้า 8% และคาดว่าสิ้นปีจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 53% เป็น 55% โดยปัจจุบันมาม่าสามารถสร้างรายได้เป็นสัดส่วน 30% จากยอดขายสิ้นปีนี้ที่ตั้งเป้าไว้ 24,000 ล้านบาท เติบโต 17% ส่วนภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 5% จากมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
เครือสหพัฒน์ ตั้งเป้ารายได้รวมมาม่าปี53ที่ 7-8 พันลบ.โต 8%จากปีก่อนhttp://www.ryt9.com/s/iq05/922910สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2553 16:39:10 น.
นายสุรัตน์ เกตุรัตนกุล ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ.สหพัฒนพิบูล (SPC) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์มาม่าโต 8% คิดเป็นรายได้ทุกผลิตภัณฑ์ 7-8 พันล้านบาท โดยมาจากสินค้าใหม่และการทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ซึ่งเฉพาะในเดือนพ.ค.ที่มีปัญหาการเมืองยอดขายมาม่าคัพทำสถิติสูงสุดเพิ่มขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวและต่อเนื่องมายังฟุตบอลโลกทำให้มีการสต็อกมาม่าจำนวนมาก
ขณะที่ในเดือนมิ.ย.นี้ยังตั้งเป้าว่าจะโตอีก 20% จากการที่มีฟุตบอลโลก และส่งผลให้ยอดขายไตรมาส 2/53 โต 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและดีกว่าไตรมาส 1/53 เล็กน้อย แต่ปกติช่วงไตรมาส 2 เป็นไฮซีซั่นอยู่แล้ว
นายสุรัตน์ กล่าวว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรามีการประกาศเคอร์ฟิวส์ยิ่งทำให้ขายดี และไตรมาส 4 เป็นอีกช่วงที่เป็นไฮซีซั่นด้วยเพราะเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายสูง
สำหรับในครึ่งปีหลัง มีแผนจะออกรสชาติใหม่เพิ่มอีก 1 รสชาติ หลังจากครึ่งปีแรกออกรสชาติใหม่ 1 รสชาติ คือ เย็นตาโฟต้มยำหม้อไฟ รวมทั้งตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาด 55% จาก 53% ทั้งนี้คงยังไม่มีการปรับเป้าหมายรายได้เพราะถือว่าเป้าหมายที่ตั้งอยู่ในระดับสูงแล้ว
อนึ่ง รายได้ของมาม่าคิดเป็น 30% จากรายได้รวมของกลุ่มสหพัฒน์ที่ปีนี้มีเป้าหมาย รายได้ 2.4 หมื่นล้านบาท และภาพรวมธุรกิจมาม่าคาดว่าโต 5%
อันนี้ข่าวล่าสุดของมาม่า ช่วงน้ำท่วม
TF เผยน้ำท่วมดันยอดขายมาม่าQ4 โต 10%จาก Q3 แต่ต้นทุนพุ่งทำกำไรหดhttp://www.ryt9.com/s/iq05/1018236สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2553 10:29:13 น.
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ รองประธานกรรมการ บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟู้ดส์(TF) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป"มาม่า"กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ของประเทศในขณะนี้ ทำให้ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป"มาม่า"โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/53 เติบโตขึ้นถึง 10% จากไตรมาส 3/53 เนื่องจากประชาชนมักจะซื้อตุนมาม่าไว้ เพราะเกรงจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และยังนิยมซื้อมาม่าไปบริจาคให้กับผู้ประสบภัยด้วย
ทั้งนี้ ในเดือน ต.ค.53 ยอดขาย"มาม่า"แบบซองเติบโตกว่า 10% หรือมาอยู่ที่ประมาณ 6 แสนหีบ(หีบละ 180 ซอง) สูงขึ้นจากยอดขายปกติที่เฉลี่ยเดือนละ 5.5 แสนหีบ และในเดือน พ.ย.-ธ.ค.553 ก็คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทจะทำการโปรโมชั่น โดยเฉพาะแบบถ้วย ด้วยการแจกโทรศัพท์ไอโฟน 4
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าแม้ยอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่ในแง่ของกำไรสุทธิในไตรมาส 4/53 จะลดลงจากไตรมาส 3/53 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสำคัญมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ แป้งสาลี น้ำมันปาล์ม และ พริกแดง เป็นต้น
"ไตรมาส 4 ยอดขายดีกว่าเยอะ ประมาณ 10% แต่กำไรกลับแย่กว่า เพราะต้นทุนสูงขึ้น"นายพิพัฒ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายพิพัฒ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทพยายามผลิตสินค้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทันกันความต้องการ โดยในดือนต.ค.ที่ผ่านมา กำลังการผลิต"มาม่า"ชนิดซองเพิ่มขึ้น 15% เป็น 7 แสนหีบ/เดือน ส่วนกำลังการผลิตแบบถ้วย ขณะนี้ทำเต็มกำลังการผลิตแล้ว จำนวน 4.5 แสนหีบ/เดือน (หีบละ 36 ถ้วย)
ขณะที่แผนขยายกำลังการผลิตล่าช้ากว่าแผนเล็กน้อย เพราะเครื่องจักรมาไม่ทัน คาดว่าจะเริ่มได้ในเดือน เม.ย. 54 จากแผนเดิมที่วางไนเดือน ก.พ.-มี.ค.54 ที่จะลงทุนราว 150 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการผลิตอีก 40% จากเดิม
สำหรับยอดขายทั้งปี 53 นายพิพัฒน คาดว่า จะเติบโตราว 10% ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายเดิมที่เคยคาดไว้ที่ระดับ 5% จากปีก่อนที่มียอดขาย 8.3 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังยอดขายจะดีกว่าครึ่งปีแรกที่มียอดขาย 4.2 พันล้านบาท เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น แต่ในด้านกำไรสุทธิคงจะออกมาใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไร 1.3 พันล้านบาท เนื่องจากปัญหาด้านต้นทุน
"คิดว่ายอดขายโตกว่าเป้า ทั้งปีโต 10% กำไรเราก็พยายามทำให้พอๆ กับปีที่แล้ว"นายพิพัฒ กล่าว