ถลกหนัง "ทักษิณ-ซุกหางเห่า" ภาค ๒
วันนี้จะยังไม่คุยอะไร ต้องการให้ท่านได้อ่านแถลงการณ์ "ซุกหางเห่า" ภาค ๒
ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมคัดลอกจาก "มติชน" และพร้อมกันนี้
ก็ไม่จำเป็นที่ผมต้องพูดอะไร เพราะมีคน "แกะลาย"
ให้เห็นลาย "โจรทรยศชาติ" ไว้เสร็จสรรพ!
เท้าความนำเรื่องไว้นิดนะครับ คือหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ถูก "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง" ตัดสินจำคุก ๒ ปีโดยไม่รอลงอาญา
ส่วนคุณหญิงพจมานศาลสั่งยกฟ้อง ในคดีซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ เมื่อ ๒๑ ต.ค.๕๑
วานซืนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ออกแถลงการณ์
ประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันและหยันหยามต่อคำตัดสินศาล
โดยส่งให้สื่อต่างประเทศเหยียบย่ำทำลายชาติบ้านเมืองตัวเอง ดังข้อความต่อไปนี้
วูดซัม แมเนอร์
เซอร์เรย์, อังกฤษ
22 ต.ค.51
เรียน เพื่อนสื่อมวลชนต่างประเทศ
สิ่งที่ผมกำลังเขียนถึงพวกคุณในวันนี้เพื่อให้ความกระจ่างในข้อเท็จจริงบางอย่าง
ข่าวพาดหัวที่มีการรายงานว่าผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการทุจริต
ต้องโทษจำคุก 2 ปีจากการซื้อที่ดินของภรรยาผม, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร
สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้คือความจริง ผมถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี
ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต เหตุผลเดียวที่ผมถูกสั่งจำคุก เพราะในช่วงเวลาที่ภรรยาของผม
ซื้อที่ดินโดยการเปิดประมูลนั้น ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ผมได้ฟังคำตัดสินเมื่อวันก่อนและจนถึงตอนนี้ ผมยังคงสับสน
เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล คอรัปชั่น
หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล
คำถามคือ ภรรยาของผมเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและตัดสินใจยื่นประมูลที่ดินดังกล่าว
เป็นผู้ยื่นเสนอราคาจำนวนมากแก่ผู้ขายซึ่งคือ
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆ
เป็นผู้เซ็นสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย จ่ายเงินค่าที่ดิน
โดยที่สามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร
ในแง่ของข้อกล่าวหาเรื่องอิทธิพลอำนาจที่ผมอาจมีเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ
มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องชี้ให้เห็นว่า คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี
ไม่ได้มีอำนาจควบคุมโดยตรงเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ที่ศาลไม่ได้พบว่า การซื้อขายที่ดินของภรรยาผมมีอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
หรือเป็นการกระทำนอกกฎหมาย เขาไม่ได้ตัดสินว่าเธอมีความผิด เพราะเธอไม่ใช่นักการเมือง
แต่ผมเป็น ผมเชื่อว่าพวกคุณจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เหลืออย่างอิสระเยี่ยงผู้สื่อข่าวมืออาชีพปฏิบัติกัน
แต่น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมอาชีพของคุณส่วนใหญ่ในประเทศไทยปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น
สิ่งที่ผมจะสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดก็คือ ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอย่างง่ายๆ
เพียงเพราะผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง ผมผิดเพราะผมเป็นนักการเมือง
ที่ประสบความสำเร็จ ผมได้รับเลือกตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัยเพราะเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน
ถ้าหากผมจะมีความผิดอะไรสักอย่าง นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ผมได้แสดงออกมาให้ประชาชนชาวไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยกลุ่มที่อยู่ในชนบทและไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ได้เห็นว่าพวกเขาสามารถเรียกร้อง
และมีสิทธิ์เรียกร้องให้รัฐบาลของพวกเขาจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพ
และทำโครงการต่างๆ ที่จะยังผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น
ผมยอมรับคำตัดสินนี้ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน รู้สึกโล่งใจสำหรับภรรยา
ที่ผมดึงเธอเข้าไปสู่ความยากลำบากมากทีเดียว เพราะความทะเยอทะยานทางการเมืองของผม
ในการที่จะนำความยิ่งใหญ่และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศและประชาชนของผม
ทั้งรู้สึกนึกขันปนขมขื่นกับคำตัดสินที่ไร้เหตุผล และรู้สึกกังวลแทนนักการเมืองในประเทศไทยว่า
พวกเขาสามารถเดินเข้าคุกไปได้ง่ายๆ เพียงเพราะภรรยาที่โชคร้ายของพวกเขาพยายามทำตามกฎหมาย
สำหรับพวกคุณที่อาจไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยที่กำลังดำเนินธุรกิจหลายๆ ด้าน
ตั้งแต่สื่อสารโทรคมนาคม ธนาคาร ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งปั๊มน้ำมัน
ผมไม่ทราบว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กับทิศทางที่ประเทศไทยกำลังมุ่งไป ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง
ตามระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์
แต่กลุ่มคนที่ล่วงละเมิดผิดกฎหมายและยึดครองทำเนียบรัฐบาล กลับได้รับความคุ้มครองจากศาล
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมือง
ซึ่งเป็นการสมคบกันของบรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย ผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่างยกเว้นประชาธิปไตย
ผมเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา เพียงเพราะผมเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย
ซึ่งส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากคนจนในประเทศของผม
ประเทศไทยเป็นและจะยังคงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม คนจำนวนไม่มากที่ไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้
กำลังขัดขวางเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าในท้ายที่สุด พี่น้องชาวไทยจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
และการสิ้นสุดของฝันร้ายอยู่ไม่ไกล
ผมขอขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้ร่วมแบ่งปันข้อเท็จจริงกับคุณ
ด้วยความนับถือ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ครับ..ผมอ่านไปก็อนาถในใจไป
"ทำไม..แผ่นดินไทย ไม่มีคุณงามความดีที่จะให้คนคนหนึ่งที่ชื่อทักษิณ ได้รู้ถึงคุณแผ่นดินบ้างเชียวหรือ?"
แต่ก็เหมือนฟ้าส่งใบเสร็จมาให้ คือผมเปิดเมล์ ก็พบว่ามีท่านหนึ่งส่งข้อความมาบอกว่า
"นายเสนาะ เทียนทอง" ผู้ปั้นทักษิณเป็นนายกฯ เคยเขียนไว้ในหัวข้อ "จะเอาทักษิณหรือประเทศไทย"
ช่างพอเหมาะ-พอเจาะเสียจริงๆ ผมอ่านแล้วก็ขอยกมาต่อท้าย "แถลงการณ์ซุกหางเห่า" ภาค ๒ เดี๋ยวนี้เลย
-นายเสนาะได้เขียนในหัวข้อ "จะเอาทักษิณ หรือประเทศไทย" มีเนื้อหาสาระที่สำคัญว่า
รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ปี 2529 แบบผิวเผิน ตั้งแต่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี
-พ.ต.ท.ทักษิณพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าพรรค
คือทำธุรกิจกับการเมือง วิ่งเต้นเข้าทางผู้ใหญ่สูงสุดของพรรค
-ต่อมาตนย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณได้สนับสนุนปัจจัยการเมือง
ผ่านไปทาง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น
พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
-เมื่อก่อนเกิดวิกฤติค่าเงินบาท นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลังในขณะนั้นลาออก
มีการคิดกันว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยซ้ำ ตนได้ไปทาบทามคนที่น่าเชื่อถือในสังคม
โดยนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รับปากว่าจะเข้ามาช่วยเป็น รมว.คลัง
-ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปนำนายทนง พิทยะ ผู้บริหารธนาคารทหารไทยมารับตำแหน่งนี้แทน
โดยที่ตนไม่รู้เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณไปซุบซิบกับ พล.อ.ชวลิต
และนายโภคิน พลกุล อดีต รมต.สำนักนายกฯ แล้วจึงมีคำสั่งแต่งตั้งนายทนง
-ก่อนเงินบาทลอยตัว ผมไม่รู้เรื่องด้วย เพราะอยู่นอกวงของพวกเขา
คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้นมี 4 คนคือ
พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ นายทนง และนายโภคิน
-ส่วนจะรู้เห็นกันขนาดไหน ผมไม่รู้ เขาบอกว่าเขาไม่รู้ อันนี้ไม่มีใบเสร็จ
แต่ถ้าถามผมว่า ผลที่เกิดหลังค่าเงินบาทลอยตัวออกมาอย่างไร
"มันส่อชัดว่าทักษิณและบริษัทรอดวิกฤติคนเดียว คือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว
การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มากๆ หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ
ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย
แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤติเพราะได้ประกัน" นายเสนาะกล่าว
-นายเสนาะกล่าวว่า หากต้องการจะรู้ทันทักษิณ ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนอย่างไร
เพราะลักษณะเฉพาะและตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้อำนาจ
และบริหารราชการแผ่นดินของทักษิณ ทั้งหมดนั้นประกอบขึ้นมาเป็นระบอบทักษิณ
ซึ่งมีทั้งระบบการใช้อำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่วมกัน
-พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ
ไม่มีสภาวะผู้นำโดยเฉพาะในระดับประเทศ เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหารราชการ
แม้เคยรับราชการตำรวจก็อยู่ไม่นาน และใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ
-พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ
แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ
-การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ
คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่
"พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้ง จากนั้นไม่มีผลจริง"
แต่ทักษิณตอบว่า
"โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ"
-เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง
ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน
-ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ แม้แต่โครงการเอสเอ็มแอล
ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียงเพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่า
"โธ่...อำนาจอยู่ที่เรา กกต.ก็ของเรา คนก็ของเรา"
"ล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 มีการกระทำผิดกฎหมาย
คือขนคนมาฟังการปราศรัยโดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน แต่ กกต.กลับเฉย" นายเสนาะกล่าว
-นายเสนาะกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่า "ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ"
-หากรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ คอยตักเตือน จะอยู่ไม่ได้เลย
คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ "เยส" อย่างเดียว เช่น
นายพินิจเคยพูดว่า "ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย"
หรือนายเนวินก็มักพูดว่า "ดีนายๆ"
-ด้วยเหตุนี้ รัฐมนตรีบางคนในช่วงเทศกาลเลือกตั้งมักมีบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินอยู่เต็มรถ
จึงได้รับการฟูมฟักอย่างดี เหนียวแน่น ถูกเรียกใช้งานบ่อยๆ ในช่วงหลัง นายเสนาะกล่าวว่า
-ยิ่งกว่านั้น ยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ
ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเองไปในทุกกระทรวง
โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ
-แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนคนนี้คือคนของเขา จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้
เรียกว่ามีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง
-เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ
ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่อง
ขอใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน
-รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่า "เดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน
แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์" หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา
นายเสนาะกล่าวว่า
-ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง
แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือยกเว้นระเบียบพิเศษ ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้
เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ
-นโยบาย 10 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีต้องทำโครงการ โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อน
ว่ามูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค
จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ
-พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีไม่ต้องคิด ไม่ต้องสงสัย
ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ ใครเข้าใจว่า 10 เปอร์เซ็นต์มีอยู่เท่าไร คงต้องไปถามคุณหญิง
นายเสนาะกล่าวว่า
-สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือ กรณีผู้ว่าฯ สตง.ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ
มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สำคัญ ที่ทำให้ตนลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8 มิ.ย.2548 การประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ
พูดได้ว่า ถ้ามันเอาชีวิตได้มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า
-ตอนหลังคนของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ตนพูดตรงๆ ไปว่า
"เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเองจนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว
สิ่งสำคัญนายกฯ ก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้"
-และตนยังพูดอีกว่า "ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ มันยังไงล่ะ ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่า อย่าให้พี่เป็นหมาเลย"
-นายเสนาะกล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดปัญหาทั้งหมดตนก็พยายามไปเตือน แต่เรื่องที่เตือน
ก็เป็นการขัดผลประโยชน์เขาทุกเรื่อง เช่นคิดว่ารัฐมนตรีคอรัปชั่น ตนก็ไปเตือนเพราะคิดว่าไม่รู้
ที่ไหนได้มันสั่งเอง ขนาดกลายเป็นว่ารัฐมนตรีคนไหนไม่ทำตามสั่ง ภายหลังก็อยู่ไม่ได้
-ความขัดแย้งในปัจจุบัน สาเหตุมาจากตัวปัญหาคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ คนคนนี้โกงเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ
เมื่อมีอำนาจก็โกงอีก อันตรายต่อบ้านเมืองสุดๆ พ.ต.ท.ทักษิณน่ากลัวเพราะเป็นคนมีวุฒิการศึกษา
จ้องวางแผนเอาเปรียบคนอื่น ถือว่าต่ำต้อยเหลือเกินในการเป็นผู้นำประเทศ
"ผมจำคำพูดของทักษิณที่เคยบอกว่า พี่เหนาะผมพร้อมแล้ว สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก
อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายาย กินจนตายก็ไม่หมด สมบัติอีกส่วนจะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน
คำพูดนั้นๆ ผมเคยหลงคิดว่าคนคนหนึ่ง รวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน
ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่า รวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเมืองเพื่อเอาประกัน
คนรวยคนนี้รวยแล้วไม่รู้จักพอ ไม่ใช้หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน"
นายเสนาะกล่าวและว่า
-ตนเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงอ้อว่า "น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม"
เขาพากันตอบว่า "ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ"
-เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า "ในอนาคตถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ"
เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า
"ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย"
ครับ..ใครช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษตอบ "แถลงการณ์ทักษิณ" ให้สื่อนอกได้รู้ทัน
ต่อแถลงการณ์ลวงโลกของไอ้กากเดนมนุษย์ตัวนี้หน่อยเป็นไร ที่ซุกหางเห่าเอาดีใส่ตัวว่า
"เพราะความทะเยอทะยานทางการเมืองของผม ในการที่จะนำความยิ่งใหญ่
และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศและประชาชนของผม" นั้น
แท้จริงแล้ว ๕ ปีที่มันบริหารประเทศ
เป็น ๕ ปีที่ ๒ ผัว-เมียอัปรีย์ มันทำกาลีกับบ้านเมืองสถานเดียว.
ที่มา เปลว สีเงิน หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=th ... cat_id=200