บทวิเคราห์ข่าวต่างประเทศ จากสำนักข่าวโพสต์ทูเดย์ฮุนเซนได้ แบ็ก ดีทุนหนา..ไม่ไว้หน้าใคร10 พฤษภาคม 2554 เวลา 07:03 น. | เปิดอ่าน 2,640 | ความคิดเห็น 18
หากเป็นเมื่อราว 20 ปีก่อน กัมพูชาคงไม่แสดงท่าทีไม่ยี่หระต่อไทยถึงเพียงนี้
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
หากเป็นเมื่อราว 20 ปีก่อน กัมพูชาคงไม่แสดงท่าทีไม่ยี่หระต่อไทยถึงเพียงนี้ เพราะไทยให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา ทั้งยังเป็นแหล่งเงินลงทุนและแหล่งสินค้าแห่งหลักของกัมพูชา จนอาจกล่าวได้ว่า หากไทยปิดด่านค้าขายหรือระงับการลงทุน อาจถึงขั้นทำให้กัมพูชาต้องกลายเป็นอัมพาต
วันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว กัมพูชาไม่เพียงเริ่มก้าวไปสู่เส้นทางที่มั่นคงขึ้น แต่นานาประเทศที่สนับสนุนกัมพูชายังเติบโตอย่างแข็งแกร่งจนสามารถเข้ามาเบียดสัดส่วนการลงทุนของไทยให้เหลือสัดส่วนในลำดับรองลงมา โดยเฉพาะการลงทุนโดยจีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และสิงคโปร์
เมื่อปีที่แล้ว การลงทุนโดยตรง (FDI) ไหลทะลักเขาสู่กัมพูชาเป็นเงินกว่า 640 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 5.4% ของสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ส่วนในปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบกับเงินช่วยเหลือที่มากถึง 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ขณะที่เงินลงทุนจากไทยลดวูบเหลือเพียง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2553 หรือลดลงถึง 98% จากการประเมินโดยสภาพเพื่อการพัฒนาแห่งกัมพูชา (CDC) และมีวี่แววว่าจะลดน้อยถอยลงไปอีก หากความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศยิ่งเสื่อมทรามลง ภายหลังการเจรจาที่เวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งยังก่อให้เกิดรอยร้าวไปทั้งกลุ่ม
ยังไม่นับพี่ใหญ่ของฮุนเซน อย่างเวียดนาม ที่วันนี้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่เนื้อหอมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ดึงดูดเงินลงทุนมหาศาลในแต่ละปี แม้จะต้องสะดุดลงจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและภาวะฟองสบู่ในตลาดทุน แต่เวียดนามยังมีอนาคตที่สดใส และพร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้กัมพูชาได้ทุกเวลา
แม้จะต้องขาดเงินลงทุนและการช่วยเหลือจากไทย อีกทั้งยังอาจเป็นต้นเหตุให้การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต้องกลายเป็นฝันค้าง แต่ “ประเทศเล็ก” อย่างกัมพูชา มีหรือจะใส่ใจ ขอเพียงให้มีเงินทุนและเงินช่วยเหลือเข้าประเทศได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะต่อกรกับไทย โดยไม่จำเป็นต้องเกรงใจ 5 ประเทศหลักในอาเซียน ที่ดันหลังไทย เพื่อให้ไทยสามารถร่วมเป็นธงนำผลักดันประชาคมอาเซียนไปถึงเป้าหมายได้ในปี 2015
“แบ็กอัพ” ของกัมพูชาเหนือกว่าระดับท็อป 5 ของอาเซียนมากมายนัก เพราะเต็มไปด้วยสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ไม่ว่าจะเป็นจีน ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นผู้ลงทุนและผู้ให้เงินช่วยเหลือระดับชั้นนำในกัมพูชา ด้วยเม็ดเงินช่วยเหลือที่เคยสูงถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2550
ฝ่ายรัสเซียมีระดับการลงทุนในกัมพูชาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าในช่วงเวลาเพียงแค่ 5 ปี ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยอ้างว่า รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนกัมพูชาในการประชุม UNSC เมื่อช่วงเดือน ก.พ.
ที่น่าจับตาคือ ฝรั่งเศส ซึ่งล่าสุดดำรงตำแหน่งประธาน UNSC และมอบเงินช่วยเหลือกัมพูชาเป็นเงินถึง 35 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุด เพิ่งเปิดเส้นทางการบินของสายการบิน Air France ไปยังกรุงพนมเปญอีกครั้ง หลังจากระงับเที่ยวบินมานานถึง 37 ปี
ประเทศเหล่านี้พร้อมที่จะลงทุนในกัมพูชา หากกัมพูชาอ้าแขนรับอย่างเต็มที่ เพราะกัมพูชาได้รับการจัดวางให้เป็นประเทศที่มีอนาคตไกลในสายตาของนักลงทุน แม้ขณะนี้บรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม โดยอยู่ในอันดับที่ 145 จาก 183 ประเทศ ในรายงาน “Doing Business” ของธนาคารโลก
การที่กัมพูชาอ้าแขนรับประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ ย่อมต้องมีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับไทย
วาระซ่อนเร้นที่ว่านี้ อาจซ่อนไม่มิดเท่าไรนัก เพราะแม้แต่สื่อต่างชาติยังมองเห็น
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานไว้ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ UNSC เปิดเวทีพิจารณากรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา รายงานดังกล่าวระบุว่า การที่ฮุนเซนสามารถ “ทำกร่าง” กับไทยได้นั้น เพราะมีจีนคอยอัดฉีดทั้งเงินทุนและเงินช่วยเหลือมหาศาล อีกทั้งฮุนเซนและพลพรรคในรัฐบาลกัมพูชายังตระหนักได้ว่า ไทยมิได้มีความจำเป็นต่อกัมพูชามากเท่ากับในอดีต
ในวันนี้ไทยไม่ใช่ประเทศที่เป็นแกนนำในการช่วยพัฒนาสาธารณูปโภคในกัมพูชาอีกต่อไป เพราะบทบาทนี้ถูกจีนแย่งชิงไปเสียแล้ว นอกเหนือจากเงินช่วยเหลือสำหรับโครงการก่อสร้าง จีนยังอนุมัติเงินกู้ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับก่อสร้างทางหลวงสายหลัก 2 สาย และพัฒนาโครงการชลประธาน และเตรียมอนุมัติอีก 290 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับโครงการพัฒนาสาธารณูปโภค
ไม่เพียงเท่านี้ จีนยังตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระดับทวิภาคีอีกถึง 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยจะได้รับแรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และอุตสาหกรรมโภคภัณฑ์ (สินค้าเกษตรและเหมืองแร่) ซึ่งจีนมีความต้องการสูง
จะไม่ให้กัมพูชาศรัทธาในจีนคงไม่ได้ แม้แต่นโยบายการต่างประเทศของไทยคงต้องหวั่นไหว หากได้รับเงินช่วยเหลือหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ผ่านการลงทุนทั้งทางตรง การลงทุนร่วมกัน และการลงทุนเพื่อผลประโยชน์ของจีนในระยะยาว รวมแล้วมากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ!
เฉพาะช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เงินลงทุนจากจีนสำหรับ 360 โครงการในกัมพูชา เป็นเงินถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่สำคัญก็คือ อาวุธที่กัมพูชาใช้ตอบโต้กับฝ่ายไทย เป็นอาวุธที่มาจากจีน และจีนยังให้ความช่วยเหลือด้านการทหารแก่กัมพูชาอีกต่อหนึ่ง เฉพาะเมื่อปีที่แล้วเป็นเงินถึง 14 ล้านเหรียญสหรัฐ
น่าสงสัยว่า ที่จีนทำเสียงแข็งเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงในทันที เป็นเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่?
การให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่กัมพูชา นับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัว เพราะจีนไม่เพียงซื้อใจกัมพูชาจนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนและทรัพยากรได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังนานาประเทศด้วยว่า จีนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือด้านการทหารอย่างเต็มที่ หากเปิดทางให้จีนเข้ามาลงทุนและสั่งสมความมั่งคั่ง
เป็นที่น่าสนใจว่า จุดประสงค์ข้อหลังยังเป็นการส่งสัญญาณไปถึงสหรัฐด้วยว่า จีนมีศักยภาพในการช่วยเหลือด้านอาวุธแก่พันธมิตรมากกว่าสหรัฐ เพราะที่ผ่านมาสหรัฐช่วยกัมพูชาเพียงแค่ส่งยานยนต์กองทัพที่ผ่านการใช้งานแล้วมาให้เป็นของกำนัล รวมถึงเครื่องแบบทหารใช้แล้วเป็นของบริจาคให้กับชาวกัมพูชาที่ยากไร้
แต่จีนส่งรถบรรทุกใหม่เอี่ยมมาให้ถึง 257 คัน พร้อมเครื่องแบบทหารตัดใหม่มาให้กัมพูชาถึง 5 หมื่นชุด
จีนยังตบหน้าสหรัฐฉาดใหญ่ ด้วยการยกหนี้ให้กัมพูชาเป็นเงินถึง 4.24 ล้านเหรียญสหรัฐ ตรงกันข้ามกับสหรัฐที่เตรียมเปิดการเจรจาเพื่อให้กัมพูชาชำระหนี้ติดค้างเป็นเงิน 445 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซื้อใจ เอาใจกันขนาดนี้ จะไม่ให้ฮุนเซนกล้าทำ “กร่าง” ก็คงยาก
ยิ่งชวนให้ฉุกคิด เมื่อพิจารณาว่า ไทยใน “ยุคนี้” กลับมาผูกไมตรีกับสหรัฐเป็นหลัก แต่กลับหมางเมินจีนจนผิดปกติ
เมื่อพิจารณาสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนกับกัมพูชาแล้ว ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงเป็นเสมือนสนามประลองอิทธิพลระหว่างสองมหาอำนาจอยู่กลายๆ
ในช่วงเวลาที่สหรัฐเริ่มแสดงอาการของความเสื่อมถอย ขณะที่จีนสำแดงฤทธิ์เดชทางเศรษฐกิจมากขึ้น การที่กัมพูชาผูกตัวเองเข้ากับจีน (และรัสเซียกับอินเดีย) ย่อมทำให้เกิดความฮึกเหิมจนออกนอกหน้า
ไม่แปลกที่ฮุนเซนจะแสดงกิริยาไม่ไว้หน้าไทยและประธานอาเซียน ด้วยการกล่าวหาไทยเป็นฝ่ายรุกรานกันซึ่งๆ หน้า ทำลายมารยาทการประชุมที่อาเซียนเคร่งครัด
ทั้งยังทำลายเสถียรภาพและสันติภาพที่ภูมิภาคนี้ประคับประคองมานานนับทศวรรษ
ที่มา
http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/ต่างประเทศ/87966/ฮุนเซนได้-แบ็ก-ดีทุนหนา-ไม่ไว้หน้าใคร