โครงการอีลิทการ์ด (Elite Card) ที่ทักษิณ ชินวัตร คุยโวขายฝันไว้เลิศหรู ถ้าจะเปรียบไปแล้ว ก็เหมือนคนป่วยนอนรอความตาย ผ่านมาหลายรัฐบาล อาศัยสายยาง ยื้อชีวิต ต่อลมหายใจ ถอดสายยางเมื่อไหร่ ไปทันที ทุกรัฐบาลต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับ "มรดกอัปยศ" ล่าสุดรัฐบาลปัจจุบันก็กำลังพิจารณากันว่า จะปิดกิจการอย่างไรให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
1) โครงการนี้ เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ โครงการ ที่เกิดขึ้นอย่างฟุ้งฝัน ปุปปับฉับพลัน สนองความต้องการสร้างภาพหาเสียงในยุครัฐบาลทักษิณ ปราศจากพื้นฐานความเป็นจริงในทางธุรกิจ และไม่คุ้มค่าแก่ประโยชน์ส่วนรวมอย่างที่สุด เพียงหวังสร้างภาพความเป็นนักคิด นักริเริ่ม นักบริหาร ของนักการเมืองผู้มักมากในอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตน ในปี 2546 รัฐบาลทักษิณเริ่มต้นผลาญเงินประชาชนลงไปกับโครงการนี้กว่า 1,000 ล้านบาท คุยโม้โอ้อวดว่าจะขายสมาชิกบัตรอีลิทให้แก่ต่างชาติ จำนวนหนึ่งล้านใบ ใบละหนึ่งล้านบาท คิดเอง พูดเอง เออเอง โดยไม่ถามคนไทยเจ้าของผประเทศสักคำ ว่าผลประโยชน์ที่ประเคนล่อสมาชิกบัตรอีลิทการ์ดใบละหนึ่งล้านบาทนั้น มีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด เพราะเดิมทักษิณตั้งใจจะประเคนสิทธิพิเศษนานาประการให้เป็น "อภิสิทธิ์ชน" อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น สิทธิพิเศษด้านการเข้าเมือง visa การอยู่อาศัยในประเทศไทย การเสพสุขในการท่องเที่ยว หรือแม้แต่การจะให้ต่างชาติสามารถถือครองที่ดินบนผืนแผ่นดินไทยได้ด้วย ฯลฯ กึ่งๆ จะ เป็นการยก "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" ให้ต่างชาติกันเลยทีเดียว วิธีการง่ายๆ คือ ตั้งบริษัทตัวแทนเชิด (Nominee) มาถือครองที่ดินแทนต่างชาติ เตรียมหาช่องซิกแซ็กให้ต่างชาติได้ที่ดินไปครองพร้อมสรรพ แต่แล้วโครงการนี้ ก็ไม่เป็นไปเหมือนราคาคุย ตลอดยุครัฐบาลทักษิณ ขายบัตรอีลิทได้จริงๆ ไม่ถึง 1,000 ใบ คุยไว้ล้าน ขายได้จริงไม่ถึงพัน คนแบบนี้ ต่อไปถ้าคุยโวอะไร จะต้องเอา 1,000 หาร
2) ในยุคแรกๆ ตัวแทนขายที่เข้ามาร่วมหากินกับบัตรอีลิท ก็มีแต่พรรคพวกเครือข่ายสายสัมพันธ์ทางธุรกิจของคนในรัฐบาลทักษิณทั้งนั้น แต่หลังจากไม่สำเร็จตามราคาคุย ก็มีการปรับลดเป้าหมาย จากยอด 1 ล้านใบ ลดเป้าวูบ รูดลงมาแบบไม่เหลือลาย เหลือ 1 แสนใบ หลังจากนั้น ยอด 1 แสนใบ ก็ยังทำไม่สำเร็จ จึงปรับลดยอดเป้าหมายลงมาอีก เหลือแค่ 1 หมื่นใบ แถมลดราคาบัตร ลดค่าสมาชิกลงไปก็แล้ว ทุ่มโฆษณา จนเป็นข่าวติดหนี้ค่าโฆษณาโทรทัศน์ CNN ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก กว่า 140 ล้านบาท ก็แล้ว ปัจจุบัน ยอดเป้าหมาย 10,000 ใบนั้น ก็ยังมีแต่ในวิมานฝันของทักษิณ ขายสมาชิกได้จริงๆ ไม่ถึง 3 พันใบ กระทั่งวันนี้ คนเริ่มโครงการหนีคุกหนีตะรางไปอยู่เมืองนอกแล้ว แต่ประชาชนคนไทยก็ยังต้องตามล้างตามเช็ด ผลพวงของความบ้าน้ำลาย และการหากินกับโครงการวิมานในอากาศของนักการเมือง
3) การศึกษาประเมินผลโครงการ พบว่า ถึงไม่ปิดกิจการวันนี้ วันข้างหน้าก็ต้องปิดกิจการอยู่ดี เพราะกระแสเงินสดของบริษัทที่มีอยู่ประมาณ 200 ล้านบาท สามารถดำเนินธุรกิจได้ถึงแค่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 หากไม่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก ททท. (ซึ่งยังค้างชำระอยู่เดิม 500 ล้านบาท) นับตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบัน โครงการนี้ขาดทุนสะสมทางบัญชีอยู่กว่า 1,400 ล้านบาท ไม่นับรวมความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศชาติในสายตาชาวโลก
4) เห็นด้วยกับมติคณะรัฐมนตรี ที่กล้าตัดสินใจให้ยกเลิกโครงการนี้ แต่จะยกเลิกอย่างไร และจะดูแล หรือเจรจากับสมาชิกบัตรอีลิทที่เขาจ่ายเงินซื้อบัตรมาก่อนหน้าแล้วอย่างไร เพื่อให้จบกันด้วยดี เสียหายนั้น เสียหายแน่ แต่หาหนทางทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวมน้อยที่สุด และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องป่าวประกาศให้ประชาชนคนไทยเจ้าของเงินภาษีอากร เจ้าของทรัพยากรแผ่นดินที่ถูกนำมาปู้ยี่ปู้ยำ ยักย้ายถ่ายเท เล่นแร่แปรธาตุ เพียงเพื่อสนองตัณหา ความอยาก และความบ้าน้ำลายของนักการเมืองอย่างทักษิณ ชินวัตร คนไทยควรจะได้บทเรียนว่า นักการเมืองพรรค์อย่างนี้ไม่ได้เก่งกล้าสามารถ เหมือนที่คุยโวโอ้อวด สร้างภาพ สร้างกระแส กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ที่เขาคุยโวแล้วล้มเหลว ตัวเขาเองเอาหน้าในระยะสั้น แต่ภาระความเสียหายทั้งหลายทั้งปวง ทิ้งให้ตกแก่ประเทศชาติส่วนรวมในระยะยาว