วิเคราะห์!! แถลงการณ์ "ทักษิณ"
โจมตีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี "ไร้เหตุผล" หรือ "ถูกบิดเบือน"
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งรู้บทบัญญติในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
นอกจากจะไม่ห้ามปรามมิให้ภริยาซึ่งร่ำรวยมหาศาลซื้อที่ดิน
จากหน่วยงานของรัฐซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งแล้ว
กลับสนับสนุนด้วยการลงนามยินยอมในเอกสาร
เท่ากับจงใจฝ่าฝืนและกระทำผิดกฎหมายป้องกันการทุจริตอย่างชัดแจ้ง
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เลือกที่จะแจกแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษให้แก่สื่อมวลชน
ต่างประเทศในกรุงลอนดอนแทนที่จะแจกแถลงการณ์
ผ่านสื่อมวลชนไทยเหมือนที่ผ่านมา
เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการฟ้องและโจมตีกระบวนการยุติธรรมไทย
ต่อชาวโลกโดยเฉพาะศาลยุติธรรมว่า ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับตนเอง
หลังจากถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู
และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มูลค่า 772 ล้านบาท
เนื่องจากกระทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100(1) และ 122
ซึ่งห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญา
ที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม
ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีซึ่งข้อห้ามดังกล่าวให้รวมถึงคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
แถลงการณ์ดังกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ 3-4 ประเด็น
ซึ่งจะขอวิเคราะห์เปรียบเทียบและโต้แย้งเป็นข้อๆดังนี้
หนึ่ง การถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต เหตุผลเดียว
แต่เป็นเพราะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
จากคำตัดสินดังกล่าวไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า มีการฉ้อฉล คอร์รัปชั่น
หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล
ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆในการประมูลและทำสัญญาซื้อขายที่ดินเลย
ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร
"เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ศาลไม่ได้พบว่าการซื้อขายที่ดินของภรรยาผม
มีอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำนอกกฎหมาย
เขาไม่ได้ตัดสินว่า เธอมีความผิด เพราะเธอไม่ใช่นักการเมือง แต่ผมเป็น"
"สิ่งที่ผมจะสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดก็คือ ผมถูกตัดสินว่า มีความผิดจริงอย่างง่ายๆ
เพียงเพราะผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ผมผิดเพราะผมเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ
ผมได้รับเลือกตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองสมัย
เพราะเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน"
"ผม ..รู้สึกนึกขัน ปนขมขื่นกับคำตัดสินที่ไร้เหตุผล
และรู้สึกกังวลแทนนักการเมืองในประเทศไทยว่า
พวกเขาสามารถเดินเข้าคุกไปได้ง่ายๆเพียงเพราะ
ภรรยาที่โชคร้ายของพวกเขาพยายามทำตามกฎหมาย "
ข้อวิเคราะห์:พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะบอกว่า ถูกตัดสินจำคุกอย่างไม่เป็นธรรม
ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขายที่ดิน นอกจากนั้นไม่มีการฉ้อฉล
หรือคอร์รัปชั่นในการซื้อขายที่ดินดังกล่าว คำตัดสินดังกล่าวจึงไร้เหตุผล
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตฯมีวัตถุประสงค์ทั้งใน"ป้องกัน"และ"ปราบปราม"การทุจริต
ซึ่งเนื้อหาของกฎหมายในส่วนของการ"ป้องกันการทุจริต"
เช่น การกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแสดงรายการ
บัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ห้ามกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม
การห้ามการกระทำที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อผลประโยชน์ส่วนตัว
มาตรา 100 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เป็นบทบัญญัติห้ามมิให้
เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ตนมีอำนาจกำกับดุแลอยู่
รวมถึงการห้ามเข้าไปเป็นหุ้นส่วน กรรมการ ที่ปรึกษา กรรมการผู้มีอำนาจจัดการ
พนักงานในบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐในลักษณะเดียวกัน
ก็เพื่อป้องกันการมีส่วนได้ส่วนเสีย การใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อผลประโยชน์ส่วนตัว
พูดง่ายๆก็คือ ป้องกันเพื่อมิให้มีการทุจริตเกิดขึ้นนั่นเอง
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2542 และมีการประกาศ
ห้ามคณะรัฐมนตรีกระทำการดังกล่าวตั้งแต่ปี 2543 ในสมัยรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย
ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนกุมภาพันธ์ 2544
ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมรู้กติกาหรือบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นแล้ว หลักการเรื่องการห้ามการมีส่วนได้ส่วนเสียของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ถูกบัญญัติในลักษณะดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนเรื่องการทำคำสั่งทางปกครอง
ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 2539 รวมทั้งกฎหมาย
ของประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศรวมทั้งประเทศอังกฤษด้วย
ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณร่ำเรียนมาถึง"ดอกเตอร์" ทางด้านอาชญวิทยา พูดไทยคำ อังกฤษคำน่าจะรู้ดี
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งรู้บทบัญญติในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
นอกจากจะไม่ห้ามปรามมิให้ภริยาซึ่งร่ำรวยมหาศาลซื้อที่ดินจากหน่วยงานของรัฐ
ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งแล้ว กลับสนับสนุนด้วยการลงนามยินยอมในเอกสาร
เท่ากับจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับ
เป็นการกระทำผิดกฎหมายป้องกันการทุจริตอย่างชัดแจ้ง
ดังนั้น การที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี จึงสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง
"จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมาย
ไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ 1 กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย
ทั้งที่จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี
ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงาม
ตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจ
ในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ จึงไม่สมควรรอการลงโทษ"
สอง นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีถูกขับพ้นจากตำแหน่ง
เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์
"ผมไม่ทราบว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับทิศทาง
ที่ประเทศไทยกำลังมุ่งไป ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตาม
ระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง
เพียงเพราะว่า เขาทำรายการโทรทัศน์"
ข้อวิเคราะห์: เห็นชัดว่า เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไร้ยางอาย
เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 267 มีบทบัญญัติห้ามมิให้รัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่งใดๆในบริษัทธุรกิจเอกชนหรตือองค์กรที่แสวงหากำไร
รวมถึงการเป็นลูกจ้างของบริษัทเอกชนและบุคคลใดๆ
ซึ่งมีเจตารมณ์ในลักษณะเดียวกับ มาตรา 100
ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมฯูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
นายสมัครเองก็ทราบบทบัญญัติในเรื่องดังกล่าวดี แต่ยังจงใจฝ่าฝืน
ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการจ้างจาก"รับจ้างแรงงาน"
บริษัทเฟซ มีเดียมาเป็น"รับจ้างทำของ"
การที่นายสมัครต้องพ้นจากตำแหน่ง จึงมิใช่เพราะทำรายการโทรทัศน์
ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บิดเบือน เพราะถ้าเช่นนั้นจริง นายสมัครควรจะ
ถูกขับพ้นจากตำแหน่งเพราะดันทุรังจัดรายการ"สนทนาประสาสมัคร"
ทุกวันอทิตย์มากกว่า
สาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจาก
แรงขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งเป็นการสมคบกันของ บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย
ผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นประชาธิปไตย ผมเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา
เพียงเพราะผมเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย
ซึ่งส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากคนจนในประเทศของผม
ข้อวิเคราะห์: ในข้อนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นย่อย
ประเด็นแรก เรื่องการสมคบกันของบรรดาชนชั้นอภิสิทธิ์ แม้พ.ต.ท.ทักษิณมิได้ระบุว่า
เป็นผู้ใดหรือกลุ่มใดอย่างชัดเจน แต่มีความพยายามโยงว่า
มีอำนาจเหนือกระบวนการยุติธรรมรวมถึงศาลด้วย?
ถ้าศาลตกอยู่ภายใต้อำนาจของชนชั้นอภิสิทธิ์จริง แต่ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ
ยังคงใช้ศาลเป็นเครื่องมือต่อสู้ศัตรูทางการเมืองของตนในคดีหมิ่นประมาท
โดยเฉพาะคดีที่มีผู้กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทุ่มเงินล้มสถาบันชั้นสูง
ประเด็นที่สอง พ.ต.ท.ทักษิณอ้างตัวเป็นตัวแทนของหลักการ
แห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย นับเป็นข้ออ้างที่น่าหัวเราะปนสมเพชเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจนั้น มีการใช้ทั้งอำนาจทุนและอำนาจรัฐ
ในการแทรกแซงและซื้อสื่อไว้ในกำมือ เช่น บริษัทในเครือชินวัตร
ตัดโฆษณาสื่อที่เปิดโปงการกระทำมิชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ สมุน พ.ต.ท.ทักษิณเที่ยวไล่เช็คบิลสื่อที่พยายามขุดคุ้ย
การทุจริตในรัฐบาลทักษิณ
นอกจากนั้นลักษณะธุรกิจของครอบครัวชินวัตร ยังเป็นการผูกขาดตัดตอน
จนสร้างความร่ำรวยมหาศาลให้แก่ตนเอง รวมถึงมีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์
ให้แก่ธุรกิจของตนเองและพวกพ้องยังไม่รวมถึงมีการทุจริตเลือกตั้งอย่างมโหฬาร
อย่างนี้หรือที่เรียกว่า เป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย
สี่ โจมตีสื่อมวลชนไทย "ผมเชื่อว่า พวกคุณจะตรวจสอบข้อเท็จจริง(เกี่ยวกับการตัดสินคดีนี้)
ที่เหลืออย่างอิสระเยี่ยงผู้สื่อข่าวมืออาชีพปฏิบัติกัน แต่น่าเสียดาย
ที่เพื่อนร่วมอาชีพของคุณส่วนใหญ่ในประเทศไทยปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น "
ข้อวิเคราะห์: การที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่ทำตามคำบิดเบือนของ
พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพราะเห็นว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาชอบแล้ว
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณควรถามตัวเองและสมุนว่า ขณะที่สื่อไทย
พยายามขุดคุ้ยการทุจริตในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ใครกันแน่ที่พยายาม
ขัดขวางและปิดกั้นการทำงานของนักข่าวไทย
บทวิเคราะห์นี้ไม่มีบทสรุปใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า
คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
นอกจากการบิดเบือนข้อเท็จจริงเหมือนกับที่ทำมาตลอดในช่วงเรืองอำนาจ
ที่มา มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... 0&catid=01