บวร ยสินทร ตอบจดหมาย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (7 เม.ย.54)

ถึงคุณสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
มีผู้ส่งการตอบจดหมายของคุณมาให้ผม (ฉบับลงวันที่ 6 เม.ย.54) ซึ่งก็ไม่ทราบว่าคุณไปเขียนไว้ที่ไหน แต่การอ้างของคุณที่ว่า บอร์ดเสรีไทยยกเลิกสมาชิกภาพของคุณ จึงไม่อาจไปตอบในที่นั้น และ มาให้ผมไปเรียกร้องให้เขาใจกว้างในเรื่องนี้ ก็ขอชี้แจงว่า ผมเองก็เพิ่งเข้าไปเป็นสมาชิกครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554 นี้เอง เพื่อจะเขียนจดหมายเปิดผนึกมาหาคุณ เพราะเคยเห็นคุณเข้าไปโต้ตอบในที่นั้น ไม่ทราบสาเหตุที่เขายกเลิกสมาชิกภาพคุณ จึงไม่บังอาจจะไปเรียกร้องอะไรให้คุณได้
ในจดหมายเปิดผนึกที่ผมเขียนถึงคุณเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 54 ได้แจงหัวข้อ (ซึ่งก็มาจากจดหมายของคุณก่อนหน้านั้น) เป็น 8 ประเด็น วันนี้ คุณตอบมาเพียง 1 ประเด็นโดยอ้างว่า เรื่องอื่นๆที่ผมเขียนมา “ไม่มีประเด็นอะไร” ทั้งๆที่ผมก็คัดมาจากจดหมายของคุณ แสดงว่า ที่คุณเคยพูดมาทั้งหมดไม่มีประเด็น เป็นเรื่องไร้สาระอย่างนั้นหรือ
ผมจึงถือเอาว่า ที่คุณหลีกเลี่ยงที่จะตอบในประเด็นอื่นๆ เป็นการยอมรับในข้อความที่ผมเขียนไปก็แล้วกัน
มีคนเตือนแนะนำมาว่า อย่าไปเสียเวลาโต้ตอบกับคนอย่างคุณ ที่ชอบตะแบง เอาความคิดของตนเป็นใหญ่ ซ้ำซาก พูดจบแล้วก็ไม่แล้ว เขาเปรียบว่า คุณจะพูดจนคนรำคาญ หนีคุณไปหมด แล้วประกาศเป็นชัยชนะ แต่ผมพิจารณาแล้ว เห็นว่า ถ้าไม่มีใครตอบคุณ คุณก็จะอ้างไปกับคนอื่นๆว่า ไม่มีใครตอบคำถามคุณได้ ทั้งๆที่ความจริง เขาตอบหมดแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นที่เข้าใจ แต่คุณยังคงคุ้ยเขี่ยประเด็นเก่าๆมาพูดไม่รู้แล้วรู้เล่า การไม่โต้ตอบคุณก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง การตอบก็มีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณได้อาศัยความเจ้าเล่ห์เพทุบายนี้เอง ไปขยายความเอากับคนรุ่นหลังๆที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ให้หลงใหลไปกับคุณได้ง่าย ผมจึงตัดสินใจที่จะตอบโต้คุณ โปรดเข้าใจตามนี้
มาเริ่มที่คุณกล่าวหาผมด้วยคำพูดที่ว่า “ขยายความ” ในพระดำรัสของทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ผมขอชี้แจงว่า ผมไม่อาจเอื้อมทำเช่นนั้นด้วยความอวดรู้อย่างแน่นอน ที่ผมพูด เขาเรียกว่า “การขยายเพื่อการอธิบาย” ครับ ในการฟังเรื่องราวโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ผู้ฟังก็อาจเข้าใจไม่เหมือนกัน คนจ้องจิกกัดก็จับเอาแต่ประเด็นที่จะเอามาเป็นเรื่อง เป็นประโยชน์ต่อตนเอง คนทั่วไปเขาฟังไม่ได้คิดเช่นนั้น เมื่อคนที่ฟังมาเห็นต่างกัน การพูดให้เข้าใจก็คือการอธิบายความ ซึ่งการขยายความเป็นเครื่องมือในการอธิบายให้ชัดขึ้น แบบการขยายภาพจากเล็กไปใหญ่ เพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น การอธิบายโดยการขยายความจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงเรื่องแค่นี้ คุณก็จ้องจะมากัดผม
การอธิบายความของผม เป็นการใช้ปัญญา ไม่ใช่ตัณหาอย่างคุณ
คุณคิดว่าเป็นครูบาอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ พูดอะไรมีหลักมีเกณฑ์ ขอถามหน่อยว่า เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 มีคนไทยตายเท่าไร ตายโดยพม่าฆ่าเท่าไหร่ คนไทยฆ่ากันเองเท่าไหร่
ผมเห็นมีแต่คนที่พูดถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า พม่าได้เผาบ้านเผาเมืองเรา ซึ่งก็ครอบคลุมทุกๆเรื่องที่เป็นความเสียหาย ทั้งการฆ่าฟัน การจับคนเป็นเชลย ก็ไม่เห็นใครเดือดร้อนว่า เมื่อเอ่ยถึง ต้องพูดให้ครบทุกประเด็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เห็นเด่นชัดก็คือ ซากปรักหักพังจากการเผาทำลาย ที่ยังคงปรากฏให้เห็นจนทุกวันนี้ และไม่เคยได้ยินใครพูดว่า การที่มีคนตายในเหตุการณ์จลาจลแต่ละครั้งสำคัญน้อยกว่าสิ่งอื่น การที่ใครสักคนจะกล่าวถึงเหตุการณ์ร้ายแรง ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับกฎเกณฑ์ ว่าต้องพูดอะไรมากกว่าอะไร โดยใครไม่พูดแบบที่คุณคิด เป็นผิดไปหมด
ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 คุณเป็นผู้นำนิสิตนักศึกษา ส่วนผมจบจุฬาไปทำโทที่นิด้า ผมเป็นคนหนึ่งที่ พยายามเตือนให้พวกคุณในฐานะผู้นำนักศึกษาในขณะนั้น ต้องรู้จักประเมินสถานการณ์ ประท้วงโดยควรคำนึงถึง ความปลอดภัยของผู้ชุมนุม พวกคุณก็ตะแบง คุณไปถามคุณสุธรรม แสงประทุม เลขาธิการศูนย์นิสิตฯในขณะนั้นได้ (คุณสุธรรมเป็นน้องใหม่จุฬาฯ ขณะที่ผมเป็นประธานเชียร์จุฬา) คุณในฐานะโฆษกศูนย์นิสิตฯ ได้ยั่วยุมวลชนให้ร้อนแรง ทั้งๆที่สถานการณ์ทั่วไปไม่ดี มีกลุ่มกระทิงแดง นวพล ฯลฯ ที่จ้องจะเข้าทำร้ายนักศึกษา คุณเป็นผู้นำคุณย่อมรู้ดี แต่คุณยังคงหลอกใช้มวลชนนักศึกษาเป็นโล่มนุษย์ ที่สุด คุณก็ไปนอนคุกแบบฮีโร่ ทิ้งศพพี่น้องนักศึกษาไว้เบื้องหลัง ในคุกคุณก็ยังไม่สำนึกผิด พล่ามพูดแต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และที่เลวระยำก็คือ เมื่อคุณได้มาเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ คุณก็ใช้ความเป็นอาจารย์ล้างสมองเด็กรุ่นแล้วรุ่นเล่า และทำให้เข้าใจไปว่าสถาบันเกี่ยวกับกับการตายของนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา ดังนั้น การที่มีนักศึกษารุ่นหลังๆบางคน ไม่พอใจสถาบัน ก็มาจากเรื่องนี้ไงครับ
การที่คุณว่า ผมไม่ความรู้กฎหมายมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ยกมาเอาผิดคุณไม่ได้ ก็ขอเรียนตามตรงว่า ผมไม่ได้เรียนด้านกฎหมาย แต่ผมรู้ว่า การกระทำของคุณเป็นภัยต่อความมั่นคงแน่นอน คุณพยายามให้ร้ายสถาบัน เพื่อลดความน่าเชื่อถือ แต่เพื่อความเหมาะสม ผมคงจะไม่พูดในรายละเอียดซ้ำ
ในประเด็นสุดท้ายที่อยากจะกล่าวถึง ก็ตรงที่คุณพยายามเสียดสีว่า ...คนที่อ้าง “จงรักภักดี” แบบคุณบวร... ขอชี้แจงให้คนที่ชอบอ้าง “ไม่จงรักภักดี แบบคุณ” เข้าใจไว้ ณ ที่นี้ว่า ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เพิ่งทำ ผมทำมาตั้งแต่ยังเด็ก อยู่มหาวิทยาลัยก็ทำ ความจงรักดีภักดีเป็น “ผล” ไม่ใช่ “เหตุ” เหตุแห่งความจงรักภักดีของผม ก็คือ ผมถูกปลูกฝังเรื่องคุณธรรมความกตัญญูรู้คุณ ผมรู้ว่า แผ่นดินนี้มีบุญคุณกับผม สถาบันพระมหากษัตริย์ มีบุญคุณกับผม การตอบแทนหรือกตเวทีต่อแผ่นดินและสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วย การรักการสงวนชาติ และการถวายความจงรักภักดี จึงเป็นผลอันเกิดแต่เหตุ ไม่ได้เกิดจากความงมงาย หรือการโฆษณาชวนเชื่อ ผมเองก็ไม่เคยอ้างความจงรักภักดีเพื่อทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ นอกจากการได้รับความสุข ที่ได้ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ผมเน้นการตอบแทนพระคุณของแผ่นดินและการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเท่านั้น แม้การเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจาก องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผมก็ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น ครอบครัวผมต่างมีความสุขในวันนั้น คำปฏิญาณในพิธีพระราชทานปริญญาว่า จะเป็นบัณฑิตที่ดี รับใช้สังคม ผมเป็นผู้นำกล่าวในฐานะประธานบัณฑิตจุฬาในปีที่จบ
แวดวงคนที่อ้าง “ไม่จงรักภักดี” แบบคุณสมศักดิ์ ทำเรื่องอกตัญญูต่อแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์ไป เพื่อหวังผลอะไรหรือครับ
บวร ยสินทร (7 เมษายน 2554
มีผู้ส่งการตอบจดหมายของคุณมาให้ผม (ฉบับลงวันที่ 6 เม.ย.54) ซึ่งก็ไม่ทราบว่าคุณไปเขียนไว้ที่ไหน แต่การอ้างของคุณที่ว่า บอร์ดเสรีไทยยกเลิกสมาชิกภาพของคุณ จึงไม่อาจไปตอบในที่นั้น และ มาให้ผมไปเรียกร้องให้เขาใจกว้างในเรื่องนี้ ก็ขอชี้แจงว่า ผมเองก็เพิ่งเข้าไปเป็นสมาชิกครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2554 นี้เอง เพื่อจะเขียนจดหมายเปิดผนึกมาหาคุณ เพราะเคยเห็นคุณเข้าไปโต้ตอบในที่นั้น ไม่ทราบสาเหตุที่เขายกเลิกสมาชิกภาพคุณ จึงไม่บังอาจจะไปเรียกร้องอะไรให้คุณได้
ในจดหมายเปิดผนึกที่ผมเขียนถึงคุณเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 54 ได้แจงหัวข้อ (ซึ่งก็มาจากจดหมายของคุณก่อนหน้านั้น) เป็น 8 ประเด็น วันนี้ คุณตอบมาเพียง 1 ประเด็นโดยอ้างว่า เรื่องอื่นๆที่ผมเขียนมา “ไม่มีประเด็นอะไร” ทั้งๆที่ผมก็คัดมาจากจดหมายของคุณ แสดงว่า ที่คุณเคยพูดมาทั้งหมดไม่มีประเด็น เป็นเรื่องไร้สาระอย่างนั้นหรือ
ผมจึงถือเอาว่า ที่คุณหลีกเลี่ยงที่จะตอบในประเด็นอื่นๆ เป็นการยอมรับในข้อความที่ผมเขียนไปก็แล้วกัน
มีคนเตือนแนะนำมาว่า อย่าไปเสียเวลาโต้ตอบกับคนอย่างคุณ ที่ชอบตะแบง เอาความคิดของตนเป็นใหญ่ ซ้ำซาก พูดจบแล้วก็ไม่แล้ว เขาเปรียบว่า คุณจะพูดจนคนรำคาญ หนีคุณไปหมด แล้วประกาศเป็นชัยชนะ แต่ผมพิจารณาแล้ว เห็นว่า ถ้าไม่มีใครตอบคุณ คุณก็จะอ้างไปกับคนอื่นๆว่า ไม่มีใครตอบคำถามคุณได้ ทั้งๆที่ความจริง เขาตอบหมดแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นที่เข้าใจ แต่คุณยังคงคุ้ยเขี่ยประเด็นเก่าๆมาพูดไม่รู้แล้วรู้เล่า การไม่โต้ตอบคุณก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง การตอบก็มีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณได้อาศัยความเจ้าเล่ห์เพทุบายนี้เอง ไปขยายความเอากับคนรุ่นหลังๆที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ให้หลงใหลไปกับคุณได้ง่าย ผมจึงตัดสินใจที่จะตอบโต้คุณ โปรดเข้าใจตามนี้
มาเริ่มที่คุณกล่าวหาผมด้วยคำพูดที่ว่า “ขยายความ” ในพระดำรัสของทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ผมขอชี้แจงว่า ผมไม่อาจเอื้อมทำเช่นนั้นด้วยความอวดรู้อย่างแน่นอน ที่ผมพูด เขาเรียกว่า “การขยายเพื่อการอธิบาย” ครับ ในการฟังเรื่องราวโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ผู้ฟังก็อาจเข้าใจไม่เหมือนกัน คนจ้องจิกกัดก็จับเอาแต่ประเด็นที่จะเอามาเป็นเรื่อง เป็นประโยชน์ต่อตนเอง คนทั่วไปเขาฟังไม่ได้คิดเช่นนั้น เมื่อคนที่ฟังมาเห็นต่างกัน การพูดให้เข้าใจก็คือการอธิบายความ ซึ่งการขยายความเป็นเครื่องมือในการอธิบายให้ชัดขึ้น แบบการขยายภาพจากเล็กไปใหญ่ เพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น การอธิบายโดยการขยายความจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงเรื่องแค่นี้ คุณก็จ้องจะมากัดผม
การอธิบายความของผม เป็นการใช้ปัญญา ไม่ใช่ตัณหาอย่างคุณ
คุณคิดว่าเป็นครูบาอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ พูดอะไรมีหลักมีเกณฑ์ ขอถามหน่อยว่า เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 มีคนไทยตายเท่าไร ตายโดยพม่าฆ่าเท่าไหร่ คนไทยฆ่ากันเองเท่าไหร่
ผมเห็นมีแต่คนที่พูดถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า พม่าได้เผาบ้านเผาเมืองเรา ซึ่งก็ครอบคลุมทุกๆเรื่องที่เป็นความเสียหาย ทั้งการฆ่าฟัน การจับคนเป็นเชลย ก็ไม่เห็นใครเดือดร้อนว่า เมื่อเอ่ยถึง ต้องพูดให้ครบทุกประเด็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เห็นเด่นชัดก็คือ ซากปรักหักพังจากการเผาทำลาย ที่ยังคงปรากฏให้เห็นจนทุกวันนี้ และไม่เคยได้ยินใครพูดว่า การที่มีคนตายในเหตุการณ์จลาจลแต่ละครั้งสำคัญน้อยกว่าสิ่งอื่น การที่ใครสักคนจะกล่าวถึงเหตุการณ์ร้ายแรง ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับกฎเกณฑ์ ว่าต้องพูดอะไรมากกว่าอะไร โดยใครไม่พูดแบบที่คุณคิด เป็นผิดไปหมด
ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 คุณเป็นผู้นำนิสิตนักศึกษา ส่วนผมจบจุฬาไปทำโทที่นิด้า ผมเป็นคนหนึ่งที่ พยายามเตือนให้พวกคุณในฐานะผู้นำนักศึกษาในขณะนั้น ต้องรู้จักประเมินสถานการณ์ ประท้วงโดยควรคำนึงถึง ความปลอดภัยของผู้ชุมนุม พวกคุณก็ตะแบง คุณไปถามคุณสุธรรม แสงประทุม เลขาธิการศูนย์นิสิตฯในขณะนั้นได้ (คุณสุธรรมเป็นน้องใหม่จุฬาฯ ขณะที่ผมเป็นประธานเชียร์จุฬา) คุณในฐานะโฆษกศูนย์นิสิตฯ ได้ยั่วยุมวลชนให้ร้อนแรง ทั้งๆที่สถานการณ์ทั่วไปไม่ดี มีกลุ่มกระทิงแดง นวพล ฯลฯ ที่จ้องจะเข้าทำร้ายนักศึกษา คุณเป็นผู้นำคุณย่อมรู้ดี แต่คุณยังคงหลอกใช้มวลชนนักศึกษาเป็นโล่มนุษย์ ที่สุด คุณก็ไปนอนคุกแบบฮีโร่ ทิ้งศพพี่น้องนักศึกษาไว้เบื้องหลัง ในคุกคุณก็ยังไม่สำนึกผิด พล่ามพูดแต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และที่เลวระยำก็คือ เมื่อคุณได้มาเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ คุณก็ใช้ความเป็นอาจารย์ล้างสมองเด็กรุ่นแล้วรุ่นเล่า และทำให้เข้าใจไปว่าสถาบันเกี่ยวกับกับการตายของนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา ดังนั้น การที่มีนักศึกษารุ่นหลังๆบางคน ไม่พอใจสถาบัน ก็มาจากเรื่องนี้ไงครับ
การที่คุณว่า ผมไม่ความรู้กฎหมายมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ยกมาเอาผิดคุณไม่ได้ ก็ขอเรียนตามตรงว่า ผมไม่ได้เรียนด้านกฎหมาย แต่ผมรู้ว่า การกระทำของคุณเป็นภัยต่อความมั่นคงแน่นอน คุณพยายามให้ร้ายสถาบัน เพื่อลดความน่าเชื่อถือ แต่เพื่อความเหมาะสม ผมคงจะไม่พูดในรายละเอียดซ้ำ
ในประเด็นสุดท้ายที่อยากจะกล่าวถึง ก็ตรงที่คุณพยายามเสียดสีว่า ...คนที่อ้าง “จงรักภักดี” แบบคุณบวร... ขอชี้แจงให้คนที่ชอบอ้าง “ไม่จงรักภักดี แบบคุณ” เข้าใจไว้ ณ ที่นี้ว่า ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เพิ่งทำ ผมทำมาตั้งแต่ยังเด็ก อยู่มหาวิทยาลัยก็ทำ ความจงรักดีภักดีเป็น “ผล” ไม่ใช่ “เหตุ” เหตุแห่งความจงรักภักดีของผม ก็คือ ผมถูกปลูกฝังเรื่องคุณธรรมความกตัญญูรู้คุณ ผมรู้ว่า แผ่นดินนี้มีบุญคุณกับผม สถาบันพระมหากษัตริย์ มีบุญคุณกับผม การตอบแทนหรือกตเวทีต่อแผ่นดินและสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วย การรักการสงวนชาติ และการถวายความจงรักภักดี จึงเป็นผลอันเกิดแต่เหตุ ไม่ได้เกิดจากความงมงาย หรือการโฆษณาชวนเชื่อ ผมเองก็ไม่เคยอ้างความจงรักภักดีเพื่อทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ นอกจากการได้รับความสุข ที่ได้ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ผมเน้นการตอบแทนพระคุณของแผ่นดินและการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเท่านั้น แม้การเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจาก องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผมก็ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น ครอบครัวผมต่างมีความสุขในวันนั้น คำปฏิญาณในพิธีพระราชทานปริญญาว่า จะเป็นบัณฑิตที่ดี รับใช้สังคม ผมเป็นผู้นำกล่าวในฐานะประธานบัณฑิตจุฬาในปีที่จบ
แวดวงคนที่อ้าง “ไม่จงรักภักดี” แบบคุณสมศักดิ์ ทำเรื่องอกตัญญูต่อแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์ไป เพื่อหวังผลอะไรหรือครับ
บวร ยสินทร (7 เมษายน 2554