รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 9:18 pm




1. มีแต่กู้(อ้างโครงการไร้สาระและเอางบประมาณมาแดกกันแถมแก้กฎหมายกู้เงินอาจนำพาไปสู่หายนะทางการเงิน)ประชาวิวัฒน์ ผลาญเงินหลวง แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

2. การซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจ นำมาซึ่ง ตำรวจเลวๆ มาเฟีย เหมียนเดิม ยังไม่ไดรับการแก้ไข อย่างกรณี จ่าเพียร คือกรณีตัวอย่างที่ไร้ซึ่งการเหลียวแลจากรัฐบาล

3. รัฐมนตรี ข้าราชการ สส มีแต่พวกสกปรก มีประวัติฉ้อโกงรัฐมาก่อน เช่น สุเทพ สปก.4-01 ฯลฯ


4. ทุจริตเครื่องชี้ระเบิด “GT 200” และเครื่องตรวจหาสารเสพติด “ALPHA 6”

ยุคทักษิณปี 48 ซื้อมาใช้ 4 เครื่อง ราคาเครื่องละ 2 หมื่น

ยุคสุรยุทธ์ปี 49 สั่งเพิ่มมาอีก 500 เครื่อง เครื่องละ 7 หมื่น

ยุคอภิสิทธิ์ปี 52 ซื้อเพิ่มอีก 2,000 เครื่อง เครื่องละ 1.4 ล้านบาท (แต่ยังส่งไม่ครบ 2 พันเครื่องเรื่องแตกเสียก่อน)


5. รถเมล์ 4,000 คัน(โกงแบบอุบาทมากๆหน้าด้านสุดๆ)/

8. ย้ายดอนเมือง “อนุมัติสร้างสุวรรณภูมิ”ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นแต่เพื่อจะแดกกัน/

9. จะ “แปรรูปการรถไฟ”ทั้งๆที่มีกระแสต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและสัมปทานของรัฐ/

ผู้ใหญ่ ร.ฟ.ท.สั่งหยุดเดินรถไฟเพื่อดิสเครดิตสหภาพฯเปิดทางรัฐบาลเข้าแปรรูป(รัฐบาลประชาธิปัตย์เลวไม่ต่างอะไรกับ รัฐบาลทักษิณ)


ครม.เห็นชอบแผนปฎิรูป ร.ฟ.ท. แถมได้งบเพิ่มจาก 1 แสนล้านบาทเป็น 1.5 แสนล้านบาท ตีตกความเห็น สศช.เสนอตั้งกรมรถไฟหลวง แยกงานโครงสร้างพื้นฐาน ทำแบบก้าวกระโดดเพื่อทำลายสหภาพฯ จากนั้น ครม.สั่ง ร.ฟ.ท.ทำรายละเอียดแผนลงทุนแต่ละโครงการภายใน 45 วัน สบช่องสั่งเดินหน้าตั้งบริษัท ลูกแอร์พอร์ตลิ้งค์ (ตั้งหน้าตั้งตาแดกกันจริงๆ)



10. เรื่อง “เขาพระวิหาร”ก็โกหกประชาชนจนเขาจับได้ว่าไปเจรจาสวมรอยผลประโยชน์แทนทักษิณ จนฮุนเซนยกสัมปทานน้ำมันให้ต่างชาติในเขตอ่าวไทยก็ยังเฉยไม่เดือดร้อนอะไร

และ “ต้นเหตุ”ของการเสียดินแดนคือ MOU ปี 43 ลงนามโดย “นาย ชวน หลีกภัย” โดยไม่ผ่านสภา เป็นการรับรองแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

ล่าสุด !!!จะแก้กฎหมาย มาตรา 190 เรื่องการทำหนังสือสัญญาระหว่างรัฐที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาและต้องทำประชาพิจารณ์ ( ต่อไปแอบไปเซ็นต์ขายชาติที่ไหนก็ได้ประชาชนหมดสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจะได้กินได้โกงกันแบบสบายใจ..ชั่วได้ใจจริงๆ )


11. ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์คือสาเหตุ มันมันแพงหรือเปล่า แต่ รัฐไม่ได้เห็นถึงปัญหาข้อนี้ เพราะรัฐ สนับสนุน การแปรรูป รัฐวิสาหกิจ เช่นกัน นโยบายไม่ต่างจาก ทักกี้


12. รัฐบาลประชาธิปัตย์เจรจากับประเทศสมาชิกเพื่อเปิดเสรีการลงทุนในอาเซียนทางภาคเกษครกรรม(ACIA) 3 สาขา ได้แก่

1การเพาะขยายและปรับปรุงพันธุ์พืช

2 การทำประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

3 การทำป่าไม้จากป่าปลูก

(เป็นการเร่งให้เกิดการกว้านซื้อและเช่าพื้นที่เกษตรกรรมและกลุ่มทุนต่างชาติเข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรม / การจดสิทธิบัตรจากสายพันธุ์พืชไทย
ในขณะที่มีบริษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติรายหนึ่งกำลังผลักดันกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชเพื่อไม่ให้แบ่งปันผลประโยชน์กับรัฐและชุมชน)
ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 2553 เท่ากับเป็นการทำลายเกษตรกรและคนส่วนใหญ่ของประเทศ
(ข้อนี้เลวมากจริงๆจะขายชาติขายแผ่นดินไปถึงไหน)

13. นายสุเทพในฐานะประธาน คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ละเมิดกฏหมาย คว่ำมติ ปปช.
กรณีชี้มูลความผิดนายตำรวจ 3 นายในคดีสลายม็อบ7ตุลาคม ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญเคยมีมติยืนยันแล้วว่า ก.ตร.ไม่มีสิทธิโต้แย้งมติป.ป.ช.เหมือนมีคำสั่งประหารชีวิตไปแล้ว แต่มาเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้
(การกระทำอย่างนี้ถือว่านายสุเทพและรัฐบาลเป็นผู้ทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างเลวร้ายที่สุด)

14. มอมเมาประเทศชาติด้วย “หวยออนไลน์”เป็นอบายมุขทั้งๆที่พันธมิตรได้เคยต่อสู้กับทักษิณมา ยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ มีมติอนุมัติหน้าตาเฉยเลย ล่าสุดไม่เห็นด้วยทำไมไม่แสดงความเห็นคัดค้านตั้งแต่แรก ( เบื้องหลังรัฐเบรกหวยออนไลน์ 1) กลัวท่อน้ำเลี้ยงแห้ง 2) ยี่ปั๊วรายใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์มายาวนานเสียประโยชน์ )

15. “กอร์ปศักดิ์”เลิกขวางขายข้าวโพด แต่กว่าจะจบรัฐเสียหาย 5 พันล้าน ( เจ็บปวดจริงๆเงินภาษีประชาชนทั้งนั้น)

16. เผยแผ่นซีดี “รักหรือทำลาย ประเทศไทย”โจมตีเหมารวมทั้งคนเสื้อเหลือง-เสื้อแดง แจกบนที่ว่าการอำเภอถลาง เป็นฝีมือของรัฐบาลชัดเจน

17. กรณีการจัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูง จำนวน 232 คัน ตามสัญญาเลขที่ 11/2549 ของกระทรวงสาธารณสุข ถังออกซิเจน-ชุดปรับความดันในรถพยาบาลฉุกเฉินฉาวของกระทรวงสาธารณสุข นำเข้าไม่ผ่าน อาหารและยา เตรียมดำเนินคดีบริษัทฐานนำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ห้ามนำเข้า จำคุก 5 ปี ปรับ 2.5 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับ

18. ขึ้น “ค่าโทลเวย์แพง”เกินเหตุเอื้อประโยชน์เอกชน ขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน ล่าสุด ( มูลนิธิเพื่อ ผู้บริโภคร่วมมือนักกฎหมาย ฟ้องกรมทางหลวง รมต.คมนาคม และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครอง ให้เพิกถอนสัญญาสัมปทานกรณีโทลล์เวย์ )

19. กรณี “มาบตาพุด” จน สภาทนายความฯ ออกแถลงเตือนรัฐบาลและเอกชนอย่าข่มขู่ประชาชน บิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตาม
คำสั่งศาลปกครองสูงสุดให้เร่งแก้ปัญหามลพิษมาบตาพุด เตรียมยื่นคำร้องละเมิดอำนาจศาล สร้างความแตกแยกและมีแต่จะเอาชนะประชาชน( ประชาชนมาก่อนหรือประชาชนตายก่อนอยากขอถามรัฐบาล)

20. นพ.บรรลุ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการสอบสวนการ “ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข”แถลงผลการสอบสวนว่า การจัดตั้งงบประมาณของโครงการนี้ มีพฤติกรรมพยานหลักฐานทำให้เกิดการทุจริตจริง ได้แก่ การขอตั้งงบประมาณสิ่งก่อสร้าง ครุภัณฑ์การแพทย์ และรถพยาบาล ราคาตั้งไว้สูงเกินจริง ซึ่งส่อเจตนาการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากไม่สามารถปัดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้บริหาร ถือว่ามีส่วนเปิดช่องทางให้มีการทุจริต นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการไทยเข้มแข็ง แต่มีพฤติกรรมก้าวก่าย ล้วงลูก กดดัน ให้มีการจัดสรรงบประมาณเกินจำเป็น ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ( เวรกรรมเห็นทันตา )


21. ทุจริต “การจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์” ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข็มแข็ง (SP2) ปี 2553 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) วิทยาลัยอาชีวศึกษา 415 แห่งมีมติร่วมกันที่จะไม่รับวัสดุครุภัณฑ์การฝึก ราคาแพงเกินจริง ครุภัณฑ์ด้อยคุณภาพไม่ตรงความต้องการใช้ในการเรียนการสอน(เวรกรรมมีจริง)

22. กรณี “มาบตาพุด” นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นศาลปกครองสูงสุดฟ้องนายอภิสิทธิ์และครม.ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานฯ ขอไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองชั่วคราว ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ.2553 พร้อมขอเพิกถอนคณะกรรมการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการ หรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง และ ยังไม่เคยถามความเห็นประชาชนก่อนออกกฎหมาย คณะกรรมการประสานงานฯชุดนี้ โดยส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็นบุคคลจากทางภาครัฐและไม่มีภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม (เลวมากเห็นประชาชนเป็นผักเป็นปลา)

23. ผลสอบ สตง. ระบุชัด ปตท.ยังส่งคืนสมบัติแผ่นดินให้กระทรวงคลังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โกงท่อก๊าซฯบนบกและในทะเลมูลค่ารวม 32,613 ล้านบาท คุณ รสนา"ได้ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช และอธิบดีกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามเรียกคืนทรัพย์สินจาก ปตท เพิกเฉยเจอม.157 ข้อหาละเว้น
“ครม.อภิสิทธิ์”ทราบเรื่อง ตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค.ปีที่แล้วแต่ทุกฝ่ายกลับอุบเรื่องเงียบ ( รัฐบาลนี้ไม่มีความแตกต่างจากรัฐบาลทักษิณออกกฎหมายเพื่อล้มล้างความผิดของตนเอง และมีผลบังคับใช้ 3 วันก่อนมีคำพิพากษา )

24. โกงเรื่องต่อสัญญาช่อง 3 รับเงินใต้โต๊ะ รู้เห็นเป็นใจโดยข้าราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชงเรื่องให้นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาว่า ไม่ต้องนำเรื่องการต่อสัญญาช่อง 3 นี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด เพื่อ จะได้หลีกเลี่ยงพระราชบัญญัติร่วมทุนนั่นเอง เพื่อให้ อสมท สามารถจัดการเองได้ทันที นายสาทิตย์ได้ลงนามไปเรียบร้อยแล้วว่า ไม่ต้องนำเรื่องเข้าสู่การประชุม ครม.และการที่ อสมท ต่อสัญญาให้ ช่อง 3 อีก 10 ปี ซึ่งจะครบสัญญาในปี 2563 ส่งผลให้อสมท จะขาดรายได้ถึงกว่าหมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน(สื่อชั่ว +รัฐบาลเลว )


25. โกง “รถไฟฟ้าสายสีม่วง” อ้างหน้าด้านๆ น้ำมันขึ้นราคา ทั้งที่มีค่าเค ลดงบรื้อถอนสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มงบค่างาน หาเงินด้วยการโกงบ้านกินเมืองนับหมื่นล้าน “อภิสิทธิ์”แค่เซ็น รับทราบ แต่ปล่อยให้สร้างต่อ เท่ากับหลับตาร่วมกันโกง (นายกฯอภิสิทธ์ชักทำตัวเหมือนศรีธนญชัย)

26. นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์เฟสบุ้ค โดยกล่าวพาดพิงทำลายพันธมิตรฯและพรรคการเมืองใหม่อย่างชัดเจนทำให้เกิดความเสียหายและเข้าใจผิด แถมยังมาปล่อยข่าวปั่นหุ้นดาวเทียมไทยคม
ล่าสุดออกมาโพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์เฟสบุ้คนายกฯ โดย กล่าวคำที่ปกปิดความจริง เล่นคำ ตัดสาระสำคัญในเอกสาร หลอกลวง คนไทยทั้งชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง แผนที่เติม (s) และ เรื่อง แผนที่ 1:200,000 ทุกฉบับ แล้วยกเว้น เฉพาะแผนที่ 1:200,000 บริเวณปราสาทพระวิหาร ทั้งๆที่ในเอกสารไม่ได้ระบุ “ข้อยกเว้น”ตามที่ นายศิริโชค โสภา พยายาม “ผายลม” ออกมาแต่เป็นการตีความเอาเองโดยฝ่ายเดียวแบบศรีธนญชัย เพราะใน เอกสาร MOU 2543 ชี้ชัดเจน ว่ายอมรับแผนที่ฝรั่งเศษจัดทำขึ้น

27. อ้างเรื่อง “โรดแมป” มาบังหน้า แผนปรองดองก็คือแผนยกประเทศให้โจร เหตุเพราะ
1 สามารถใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีได้เต็มปี และสามารถจัดสรรงบประมาณในปีหน้า
2 โยกย้ายข้าราชการได้ทั้งหมด โดยเฉพาะ ทหารและตำรวจ
3 สามารถใช้เวลานี้สมคบกับนักการเมืองทุกฝ่ายแก้ไขกติกา รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองกันเองทั้งสิ้น (รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรค)

28. ทุจริตโครงการเช่าระบบการให้บริการประชาชนด้านการ “ทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนแบบใหม่”วงเงิน 3.4 พันล้านบาทแก้ไขทีโออาร์เพื่อเอื้อประโยชน์เอกชนบางราย

29. ทุจริตโครงการ “ถนนปลอดฝุ่น” (ถนนไร้ฝุ่น) หนึ่งในโครงการไทยเข็มแข็ง ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท

30. ทุจริตงบ “ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน” โดยเฉพาะงบภัยหนาวที่จังหวัดใช้เงินทดลองราชการได้ครั้งละ 1 ล้านบาท

31. ทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอที่ระบุว่ามี “ข้อสอบรั่ว” ช่วยเหลือ 140 ปลัดให้สอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอแลกกับการแลกผลประโยชน์รายละกว่าล้านบาท เพราะเป็นไปไม่ได้ 140 คนตอบข้อสอบเหมือนกันทุกข้อ

32. กรณี “การซื้อขายตำแหน่ง” ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องจ่าย 20 ล้านบาท รองผู้ว่าฯจ่าย 17 ล้านบาทและถ้าเป็นนายอำเภอ 10 ล้านบาท

33. นโยบายรัฐที่เข้าไปแทรกแซงควบคุมปริมาณการเลี้ยงไก่ไข่ ทำให้เกิดการผูกขาด ทำลายเกษตรกรรายย่อยจนพินาศชิบหายหมดอาชีพ จนกลายเป็นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างข้าราชการและทุนใหญ่ 9 ราย ดังต่อไปนี้
1 บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร
2 บจก. อาหารเบทเทอร์
3 บจก. แหลมทองฟาร์ม
4 บจก. ฟาร์มไก่พันธุ์เกิดเจริญ
5 บจก.ฟาร์มกรุงไทย
6 บจก.ยูไนเต็ดฟีดดิ้ง
7 บจก.ยู่สูงอาหารสัตว์
8 บจก.สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี
9 หจก. อุดมชัยฟาร์ม

ล่าสุด เกษตรกร 113 ราย ได้รวมตัวยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง และศาลได้รับคำร้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 522/2553 แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนว่า มีคำสั่งทางปกครองที่ทำให้เกิดการผูกขาดละเมิดรัฐธรรมนูญ

37. ทุจริต “มอเตอร์เวย์”บางประอิน-โคราช 5.9 หมื่นล้าน ภาคประชาชนขู่ฟ้องศาลปกครองคระงับโครงการ ส่อพิรุธงบเดิม 2 หมื่นล้านพรวดเป็น 5.9 หมื่นล้าน

38. ทุจริต “ถนนเขาใหญ่” ล่าสุดกรมป่าไม้เตรียมเอกสารหลักฐานยื่นฟ้องร้องกรมทางหลวงและองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) แล้ว และจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

39. มหาดไทยส่อพิรุธ!! ปรับลดงบฯ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) “หมื่นล้านประเคน ส.ส.ทำโครงการ” กระทรวงมหาดไทยจะนำเงินจำนวน 1 หมื่นล้านบาทที่มีการปรับลดนั้นไปจัดสรรเอาไว้ในส่วนขององค์กรกรปกครองส่วนท้องถิ่นตามโครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น และก่อสร้างลานกีฬาเพื่อสร้างสังคมไทยเป็นสุข ปีงบประมาณ 2554 กระจายลงไปในทุกพื้นที่ การนำเงินส่วนนี้มาจัดสรรให้กับพื้นที่ของ ส.ส. งบท้องถิ่นควรปล่อยให้ท้องถิ่นบริหารกันเอง
ซึ่งอาจจะทำให้ “ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และ 266” ที่กำหนดไม่ให้ใช้สถานะหรือตำแหน่ง ส.ส.เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

40. ฉีกหน้ากาก!!คณะกรรมการฯแก้ไขปัญหามาบตาพุดชุด “นายอานันท์” ยัดเยียด 18 ประเภทโครงการส่ง “ผลกระทบรุนแรง”ให้ “นายอภิสิทธิ์” ประกาศใช้
การดำเนินการที่ “ขัดหรือแย้งต่อเจตนารมณ์” ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มาตรา 67 วรรคสอง โดยชัดแจ้ง รวมทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2552 อีกทั้งยัง “ไม่มีกฎหมายฉบับใด” มารองรับอำนาจการประกาศประเภทโครงการทั้งหมด
(ช่วยเหลือนายทุน ขาดจิตสำนึก ประชาชนจะตายช่างหัวมัน เลวได้ใจจริงๆรัฐบาลประชาธิปัตย์)



41. “มาร์ค”แอนด์เดอะแก๊งค์ ร่วมกัน “ปล้นชาติ 2.07 ล้านล้านบาท” ได้ “งบประมาณปี54” ผ่านขาดลอย
หนี้สาธารณะมากถึง 4.5 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การปล้นชาติปล้นแผ่นดิน (ขออำนวยอวยพรให้ได้ลงนรกอเวจี)

42. สั่งให้ปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เพราะ รัฐบาลประชาธิเปรตกำลังถูกตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่น

43. เขมรดูหมิ่นเหยียดหยามบุรพกษัตริย์ไทย "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" "อภิสิทธิ์"ยังเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว(ผู้นำเลว)



44. ออกหมายเรียกพันธมิตร 79 คน คดีระหว่างสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฟ้องชุมนุมปิดสนามบิน (รัฐบาลประชาธิเปรตอยู่เบื้องหลังการออกใบสั่งชัดเจน!!)

43. ทุจริต!!โครงการเช่าคอมพิวเตอร์เพื่อจัดทำระบบให้บริการประชาชน ทางด้านการทะเบียน และทำบัตรประชาชนแบบใหม่ ของกรมการปกครอง เอื้อเอกชนไม่เป็นไปตามทีโออาร์เจตนาโกง 3,490 ล้านบาท กับบริษัท คอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด

44. คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบพบการทุจริตในสำนักงานการอาชีวศึกษา กรณีเปิดประมูลโครงการที่เกี่ยวข้องกว่า 136 โครงการ มูลค่า 5,300 ล้านบาท (ตั้งหน้าตั้งตาแdกกันเต็มที่)

45. กรณีที่ นาย “ชุมพล กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์” ถูกองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน มีคำพิพากษาคดีที่ ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองหรือคู่สมรส หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม.263 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ( ป.ป.ช. ) พ.ศ.2542 ม.119 โดยป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายชุมพล เมื่อวันที่ 26 พ.ย.52 ว่า ปกปิดข้อเท็จจริงในบัญชีหนี้สินของตัวเอง 13 ครั้ง ตั้งแต่เป็น ส.ส.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2540 โดยพบว่ามีการปกปิดหนี้สินของตัวเองในบริษัทแห่งหนึ่งเป็นจำนวนหลายบัญชี
(ส่วนนาย แสงโรจน์ กาญจนะ ลูกชายนายชุมพล ก็ก่อคดีอุกฉกรรจ์ในท้องที่ สภ.อ.เมืองสุราษฎร์ธานีหลายคดี เช่น สับกุญแจมือข่มขืนแด็กนักเรียนอาชีวศึกษาหลานสาวตำรวจยศ พ.ต.ท.ขึ้นรถพาไปขืนข่นที่บ้านพัก / ก่อเหตุดวลปืนยิงตำรวจ สภ.อ.พุนพิน ที่ชาร์กี้ผับ / ใช้อาวุธปืนยิง นายกิตติ วิเศษสมบัติ พนักงานขับรถสำนักงานสรรพากร ภาค 11 สุราษฎร์ธานี เสียชีวิต / ก่อคดีข่มขืนวิตถารสาวพม่าจนไส้แตก แล้วแถมด้วยการฆ่าปิดปากจักรยานยนต์รับจ้างที่เข้าไปช่วยนำเหยื่อสาวชาวพม่าไปส่งโรงพยาบาล )

46. พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์หุ่นเชิด, กระทรวงการคลัง, นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีไอซีที ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ มีความพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยม พลิกวิธีหลายตลบ หาเศษหาเลยจากการประมูล 3G
จนศาลปกครอง ต้องสั่งระงับการประมูลเพราะทำผิดกฎหมาย มันก็ยังจะหน้าด้านหาวิธีแdกให้ได้
ล่าสุด ครม.อนุมัติ เงินงบประมาณ 1.9 หมื่นล้าน ให้ “ทีโอที” ตั้งบริษัทลูกขยายโครงข่าย 3จี สุดยอดวิชาโกงกินชาติจริงๆ

47. รายชื่อสส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้าข่ายขัดมาตรา 48 และถือครองหุ้นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ หรือคู่สัญญาอันมีลักษณะผูกขาดตัดตอน ขัดมาตรา 265 (2) จ่อถูกเชือด มีดังต่อไปนี้

1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค และ ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้นในบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
2.นายอนุชา บูรพชัยศรี ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
3.นายสมเกียรติ ฉันทวานิช ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
4.นายชนินทร์ รุ่งแสง ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
5.น.ส.นริศา อดิเทพวรพันธุ์ ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
6.นายสัมพันธ์ ทองสมัคร ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้นบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
7.นายสงกรานต์ จิตสุทธิภากร ส.ส. นครสวรรค์ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
8.นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)
9.นายวิชัย ล้ำสุทธิ ส.ส. ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
10.นายเจือ ราชสีห์ ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
11.นายลาภศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
12.นางนิภา พริ้งศุลกะ ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
13 .นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส. สัดส่วน กลุ่มที่ 8 พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
14.น.ส.เฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ ส.ส. สัดส่วน กลุ่มที่ 8 พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)
ส่วน ส.ส. ที่ถูกร้องแต่พบว่าถือหุ้นในบริษัทที่ กกต.มีมติว่าไม่เข้าข่ายห้ามถือ
1.นายสกลธี ภัทิยกุล ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)
2.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
3 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
4.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
5.นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส. นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
6.นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
7.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส. ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
8.นางกันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส.ส. พังงา พรรคประชาธิปัตย์ถือหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
9.นายวินัย เสนเนียม ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)
10.พล.อ.พิชาญเมธ ม่วงมณี ส.ส. สัดส่วน กลุ่มที่ 1 พรรคประชาธิปัตย์ ถือหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)

48. งบประมาณการประชาสัมพันธ์ ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในแต่ละปีกระทรวงพาณิชย์มีวงเงินด้านนี้สูงนับพันล้านบาท ก็มีข่าวทุจริต ใช้ บริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน) เป็นฉากหน้าเพื่อผ่องถ่ายงบประมาณให้บริษัทเอกชนของนักการเมือง
ใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการเผยแพร่สื่อโทรทัศน์และพาณิชย์สร้างสรรค์” มีมูลค่าโครงการที่ลงนามกับ อ.ส.ม.ท. 50 ล้านบาท แต่ในข้อเท็จจริง อ.ส.ม.ท.มีรายได้เข้าบริษัทจากโครงการนี้เพียง 4.5 ล้านบาทเท่านั้น ที่เหลือ 45.5 ล้านบาท ถูกงาบโดยบริษัทในสังกัดนักการเมือง แล้วยังมีการต่อยอดโครงการ ระยะที่สองเพิ่มงบประมาณอีก 70 ล้านบาท รวมมูลค่า 120 ล้านบาท

49. ทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง สวมสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือ / กรณีจ่ายเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัยไม่ถึงมือผู้เดือดร้อน แต่กลับไปมอบให้หัวคะแนน / กรณีสวมรอยหาเสียงโครงการแจกข้าวถุงเฉลิมพระเกียรติ

50. แก้...รัฐธรรมนูญ มาตรา 93 - 98 เขตเลือกตั้ง เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว “หวังซื้อเสียง”
แก้... มาตรา 190 ว่าด้วยการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ “ หวังขายชาติ”

51. ทุจริตให้มีการนำ เงินสงเคราะห์ปลูกยางพารา (CESS) ไปชดเชยให้กับผู้ส่งออกที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกำหนดอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์อัตราใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 ที่เสนอขึ้นมาจากคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) โดยมี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คิดเป็นมูลค่า ประมาณ 3,000 ล้านบาท


52. กระจายกันแdกพลาญเงินภาษีของชาติ !! กระทรวงมหาดไทยขอขึ้นเงินเดือนสมาชิกองค์กรบริหารส่วนตำบล (อบต.) ว่า ในที่ประชุม ครม. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อนุญาตให้กระทรวงมหาดไทยขึ้นเงินเดือนให้กับสมาชิก อบต. อย่างน่าเกลียดสุดๆ !!!ทั้งๆหนี้สินของประเทศแม้แต่ดอกเบี้ยยังไม่มีปัญญาจะจ่าย

ล่าสุด “อภิสิทธิ์” พลาญเงินภาษี ชง ครม.ขึ้นเงินเดือน ให้ตัวเองและ ส.ส. ( ยังเลวต่อได้อีก)

53. บังอาจยักยอกเงิน !! โครงการงานราตรีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชชินีนาถ glory of silk flower of love โดยเอามูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจการพาณิชย์ IBERD มาบังหน้า ทั้งๆที่การจัดงานกาลาดินเนอร์ในลักษณะขายโต๊ะไม่ได้อยู่ใน TOR ที่ได้เซ็นสัญญากับ อ.ส.ม.ท. ตั้งแต่ต้น โครงการนี้มีมูลค่าถึง 148 ล้านบาท มีรายได้เข้าอ.ส.ม.ท. เพียง 27 ล้านบาท
ที่เหลืออีก 121 ล้านบาทผ่องถ่ายให้กับสามบริษัทได้แก่ บริษัท 365, บริษัทบางกอกโชว์เคส และบริษัทเมมฟิส ที่เป็นพรรคพวกของตัวเอง

54. รัฐบาลเกี้ยเซี้ยเอี้ยแดงชัดเจน !! คดีก่อการร้าย, เผาเมือง ,วางระเบิด, ปล้นห้าง, ยิงเอ็ม 79 ,ใช้อาวุธสงครามร้ายแรง, โค่นล้มสถาบัน โดยรัฐบาลออกมติคณะรัฐมนตรีให้ปล่อยตัวผู้ร่วมชุมนุมเหตุการณ์เดือน เม.ย.ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจำนวน 104 คน เป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล แทรกแซงอำนาจตุลาการแบบทุเรศที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย และปิดกั้นความยุติธรรมที่ต้องให้แก่ประชาชน ( รัฐบาลประชาธิเปรต เลวเข้าขั้นโคม่า )

55. คดีการก่อการร้าย คดีล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และลงขันรุมฆ่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็กลายเป็นเพียงแค่ “ละครน้ำเน่า” ที่ทำให้ดูขึงขังหลอกประชาชนเท่านั้น

ผลของกรรมเริ่มทำงานแล้ว “นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะมีกำลังมากยิ่งกว่าอานุภาพแห่งกรรมดีและกรรมชั่วไปได้เลย”
Last edited by phat on Sun Feb 20, 2011 9:25 pm, edited 1 time in total.
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 9:20 pm

สุวรรณภูมิสร้างสมัยรัฐบาลนี้รึ นึกว่าสร้างตั้งนานแล้ว :lol:

ที่เหลือ ขี้เกียจอ่าน ถ้าอ่านก็คงหาข้อโต้แย้งได้ทุกข้อ หลักฐานอะไรก็ไม่มี กล่าวลอยๆไปซะหมด :P
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby นายกรูปหล่อ » Sun Feb 20, 2011 9:22 pm

ramboboy26 wrote:สุวรรณภูมิสร้างสมัยรัฐบาลนี้รึ นึกว่าสร้างตั้งนานแล้ว :lol:

ที่เหลือ ขี้เกียจอ่าน ถ้าอ่านก็คงหาข้อโต้แย้งได้ทุกข้อ หลักฐานอะไรก็ไม่มี กล่าวลอยๆไปซะหมด :P


ลองดูซักหน่อยปะไร ว่าจะแก้ได้น่ะ ไหนๆ รออ่านๆ เอาซักครึ่งนึงก็พอละ
User avatar
นายกรูปหล่อ
 
Posts: 113
Joined: Thu Feb 17, 2011 3:50 am

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby nnnn » Sun Feb 20, 2011 9:25 pm

ถ้าพรรคนี้มันเลวมาก เลือกตั้งครั้งหน้าก็อย่าไปเลือกมันครับ

ประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิตัดสินใจ
nnnn
 
Posts: 2388
Joined: Wed Dec 10, 2008 2:33 am

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 9:28 pm

งั้นเอาหลักฐานมาให้ดูหน่อยซิว่าเค้าโกงจริงๆ

หลักฐานนะ ไม่เอาบทความ

ไม่ต้องครึ่งนึงหรอก ข้อเดียวก็พอ
แล้วค่อยมาคุยกัน

นี่เล่นพูดกล่าวหามาลอยๆแล้วให้คนอื่นไปหาหลักฐานมาหักล้าง
เรื่องอะไรจะคุยด้วย ขี้เกียจ :P
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 9:29 pm

พธม.แฉกลโกงรัฐบาลกิน2เด้งงบถนนไร้ฝุ่นPosted: February 18, 2011 by ThaiukPress in หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
1พันธมิตรฯเดินหน้า แฉกลโกงรัฐบาล ระบุงบโครงการถนนไร้ฝุ่น 1.3-1.5 หมื่นล้านบาท หายวับโดยไม่มีการก่อสร้าง เพราะเบิกจ่ายช่วงประเทศมีวิกฤตน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว แถมยังหน้าด้านของบประมาณไปซ่อมแซมทั้งที่ไม่ได้สร้างด้วย เปิดแผลใหม่อนุมัติใช้ที่ดิน ส.ป.ก. ให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้าทั้งที่เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ ระบุมีนักการเมืองผลักดันแลกผลประโยชน์นับหมื่นล้านบาท เตรียมยื่น ป.ป.ช. สอบ

นายประพันธ์ คูณมี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่า พฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการหากินกับงบประมาณแผ่นดิน เพราะต้องระดมทุนเอาไว้ใช้หาเสียงเลือกตั้ง

“น่าเสียดายที่การ อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายงานกลางปี 100,000 กว่าล้านบาทของฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา ไม่ได้ชี้ให้ประชาชนเห็นถึงความเลวร้ายในการจัดทำงบประมาณเลย ทั้งที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทำงบประมาณกลางปีเพื่อเอาไปใช้หาเสียงก่อนเลือกตั้ง ผ่านโครงการต่างๆ และยังเป็นการเสนอร่างงบประมาณที่ไม่สอดคล้องหลักเกณฑ์การเสนอ พ.ร.บ.งบประมาณกลางปีด้วย”

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายกลางปีงบประมาณ 2553 คราวที่แล้วมีการทุจริตกันมโหฬาร เช่น โครงการถนนปลอดฝุ่นที่ตั้งงบประมาณไว้ 13,000-15,000 ล้านบาท แต่ใช้จริงไม่เท่าไร เพราะเป็นช่วงที่ประเทศประสบภาวะน้ำท่วม ถนนก็ไม่ได้สร้าง งบประมาณหายไปฟรีๆ แถมยังมีหน้าของบประมาณซ่อมบำรุงถนนที่อ้างว่าเสียหายจากน้ำท่วมอีก

“เรื่อง นี้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่สนใจตรวจสอบเพราะว่านายพิสิษฐ์ ลีลาวัชโรบล ผู้ว่าการ สตง. ถูกครอบงำจากฝ่ายการเมือง งบที่หายไปเอาไปแจกหัวคะแนน แล้วทำหลักฐานเท็จว่าสร้างถนนแล้ว เสียหายแล้วจากน้ำท่วม และยังกินเด้งสองจากงบซ่อมถนนอีก”

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่รัฐบาลให้บริษัทโรงไฟฟ้ากังหันลมนำที่ดิน ส.ป.ก. ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ไปใช้สร้างโรงงานไฟฟ้า 12,000 ไร่ และขยายพื้นที่โครงการเป็น 80,000 ไร่ในที่สุด ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ที่ไม่อนุญาตให้นำที่ดิน ส.ป.ก. ไปแสวงหากำไร ซึ่งบริษัทที่ทำโครงการนี้คือ บริษัท วินด์ เอนเนอยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งอยู่ในเครือบริษัท ราชบุรี โฮลดิ้ง ผลิตไฟฟ้า จำกัด ที่มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถือหุ้น 50% ที่เหลือเป็นของเอกชน

“ที่ดิน ส.ป.ก. ชัดเจนว่ามีวัตถุประสงค์คือเอาไว้ให้คนไม่มีที่ทำกินทำการเกษตร นอกจากใช้ที่ดินผิดวัตถุประงค์แล้วยังไม่รู้ว่าอนุมัติได้อย่างไร เพราะพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นเขตป่าต้นน้ำ โซน 1 เอ และ 1 บี และบริษัทนี้มีสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ซึ่งการที่เอกชนสามารถเซ็นสัญญาขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ต้องมีนักการเมืองหนุนหลัง เพราะมีผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาท เรื่องนี้ร้ายแรงมาก เป็นเรื่องที่รัฐบาลอื่นๆยังไม่กล้าโกง ผมจะนำข้อมูลเรื่องนี้มาเปิดโปงให้ประชาชนทราบ และส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบเอาผิดผู้เกี่ยวข้องด้วย”
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby นายกรูปหล่อ » Sun Feb 20, 2011 9:30 pm

ramboboy26 wrote:งั้นเอาหลักฐานมาให้ดูหน่อยซิว่าเค้าโกงจริงๆ

หลักฐานนะ ไม่เอาบทความ

ไม่ต้องครึ่งนึงหรอก ข้อเดียวก็พอ
แล้วค่อยมาคุยกัน

นี่เล่นพูดกล่าวหามาลอยๆแล้วให้คนอื่นไปหาหลักฐานมาหักล้าง
เรื่องอะไรจะคุยด้วย ขี้เกียจ :P



ถ้าอ่านก็คงหาข้อโต้แย้งได้ทุกข้อ


:lol: :lol: :lol:
User avatar
นายกรูปหล่อ
 
Posts: 113
Joined: Thu Feb 17, 2011 3:50 am

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 9:32 pm

ไม่เข้าใจรึ เขียนไม่ถึงหกบรรทัดแล้วนะ
ถ้ามันมีหลักฐานค่อยมาคุยกัน
ที่เขียนๆมามันคำสบถไร้หลักฐานดีๆนี่เอง :)
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby นายกรูปหล่อ » Sun Feb 20, 2011 9:36 pm

ramboboy26 wrote:ไม่เข้าใจรึ เขียนไม่ถึงหกบรรทัดแล้วนะ
ถ้ามันมีหลักฐานค่อยมาคุยกัน
ที่เขียนๆมามันคำสบถไร้หลักฐานดีๆนี่เอง :)



:lol: :lol: :lol: :lol:
User avatar
นายกรูปหล่อ
 
Posts: 113
Joined: Thu Feb 17, 2011 3:50 am

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 9:38 pm

:lol:

เอาครับ คุณมีหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาใดก็ได้ในนี้เอามาลงเลย
แล้วมาดูกันว่าผมจะหาข้อโต้แย้งได้หรือไม่ได้
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 9:41 pm

53. บังอาจยักยอกเงิน !! โครงการงานราตรีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชชินีนาถ glory of silk flower of love โดยเอามูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจการพาณิชย์ IBERD มาบังหน้า ทั้งๆที่การจัดงานกาลาดินเนอร์ในลักษณะขายโต๊ะไม่ได้อยู่ใน TOR ที่ได้เซ็นสัญญากับ อ.ส.ม.ท. ตั้งแต่ต้น โครงการนี้มีมูลค่าถึง 148 ล้านบาท มีรายได้เข้าอ.ส.ม.ท. เพียง 27 ล้านบาท
ที่เหลืออีก 121 ล้านบาทผ่องถ่ายให้กับสามบริษัทได้แก่ บริษัท 365, บริษัทบางกอกโชว์เคส และบริษัทเมมฟิส ที่เป็นพรรคพวกของตัวเอง





เหลือบพาณิชย์อมเงินบริจาค งานราตรีเฉลิมพระเกียรติฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 ธันวาคม 2553 23:30 น.
ประกาศิตกลาง ครม.เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้วีรศักดิ์ จินารัตน์ ออกจากตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หลัง ปปช.รายงานว่ามีส่วนพัวพันกับการทุจริตโครงการแทรกแซงข้าว โดยที่ พรทิวา นาคาศัย เจ้ากระทรวงได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆทำได้เพียงแค่ไหล่ห่อคอตก

รับสภาพไปเจรจาให้ วีรศักดิ์ ไขก๊อกก่อนที่จะโดนขับออกจากตำแหน่ง
ถือเป็นอีกหนึ่งภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าคนรอบข้าง พรทิวา กำลังพ่นพิษ เพราะเมื่อน้ำลดตอก็ผุดขึ้นมาให้เห็น โดยไม่ได้มีเพียงแค่ วีรศักดิ์ เท่านั้นที่มีปัญหาในลักษณะใช้ตำแหน่งไปทำมาหากิน แต่คนรอบข้างพรทิวาที่มีตำแหน่งทางการเมืองอีกหลายคนก็ส่อว่ามีพฤติกรรมไม่ได้แตกต่างไปจากกัน เพียงแต่จะเนียนมากกว่า จับยากกว่าเท่านั้น

จึงเป็นเรื่องที่ อภิสิทธิ์ ต้องติดตามใกล้ชิด และไม่ควรหยุดอยู่เพียงแค่สิ่งที่ ปปช.รายงานมา แต่ต้องเดินหน้าตรวจสอบในเรื่องที่กำลังกินกันแบบนิ่ม ๆ เงียบ ๆ ผ่านงบประชาสัมพันธ์ ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจ

ในคอลัมน์นี้เคยเปิดโปงพฤติกรรมที่ ประพล มิลินทจินดา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปเป็นธุระในการดึงเอา บริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน) เข้ามาทำการประชาสัมพันธ์ โดยกระทำในลักษณะว่าจ้างแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล แต่กลับผ่องถ่ายงานให้กับบริษัทเอกชนในสังกัด ใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการเผยแพร่สื่อโทรทัศน์และพาณิชย์สร้างสรรค์” มีมูลค่าโครงการที่ลงนามกับ อ.ส.ม.ท. 50 ล้านบาท แต่ในข้อเท็จจริง อ.ส.ม.ท.มีรายได้เข้าบริษัทจากโครงการนี้เพียง 4.5 ล้านบาทเท่านั้น ที่เหลือ 45.5 ล้านบาท ถูกงาบโดยบริษัทในสังกัดนักการเมือง

วิธีการผ่องถ่ายยักย้ายเงินไปเข้ากระเป๋านักการเมือง คือ บีบบังคับให้ อ.ส.ม.ท.ต้องไปว่าจ้างบริษัทเอกชนใต้ปีกนักการเมืองเป็นผู้ผลิตรายการ โดยมีการใช้วิธีนี้มาแล้วหลายครั้งรวมเบ็ดเสร็จงบประมาณที่ถูกเหลือบข้างตัว พรทิวา ดูดไปจากคลังหลวงแล้วถึง 500 ล้านบาท

เฉพาะแค่โครงการนี้ก็ยังมีการต่อยอดระยะที่สองเพิ่มงบประมาณอีก 70 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนถึงเดือนธันวาคมปีหน้า รวมงบประมาณทั้งสิ้นถึง 120 ล้านบาท

ที่น่าตกใจ คือยังมีการทำลักษณะเดียวกันแบบไม่อายฟ้าอายดินโดยคนใกล้ชิดเจ้าแม่อาบอบนวด มีพฤติกรรมส่อไปในทางหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง แต่นับว่าสวรรค์ยังมีตา เพราะมีข้าราชการดีในกระทรวงพาณิชย์เขาทนไม่ได้กับความตระกรุมตระกรามไม่เลือกที่ บังอาจถึงขั้นหากินกับ โครงการงานราตรีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชชินีนาถ glory of silk flower of love จึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ข้อมูลถูกนำมาถ่ายทอดเพื่อเปิดโปงความเลวของคนใกล้ตัวพรทิวาต่อสาธารณะ

ในงานดังกล่าวมีการเชิญแขกร่วมโต๊ะเสวยกับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถในงานกาลาดินเนอร์ ทุกอย่างก็ดูดำเนินไปตามปกติ

หากจะไม่มีการยักย้ายถ่ายเทเงินบริจาคที่มีผู้แสดงเจตจำนง ถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯตามพระราชอัธยาศัย

ไม่น่าเชื่อว่า จะมีคนไร้สำนึกกล้ายักยอกเงินดังกล่าวหักบางส่วนเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยเอามูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจการพาณิชย์ IBERD ที่เพิ่งขออนุญาตจากกระทรวงการคลังสดๆร้อนมาบังหน้า ทั้งๆที่การจัดงานกาลาดินเนอร์ในลักษณะขายโต๊ะไม่ได้อยู่ใน TOR ที่ได้เซ็นสัญญากับ อ.ส.ม.ท. ตั้งแต่ต้น

สนนราคาของโครงการที่ว่านี้มีมูลค่าถึง 148 ล้านบาท ไม่รวมกับเงินบริจาคที่มีคนบังอาจดึงฟ้าต่ำ ที่สำคัญคือการดำเนินโครงการนี้ไม่มีการประมูล แต่ใช้วิธีว่าจ้างแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือG to G โดยมี อ.ส.ม.ท. เป็นคู่สัญญา แต่ในข้อเท็จจริงมีรายได้เข้า อ.ส.ม.ท. เพียง 27 ล้านบาท

และที่เหลืออีก 121 ล้านบาทผ่องถ่ายให้กับสามบริษัทที่เป็นพรรคพวกของตัวเอง โดยบีบบังคับให้ อ.ส.ม.ท. ต้องไปว่าจ้างบริษัทเหล่านี้ได้แก่ บริษัท 365, บริษัทบางกอกโชว์เคส และบริษัทเมมฟิส

เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ประพล ต้องชี้แจงทำความจริงให้กระจ่างว่ามีคนชั่วรายใดกล้าหากินกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเบื้องสูง ซึ่งความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่เพียงแต่ ประพล จะต้องรับผิดชอบ แต่ พรทิวา ในฐานะเจ้ากระทรวงก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ที่ปล่อยให้มีคนไปแสวงประโยชน์อย่างมิบังควรยิ่ง

อภิสิทธิ์ เองก็ควรจะได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง และฟันคนผิดให้พ้นกระทรวงพาณิชย์เสีย ก่อนที่พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จะลากรัฐบาลลงสู่หายนะ เพราะบังอาจโกงของสูง

http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000180067

ใครว่ารัฐมนตรีพาณินย์ไม่โกงครับมันโกงชัดๆ
Last edited by phat on Sun Feb 20, 2011 9:48 pm, edited 1 time in total.
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 9:46 pm

“ไพศาล” เตือน อสมท. ต่อสัญญาช่อง 3 ระวังติดคุก แม้รัฐมนตรีก็คงไม่รอด
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวเตือนผู้บริหาร อสมท. ว่าการต่ออายุสัญญากับช่อง 3 โดยฝ่าฝืนกฎหมายและทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐนั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย ให้ระวังจะติดคุก แม้กระทั่งรัฐมนตรีก็คงเอาตัวไม่รอด

นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าคำตัดสินของศาลฎีกาคดีจาโก้เป็นบรรทัดฐานของการหลีกเลี่ยงกฎหมายร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ส่งผลต่อการต่อสัญญาโครงการสัมปทานต่าง ๆ รวมทั้งช่อง 3 ด้วย

นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่ากรรมการผู้บริหารของ อสมท. คงคิดไม่ถึงว่าเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่จะยันว่าไม่สามารถต่อสัญญาได้และต้องทำตามกฎหมายร่วมลงทุนนั้น จะหลุดออกไปถึงสื่อมวลชนแล้ว จึงใช้ฟอร์มสูงของนักวิชาการหวังกดข่มความจริงไว้ แต่ในที่สุดก็ต้องหงายท้องเพราะขณะนี้หลักฐานที่หลุดออกไปถึงสื่อมวลชนนั้นชัดเจน ผู้บริหารบางคนลงชื่อไว้เองด้วยว่ามีการผิดสัญญา ว่าต้องดำเนินการประมูลใหม่ รวมทั้งมูลค่าที่รัฐพึงได้ด้วย กระทั่งยังมีข้อเท็จจริงว่ามีการเจรจาซูเอี๋ยกันแบ่งปันผลประโยชน์ใต้โต๊ะกันอย่างไร นักการเมืองได้เท่าไหร่ ผู้บริหารได้เท่าไหร่ ตัวเลขละเอียดชัดเจนหมด และมีการยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวนแล้ว
ดังนั้นจึงอยากเตือนผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ว่าพึงเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ อย่าโกงชาติกันเลย ขืนโกงชาติก็คงติดตะรางแน่นอน แม้รัฐมนตรีก็เพิกเฉยอยู่ไม่ได้เพราะมีความรับผิดฐานละเว้นในการไม่กำกับควบคุมดูแล และความจริงก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร อย่าคิดว่านั่งเฉย ๆ แล้วไม่ติดตะราง เพราะเมื่อมีหน้าที่แล้วปล่อยให้โกงก็ต้องรับผิดด้วย

นายไพศาล พืชมงคล กล่าวอีกว่า เรื่องนี้จะมีความเสียหายเกิดขึ้นมาก ดังนั้น ป.ป.ช. ควรรีบตรวจสอบและถ้าเห็นไม่ชอบมาพากลก็ควรจะสั่งหยุดการต่ออายุสัญญาไว้ก่อนได้.

http://www.paisalvision.com/news/2008-1 ... --3--.html
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby papa05 » Sun Feb 20, 2011 9:47 pm

ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์คือสาเหตุ มันมันแพงหรือเปล่า แต่ รัฐไม่ได้เห็นถึงปัญหาข้อนี้ เพราะรัฐ สนับสนุน การแปรรูป รัฐวิสาหกิจ เช่นกัน นโยบายไม่ต่างจาก ทักกี้


1 นาที 17 วินาที กับการขายหุ้น ปตท. (ทำให้น้ำมันราคาแพง) ภาค 1
ปตท หุ้น ขาย การเมือง
บทเรียนที่เจ็บแล้วต้องจำ: 1 นาที 17 วินาที คนไทยกับหุ้น ปตท.
เมื่อ 2544 ปีก่อนการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย(ปตท.)เป็นรัฐวิสาหกิจที่ถูกแปลงสภาพ
เป็นบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ด้วยการกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์แต่จากการตรวจสอบการกระจายหุ้น ปตท.ในครั้งนั้นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) พบว่ามีนักการเมืองและญาติสนิทของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
(ในสมัยนั้นปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม)
ได้รับการจัดสรรหุ้นมากที่สุด

โดยอันดับ 1 คือ
นายทวีฉัตร จุฬางกูร หลานชายแท้ ๆ ของนายสุริยะ
ได้รับการจัดสรรหุ้นมากถึง 2.2 ล้านหุ้น
อันดับ 2 นายประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวน
2.06 ล้านหุ้น นอกจากนี้ภรรยาและบุตรของนายประยุทธคือนางสุวิมล และนายเฉลิมชัย
มหากิจศิริ ยังได้รับการกระจายหุ้นอีก 1.546 ล้านหุ้นและ 1.5 ล้านหุ้น ตามลำดับ(รวมหุ้นที่ตระกูลมหากิจศิริได้รับคือ
5.106 ล้านหุ้น)

ทำไมหุ้นมากมายถึงไปกองอยู่ในมือของคนเหล่านี้
กลต. ในฐานะผู้ดูแลได้อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า
การที่นายทวีฉัตรได้รับการจัดสรรหุ้นสูงสุด 2.2 ล้านหุ้น
เพราะรับจัดสรรในรูปการจองผ่านธนาคารพาณิชย์ 1 แสนหุ้น ในฐานะลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์
และเป็นหุ้นในส่วนของผู้มีอุปการคุณของ ปตท. อีก 2.1 ล้านหุ้น

ส่วนรายของนายประยุทธ
และนางสุวิมล มหากิจศิริ นั้น กลต. ก็ได้ชี้แจงว่า นายประยุทธได้ซื้อผ่านธนาคาร 1 แสนหุ้น
และได้รับการจัดสรรผ่านบริษัทหลักทรัพย์และ
ในฐานะผู้มีอุปการคุณอีก 1.96 ล้านหุ้น


ท่านว่ามาไม่น่าจะใช่นะครับท่านคนละกาลเวลาน่ท่าน :D :D :D
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว

ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองถัยด้วยใจทนง
[b]

http://www.facebook.com/?ref=home#!/home.php?sk=group
User avatar
papa05
 
Posts: 451
Joined: Sun May 23, 2010 9:04 pm
Location: WWW.satnumber.com

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 9:53 pm

ขอหลักฐาน ไม่เอาบทความ

คนนู้นเล่าว่า... แหล่งข่าวเปิดเผยว่า...

เบื่อแล้ว ไม่มีมุกใหม่หรอ :P
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby grandmaster » Sun Feb 20, 2011 9:59 pm

ramboboy26 wrote:ไม่เข้าใจรึ เขียนไม่ถึงหกบรรทัดแล้วนะ
ถ้ามันมีหลักฐานค่อยมาคุยกัน
ที่เขียนๆมามันคำสบถไร้หลักฐานดีๆนี่เอง :)


นายกพูดเองนะ ไม่เชื่อหรือ ว่ามีการโกง :lol: :lol: :lol:
grandmaster
 
Posts: 577
Joined: Wed Dec 16, 2009 1:21 am

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 10:00 pm

อ่านที่นายกพูดดีๆสิเธอว์
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 10:03 pm

44. คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบพบการทุจริตในสำนักงานการอาชีวศึกษา กรณีเปิดประมูลโครงการที่เกี่ยวข้องกว่า 136 โครงการ มูลค่า 5,300 ล้านบาท (ตั้งหน้าตั้งตาแdกกันเต็มที่)



กมธ.ป.ป.ช.สภาผู้แทนฯ พบทุจริต136โครงการอาชีวะ เล็งส่งเรื่องให้นายกฯสอบ
ที่รัฐสภา นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการฯ พบการทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการ โดยในส่วนของสำนักงานการอาชีวศึกษาที่มีกรณีเปิดประมูลโครงการที่เกี่ยวข้องกว่า 136 โครงการ มูลค่า 5,300 ล้านบาท ด้วยการล็อคสเปครายการสินค้าตามโครงการต่างๆไว้ให้กับบริษัทที่ยอมให้ผลประโยชน์เป็นเงิน จำนวน 20-30 เปอร์เซ็นต์ของโครงการที่ประมูลไดกับผู้ที่กำกับดูแล ซึ่งมีบริษัทที่ถูกเรียกตัวไปเจรจาต่อรองผลประโยชน์ที่บ้านพักแห่งหนึ่ง ย่าน จ.นนทบุรี


"บริษัทที่ถูกเรียกไปเจรจาผลประโยชน์ บอกว่าจะมีนอมินีของผู้ที่มีอำนาจในการกำกับดูแลสำนักงานการอาชีวศึกษา อยู่ 5 คนโดยเป็นของคนที่ชื่อนำหน้าด้วย"บุญ" "ชู" "ก่อ" และ"ฉัตร" รวมถึงผู้หญิงที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ คอยประสานว่าบริษัทจะต้องจ่ายรายละเท่าใด ถ้าเจรจาก่อนประกวดราคาต้องจ่าย 30 เปอร์เซ็นต์ หากเจรจาหลังประกวดและเคาะราคา บริษัทต้องจ่าย 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าบริษัทรายใดไม่จ่าย ก็จะถูกยกเลิกการทำสัญญา"นายวิลาศ กล่าว


นายวิลาศ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังพบข้อพิรุธเรื่องการประกาศประกวดราคา โดยประกาศผ่านเว็บไซต์กระทรวงศึกษาเพียง 1 วันเท่านั้น ส่วนสเปคของแต่ละโครงการนั้น ล่าสุดพบว่าเปลี่ยนแปลงไปแล้วถึง 3 ครั้งผ่านเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ถึง 3 คน เมื่อผู้มีอำนาจถูกจับได้ว่าทุจริต ก็จะเปลี่ยนเลขาธิการสอศ. สั่งย้ายผู้อำนวยการสถาบันที่ร่วมเป็นกรรมการร่างสเปค เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ ซึ่งล่าสุด อาจารย์ที่ถูกโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรมได้เข้ามาร้องเรียนกับตนเพื่อขอให้ตรวจสอบ และเขาเตรียมจะยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อพิจารณาเร็วๆ นี้


ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ส่งผลการตรวจสอบหรือการร้องเรียนให้กระทรวงศึกษา หรือนายอภิสิทธิ์ ตรวจสอบแล้วหรือไม่ นายวิลาศ กล่าวว่า ตนได้คุยกับนายชินวรณ์ บุญยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเป็นคนละส่วนงานที่รับผิดชอบ ส่วนนายกรัฐมนตรี นั้นตนได้หารือเบื้องต้น ซึ่งนายกฯระบุว่าหากมีหลักฐานขอให้ส่งมาให้พิจารณา โดยตนจะขอเวลาทำเอกสารก่อนส่งให้นายกฯ 1-2 วัน เบื้องต้นตนเห็นว่าการทุจริตจะยุติได้หากมีการเปลี่ยนบุคลากรที่รับผิดชอบทั้งองค์กรรวมถึงตัวรัฐมนตรีที่กำกับดูแล


เมื่อถามว่ากมธ.มีหลักฐานใดที่จะชี้ข้อเท็จจริงได้ว่า มีการทุจริตและรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์ นายวิลาศ กล่าวว่า ข้าราชการการอาชีวศึกษา ระดับอธิการ และผู้อำนวยการสถาบัน รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้ร้องเรียน สามารถเป็นพยานในชั้นการตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้เพราะเกรงว่าจะกระทบกับธุรกิจและหน้าที่การงาน เพราะคนควบคุมมีอำนาจมาก

http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... &subcatid=
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 10:05 pm

ramboboy26 wrote:ขอหลักฐาน ไม่เอาบทความ

คนนู้นเล่าว่า... แหล่งข่าวเปิดเผยว่า...

เบื่อแล้ว ไม่มีมุกใหม่หรอ :P

สามบรรทัดยังไม่อ่าน :ugeek:
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 10:11 pm

37. ทุจริต “มอเตอร์เวย์”บางประอิน-โคราช 5.9 หมื่นล้าน ภาคประชาชนขู่ฟ้องศาลปกครองคระงับโครงการ ส่อพิรุธงบเดิม 2 หมื่นล้านพรวดเป็น 5.9 หมื่นล้าน

ซัดมอเตอร์เวย์บางประอิน-โคราช5.9หมื่นล้านส่อทุจริตกระทบอื้อ
ภาคประชาชนขู่ฟ้องศาลปค.ระงับโครงการ หมอศุภผล ชี้พิรุธเดิม2หมื่นล้านพรวด5.9หมื่นล้าน เลขาหอค้าอีสาน แจง11ข้อส่อโกง-กระทบสังคม,สิ่งแวดล้อม

นายประเทือง ปรัชญพฤธิ์ ประธานเครือข่ายรณรงค์สื่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวตอนหนึ่งในการเสวนาเรื่อง โครงการมอเตอร์เวย์ บางประอิน- โคราช ใครได้ใครเสีย จัดโดย คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ร่วมกับ คณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในทรัพย์สินของรัฐ

โดยระบุว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการไม่โปร่งใส หากรัฐบาลต้องการเดินหน้าโครงการนี้ภาคประชาชนจะรวมตัวกันฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ตัดสินยับยั้งโครงการนี้ เพราะมีความไม่ชอบธรรมตั้งแต่การประชาพิจารณ์ในปี 2549 ซึ่งไม่ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม แต่กรมทางหลวงเกณฑ์ประชาชนพื้นที่อื่นมาแทน และมีการตั้งคำถามนำที่ทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก นอกจากต้องบอกเห็นด้วย

"ถือว่าเป็นโครงการลิงหลอกเจ้า หรือโครงการนักการเมืองหลอกประชาชน โครงการนี้เป็นความพยายามของนักการเมืองเป็นเจ้าของโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 พันคัน โครงการยังไม่เริ่มต้นก็จ้องอนุมัติงบประมาณ 100 ล้านบาท อ้างไปศึกษาการเวนคืนที่ดิน ถามว่าถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จใครจะรับผิดชอบ"

นายประเทือง กล่าวอีกว่า ภาคประชาชนต้องติดตามตรวจสอบให้เข้มข้น เพราะไม่เช่นนั้นหากโครงการบางปะอิน - โคราชสำเร็จก็จะมีโครงการอื่นๆ ที่เขาวางไว้อีก 4 เส้นทางตามมาแน่นอน ถึงตอนนั้นเชื่อว่างบประมาณจะพุ่งถึงแสนล้านบาท และถือว่าเป็นโครงการอันตราย การที่รัฐอ้างว่าทำมอเตอร์เวย์เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาลปีใหม่ และสงกรานต์เป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น เพราะความจริงแล้วรัฐบาลสามารถปรับปรุงเส้นทางทั่วประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

ท.พ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี กลุ่มมวลชนรักโคราช กล่าวว่า คนโคราชส่วนใหญ่คัดค้านโครงการนี้ เพราะเห็นว่าเป็นโครงการไม่เป็นประโยชน์ ขณะนี้ประเทศไทยมีถนนทั่วประเทศกว่า 2 แสนกิโลเมตรแล้ว จึงไม่เข้าใจกระทรวงคมนาคมมีโครงการสร้างเส้นทางหลวงพิเศษอีก 4 โครงการ รวมงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท สร้างเพื่ออะไร เพราะการสร้างถนนดังกล่าวไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด ดังนั้น อยากให้นำงบประมาณตรงนี้มาสร้างรถไฟรางคู่และพัฒนาระบบรถไฟให้เป็นรถไฟความเร็วสูงจะดีกว่า ถ้าทำได้เชื่อว่าจะสามารถลดต้นทุนการขนส่งโดยภาพรวมจาก 19 % เป็น 11% ได้

"เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ เป็นแค่เส้นทางที่คนไฮโซเท่านั้น เพราะรถไม่กี่คันเท่านั้นที่วิ่งได้ และยังมีข้อสงสัยว่า แต่เดิมมีการตั้งงบประมาณไว้ 2 หมื่นล้าน ทำไมจึงเพิ่มเป็น 5.9 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ประเทศเศรษฐกิจไม่ดี ต้องไปกู้เขามาด้วยซ้ำ จึงอยากถามว่าแม้ที่จริงแล้วโครงการใครเข้มแข็งกันแน่ เพราะมีการประเมินกันเบื้องต้นว่าการกู้เงินมาทำโครงการต่างๆ จะมีงบเข้ากระเป๋านักการเมืองถึง 3.5 แสนล้านบาท" น.พ.ศุภผล ระบุ

นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวคัดค้านโครงการนี้เช่นกัน เพราะเป็นยัดเยียดให้ประชาชน เชื่อว่าหากดำเนินการต่อไปจะเกิดความขัดแย้งเหมือนโครงการมาบตาพุด เหตุผลที่คัดค้านมีดังนี้ 1.เพิ่มค่าใช้จ่ายให้คนอีสานเที่ยวละ 200 บาท และจะเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการจะใช้อ้างอิงราคา ทั้งค่าโดยสารและค่าขนส่งสินค้า ถือเป็นการเพิ่มภาระต่อผู้บริโภค 2.งบประมาณ 5.9 หมื่นล้านบาทเป็นเงินกู้ จะทำให้เกิดหนี้สาธารณะที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากมีหนี้สูงกว่า 60% ของจีดีพี จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงด้านการเงินของประเทศในอนาคต

3.ประเทศไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาคอรัปชั่นได้ หากทำโครงการถึง 5.9 หมื่นล้านบาทใครจะรับประกัน จะไม่มีการคอรัปชั่น 4.การลงทุนด้านงบประมาณที่มาจากการกู้เงินมาลงทุน ไม่มีความแน่นอน และชัดเจนว่าใครจะมาลงทุน หากมีการดำเนินการอย่างเร่งรีบ ภาระหนักจึงจะตกอยู่ที่รัฐบาล 5.การบำรุงรักษามอเตอร์เวย์สูงมาก ต้องใช้อุปกรณ์ กำลังคน ตลอดเส้นทางจึงเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่เป็นภาระต่อผู้บริโภค

6.ประชาชนตลอดเส้นทางที่ก่อสร้างมอเตอร์เวย์ ยังไม่เข้าใจผลดีผลเสียของโครงการดังกล่าว ซึ่งโครงการดังกล่าวอาจเข้าข่ายขัด มาตรา 67 วรรค 2 ตามรัฐธรรมนูญ 7.ผลกระทบต่อเขตมรดกโลก และด้านการท่องเที่ยว 8.จะทำลายแหล่งหินตัด ที่ใช้สร้างปราสาทหินพิมาย ช่วงผ่าน อ.สีคิ้ว

9. ทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของ คนสองฝั่งทางตลอดแนวตั้งแต่ อ.แก่งคอย, ปากช่อง, สีคิ้ว, สูงเนิน ฯลฯ จะถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน ตัดขาดจากกันโดยสิ้นเชิง เพราะมอเตอร์เวย์จะมีรั้วกันทั้ง 2 ฝั่ง ถนนข้ามไปมาไม่ได้ 10.โรงเรียนบ้านนา ที่บริเวณถนนธนะรัชต์ อาจถูกผลกระทบด้านเสียง เด็กจะไม่มีสมาธิเรียน อาจต้องย้ายหนีเหมือนมาบตาพุด 11.ขณะนี้ถนนมิตรภาพยังใช้ไม่เต็ม100 % เพราะเลนซ้ายชำรุดเกือบตลอดแนว ถ้าปรับปรุงถนนมิตรภาพทั้งหมดจะช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในช่วงเทศกาลได้

http://news.sanook.com/857333-%E0%B8%8B ... B8%AD.html


23. ผลสอบ สตง. ระบุชัด ปตท.ยังส่งคืนสมบัติแผ่นดินให้กระทรวงคลังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โกงท่อก๊าซฯบนบกและในทะเลมูลค่ารวม 32,613 ล้านบาท คุณ รสนา"ได้ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช และอธิบดีกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามเรียกคืนทรัพย์สินจาก ปตท เพิกเฉยเจอม.157 ข้อหาละเว้น
“ครม.อภิสิทธิ์”ทราบเรื่อง ตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค.ปีที่แล้วแต่ทุกฝ่ายกลับอุบเรื่องเงียบ ( รัฐบาลนี้ไม่มีความแตกต่างจากรัฐบาลทักษิณออกกฎหมายเพื่อล้มล้างความผิดของตนเอง และมีผลบังคับใช้ 3 วันก่อนมีคำพิพากษา )

ปตท.อมสมบัติชาติ 3.2 หมื่นล้าน สตง.ชี้ยังคืนไม่ครบตามคำสั่งศาล

ASTVผู้จัดการรายวัน – เปิดผลสอบ สตง. ระบุชัด ปตท.ยังส่งคืนสมบัติแผ่นดินให้กระทรวงคลังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ชี้อมท่อก๊าซฯบนบกและในทะเลมูลค่ารวม 32,613 ล้านบาท เผยแจ้งเลขาธิการศาลปกครอง- “ครม.อภิสิทธิ์” รวมถึง “ประเสิรฐ บุญสัมพันธ์” ตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค.ปีที่แล้วแต่ทุกฝ่ายกลับอุบเรื่องเงียบ มูลนิธิผู้บริโภคกระทุ้งรมว.คลัง ติดตามทวงคืนด่วน

รายงานข่าวจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งว่า หลังจากสตง.ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี ให้เข้ามาตรวจสอบรับรองความถูกต้องมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน) แบ่งแยกให้กระทรวงคลังตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ทางสตง. ได้สรุปผลการตรวจสอบพร้อมกับทำหนังสือ ประทับตรา ลับ ลงนามโดยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ส่งไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว คือ

คณะรัฐมนตรีผ่านทางเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, เลขาธิการศาลปกครอง, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันคือนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ และประธานกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันคือ นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน) โดยหนังสือดังกล่าวส่งไปตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2551

ตามหนังสือ ที่ สตง. ส่งไปยังเลขาธิการศาลปกครอง ระบุว่า สตง.ได้ตรวจสอบมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ ปตท. ณ วันที่ 30 ก.ย. 2544 ที่แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด พร้อมรายละเอียดเสร็จแล้ว โดยสตง.เห็นว่า มูลค่าทรัพย์สินที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แบ่งแยกและส่งมอบให้กระทรวงการคลัง ยังไม่ครบถ้วนตามคำ

พิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่บริษัทได้แบ่งแยกและส่งมองทรัพย์สินให้กระทรวงการคลังตามหลักการแบ่งแยกตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 แล้ว

สำหรับหนังสือที่ สตง. แจ้งผลการตรวจสอบทรัพย์สินไปยัง ปตท.นั้น สตง.ได้ระบุ ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามข้อเสนอแนะในข้อสังเกตประกอบการตรวจสอบมูลค่าทรัพย์สินที่แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาของศาลฯ และ สตง. ขอให้ ปตท. แจ้งผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะกลับมายัง สตง. ด้วย

ซึ่งจนถึงบัดนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 2 เดือนแล้ว แต่ไม่ปรากฏความคืบหน้าว่า ปตท.ได้มีการดำเนินการใดๆ ตามที่ สตง. เสนอแนะ เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆ ที่รับทราบผลการตรวจสอบแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ต่อเช่นกัน โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ในฐานะหน่วยงานที่ต้องดูแลรักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน

รายงานข่าวแจ้งว่า รายการทรัพย์สินที่ ปตท. ยังส่งมอบคืนไม่ครบถ้วน ตามรายงานตรวจสอบของ สตง. คือ ส่วนที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกที่อยู่บนที่ดินเวนคืนและที่ดินรอนสิทธิจากเอกชนที่บริษัทแบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง จำนวน 15,050.69 ล้านบาท ซึ่ง สตง. ได้ตรวจสอบพบว่า ทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศ เฉพาะระบบท่อส่งก๊าซฯ มีมูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2544 จำนวน 47,664.14 ล้านบาท

ในจำนวนนี้เป็นระบบท่อส่งก๊าซฯ ที่ปรากฏชื่อโครงการในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด จำนวน 36,642.76 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้แบ่งแยกและส่งมอบให้กระทรวงการคลัง จำนวน 14,808.62 ล้านบาท คงเหลือส่วนที่บริษัทยังไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง จำนวน 21,834.14 ล้านบาท

และส่วนที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซฯ ที่ไม่ปรากฏชื่อโครงการในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่น่าเชื่อว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา 1304 (3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อีกจำนวน 11,021.38 ล้านบาท ซึ่งบริษัทแบ่งแยกและส่งมอบให้กระทรวงการคลัง จำนวน 242.07 ล้านบาท คงเหลือส่วนที่บริษัทยังไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง จำนวน 10,779.31 ล้านบาท

รวมระบบท่อก๊าซฯที่บริษัทยังไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง จำนวนทั้งสิ้น 32,613.45 ล้านบาท ประกอบด้วย ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก จำนวน 14,393.16 ล้านบาท และในทะเล จำนวน 18,220.29 ล้านบาท

“เนื่องจากผลการตรวจสอบเรื่องระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่บริษัทแบ่งแยกและส่งมอบให้กระทรวงการคลังข้างต้นมีสาระสำคัญอย่างมาก ดังนั้นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เห็นว่ามูลค่าทรัพย์สินตามที่บริษัทแบ่งแยกและส่งมอบให้กระทรวงการคลังดังกล่าวยังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด … ” รายงานผลสอบของ สตง. ระบุ

ทั้งนี้ ตามบันทึกการแบ่งแยกทรัพย์สินและการส่งมอบทรัพย์สินที่แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 24 เม.ย. 2551 ผู้ลงนามในบันทึก คือ นายอำนวน ปรีมนวงศ์

รองอธิบดีกรมธนารักษ์ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมธนารักษ์ และนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่

พร้อมด้วยนายนิพิฐ อริยวงศ์ เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ราชพัสดุ 9 ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมธนารักษ์ และนายสุพจน์ เหล่าสุอาภา ผู้จัดการสำนักกฎหมาย บมจ.ปตท. เป็นพยาน นั้น มีรายละเอียดการตกลงส่งมอบและกรมธนารักษ์ ตกลงรับมอบทรัพย์สิน ดังนี้

1) ที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการปิโตรเลียมฯ ได้ใช้เงินทุนจากรัฐ และใช้อำนาจมหาชนเวนคืนที่ดิน เนื้อที่รวม 32 ไร่ 0 งาน 74.1 ตร.ว. จำนวน 106 แปลง ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ซึ่งมีมูลค่าสุทธิทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2544 รวมประมาณ 1 ล้านบาท

2)สิทธิการใช้ที่ดินเหนือที่ดินเอกชนเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ซึ่งการปิโตรเลียมฯ ใช้อำนาจมหาชนของรัฐเหนือที่ดินเอกชน อันเป็นการกระทำในฐานะที่เป็นองค์กรของรัฐบังคับแก่ทรัพย์สินของเอกชน และจ่ายค่าทดแทนโดยอาศัยทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งมีมูลค่าสุทธิทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2544 รวมประมาณ 1,137 ล้านบาท

3)ทรัพย์สินที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรวมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในที่ดินตามข้อแรกและข้อสอง ซึ่งมีมูลค่าสุทธิทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2544 รวมประมาณ 14,808 ล้านบาท

และ 4) ทรัพย์สินที่เป็นระบบท่อจำนวนก๊าซธรรมชาติ (โครงการท่อย่อย) ที่อยู่ในที่ดินตามข้อสอง ซึ่งมีมูลค่าสุทธิทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2544 รวมประมาณ 229 ล้านบาท
รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ปตท.แบ่งแยกคืนกระทรวงคลัง รวม 16,176.19 ล้านบาท เท่านั้น

อนึ่ง สตง. ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 ให้เข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองมูลค่าทรัพย์สินที่แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังดังกล่าวว่าเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ตามคดีหมายเลขดำที่ ฟ.47/2549 และคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2550 หรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบของสตง.ใช้วิธีการตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี รวมทั้งใช้วิธีทดสองหลักฐานประกอบรายการ ทั้งที่เป็นจำนวนเงินและการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งผู้บริหารของบริษัท ปตท. เป็นผู้จัดทำขึ้น

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิผู้บริโภค ในฐานะผู้ฟ้องคดี เปิดเผยว่า มูลนิธิฯ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองสูงสุดไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่บริษัท ปตท. ต้องคืนกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 52 ที่ผ่านมา แต่ศาลปกครองสูงสุด ได้ยกคำร้องด้วยเหตุผลว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย ซึ่งกรณีนี้ทางกระทรวงการคลัง ต้องทำหน้าที่ของตนเองในการ

ติดตามทรัพย์สินจาก ปตท.คืนมาให้ครบถ้วนตามคำสั่งศาล ตามผลการตรวจสอบของ สตง.

@@@
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=409890
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 10:28 pm

31. ทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอที่ระบุว่ามี “ข้อสอบรั่ว” ช่วยเหลือ 140 ปลัดให้สอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอแลกกับการแลกผลประโยชน์รายละกว่าล้านบาท เพราะเป็นไปไม่ได้ 140 คนตอบข้อสอบเหมือนกันทุกข้อ

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 21:29:03 น. มติชนออนไลน์


ป.ป.ช.พบทุจริตสอบ ร.ร.นายอำเภอ คำตอบเหมือนกันเด๊ะ140ราย บุรีรัมย์ได้เกือบ20คน สะพัดจ่ายหัว1ล.

ป.ป.ช.ตะลึงพบหลักฐานการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ คำตอบเหมือนกันทุกตัวอักษรกว่า 140 ราย บุรีรัยย์ได้เกือบ 20 คนสงสัยมีการเปลี่ยนกระดาษคำตอบ ตรวจกระแสเงินหาหลักฐานจ่ายหัวละ 1 ล้าน


แหล่งข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เปิดเผย"มติชนออน์ไลน์"เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ถึงความคืบหน้ากรณีแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนเรื่องกล่าวหา นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง กับพวก ดำเนินการสอบเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ประจำปี 2552 โดยมิชอบว่า การไต่สวนคืบหน้าไปกว่า 70% แล้วโดยเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องและรวบรวมพยานหลักฐานได้เป็นจำนวนมากพบว่า หลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นว่า น่ามีการทุจริตการสอบกันจริงโดยเฉพาะกระดาษคำตอบของปลัดอำเภอที่เข้าสอบซึ่งเป็นข้อสอบแบบอัตนัยปรากฏว่า มีกว่า 140 รายจากผู้ที่กว่า 1,000 รายที่มีข้อความเหมือนกันหมด ทั้งย่อหน้า คำเชื่อม เช่น ซึ่ง แต่ กับ และ นอกจากนั้นบางรายยังเป็นลายมือเดียวกันด้วย



แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.พบหลักฐานกระดาษคำตอบว่า เขียนเหมือนกันทุกย่อหน้าและบางฉบับยังเป็นลายมือเดียวกันด้วยซึ่งทาง ป.ป.ช.ได้อายัดเอกสารเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานแล้ว จากนั้น จึงบุกไปที่โรงเรียนนายอำเภอและขอให้ปลัดอำเภอที่เข้าสอบมาคัดลอกข้อความด้วยลายมือของตนเองเพื่อที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะได้นำไปเปรียบเทียบกับกระดาษคำตอบของตนเอง ปรากฏว่า ผู้ที่ถูกทดสอบลายมือถึงกับเหงื่อแตกด้วยความตกใจ


"จากพยานหลักฐานดังกล่าวน่าเชื่อว่า การทุจริตครั้งนี้ทำเป็นขบวนการใหญ่ด้วยการเอาคำตอบที่เตรียมไว้ไปเปลี่ยนในสมุดกระดาษคำตอบของผู้ที่เข้าสอบ เพราะพบว่า สันของสมุดกระดาษคำตอบมีร่องรอยของการแกะลวดเย็บกระดาษออกเพื่อเปลี่ยนกระดาษคำตอบ สันสมุดกระดาษตอบจึงมีรูหลายรูเนื่องจากเมื่อเย็บลสดกระดาษเข้าไปใหม่ไม่ตรงกับรูเดิม"แหล่งข่าวกล่าว


แหล่งข่าวกล่าว นอกจากวัตถุพยานที่ชัดเจนดังกล่าวแล้ว ยังพบข้อพิรุกคือปกติการเปิดซองข้อสอบนั้นจะเปิดเช้าวันสอบ แต่ในครั้งนี้มีการเปิดตั้งแต่วันศุกร์ ขณะที่จะมีการสอบในวันจันทร์ซึ่งช่วงเวลา 2-3 วันสามารถนำข้อสอบไปดำเนินการต่างๆได้มากมาย


แหล่งข่าวกล่าวว่า ในการทุจริตการสอบครั้งนี้ มีข่าว่า ผู้ที่ต้องการสอบได้ตั้งจ่ายหัวละ 1 ล้านบาท ทางเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จึงได้ตรวจสอบกระแสเงินของผูเข้าสอบและบุคคลใกล้ชิดว่า มีการเบิกหรือถอนเงินจำนวนผิดปกติเพื่อไปจ่ายสินบนหรือไม่ด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่โยงถึงนักการเมืองซึ่งมีข่าวว่า เป็นผู้บงการในครั้งนี้ แต่ปรากฏว่า ในจำนวนผู้ที่สอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอได้ในครั้งนี้เป็นปลัดจังหวัดบุรีรัมย์เกือบ 20 คน ขณะที่ ปลัดอำเภอใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องเสี่ยงภัยกลับสอบเข้าไม่ได้เลย


รายงานข่าวแจ้งว่า ในปี 2552 มีการเปิดสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ 3 รุ่นๆละ 90 คน รวม 270 คน โดยมีผู้เข้าสอบกว่า 1,000 คน ผู้ที่ผ่านโรงเรียนายอำเภอแล้วจะขึ้นบัญชีไว้เรียงตามลำดับคะแนนและจะเรียกบรรจุตามลำดับตามบัญชีในแต่ละรุ่น


http://sara-dede.is.in.th/?md=webboard& ... 04&cpage=2
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby papa05 » Sun Feb 20, 2011 10:29 pm

ramboboy26 wrote:ขอหลักฐาน ไม่เอาบทความ

คนนู้นเล่าว่า... แหล่งข่าวเปิดเผยว่า...

เบื่อแล้ว ไม่มีมุกใหม่หรอ :P
:lol: :lol: :lol: :lol: เดี๋ยวจัดหาให้จะถูกใจหรือเปล่าหนอ :lol: :lol:






มหากาพย์พลังงานไทยโกงไทย (2) เงื่อนงำกระจายหุ้น ปตท.
ถ้าทุนทักษิณและพวกแปรรูปปตท.เมื่อปี 2544 แบบเนียน ๆ ไม่โลภเกินเหตุ กระแสข้อสงสัยคลางแคลงใจต่อการเข้ามาแบ่งผลประโยชน์มหาศาลในกิจการพลังงานคงไม่เกิดอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันทั้ง ๆ ที่เวลาได้ผ่านไปร่วม 9 ปีแล้ว

ถ้าพวกเขาฮุบหุ้นแบบเนียน ๆ ผ่านกองทุนต่างประเทศ และผ่านโบรกเกอร์ไม่หน้ามืดตามัวไปแย่งเอาจากส่วนจัดสรรของประชาชนรายย่อยที่มีสัดส่วนน้อยกว่าเยอะ การค้นหาหลักฐานบ่งชี้ว่ามี “ผู้มีอำนาจเหนือระบบ” กำหนดและบงการการจัดสรรหุ้นคงจะยากขึ้นอีกมากเพราะเป็นหุ้นที่ผ่านกองทุนต่างประเทศ

ความโลภเกินพิกัดตัวเดียวนี่เองที่ทำให้เกิดหลักฐานผูกมัดปรากฏในประวัติศาสตร์การพลังงานไทยให้จดจำชั่วลูกหลานว่าการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เมื่อพ.ศ.2544 นั้นสกปรกโสมมที่สุดอีกครั้งหนึ่ง และต้องบันทึกว่าการแปรรูป ปตท.เนื้อแท้มาจากทุนและอำนาจทางการเมืองหวังผลประโยชน์และความมั่งคั่งจากกลไกควบคุมพลังงานของไทย

ปตท. แปลงร่างเป็น Super Enterprise ปากหนึ่งบอกว่าการแปรรูปเดินตามปรัชญาการแข่งขันเสรี ทำให้เป็นเอกชนปราศจากการครอบงำของรัฐซึ่งฐานของปรัชญานี้เชื่อว่าทำให้การประกอบการมีประสิทธิภาพขึ้น แต่อีกทางหนึ่งเจ้าบริษัทมหาชนแห่งนี้ก็คงอำนาจหน้าที่ของความเป็นรัฐวิสาหกิจเอาไว้คงเดิม

ปตท.กระจายหุ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 รวม 800 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 35 บาท(ปัจจุบันประมาณ 260 บาท) แบ่งเป็น 4 กลุ่มซึ่งแต่ละกลุ่มล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น

กลุ่มแรก-หุ้นผู้มีอุปการะคุณ 25 ล้านหุ้น ซึ่งกรรมการปตท.สามารถตัดสินใจที่จะให้ใครก็ได้ในนามของผู้มีอุปการะคุณคำถามตัวโต ๆ ก็คือหุ้นปตท.ตีค่าเป็นทรัพย์สินของส่วนรวมไม่ใช่หุ้นบริษัทเอกชนที่เจ้าของนึกพิศวาสใครก็ยกให้ได้ในราคาถูก ถ้าปตท.ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจจะไม่มีคำครหาใด ๆ สำหรับประเด็นนี้ มูลค่าส่วนต่างของผู้ที่ได้หุ้นกลุ่มนี้ ถ้าคิดจาก 260-35= 225 บาท/หุ้น จะเป็นเม็ดเงินถึง 5,625 ล้านบาทซึ่งบรรดาผู้มีอุปการะคุณใครก็ไม่รู้ได้ไปสบาย ๆ จากกิจการที่เป็นทรัพย์สมบัติชาติ

นี่เป็นความไม่ชอบประการแรกในการกระจายหุ้นครั้งนั้น และที่สำคัญสังคมไทยยังไม่เคยทราบข้อมูลจากปตท.เลยว่าบรรดาผู้มีอุปการะคุณที่ได้รับแจกหุ้นไปมีใครบ้างและได้ไปคนละเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เป็นธรรมาภิบาลพื้นฐาน

กลุ่มที่สอง-หุ้นขายให้ผู้ลงทุนต่างประเทศ 320 ล้านหุ้น มูลค่าส่วนต่างประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาทไม่นับรวมเงินปันผลและสิทธิอื่น ๆ หุ้นกลุ่มนี้เชื่อว่ามีฝรั่งหัวดำที่เป็นคนไทยและทุนไทยโดยเฉพาะทุนการเมืองคว้าไปโดยจนบัดนี้ก็ไม่เคยปรากฏจะสืบสาวได้ต่อ

กลุ่มที่สาม-เป็นหุ้นสำหรับบุคคลทั่วไปในประเทศ 235 ล้านหุ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเล่นหุ้นที่มีบัญชีกับโบรกเกอร์อยู่แล้ว

และกลุ่มสุดท้าย-คือหุ้นที่จัดสรรให้ผู้จองซื้อรายย่อยในประเทศ 220 ล้านหุ้น กลุ่มนี้เขาบอกว่าเป็นประชาชนทั่วไปที่พอมีเงินเก็บอยากลงทุนระยะยาว อยู่ตามต่างจังหวัด และเป็นหุ้นแต่งหน้าเค้ก- ก็คือกระจายให้ทั่ว ๆ ลงไปสู่ประชาชนจริง ๆ ให้เกิดภาพลักษณ์ที่สวยงามว่าการแปรรูปครั้งนี้กว้างขวางและลึกไปถึงมือคนไทยอย่างหลากหลาย

อย่างที่บอก-คนที่มีเงินมีอำนาจ สามารถจะหาช่องเก็บหุ้นจาก 3 ส่วนแรกได้สบาย ๆ แค่ 600 ล้านหุ้นก็เป็นสัดส่วนที่โขอยู่ หากต้องการเพิ่มค่อยตามไล่เก็บในตลาดหุ้นภายหลังก็น่าจะไหวอยู่เพราะรายย่อยนั้นพอมีกำไรนิดหน่อยก็คงปล่อยแล้ว

แต่นั่นเองคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต การจัดสรรให้รายย่อยคุณป้าคุณอาอาซิ้มอาซ้อก็ยังมีปัญหา !

หุ้นที่จัดสรรให้กับรายย่อย 220 ล้านหุ้น(ซึ่งที่จริงในครั้งนั้นกระทรวงการคลังจะเจียดเพิ่มให้อีก 120 ล้านหุ้นรวมแล้วที่จัดสรรผ่านรายย่อยจำนวน 340 ล้านหุ้น)ต้องไปจองซื้อผ่านธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งโดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นแม่ข่ายศูนย์ข้อมูลรับจองซื้อหุ้นจากสาขาธนาคารต่าง ๆ ทั่วประเทศ

การขายหุ้นครั้งประวัติศาสตร์เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2544 หมดเกลี้ยงในพริบตา

หุ้นล็อตแรก 220 ล้านหุ้นหมดใน 1.25 นาที !!

หุ้นเพิ่มเติมที่กระทรวงการคลังตัดมาให้อีก 120 ล้านหุ้นก็หมดไปด้วยรวมแล้ว 340 ล้านหุ้นรวมแล้วขายหมดเกลี้ยงในเวลาเพียง 4.4 นาทีเท่านั้น

ถึงขนาดว่าบางธนาคารผู้ลงทุนรายย่อยบางคนยังไม่ทันกรอกรายละเอียดในใบจองเลยหุ้นก็หมดแล้ว

ข่าวสารที่ออกไปก่อนหน้าเขาบอกประชาชนรายย่อยซื้อได้ไม่เกินแสนหุ้น แต่ปรากฏว่ามีคนได้เป็นหลายแสนถึงล้านหุ้นก็มี

หลักฐานหนังสือชี้ชวนเขียนไว้ชัดเจนว่า “ผู้จองซื้อรายย่อยจะต้องจองซื้อขั้นต่ำจำนวน 1,000 หุ้น และจะต้องเป็นทวีคูณของ 100 หุ้นแต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 100,000 หุ้นต่อใบจองซื้อ”

และหากไม่ชัดเจนให้ดูข่าวเก่าที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ให้ข่าวกับสื่อมวลชน 5 วันก่อนหน้าวันขายหุ้นเพื่อยืนยันกันอีกครั้งว่าการกระจายหุ้นรอบนี้มีเป้าหมายกระจายให้ชาวบ้านมาประกอบว่ามีเป้าหมายจัดสรรไม่เกินคนละแสนหุ้น



ปตท.เลื่อนรับใบจองหุ้น / 9 พ.ย. 44
ผู้จัดการรายวัน - นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการประเมินผลหลังจากการเดินสายชี้แจงข้อมูลบริษัทให้แก่นักลงทุนในภูมิภาครวม 5 จังหวัดที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า นักลงทุนรายย่อยและผู้ที่มีเงินออม ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ให้ความสนใจสูงมาก นอกจากนั้นผลสำรวจความต้องการหุ้นของ นักลงทุนสถาบันก็มีสูงมากเช่นกัน อีกทั้งเพื่อให้สามารถกระจายหุ้นไปสู่ประชาชนผู้สนใจได้จำนวนมาก จึงได้มีการ ปรับลดยอดการสั่งจองหุ้นต่อ 1 ใบจองจากเดิม สามารถจองได้ตั้งแต่ 1,000 หุ้น สูงสุดไม่เกิน 500,000 หุ้น มาเป็นตั้งแต่ 1,000 หุ้น สูงสุดไม่เกิน 100,000 หุ้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการในการสั่งจองหุ้น ปตท.ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด บริษัทฯ จึงได้วางมาตรการอย่างรัดกุมให้การแจกใบจองหุ้นพร้อมเอกสารและขั้นตอนการจองหุ้นมี ความสมบูรณ์ ครบถ้วนและพร้อมเพรียงกันทุกสาขาธนาคารทั่วประเทศ มาตรการดังกล่าวส่งผล ให้บริษัทจำเป็นต้องเลื่อนการเปิดให้ประชาชนมา รับใบจองหุ้นจากเดิมวันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2544 เป็นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544


เรื่องนี้เป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์คึกโครมเพราะมีข่าวว่ามีแต่นักการเมือง ญาติมิตรพวกพ้องและคนรวยเท่านั้นที่ได้หุ้นปตท.ไป เสียงวิจารณ์มากขึ้นเพราะมีผู้ครองหุ้นเป็นล้านหุ้น ในตอนนั้นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของปตท.จะพยายามแก้ต่างว่ารายชื่อญาติพี่น้องนักการเมืองที่ปรากฏตามสื่อเขาได้หุ้นจากหลายแหล่งทั้งหุ้นอุปการะคุณหุ้นซื้อจากโบรกเกอร์มารวมกันทำให้มีจำนวนมาก

ปตท.ให้ข่าวได้ถูก-แต่ถูกเพียงส่วนเดียวเพราะไม่ได้บอกว่า หากจะหยิบเอามาเฉพาะกลุ่มที่จองซื้อจากธนาคารซึ่งเป็นสัดส่วนรายย่อยล้วน ๆ ก็มีบุคคลที่กวาดหุ้นเป็นล้านหรือหลายแสนหุ้นเช่นเดียวกัน

เสียงวิจารณ์ที่ดังไม่หยุดเพราะคนไทยไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าขาย 220 ล้านหุ้นในเวลาแค่ 1.25 นาที(75วินาที) มันผิดปกติอย่างแน่นอนจนที่สุด ก.ล.ต. ในฐานะในฐานะองค์กรผู้รักษากติกาและธรรมาภิบาลตลาดทุนอยู่ไม่ติดได้มีการสอบตรวจสอบการขายหุ้นครั้งนั้นซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนจะทำให้เรื่องจบลงแบบง่าย ๆ

ก.ล.ต.ตรวจสอบการกระจายหุ้นซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เป็นแม่ข่ายคอมพิวเตอร์ร่วมกับธนาคารอีก 4 แห่งในที่สุดผลการตรวจสอบก็ออกมาเมื่อมกราคม 2545 ผลสอบระบุว่า การจัดสรรหุ้นครั้งนั้น “ผิดปกติจริง” เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า web server ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อชี้ชวน

พูดเป็นภาษาชาวบ้านง่าย ๆ คือธนาคารแห่งนี้และลูกค้าในกลุ่มนี้เอาเปรียบชาวบ้านเขา เล่นกรอกรายการล่วงหน้าแล้วกดปุ่มรอบเดียว ชื่อที่ล็อกไว้ก็จะเข้าไปในบัญชีรายการจองได้เร็วกว่าคนอื่น นำมาสู่มติของก.ล.ต.ที่ลงโทษธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยการพักการเป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้นในประเทศเป็นเวลา 6 เดือน

การสั่งสอบของ ก.ล.ต.ดูเผิน ๆ เหมือนจะธำรงความยุติธรรมให้กับสังคมโดยเฉพาะประชาชนรายย่อยแต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีผลใด ๆ เลยเพราะมีแค่ลงโทษด้วยการไม่ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ต้องขายหุ้นในประเทศแค่ 6 เดือน ส่วนหุ้นที่ได้มาโดยเอาเปรียบชาวบ้านเขาผลสอบบอกว่ามีสัดส่วนน้อยมากไม่มีผลกระทบต่อภาพรวม กลุ่มที่ได้มาแบบไม่ปกติก็ยังคงได้สิทธิ์นั้นต่อไป

เรื่องจึงเหมือนเจ๊า ๆ กันไป...กลายเป็นน้ำกระทบฝั่ง คนที่รวยหุ้นปตท. ก็รวยไปเพราะหลังจากนั้น ปตท.ก็โตเอา ๆ ทำกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นทะลุ 300 บาทจากราคาที่ซื้อมาตอนแรก 35 บาทร่ำรวยกันใหญ่โต ทั้งกลุ่มที่ได้มาโดยจองได้จริง และกลุ่มที่ได้โดยการโกงชาวบ้านมา !

ข้อแคลงใจ-ผู้สอบกับผู้ถูกสอบเป็นพี่น้องกัน ?

:lol:
: คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ ใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (ในเวลานั้น) ซึ่งถูกชี้ว่ากระจายหุ้นโดยขัดข้อชี้ชวนและถูกก.ล.ต.สั่งลงโทษ กับ ศ.กิตติคุณเติมศักดิ์ กฤษณามระ ตำแหน่งผู้สอบบัญชี รับอนุญาตบริษัทดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด ซึ่งก.ล.ต.ให้เข้ามาตรวจสอบการขายหุ้นที่ผิดปกติ(เป็นพี่น้องกัน ทั้งสองท่านเป็นพี่น้องกัน โดยต่างเป็นบุตรของพระยาไชยยศสมบัติ(เสริม กฤษณามระ) และคุณหญิงดารา ไชยยศสมบัติ

การตรวจสอบการจองและจัดสรรหุ้นปตท. โดยก.ล.ต.ได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนมกราคม 2545 จนเมื่อเดือนเมษายน 2553 ที่ผ่านมากองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันรื้อฟื้น-ศึกษากรณีการขายหุ้นปตท.ขึ้นมาดูอีกรอบ

เอกสารรายงานการตรวจสอบดังกล่าวจากก.ล.ต. ซึ่งเป็นชุดที่เผยแพร่ให้นักลงทุนทราบมีจำนวน21 หน้าและได้เอกสารบัญชีผู้ได้รับการจัดสรรหุ้นปตท.ในครั้งนั้นอีกปึกใหญ่

เอกสารผลการตรวจสอบระบุว่า ก.ล.ต.ได้อ้างอิงการตรวจสอบที่เรียกว่า “รายงานการสอบทานระบบที่ใช้ในการรับจองซื้อหุ้น” โดยบริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัสสุ ไชยยศ จำกัด

เอกสารชิ้นนี้อธิบายวิธีการตรวจสอบในขั้นตอนต่าง ๆ จนได้ข้อสรุปสุดท้ายว่า.. “เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการรับจองซื้อหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ทำให้สิทธิของผู้จองซื้อหุ้นที่จะได้รับการจัดสรรไม่เท่าเทียมกันและไม่เป็นไปตามเจตนาของหนังสือชี้ชวน”

ถ้าตัดเฉพาะถ้อยคำนี้เหมือนจะชัดเจนตรงตัวว่า การกระทำความผิดย่อมไม่สามารถจะปิดบังได้เพราะยังไงหลักฐานที่ปรากฏมันชัดเจนว่าธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะแม่ข่ายคอมพิวเตอร์ใช้เทคนิคทำให้คนบางกลุ่มได้เปรียบ

แต่เมื่ออ่านบรรทัดต่อมา.....ที่ระบุว่า

“อย่างไรก็ดีรายการจองซื้อที่เข้าข่ายว่ามีความผิดปกติดังกล่าวมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับรายการทั้งหมด........จึงเห็นว่าความผิดปกติดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับภาพรวมของการเสนอขายหุ้นของ บมจ.ปตท.ในครั้งนี้จนทำให้ต้องมีการเปิดรับจองใหม่”

เอกสารบอกว่ารายการที่ผิดปกติที่ดีลอยท์ ทู้ช โธมัสสุ ไชยยศตรวจพบมีจำนวน 859 รายการหรือคิดเป็น 7.73% ของจำนวนรายการที่ได้รับการจัดสรร

และจึงเป็นที่มาของการที่ก.ล.ต.สั่งลงโทษธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้นในประเทศ 6 เดือน (แต่ไม่ทำอย่างอื่นใดนอกเหนือจากเรื่องนี้รวมถึงเรื่องหุ้นผิดปกติที่ตรวจพบ 859 รายการ)

การที่ได้เอกสารชิ้นดังกล่าวมาศึกษาอีกครั้งทำให้พบเงื่อนงำที่น่าสนใจอย่างหนึ่งนั่นคือ ผู้บริหารของกิจการตรวจสอบ กับ ผู้บริหารของกิจการที่ถูกสอบมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันโดยทั้งสองท่านต่างเป็นบุตรของพระยาไชยยศสมบัติ(เสริม กฤษณามระ) และคุณหญิงดารา ไชยยศสมบัติ ผู้มีคุณูปการต่อวงการบัญชีไทยอย่างเอกอุ โดยศ.เติมศักดิ์ นั้นเป็นพี่ชายคนโต

นี่เป็นความบังเอิญที่ ก.ล.ต. หรือ ปตท. กำหนดสคริปต์ไว้ก่อนหรือไม่ ? ไม่สามารถตอบได้แต่แน่นอนว่าความบังเอิญนี้ก่อให้เกิดความคลางแคลงใจตามมา

ผมไม่บังอาจตั้งข้อกล่าวหาใด ๆ กับทั้งท่านศ.เติมศักดิ์ กฤษณามระ และทั้งท่านคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม เพราะทั้งสอนท่านต่างเป็นผู้มีชื่อเสียงได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางในความเป็นมืออาชีพ

หากมองในมุมบวก-ผลการตรวจสอบของดีลอยท์ฯ ได้ชี้ความผิดปกติที่ธนาคารไทยพาณิชย์กระทำจนกระทั่งถูกลงโทษเอาแค่ประเด็นนี้ก็ยากจะลุกขึ้นกล่าวหาว่า ดีลอยท์ฯ หรือผู้บริหารท่านใดไม่เป็นมืออาชีพได้อย่างเต็มปาก

แต่อย่างไรความแคลงใจมันห้ามกันไม่ได้..เพราะตามปกติของระบบราชการไทยทั่วไป การตั้งเรื่องสอบแล้วเอาพวกเดียวกันมาสอบนั้นเป็นวิชามารของระบบราชการไทยที่เป็นที่ทราบกันดี

เรื่องร้ายแรงที่ไม่สามารถปิดฟ้าด้วยฝ่ามือก็ทำให้เบาลงเสีย

จากลงโทษหนัก ก็มาเป็นลงโทษเบา ๆ จนแทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงผลใด ๆ

ความคลางแคลงใจในเรื่องผลการตรวจสอบการกระจายหุ้นในครั้งนั้นจึงไม่สามารถจะปัดเป่าได้ด้วยการสั่งลงโทษพักงาน 6 เดือนแล้วจบไป

ด้วยเหตุดังกล่าวกองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันจึงทำหนังสือขอข้อมูลข่าวสารตามพรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ 2540 ไปยังคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อจะขอเอกสารหลักฐานการตรวจสอบครั้งดังกล่าวฉบับสมบูรณ์ ที่มิใช่เอกสารสรุป 21 หน้าที่เผยแพร่ทั่วไป ทั้งเพื่อเพื่อจะพิสูจน์เพื่อลบความคลางแคลงใจทั้งมวลที่มีอยู่

ความคลางแคลงใจต่อเอกสารผลการตรวจสอบจำนวน 21 หน้าที่ก.ล.ต.พยายามชี้แจงต่อสังคมและเพื่อ “ปิดคดี” ยังมีอยู่มากมายหลายประเด็น

1. ก.ล.ต.ตั้งประเด็นสอบเฉพาะระบบและเทคนิคการจัดสรรหุ้น และก็ได้ผลสรุปออกมาว่าใช้เทคนิคที่ผิดจากข้อตกลงทำให้มีการเอาเปรียบชาวบ้านจริงพร้อม ๆ กันนั้นก็ข้ามประเด็นปัญหาการจัดสรรหุ้นเกินโควตา 1 แสนหุ้นที่ปรากฏในหนังสือชี้ชวน โดยก.ล.ต.ยกประโยชน์ให้กับถ้อยคำที่คลุมเครือตีความได้หลายแบบ ทำให้บางรายยื่นจองหลายฉบับและได้รับจัดสรรหลายแสนหรือเป็นล้านหุ้น หากมีการสอบลึกลงไปถึงมติคณะกรรมการเตรียมการจัดสรรหุ้น และเป้าหมายของการจัดสรรให้รายย่อยดั่งที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนนั่นแสดงว่าการจัดสรรหุ้นครั้งนี้ผิดจากเป้าหมายเดิม สมควรจะถูกยกเลิกและจัดสรรใหม่

2. ก.ล.ต.เปิดเผยข้อมูลเพียง 21 หน้ากระดาษที่เน้นไปที่การอธิบายภาพรวมของระบบจองและจัดสรรในเอกสารอ้างอิงผลการตรวจสอบของบริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัสสุ ไชยยศ จำกัด ซึ่งมีหน้าที่ทำรายงานการสอบทานระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการรับจองหุ้นรายงานเป็นหลัก แต่ไม่ได้พยายามตรวจสอบความผิดปกติอื่น ๆ ที่ปรากฏโดยเฉพาะการสอบย้อนเส้นทางการจองและได้รับจัดสรรของผู้ได้รับจัดสรรเกิน 3 แสน-1 ล้านหุ้น เพราะบางรายใช้ธนาคารคนและแห่ง และคนละสาขาแยกใบจองแต่ได้รับการจัดสรรมากมายอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ชาวบ้านซึ่งจองคนละไม่เกิน 1 แสนหุ้นถูกปฏิเสธไปมากกว่า นี่เป็นความผิดปกติที่ชัดเจนที่สุดแต่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงเหมือนจะจงใจละเลยประเด็นความผิดปกตินี้

3. ในเอกสารการตรวจสอบระบุว่าธนาคารอีก 4 แห่งปฏิเสธจะลงนามในข้อตกลงการรับจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) แม้กระทั่งวันเปิดจองหุ้นธนาคารอีก 4 แห่งก็ยังไม่ลงนาม..นี่จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่มีข่าวที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ออกมาแถลงว่าต้องเลื่อนวันจองออกไป แต่ที่สุดธนาคารที่เหลือก็ไม่ลงนาม นี่เป็นความผิดปกติที่ก.ล.ต.ไม่พยายามจะหารายละเอียดข้อปัญหา แต่สรุปไปเลยว่า ธนาคารทุกแห่งเข้าใจระบบตรงกันดี

4. รายงานฉบับเต็มสมควรมีรายชื่อผู้ได้รับการจัดสรรหุ้นที่ระบุในรายงานว่ามีความผิดปกติ หรือพูดง่าย ๆ โกงเพื่อนมาจำนวน 859 รายการนั้นเป็นใครบ้าง ?

5. จากรายงานที่สรุปออกมา 21 หน้า แสดงให้เห็นว่า ก.ล.ต.น่าจะมีรายงานฉบับเต็มและมีข้อมูลการตรวจสอบฉบับเต็ม ซึ่งควรจะเป็นเอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณะได้เพื่อแสดงความโปร่งใสของระบบตลาดทุนไทย และเพื่อความโปร่งใสของการขายสมบัติแผ่นดินในนามของการแปรรูป

ด้วยเหตุนี้กองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันจึงได้ยื่นหนังสือขอข้อมูลข่าวสารจากคณะกรรมการก.ล.ต.ไปแต่ทว่าเวลาผ่านไป 3 เดือนยังไม่ได้คำตอบใด ๆ จากก.ล.ต. ทำให้กองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการไปแล้ว เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาและพิสูจน์ว่าสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนในประเทศนี้มีจริงแท้แค่ไหน-เพียงไร ?

ปัญหาการกระจายหุ้นป.ต.ท.ในครั้งนั้นยังคงเป็นปมปริศนาอีกมากมาย นักลงทุนรายใหญ่มาก ๆ ระดับนักการเมืองนั้นไม่ใช้วิธีไล่ซื้อแข่งกับรายย่อยในประเทศหรอกเพราะมีหุ้นที่กระจายผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศถึง 320 ล้านหุ้น แต่เท่าที่ปรากฏเป็นหลักฐานต่อสาธารณะการมีหุ้นอุปการะคุณมันก็น่าเกลียดเกินบรรยายแล้ว จนบัดนี้ปตท.ก็ยังไม่กล้าเปิดข้อมูลคนกลุ่มนี้ออกมา และที่น่าเกลียดหนักไปกว่านั้นก็คือยังมีช่องทางซิกแซ็กแย่งหุ้นจากประชาชนรายย่อยอีก

ปัญหาการกระจายหุ้นรายย่อยแม้เป็นเพียงส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งที่เพิ่งโผล่แพลมขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แต่ก็สามารถบ่งบอกว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรปีละแสนสองแสนล้านแห่งนี้ไม่ได้เป็นไปตามธรรมาภิบาลดั่งที่ประกาศไว้ทั้งหมด

หมายเหตุก่อนปิดเรื่อง – มีผู้ทักท้วงความผิดพลาดในข้อเขียนตอนที่ 1 เกี่ยวกับอัตราภาษีน้ำมันที่ผู้เขียนระบุว่าเก็บเฉลี่ยเพียง 10% จึงขออธิบายความว่าเป็นความไม่รอบคอบของผู้เขียนที่ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอยืนยันว่าการทำงานเรื่องนี้จะไม่ตะแบง ไม่บิดเบือนใด ๆ กอดยึดหลักการเดียวคือสิทธิของประชาชนและสิทธิของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ขออธิบายว่าภาษี 10%ที่กล่าวถึงมีภาษาทางการว่า ค่าภาคหลวงเป็นไปตาม พรบ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ส่วนที่ไม่ได้กล่าวถึงก็คือ ภาษีรายได้น้ำมันตามพรบ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 2514 ที่กำหนดให้เก็บ 50% แต่ไม่เกิน 60%

อย่างไรก็ตามมีผู้อ้างว่าเมื่อรวมภาษีทั้ง 2 ตัวแล้วทำให้ไทยเก็บภาษีปิโตรเลียมถึง 60% ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะว่าภาษีรายได้น้ำมันกำหนดให้คำนวณเก็บตามกำไรสุทธิที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว ค่าใช้จ่ายที่หักยังครอบคลุมไปถึงค่าภาคหลวงที่บริษัทน้ำมันจ่ายไปก่อนล่วงหน้า และยังมีปัญหาเทคนิคการคำนวณราคาปิโตรเลียมที่ขุดเจาะได้ เมื่อปี 2552 ที่น้ำมันโลกแพงมาก หากคิดเฉลี่ยต่ำสุด ๆ น้ำมันดิบดูไบที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐแต่น้ำมันดิบที่ตีราคา ณ แท่นขุดเจาะบ้านเรากลับไม่ถึงตามนั้น (ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด)

ผมนั้นไม่ใช่ผู้รู้หรือผู้ชำนาญการ..แต่ที่สามารถหยิบมาเขียนเล่าเรื่องเพราะเข้าไปร่วมวงศึกษา นั่งฟังบรรดาผู้เชี่ยวชาญบรรยายสรุปอยู่หลายรอบจึงนำความรู้นั้นมาเรียบเรียงใหม่ มีผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งคำนวณว่ารวมภาษีทุกชนิดแล้วประเทศไทยเก็บจากบริษัทน้ำมันจริง ๆ ได้สูงสุดแค่ประมาณ 30% ของมูลค่าและปริมาณน้ำมันที่ได้ไป

ปัญหาของการพลังงานของไทยจึงไม่ใช่การนั่งงอมืองอเท้าคร่ำครวญว่ายังไง ๆ เราก็ขุดเองได้ 30-40% ที่เหลือต้องนำเข้า เขามาลงทุนให้ก็บุญโขแล้ว อุปมาอุปไมยกรอบคิดใหม่ของคนไทยเหมือนต้องนำเข้าข้าวทั้งหมดซื้อในราคาต่างประเทศ วันดีคืนดีก็ปลูกได้เอง 40% ของที่เคยกิน แต่คนไทยไม่รู้เรื่องราวของข้าวที่เราปลูกได้เองเลยว่า มีคุณภาพแบบไหน ปลูกเสร็จมีคนผูกขาดเอาไปสีแล้วจำหน่ายราคาเดียวกับที่เราเคยซื้อๆ มา แล้วโรงสีก็รวยเอา ๆ ในนามของความมั่นคงอาหารไทยหรือไม่?

มีเรื่องเล่าในวงการพลังงานว่าคุณภาพของน้ำมันและก๊าซไทยสูงมาก ราคาดี ปรากฏมีมือดีเอาน้ำมันและก๊าซคุณภาพสูงจากแท่นไปขายทำกำไรรอบแรก จากนั้นก็นำเข้าของคุณภาพต่ำมากลั่นขายคนไทย คิดกำไรทุกขั้นตอนตั้งแต่การขนส่งยันจำหน่าย ความโปร่งใสเหล่านี้เรายังไม่เห็นจริงในวงการพลังงานไทย มีแต่ธรรมาภิบาลครึ่งๆ กลาง ๆ เท่านั้น

หมายเหตุ 2- ท่านที่สนใจรายงานการตรวจสอบการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มกราคม 2545 สามารถติดต่อถามได้จากศูนย์สารสนเทศตลาดทุน สนง.คณะกรรมการ ก.ล.ต.
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว

ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองถัยด้วยใจทนง
[b]

http://www.facebook.com/?ref=home#!/home.php?sk=group
User avatar
papa05
 
Posts: 451
Joined: Sun May 23, 2010 9:04 pm
Location: WWW.satnumber.com

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 10:33 pm

51. ทุจริตให้มีการนำ เงินสงเคราะห์ปลูกยางพารา (CESS) ไปชดเชยให้กับผู้ส่งออกที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกำหนดอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์อัตราใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2553 ที่เสนอขึ้นมาจากคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) โดยมี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คิดเป็นมูลค่า ประมาณ 3,000 ล้านบาท

จับตาไอ้โม่งชักใย ทึ้งเงินสงเคราะห์ปลูกยาง ??
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 ธันวาคม 2553 10:00 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การเตรียมพร้อมหากระสุนสู้ศึกเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา พร้อมกับกระแสยุบสภาก่อนครบวาระของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำให้กุนซือใหญ่ของแต่ละพรรคต่างสอดส่ายหาช่องทางผันเม็ดเงินเข้ากระเป๋าล่วงหน้า กระทั่งว่ารัฐบาลชุดนี้มีเรื่องทุจริตสูงโด่ง ซึ่งอีกกรณีที่กำลังปูดขึ้นมาก็คือ การรุมทึ้งเงินสงเคราะห์ปลูกยาง ที่ว่ากันว่าอาจมีเงินถูกผันเข้ากระเป๋าไอ้โม่งขั้วอำนาจใหม่กว่า 3,000 ล้านบาท

เรื่องที่แวดวงการค้ายางพารากำลังร่ำลือกันให้แซ่ดอยู่ในขณะนี้ มีอยู่ว่า คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธาน และคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง (ก.ส.ย.) ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากค่ายภูมิใจไทย นั่งเป็นประธาน ได้เสนอเรื่องผ่านกระทรวงเกษตรฯ ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์ หรือ เงิน CESS ใหม่ ซึ่งครม.มีมติอนุมัติตามที่เสนอเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ให้จัดเก็บเงินสงเคราะห์ให้สัมพันธ์กับราคายาง 5 ระดับ โดยเมื่อเทียบกับราคายาง 100 บาท/กก. ขึ้นไปในขณะนี้ให้เก็บเงินสงเคราะห์ 5 บาท/กก.

เงิน CESS ที่ว่านี้ ตามพ.ร.บ.กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 มาตรา 5 เป็นการจัดเก็บจากผู้ส่งออกนอกราชอาณาจักรเข้ากองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เพื่อนำไปจัดสรรตาม พ.ร.บ.กองทุนสงเคราะห์ฯ มาตรา 18 คือ ไม่เกิน 5% ให้กรมวิชาการเกษตรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับกิจการยาง ไม่เกิน 10% เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (ส.ก.ย.) และ 85% ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายในการสงเคราะห์ปลูกยางแทน

แม้กฎหมายจะกำหนดว่า เงินดังกล่าวจะจัดเก็บจากผู้ส่งออก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เกษตรกรคือผู้จ่าย เพราะพ่อค้ารับซื้อยางจะหักเอาจากเกษตรกรทันที ยางที่ถูกขายต่อกันมาเป็นทอดๆ จนมาถึงมือผู้ส่งออก รัฐบาลก็มาเก็บเอาเงินส่วนนี้จากผู้ส่งยางออกนอกราชอาณาจักรในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งในช่วงปี 2547- 2552 จัดเก็บเงินสงเคราะห์ได้เฉลี่ยปีละ 3,823 ล้านบาท

แน่นอนการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่แต่ละครั้งย่อมมีทั้งผลบวกและลบ มีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ คราวนี้ก็เช่นกัน เกษตรกรนั้นไม่มีอำนาจต่อรองอยู่แล้ว ทันทีที่มติครม. อนุมัติให้ปรับอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เกษตรกรก็ถูกพ่อค้ายางหักค่าเงิน CESS ตามอัตราใหม่

ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบและมีอำนาจต่อรองสูงก็คือ กลุ่มพ่อค้าส่งออกยาง อย่าลืมว่า ประเทศไทย เป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ปี 2552 ที่ผ่านมา ประเทศไทย มีรายได้จากการส่งออกยางในรูปวัตถุดิบ มูลค่า 146,236 ล้านบาทต่อปี และส่งออกในรูปผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 152,800 ล้านบาทต่อปี รวมๆ กันแล้ว เกือบ 300,000 ล้านบาท เลยทีเดียว

เมื่อพ่อค้าส่งออกยางมีอำนาจการต่อรองสูง บวกกับวิชั่นใหม่ของประธาน กนย. และประธาน กสย. จึงทำให้มติครม.ที่อนุมัติอัตราสงเคราะห์ใหม่หรืออัตราเงิน CESS มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2553 มีบทเฉพาะกาลให้จัดเก็บเงินสงเคราะห์ในอัตราเดิมสำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสต็อกยางที่มีอยู่แล้ว

บทเฉพาะกาลดังกล่าว ถือเป็นการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ใหม่ จากเดิมที่เคยกำหนดให้จัดเก็บเงินสงเคราะห์ในอัตราเดิมในระยะเปลี่ยนผ่านนี้สำหรับผู้ส่งออกที่มีสต็อกยางอยู่ในมือเพียงอย่างเดียว ซึ่งถือปฏิบัติกันมา 20 - 30 ปี ก็รวมเอาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าพ่วงเข้ามาให้ได้รับสิทธินี้ด้วย

คำถามที่เกิดขึ้นในแวดวงผู้ส่งออกยางตอนนี้ก็คือ หนึ่ง สต็อกยางที่ผู้ส่งออกยางแจ้งมายังสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) และ สกย. ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 20 - 30 กันยายน 2553 จำนวน 101 บริษัท 189 โกดัง เหตุใดจึงมีปริมาณยางในสต็อกมากถึง 384,279 ตัน ทั้งๆ ที่คราวก่อนที่มีการปรับเปลี่ยนอัตราการจัดเก็บเงิน CESS จาก 0.9 บาท/กก. มาเป็น 1.40 บาท/กก. มีปริมาณยางในสต็อกประมาณ 200,000 ตันเท่านั้น และตามสถิติปริมาณยางในสต็อกก็อยู่ประมาณนี้ แล้วคราวนี้ตัวเลขสต็อกที่สูงโด่งขึ้นไปเกือบเท่าตัวมันมีสต็อกลมอยู่หรือไม่?

หากสต็อกจริงมีแค่ 200,000 ตัน ที่เหลืออีกประมาณ 184,000 ตัน โผล่มาจากไหน? ปริมาณยางส่วนนี้แทนที่ สกย.จะจัดเก็บเงิน CESS จากพ่อค้าส่งออกเจ้าของสต็อกตามอัตราใหม่ 5 บาท/กก. ก็จะเก็บตามอัตราเดิม คือ 1.40 บาท/กก. แล้วเม็ดเงินส่วนต่าง 3.60 บาท/กก. ของสต็อกที่โป่งขึ้นมาประมาณ184,000 ตัน เข้ากระเป๋าใคร ?? มีใครได้ส่วนแบ่งบ้าง ?

สอง สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ถูกดันให้เข้ามาอยู่ในข่ายที่ได้รับสิทธิชำระเงินสงเคราะห์ในอัตราเดิมด้วยตามที่ กนย. ชงเรื่องผ่านขึ้นมาจนครม.มีมติอนุมัตินั้น ยิ่งมีพิรุธ กล่าวคือ ระยะเวลาของสัญญาซื้อขายที่กำหนดนานเกินไปหรือไม่ จากปกติสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทำกันไม่เกิน 1-3 เดือน เนื่องจากราคายางจะแกว่งขึ้นลงไม่คงที่ไม่มีพ่อค้าคนไหนขายล่วงหน้าเกินกว่านั้น

แต่มติครม.คราวนี้กำหนดระยะเวลาของสัญญาที่ได้รับสิทธิยาวเกินผิดปกติที่ธุรกิจเขาทำกัน คือ ให้สิทธิสำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ทำก่อนวันที่ 4 มิถุนายน 2553 และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยที่มีกำหนดส่งมอบสินค้าถึงวันที่ 31 มกราคม 2554 และผู้ได้รับสิทธิต้องส่งออกยางให้เสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันเก็บเงินสงเคราะห์อัตราใหม่ หากส่งออกไม่ทันตามกำหนด สกย. จะนำเสนอ ก.ส.ย. ให้ความเห็นชอบก่อน ซึ่งเป็นข้อกำหนดแบบปลายเปิดให้สิทธิ ก.ส.ย.ให้ดุลยพินิจตัดสินว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เป็นช่องให้เกิดการวิ่งเต้นได้

นอกจากนั้น ยังมีข้อสงสัยปริมาณออเดอร์ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจากการตรวจสอบของ สกย. พบว่า มีบริษัทยื่นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 72 บริษัท รวม 484 สัญญา แยกเป็น บริษัทที่มีเอกสารน่าเชื่อถือ สมควรได้รับสิทธิการชำระเงินสงเคราะห์อัตราเดิม 7 บริษัท 37 สัญญา โดยส่งมอบเป็นรายเดือน 6 บริษัท 25 สัญญา ปริมาณยาง 47,026 9 ตัน และสัญญาล่วงหน้าส่งมอบยางเป็นยอดรวม 3 บริษัท 12 สัญญา ปริมาณยาง 3,467 ตัน ส่วนบริษัทที่ต้องขอรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อพิจารณา มี 13 บริษัท 202 สัญญา รวมปริมาณยาง 214,866 ตัน และบริษัทที่อยู่ระหว่างตรวจสอบ 54 บริษัท จำนวน 245 สัญญา ปริมาณยาง 535,141 ตัน

ออเดอร์ตามสัญญาล่วงหน้าข้างต้นมีข้อสงสัยว่าสูงผิดปกติหรือไม่ เพราะหากย้อนไปดูประวัติการส่งออกของแต่ละบริษัทจะเห็นว่า มีการแจ้งตัวเลขที่ผิดปกติ บางรายเคยส่งแค่หลักพันก็เพิ่มเป็นหมื่นตันต่อเดือน บางรายส่งหลักหมื่นก็เพิ่มเป็นแสน ซึ่งหากยึดเอาตัวเลขข้างต้นตาม สกย. ก็มีสัญญาล่วงหน้าที่น่าเชื่อถือประมาณ 50,000 ตันเท่านั้น ที่เหลืออีก 750,000 ตัน เป็นสัญญาล่วงหน้าที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าได้รับผลกระทบจริงหรือไม่ เป็นสัญญาล่วงหน้าจริงหรือปลอม

แต่ความไม่ชัดเจนที่มีปัญหาต้องวินิจฉัยนี้ มีข้อกำหนดว่าจะต้องนำเสนอให้ ก.ส.ย. ที่มี นายศุภชัย โพธิ์สุ นั่งเป็นประธานอยู่นั้น พิจารณาก่อน และให้ถือว่าคำวินิจฉัยของ ก.ส.ย. เป็นข้อยุติ

การชดเชยผลกระทบจากการปรับค่าเงิน CESS รอบนี้ หากต้องจ่ายให้กับสต็อกยางลมที่สูงขึ้นมาผิดปกติ และสัญญาล่วงหน้าที่ยังมีปัญหาอยู่ว่าจริงหรือปลอมรวมประมาณเกือบ 1 ล้านตัน จึงทำให้มีเสียงร่ำลือกันให้แซ่ดในแวดวงการค้ายางส่งออกว่ามีเงินหล่นหายไปเข้ากระเป๋า “ไอ้โม่ง” ประมาณ 3,000 ล้านบาท

งานนี้ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้ชงเรื่องเข้าสู่ครม.จนมีมติที่เปิดช่องอ้าซ่าให้มีการวิ่งเต้นหาประโยชน์กันได้ รวมถึงนายศุภชัย โพธิ์สุ ผู้คุมหน่วยงานตรวจสต็อกและตรวจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า คงต้องเคลียร์ตัวเองต่อสังคมและตอบคำถามคาใจผู้ส่งออกยางว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้พ่อค้าบางกลุ่มที่ใกล้ชิดขั้วอำนาจใหม่หรือไม่ ??

http://www.manager.co.th/Home/ViewNews. ... 0000171646
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby neonewman » Sun Feb 20, 2011 10:36 pm

ตอบก่อน ถามทีหลัง ...กำลังมาแรงครับ :lol:
User avatar
neonewman
 
Posts: 4046
Joined: Sat May 01, 2010 8:45 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 10:36 pm

papa05 wrote:...

เรื่องที่โพสมามันเกี่ยวกับรัฐบาลนี้ตรงไหน
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby phat » Sun Feb 20, 2011 10:38 pm

48. งบประมาณการประชาสัมพันธ์ ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในแต่ละปีกระทรวงพาณิชย์มีวงเงินด้านนี้สูงนับพันล้านบาท ก็มีข่าวทุจริต ใช้ บริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน) เป็นฉากหน้าเพื่อผ่องถ่ายงบประมาณให้บริษัทเอกชนของนักการเมือง
ใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการเผยแพร่สื่อโทรทัศน์และพาณิชย์สร้างสรรค์” มีมูลค่าโครงการที่ลงนามกับ อ.ส.ม.ท. 50 ล้านบาท แต่ในข้อเท็จจริง อ.ส.ม.ท.มีรายได้เข้าบริษัทจากโครงการนี้เพียง 4.5 ล้านบาทเท่านั้น ที่เหลือ 45.5 ล้านบาท ถูกงาบโดยบริษัทในสังกัดนักการเมือง แล้วยังมีการต่อยอดโครงการ ระยะที่สองเพิ่มงบประมาณอีก 70 ล้านบาท รวมมูลค่า 120 ล้านบาท




จับพิรุธสัญญาจ้าง"พณ.-อ.ส.ม.ท."ถ่ายเทเงินหลวงเข้ากระเป๋าเอกชน
ถ้าพูดถึงกระทรวงพาณิชย์ หลายคนคงคิดถึงเรื่องความไม่โปร่งใสในหลายโครงการที่เกี่ยวกับสินค้าการเกษตร เพราะขึ้นชื่อในเรื่องความอื้อฉาวมายาวนาน ทั้งการรับจำนำ และการระบายสินค้าฯลฯ

แต่ไม่ค่อยมีใครฉุกคิดถึงงบประมาณการประชาสัมพันธ์ ซึ่งในแต่ละปีกระทรวงพาณิชย์มีวงเงินด้านนี้สูงนับพันล้านบาท

เม็ดเงินเหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ “เหลือบการเมือง” เข้าไปหากิน

โดยกระทำกันแบบเป็นขบวนการในลักษณะของการกำหนดบริษัทจากฝ่ายการเมือง แม้จะมีการเสนอตัวของหลายบริษัทให้มีการเปรียบเทียบ แต่ก็จะเล่นเล่ห์ด้วยการฮั้วกันล่วงหน้า แบ่งกันกินคนละโครงการ ด้วยการจัดสรรของฝ่ายการเมือง

มีสนนราคาค่าใช้จ่ายเป็นหัวคิว 40 % ของมูลค่าโครงการ

แต่ก่อนแต่ไร ก็ยังสงวนท่าทีชงกันเองกินกันเองภายในกระทรวง แต่ในยุค “ภูมิใจกิน” มีการสยายปีก ลากเอาองค์กรอื่นมาเป็น “หนังหน้าไฟ” เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบกินกันแบบเนียนๆ โดยใช้การตกลงเป็นคู่สัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐมาเป็นหนังหน้าไฟ

องค์กรที่ถูกดึงมาสมรู้ร่วมคิดในการโกงเงินหลวง คือ บริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน)

ล่าสุดมีการตกลงทำสัญญาร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับ บริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมาโดยกระทรวงพาณิชย์ว่าจ้างบริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 50 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินงานสามเดือน คือ ตุลาคม-ธันวาคม 2553

ให้บริหารจัดการออกอากาศการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ บทบาท ภารกิจ ตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงพาณิชย์ ผ่านช่องทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และเคเบิ้ลทีวี จำนวน 5 ชั่วโมงต่อวัน (ช่อง MCOT 1)

โดยมีการกำหนดรูปแบบรายการในขอบเขตการจ้างหรือ TOR ให้ ผลิตรายการประจำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบทบาทภารกิจของกระทรวงฯจำนวน 2 รายการ และนำรายการของกระทรวงฯหรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่มีการผลิตและเผยแพร่แล้วมาออกอากาศใหม่ รวมทั้งจัดการประชาสัมพันธ์ ช่องทางการรับชม โดยผลิตสปอตโทรทัศน์ จำนวน 30 วินาที 2 เรื่อง เผยแพร่ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี จำนวนไม่น้อยกว่า 120 ครั้ง และผ่านทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวี ไม่น้อยกว่า 1,000 ครั้ง

ถ้าดูแบบผ่าน ๆ ก็อาจไม่เห็นความผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดแล้วจะเห็นถึงการหมกเม็ดอย่างน่าเกลียด เพราะในเอกสารที่มีการระบุถึงรายรับของบริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับจ้างดำเนินการประชาสัมพันธ์

ด้วยวงเงินสูงถึง 50 ล้านบาท แต่กลับมีรายได้เข้าบริษัทเพียงแค่ 4 ล้าน 5 แสนบาทเท่านั้น

มาถึงตรงนี้คงเริ่มมีคำถามแล้วว่า งบประมาณตั้ง 50 ล้านบาท ถ้าบริษัท อ.ส.ม.ท.จำกัด (มหาชน) มีรายรับแค่ 4 ล้าน 5 แสนบาท แล้วอีกสี่สิบสี่ล้านห้าแสนบาทไปอยู่ในกระเป๋าใคร

คำตอบง่ายๆ ก็คือ ไปอยู่ในกระเป๋าของผู้ผลิตรายการ ผู้ผลิตสปอตโทรทัศน์ และผู้จัดงานแถลงข่าว ซึ่งทั้งหมดจะมีการชี้นิ้วสั่งการให้บริษัทในคาถาของนักการเมืองเข้ามารับงานแทน เท่ากับว่าใช้บริษัท อ.ส.ม.ท. เป็นที่ถ่ายเทงบ ยักยอกเงินหลวงกันแบบนิ่ม ๆ

ด้วยวิธีการเช่นนี้จะทำให้ไม่มีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด เพราะเห็นว่าเป็นการทำสัญญาระหว่างหน่วยงานรัฐ และไม่จำเป็นต้องมีการประมูลเพื่อเปรียบเทียบราคา แต่ใครจะไปคิดว่าการเซ็นสัญญาดังกล่าวจะเป็นเพียงแค่การดึงเอา บริษัท อ.ส.ม.ท. มาบังหน้าเพื่อผ่องถ่ายเงินไปให้กับบริษัทเอกชนรายอื่นที่จ่ายค่าหัวคิวให้กับเหลือบการเมือง ในกระทรวงพาณิชย์อีกทอดหนึ่ง

ว่ากันว่า ในการประชุมเพื่อดำเนินโครงการนี้คนโตของกระทรวงพาณิชย์อย่าง ประพล มิลินทจินดา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย เคยเข้าไปกำกับด้วยตัวเอง และพูดนโยบายสวยหรูว่า

“เมื่อกระทรวงใช้งบประมาณเพื่อประชาสัมพันธ์ 50 ล้านบาท ต้องได้มูลค่าเพิ่มกลับมา 200-300 ล้านบาท”

ไม่รู้ว่าคนพูดจะได้ยินเสียงคนนินทาหรือไม่ว่า “มูลค่าเพิ่มน่ะไม่มีใครรู้ว่าจะได้หรือไม่ แต่มีคนได้ 40 % แน่ ๆ จากมูลค่าของโครงการ”

ส่วนใครเป็นคนเก็บ 40 % เข้ากระเป๋า คนอยากเพิ่มมูลค่าให้กระทรวงพาณิชย์อย่าง “ประพล” น่าจะไปหาคำตอบดู

ที่สำคัญคือ หากดูตามแผนงานในโครงการนี้มุ่งเน้นที่จะประชาสัมพันธ์ผ่านเคเบิ้ลทีวีช่อง MCOT 1 เป็นหลัก จึงมีคำถามว่าเคเบิ้ลทีวีช่องนี้ มีผู้ชมสักกี่รายและคุ้มค่ากับการที่จะทุ่มงบประมาณจำนวนมากไปประชาสัมพันธ์ในช่องทางนี้หรือไม่

เหตุการณ์เหลือบดูดงบประชาสัมพันธ์ที่กำลังเกิดขึ้นในกระทรวงพาณิชย์ เป็นเรื่องที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ควรจะได้ไปตรวจสอบให้ละเอียด เพราะเฉพาะในปีนี้มีการใช้ บริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน) เป็นฉากหน้าเพื่อผ่องถ่ายงบประมาณให้บริษัทของนักการเมืองมาแล้วเป็นวงเงินเกือบห้าร้อยล้านบาท

สำหรับโครงการนี้ก็ยังมีการต่อยอดระยะที่สองเพิ่มงบประมาณอีก 70 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าไปจนถึงเดือนธันวาคม รวมงบประมาณทั้งสิ้นถึง 120 ล้านบาท

แม้ว่าในขณะนี้จะมีการดำเนินการบางส่วนไปแล้ว แต่ถ้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้เข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายดังกล่าวก็ยังทัน เพราะยังไม่มีการอนุมัติจ่ายเงินในส่วนแรก 50 ล้านบาท ดังนั้นถ้าพบว่า

มีพิรุธความไม่โปร่งใส หรือมีพฤติกรรมร่วมด้วยช่วยโกงก็ต้องดำเนินการยับยั้งโครงการนี้เสีย ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียงบประมาณได้

ถ้าจะให้ดีควรรื้อทุกโครงการเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์มาตรวจสอบ เผื่อจะได้เส้นทางโกงได้อย่างชัดเจนมากขึ้น และน่าจะใช้บทเรียนจากเรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ในการกำหนดกติกาที่มีความรัดกุมรอบคอบมากขึ้น

เพื่อไม่ให้มีการใช้วิธีทำสัญญาระหว่างหน่วยงานรัฐมาปล้นเงินประชาชน เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้



ที่มา: ผู้จัดการ


ข่าวที่อาจเกี่ยวข้อง
ข่าวอื่นๆในหมวด การเมือง

http://thairecent.com/Politic/2010/762919/




ขอเชิญสาวกแมงสาปเข้ามาชมจะได้ตาสว่างเสียที
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 10:46 pm

ตาสว่างแบบตัดแปะเข้าสมองไม่ต้องคิดตามผมไม่เอาล่ะครับนาย :)
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby papa05 » Sun Feb 20, 2011 11:04 pm

ramboboy26 wrote:
papa05 wrote:...

เรื่องที่โพสมามันเกี่ยวกับรัฐบาลนี้ตรงไหน


เอ้าเห็นว่าอยากดูหลักฐานและกลโกงไง :lol: :lol: :lol: :lol: ก็มาจาก เอเอ้ทีวีคือกันแต่คนละสมัย อุอุอุ

ตอนโน้นคู่ปรับ กับตอนนี้มันคนละคู่ แต่ก็โกง อิอิอิ นึกว่าชอบ งั้นจะหามาใหม่ รออีกซักหน่อยรอเขาโกงก่อนนะ อุอุอุอุ
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว

ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองถัยด้วยใจทนง
[b]

http://www.facebook.com/?ref=home#!/home.php?sk=group
User avatar
papa05
 
Posts: 451
Joined: Sun May 23, 2010 9:04 pm
Location: WWW.satnumber.com

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby คิคิ » Sun Feb 20, 2011 11:12 pm

สะเก็ดแผลที่เกิดจากขี้เรื้อนป่าว

ไอ้ หม าร์ค มันมีรอบตัว สะเก็ตไปก็เท่านั้น
:mrgreen:
Last edited by คิคิ on Sun Feb 20, 2011 11:13 pm, edited 1 time in total.
ลายเซ็นต์กู มืงก็ลบ
User avatar
คิคิ
 
Posts: 1702
Joined: Tue Oct 14, 2008 3:40 am

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby ramboboy26 » Sun Feb 20, 2011 11:13 pm

เอาเลยนาย ว่างมากก็เล่นซะให้พอ :)
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...
User avatar
ramboboy26
 
Posts: 3081
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:52 pm

Re: รวมเด็ด สะเก็ด แผลรัฐบาลอภิสิทธิ์

Postby dutchout » Sun Feb 20, 2011 11:15 pm

ตาสว่างแล้วครับบบ ยังไงกราบเรียนท่านมหาเทพศาสดาแป๊ะลิ้ม และพรรคพวก เอาข้อมูลเหล่านี้ไปฟ้องศาลด้วยนะครับ ได้โปรดเถอะครับ เห็นแต่พิมพ์เห่าห่อนแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว

ได้โปรดไปฟ้องศาลเอาผิดมาร์คด้วยนะครับ :lol: :lol: :lol:
User avatar
dutchout
 
Posts: 2194
Joined: Tue Apr 14, 2009 10:53 pm

Next

Return to สภากาแฟ