หอการค้าฯ"จับมือเอกชนสางปมทุจริตคอร์รัปชั่นในไทย

เห็นปชป.ชอบพูดว่าพรรคของตนไม่ได้เลวร้าย ถ้าไม่พูด ผมก็ไม่อยากแปะข่าวนี้หรอก
เพราะผ่านมาสักอาทิตย์แล้ว แต่วันนี้เป็นวันเปิดโครงการนี้
ถ้าขี้เกียจอ่าน ก็ให้อ่านเฉพาะที่เป็นสีก็พอ แล้วจะเห็นว่า ภาคเอกชนหลักๆของประเทศ
เขาบอกว่ารัฐบาลนี้เลวร้ายพอๆกับแม้วใช่หรือไม่
จากhttp://www.thailandforum2010.com/forum/index.php?page=news&op=readNews&id=1509
19/05/2011 22:22
"หอ การค้าไทย" ร่วมกับภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น 21องค์กร ตั้งภาคีเครือข่ายต้านคอรัปชั่น ชี้ปัจจุบันไทยคอรัปชั่นเพิ่มขึ้นร้อยละ50หวั่นทำลายประเทศในอนาคต พร้อมเล็งวัดดัชนีคอรัปชั่นในไทยทุก6เดือนหาแนวทางแก้ไข พร้อมเตรียมประกาศสงครามต่อต้านการคอร์รัปชั่นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้และเดินหน้าแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 มิถุนายน 2554นี้ ทางหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะองค์กรผู้นำเอกชน จึงได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น 21 องค์กร เตรียมจัดการสัมมนา " ต่อต้านการคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" เพื่อมุ่งกระตุ้นจิตสำนึกของคนไทยและระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งภาค รัฐและเอกชน เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชั่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างจุดเปลี่ยน สู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
สำหรับการสัมมนาครั้งนี้จะมีการนำเสนอกรณีศึกษาและต้นแบบความสำเร็จของการ ปราบปรามคอร์รัปชั่น จากคณะกรรมการอิสระเพื่อการปราบปรามการคอรัปชั่นเขตปกครองพิเศษฮ่องกง และจะมีการนำเสนอรายงานสถานการณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทย นอกจากนี้ภาคเอกชนจะรวมตัวกันเพื่อประกาศสงครามต่อต้านการคอร์รัปชั่น ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นต้นไปด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ทางกลุ่มภาคีเครือข่ายฯจะมีการมอบหมายให้มหาวิทยาลัย หอการค้าไทยจัดทำการวัดดัชนีการคอรัปชั่นในประเทศไทยทุก 6 เดือนเพื่อหาจุดที่จะต้องแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นต่อไป
ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องมีการจัดสัมนาครั้งนี้ ก็เนื่องจากประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศที่ติดอันดับในการคอรัปชั่นสูงใน อันดับต้นๆของโลก จากผลดัชนีคอรัปชั่นในปี 2553 ประเทศไทยติดอยู่ในอันดับที่ 78 จาก 178 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่บ่อนทำลายประเทศ เพราะทำให้ประเทศไม่มีการพัฒนา รวมถึงบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาในไทย
ซึ่งเดิมประเทศไทยมีอัตราการคอรัปชั่นเพียงร้อยละ 3 เมื่อช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะนี้อัตราการคอรัปชั่นเพิ่มถึงขึ้นถึงร้อยละ 40-50 และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริง จัง อาจจะทำให้ประเทศล่มสลายในที่สุด ดังนั้นจึงมองว่าปัญหานี้เป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขโดยต้องเริ่มตั้งแต่ระดับ ครอบครัวจนถึงระดับสังคม ซึ่งในกลุ่มภาคเอกชนจะรวมพลังกันเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ตกไปอยู่ในมือของ กลุ่มที่หวังผลประโยชน์ และจะร่วมกันเปิดโปงกลุ่มคอร์รัปชั่นและเชิดชูผู้ที่ทำคุณงามความดี
“ภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น ได้จัดตั้งจากภาคเอกชนเครือข่าย 21 องค์กรไทย เพื่อกระตุ้นให้ทุกฝ่ายเห็นว่าการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นเป็นหน้าที่ของ ทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง”
นายดุสิต กล่าวต่อว่า สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอยากให้รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาวางแผนในการ ดูแลประเทศแบบระยะยาวให้สอดคล้องกับภาคธุรกิจ ว่าจะวางแผนอย่างไรให้ประเทศอยู่ได้ สำหรับคนที่จะเข้ามาดูแลด้านเศรษฐกิจนั้น ควรจะเลือกคนที่ดูมีความน่าเชื่อถือ มีความรู้ ความสามารถจริงๆเข้ามาดูแลซึ่งจะต้องเป็นทั้งคนเก่งและคนดีด้วย
ด้านดร. ธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงการเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชั่นว่า “ภาคธุรกิจมีส่วนสำคัญอย่างมากในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ให้เกิดผลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สมาคมธนาคารไทยมีแนวทางที่ชัดเจนในการต่อต้านหรือไม่ร่วมมือกับการทุจริต คอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบ โดยการเสริมสร้างจริยธรรมหรือจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจให้กับองค์กรสมาชิก ตลอดจนองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งหากทุกองค์กรยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกันนี้และร่วมมือกันปฏิบัติอย่าง จริงจัง เชื่อมั่นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นจะหมดไปจากประเทศไทยในที่สุด
ส่วนนายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้ตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงของการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในประเทศ ไทย ซึ่งปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในแทบทุกสังคม มากบ้าง น้อยบ้าง ตามปัจจัยเอื้อและประสิทธิภาพในการป้องกันของภาคส่วนและสังคมนั้น ดังนั้น การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรเป็นบทบาทหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคน ทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจในการต่อต้านการคอร์รัปชั่น เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนให้กับประเทศ ให้พัฒนาไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และภาคภูมิในสังคมโลก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็น “ภาคีเครือข่าย” ในการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ในครั้งนี้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ในฐานะเป็นผู้แทนองค์กรสำคัญในตลาดทุน ให้ความสำคัญอย่างมากกับการสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีให้แก่ภาค ธุรกิจ อันจะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีเสถียรภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตลาดทุนและประเทศไทยอีกด้วย จึงได้เข้าร่วมเป็น “ภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น และให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่อง การส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนและองค์กรที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนระบบการกำกับ ดูแลกิจการที่ดี และมีการพัฒนาระดับการกำกับดูแลกิจการให้สามารถเทียบเคียงได้กับมาตรฐานสากล ซึ่งเราสามารถให้ความเชื่อมั่นได้ว่า กิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรในตลาดทุนได้ดำเนินไปในลักษณะที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีจริยธรรม ผมมั่นใจว่าเครือข่ายตลาดทุนไทยจะสามารถเป็นตัวอย่างในเรื่องการกำกับดูแล กิจการที่ดีได้
นางรงค์รุจา สายเชื้อ รักษาการ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวถึง บทบาทของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยในการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นว่า ในฐานะที่ IOD เป็นสถาบันกรรมการที่มีบทบาทในการส่งเสริมให้เกิดการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) มานาน 10 กว่าปี เรายึดมั่นหลักการที่ว่าการต่อต้านการคอร์รัปชั่นถือเป็นส่วนหนึ่งของการ กำกับดูแลกิจการที่ดี และตระหนักดีว่าการดำเนินธุรกิจที่ปราศจากการคอร์รัปชั่น โดยไม่เรียกรับและให้สินบนจะนำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน และเมื่อกลางปี 2553 IOD ได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้นำธุรกิจที่เห็นว่า การทุจริตถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ดังนั้น นายชาญชัย จารุวัสตร์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการ IOD และคุณดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงได้ริเริ่มโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Private Sector Collective Action Coalition Against Corruption) โดยจัดตั้งคณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติภาคเอกชน โดยมี ดร.พนัส สิมะเสถียร เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ในการดูแลการดำเนินโครงการนี้ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ IOD หอการค้าไทย หอการค้าต่างชาติ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เนื่องจากตระหนักดีว่า การต่อต้านคอร์รัปชั่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยหน่วยงานใดเพียงลำพัง จึงผลักดันให้ภาคเอกชน รวมพลังกันในการต่อต้านการทุจริต เพื่อเป็นแรงเสริมให้ทุกภาคส่วน เห็นถึงความสำคัญของการต่อต้านการทุจริตร่วมกัน อันจะนำไปสู่การต่อต้านการทุจริตในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยยกระดับการกำกับดูแลกิจที่ดี ในประเทศไทยต่อไปได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการสัมมนา “ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย” จะจัดขึ้นในวันที่ 1 มิถุนายน 2554 ที่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย” นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น การนำเสนอกรณีศึกษาและต้นแบบความสำเร็จของการปราบปรามคอร์รัปชั่น จากคณะกรรมการอิสระเพื่อการปราบปรามการคอร์รัปชั่น (Independent Commission Against Corruption หรือ ICAC) เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และการนำเสนอรายงานสถานการณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทย สำหรับภาคบ่ายจะเป็นการสัมมนากลุ่มย่อยในหัวข้อ “รวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มพลังภาคเยาวชน การศึกษา และประชาชน กลุ่มพลังภาคเอกชน กลุ่มพลังภาครัฐ และกลุ่มพลังภาคสื่อมวลชน สภาวิชาชีพ และองค์กรอิสระ เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในการรวมพลังกันต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างจุดเปลี่ยน สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ไอ้ตอแหลมันยังปั้นหน้าไปเป็นประธานงานนี้ได้นับว่าตอแหลได้เก่งจริงๆ
เป็นคนทั่วไป เขาต้องอายจนแทรกแผ่นดินไปแล้ว

เพราะผ่านมาสักอาทิตย์แล้ว แต่วันนี้เป็นวันเปิดโครงการนี้
ถ้าขี้เกียจอ่าน ก็ให้อ่านเฉพาะที่เป็นสีก็พอ แล้วจะเห็นว่า ภาคเอกชนหลักๆของประเทศ
เขาบอกว่ารัฐบาลนี้เลวร้ายพอๆกับแม้วใช่หรือไม่
















จากhttp://www.thailandforum2010.com/forum/index.php?page=news&op=readNews&id=1509
19/05/2011 22:22
"หอ การค้าไทย" ร่วมกับภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น 21องค์กร ตั้งภาคีเครือข่ายต้านคอรัปชั่น ชี้ปัจจุบันไทยคอรัปชั่นเพิ่มขึ้นร้อยละ50หวั่นทำลายประเทศในอนาคต พร้อมเล็งวัดดัชนีคอรัปชั่นในไทยทุก6เดือนหาแนวทางแก้ไข พร้อมเตรียมประกาศสงครามต่อต้านการคอร์รัปชั่นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้และเดินหน้าแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 มิถุนายน 2554นี้ ทางหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะองค์กรผู้นำเอกชน จึงได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น 21 องค์กร เตรียมจัดการสัมมนา " ต่อต้านการคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" เพื่อมุ่งกระตุ้นจิตสำนึกของคนไทยและระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งภาค รัฐและเอกชน เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชั่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างจุดเปลี่ยน สู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
สำหรับการสัมมนาครั้งนี้จะมีการนำเสนอกรณีศึกษาและต้นแบบความสำเร็จของการ ปราบปรามคอร์รัปชั่น จากคณะกรรมการอิสระเพื่อการปราบปรามการคอรัปชั่นเขตปกครองพิเศษฮ่องกง และจะมีการนำเสนอรายงานสถานการณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทย นอกจากนี้ภาคเอกชนจะรวมตัวกันเพื่อประกาศสงครามต่อต้านการคอร์รัปชั่น ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นต้นไปด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ทางกลุ่มภาคีเครือข่ายฯจะมีการมอบหมายให้มหาวิทยาลัย หอการค้าไทยจัดทำการวัดดัชนีการคอรัปชั่นในประเทศไทยทุก 6 เดือนเพื่อหาจุดที่จะต้องแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นต่อไป
ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องมีการจัดสัมนาครั้งนี้ ก็เนื่องจากประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศที่ติดอันดับในการคอรัปชั่นสูงใน อันดับต้นๆของโลก จากผลดัชนีคอรัปชั่นในปี 2553 ประเทศไทยติดอยู่ในอันดับที่ 78 จาก 178 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่บ่อนทำลายประเทศ เพราะทำให้ประเทศไม่มีการพัฒนา รวมถึงบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาในไทย
ซึ่งเดิมประเทศไทยมีอัตราการคอรัปชั่นเพียงร้อยละ 3 เมื่อช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะนี้อัตราการคอรัปชั่นเพิ่มถึงขึ้นถึงร้อยละ 40-50 และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริง จัง อาจจะทำให้ประเทศล่มสลายในที่สุด ดังนั้นจึงมองว่าปัญหานี้เป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขโดยต้องเริ่มตั้งแต่ระดับ ครอบครัวจนถึงระดับสังคม ซึ่งในกลุ่มภาคเอกชนจะรวมพลังกันเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ตกไปอยู่ในมือของ กลุ่มที่หวังผลประโยชน์ และจะร่วมกันเปิดโปงกลุ่มคอร์รัปชั่นและเชิดชูผู้ที่ทำคุณงามความดี
“ภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น ได้จัดตั้งจากภาคเอกชนเครือข่าย 21 องค์กรไทย เพื่อกระตุ้นให้ทุกฝ่ายเห็นว่าการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นเป็นหน้าที่ของ ทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง”
นายดุสิต กล่าวต่อว่า สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอยากให้รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาวางแผนในการ ดูแลประเทศแบบระยะยาวให้สอดคล้องกับภาคธุรกิจ ว่าจะวางแผนอย่างไรให้ประเทศอยู่ได้ สำหรับคนที่จะเข้ามาดูแลด้านเศรษฐกิจนั้น ควรจะเลือกคนที่ดูมีความน่าเชื่อถือ มีความรู้ ความสามารถจริงๆเข้ามาดูแลซึ่งจะต้องเป็นทั้งคนเก่งและคนดีด้วย
ด้านดร. ธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงการเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชั่นว่า “ภาคธุรกิจมีส่วนสำคัญอย่างมากในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ให้เกิดผลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สมาคมธนาคารไทยมีแนวทางที่ชัดเจนในการต่อต้านหรือไม่ร่วมมือกับการทุจริต คอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบ โดยการเสริมสร้างจริยธรรมหรือจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจให้กับองค์กรสมาชิก ตลอดจนองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งหากทุกองค์กรยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกันนี้และร่วมมือกันปฏิบัติอย่าง จริงจัง เชื่อมั่นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นจะหมดไปจากประเทศไทยในที่สุด
ส่วนนายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้ตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงของการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในประเทศ ไทย ซึ่งปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในแทบทุกสังคม มากบ้าง น้อยบ้าง ตามปัจจัยเอื้อและประสิทธิภาพในการป้องกันของภาคส่วนและสังคมนั้น ดังนั้น การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรเป็นบทบาทหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคน ทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจในการต่อต้านการคอร์รัปชั่น เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนให้กับประเทศ ให้พัฒนาไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และภาคภูมิในสังคมโลก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็น “ภาคีเครือข่าย” ในการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ในครั้งนี้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ในฐานะเป็นผู้แทนองค์กรสำคัญในตลาดทุน ให้ความสำคัญอย่างมากกับการสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีให้แก่ภาค ธุรกิจ อันจะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีเสถียรภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตลาดทุนและประเทศไทยอีกด้วย จึงได้เข้าร่วมเป็น “ภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น และให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่อง การส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนและองค์กรที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนระบบการกำกับ ดูแลกิจการที่ดี และมีการพัฒนาระดับการกำกับดูแลกิจการให้สามารถเทียบเคียงได้กับมาตรฐานสากล ซึ่งเราสามารถให้ความเชื่อมั่นได้ว่า กิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรในตลาดทุนได้ดำเนินไปในลักษณะที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีจริยธรรม ผมมั่นใจว่าเครือข่ายตลาดทุนไทยจะสามารถเป็นตัวอย่างในเรื่องการกำกับดูแล กิจการที่ดีได้
นางรงค์รุจา สายเชื้อ รักษาการ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวถึง บทบาทของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยในการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นว่า ในฐานะที่ IOD เป็นสถาบันกรรมการที่มีบทบาทในการส่งเสริมให้เกิดการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) มานาน 10 กว่าปี เรายึดมั่นหลักการที่ว่าการต่อต้านการคอร์รัปชั่นถือเป็นส่วนหนึ่งของการ กำกับดูแลกิจการที่ดี และตระหนักดีว่าการดำเนินธุรกิจที่ปราศจากการคอร์รัปชั่น โดยไม่เรียกรับและให้สินบนจะนำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน และเมื่อกลางปี 2553 IOD ได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้นำธุรกิจที่เห็นว่า การทุจริตถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ดังนั้น นายชาญชัย จารุวัสตร์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการ IOD และคุณดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงได้ริเริ่มโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Private Sector Collective Action Coalition Against Corruption) โดยจัดตั้งคณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติภาคเอกชน โดยมี ดร.พนัส สิมะเสถียร เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ในการดูแลการดำเนินโครงการนี้ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ IOD หอการค้าไทย หอการค้าต่างชาติ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เนื่องจากตระหนักดีว่า การต่อต้านคอร์รัปชั่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยหน่วยงานใดเพียงลำพัง จึงผลักดันให้ภาคเอกชน รวมพลังกันในการต่อต้านการทุจริต เพื่อเป็นแรงเสริมให้ทุกภาคส่วน เห็นถึงความสำคัญของการต่อต้านการทุจริตร่วมกัน อันจะนำไปสู่การต่อต้านการทุจริตในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยยกระดับการกำกับดูแลกิจที่ดี ในประเทศไทยต่อไปได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการสัมมนา “ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย” จะจัดขึ้นในวันที่ 1 มิถุนายน 2554 ที่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย” นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น การนำเสนอกรณีศึกษาและต้นแบบความสำเร็จของการปราบปรามคอร์รัปชั่น จากคณะกรรมการอิสระเพื่อการปราบปรามการคอร์รัปชั่น (Independent Commission Against Corruption หรือ ICAC) เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และการนำเสนอรายงานสถานการณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทย สำหรับภาคบ่ายจะเป็นการสัมมนากลุ่มย่อยในหัวข้อ “รวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มพลังภาคเยาวชน การศึกษา และประชาชน กลุ่มพลังภาคเอกชน กลุ่มพลังภาครัฐ และกลุ่มพลังภาคสื่อมวลชน สภาวิชาชีพ และองค์กรอิสระ เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในการรวมพลังกันต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างจุดเปลี่ยน สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ไอ้ตอแหลมันยังปั้นหน้าไปเป็นประธานงานนี้ได้นับว่าตอแหลได้เก่งจริงๆ
เป็นคนทั่วไป เขาต้องอายจนแทรกแผ่นดินไปแล้ว


















