Gregor Samsa wrote:นี่โง่จริงๆแบบไม่ได้แกล้งใช่ไหมครับ
ถ้าไม่โง่ถึงขั้นควาย เผาไทยไม่ยอมให้เป็นขี้ข้าตามบอร์ดหรอกครับ
Gregor Samsa wrote:นี่โง่จริงๆแบบไม่ได้แกล้งใช่ไหมครับ
55555 wrote:บังครับ ผมว่าตัวเลขมันมั่วครับ..
บังช่วยบอกหน่อยได้มั๊ยว่าเอาแหล่งข้อมูลมาจากไหน..
เอาแบบน่าเชื่อถือหน่อยน๊ะครับ...
มะแอศิษย์บังโม wrote:ทีตัวเลขชัดๆอย่างนี้ละก้อ เข้าดริฟต์แถกันใหญ่
ขี้กองโตที่ม๊ากนาซี 91 ศพ ฝากไว้ให้ลูกหลานไทยเลยนะเนี้ย
ตอนนี้ คนไทยเกิดมาก็มีหนี้ที่ม๊ากนาซีก่อไว้ติดตัวคนละ 70,000 บาทเป็นอย่างน้อย
ท้าทายความสามารถของคุณทักษิณ(ผ่านคุณปู)ที่จะเข้ามาแก้ปัญหานี้
มะแอศิษย์บังโม wrote:55555 wrote:บังแกล้งโง่น่า...
กู้ไอเอ็มเอฟ มาบาน...
เศรษฐกิจมันชิบหายตั้งแต่ พี่จิ๋วปลาทองแล้ว
แล้วเอาตัวเลขมานี่..ไม่กล้ายกมาจนถึง ปี 53 เลยน๊ะบัง....
มันมาเพิ่มเอาๆในสมัยชวนนะครับ สองปีสุดท้าย เพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เอาจนถึงปี 53 เลยก็ได้ครับ
พ.ศ. 2544 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 57.16%
พ.ศ. 2545 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 54.04 %
พ.ศ. 2546 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 49.41 %
พ.ศ. 2547 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 47.54 %
พ.ศ. 2548 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 41.7 %(มกราคม 2549)
พ.ศ. 2549 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 41.974% ทักษิณโดนปฏิวัติ กันยายน 2549
พ.ศ. 2550 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 38.305% รัฐบาลสุรยุทธ์
พ.ศ. 2551 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 37.330% รัฐบาลสมัคร
พ.ศ. 2552 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 45.234% รัฐบาลอภิสิทธิ์
พ.ศ. 2553 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 45.521% รัฐบาลอภิสิทธิ์
นี่ถ้าปล่อยให้บริหารจนสิ้นปี อาจจะพุ่งไปกว่า 50% เหมือนปลายสมัยชวนก็เป็นได้
คนบาป wrote:ข้อมูลเศรษฐกิจ ในเว็บนี้มีเยอะแยะ ทำไมไม่ดู?
จะแถไปทำไม...หนี้สาธารณะอยู่ที่ 41% ต่อ GDP
ไปเอาตัวเลข 45 % มาจากไหน?
มะแอศิษย์บังโม wrote:55555 wrote:บังแกล้งโง่น่า...
กู้ไอเอ็มเอฟ มาบาน...
เศรษฐกิจมันชิบหายตั้งแต่ พี่จิ๋วปลาทองแล้ว
แล้วเอาตัวเลขมานี่..ไม่กล้ายกมาจนถึง ปี 53 เลยน๊ะบัง....
มันมาเพิ่มเอาๆในสมัยชวนนะครับ สองปีสุดท้าย เพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เอาจนถึงปี 53 เลยก็ได้ครับ
พ.ศ. 2544 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 57.16%
พ.ศ. 2545 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 54.04 %
พ.ศ. 2546 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 49.41 %
พ.ศ. 2547 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 47.54 %
พ.ศ. 2548 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 41.7 %(มกราคม 2549)
พ.ศ. 2549 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 41.974% ทักษิณโดนปฏิวัติ กันยายน 2549
พ.ศ. 2550 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 38.305% รัฐบาลสุรยุทธ์
พ.ศ. 2551 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 37.330% รัฐบาลสมัคร
พ.ศ. 2552 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 45.234% รัฐบาลอภิสิทธิ์
พ.ศ. 2553 ร้อยละ หนี้สาธารณะของGDP 45.521% รัฐบาลอภิสิทธิ์
นี่ถ้าปล่อยให้บริหารจนสิ้นปี อาจจะพุ่งไปกว่า 50% เหมือนปลายสมัยชวนก็เป็นได้
PinkDevil wrote:
ทำไมตั้งแต่ปี 2552 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยถึงเพิ่มสูงขึ้นจากระดับต่ำกว่าร้อยละ 40 ขึ้นมาสู่ร้อยละ 45.23 และ 45.52 ในปี 2552 และ 2553 คำตอบง่ายๆและตรงๆ คือ รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเศรษฐกิจโลกตกต่ำ
ช่วงปี 2551 ถ้ายังจำกันได้เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาและส่งผลกระทบต่อยุโรปและขยายตัวทั่วโลกในเวลาต่อมา เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะซบเซากำลังซื้อของประชาชนในโลกโดยเฉพาะอเมริกาซึ่งตลาดใหญ่ลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมผ่านการใช้รายจ่ายภาครัฐเพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงไปในระบบเพื่อพิ่มกำลังซื้อและให้เศรษฐกิจสามารถหมุนเวียนไปได้ในเวลาที่การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคครัวเรือนลดต่ำลงเพราะภาวะเศรษฐกิจหดตัว
เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศต่างๆดูจะเห็นว่าทุกประเทศ ตั้งแต่ปี 2000 (2543) เป็นต้นมา สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด แต่ในช่วงปี 2009 (2552) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากปี 2008 (2551) อย่างมีนัยยะสำคัญ อาทิเช่น บราซิล (จาก 64.06% เป็น 68.89% ในปี 2552) เกาหลีใต้ (จาก 29.02% เป็น 32.55% ในปี 2552) มาเลเซีย (จาก 42.84% เป็น 55.37% ในปี 2552 ) อังกฤษ (จาก 52.05% เป็น 68.46% ในปี 2552) สำหรับอเมริกา สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ปี 2551 คือ จาก 62.14% ในปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น 71.12% (2551), 84.25%(2552) เพราะเกิดวิกฤตการเงินในปี 2551
จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างที่เคยเป็นมา รัฐบาลจะต้องมีบทบทสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจหดตัวลงไปมากกว่าเดิม และ มาตรการที่ทุกประเทศไม่เพียงแต่รัฐบาลไทยเลือกมาใช้ คือ การเพิ่มรายจ่ายภาครัฐเพื่ออัดฉีดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ และก็เป็นเรื่องธรรมดา ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา แน่นอนรายรับภาครัฐ ย่อมจะลดต่ำลง ขณะที่รัฐต้องเพิ่มรายจ่าย รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินมาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ นี่คือสาเหตุหลักๆที่ทำไมตัวเลขสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อGDP เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปี 2009 (2552) เป็นต้นมา
Gregor Samsa wrote:นี่โง่จริงๆแบบไม่ได้แกล้งใช่ไหมครับ
Gop wrote:
คุณมะแอครับ มันมีความต่างกันอยู่นะครับ ที่คุณเอามาน่ะมันเพิ่มขึ้น แล้วคุณไปกล่าวหาเค้าว่าถ้าบริหารต่อจะเพิ่่มขึ้นอีก ทั้งที่ความจริงมันกำลังลดลง
แล้วคุณมะแอฯ เห็นด้วยกับคุณ Pinkdevil มั้ยครับ ตอนนั้นที่หนี้เพิ่มขึ้นมันจำเป็นต้องกู้นะครับ เศรษฐกิจมันตกต่ำทั่วโลก ตอนนี้หนี้ก็ลดลงแล้ว ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน
quantaz wrote:คนที่บริหารประเทศในยามเศรษฐกิจโลกปกติอย่างนายทักษิณ
กับคนที่บริหารประเทศในยามเศรษฐกิจโลกวิกฤติอย่างนายอภิสิทธิ์
แล้วตัวเลขเศรษฐกิจออกมาเป็นเช่นนี้ อยากถามว่า "ใครเก่งกว่าใคร"
ช่วยกันวิเคราะห์หน่อยครับ
Apichai wrote:แค่ต้องการบอกว่า เจ๊ปู ดีแต่แหล
ก็เพราะ ไม่มีเงิน ใช่เปล่า?
พลพรรคเดอะคอป wrote:มะแอศิษย์บังโม wrote:ทีตัวเลขชัดๆอย่างนี้ละก้อ เข้าดริฟต์แถกันใหญ่
ขี้กองโตที่ม๊ากนาซี 91 ศพ ฝากไว้ให้ลูกหลานไทยเลยนะเนี้ย
ตอนนี้ คนไทยเกิดมาก็มีหนี้ที่ม๊ากนาซีก่อไว้ติดตัวคนละ 70,000 บาทเป็นอย่างน้อย
ท้าทายความสามารถของคุณทักษิณ(ผ่านคุณปู)ที่จะเข้ามาแก้ปัญหานี้
อ้าว แบบนี้แสดงว่า ประเทศไทยมีนายกฯ 2 คนอะจิครับ บัง
มะแอศิษย์บังโม wrote:Gop wrote:
คุณมะแอครับ มันมีความต่างกันอยู่นะครับ ที่คุณเอามาน่ะมันเพิ่มขึ้น แล้วคุณไปกล่าวหาเค้าว่าถ้าบริหารต่อจะเพิ่่มขึ้นอีก ทั้งที่ความจริงมันกำลังลดลง
แล้วคุณมะแอฯ เห็นด้วยกับคุณ Pinkdevil มั้ยครับ ตอนนั้นที่หนี้เพิ่มขึ้นมันจำเป็นต้องกู้นะครับ เศรษฐกิจมันตกต่ำทั่วโลก ตอนนี้หนี้ก็ลดลงแล้ว ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน
ดูตัวเลขหนี้เน็ตๆ ซิครับ
2553 = 4,230,744.74
2554 = 4,248,399.54
สัดส่วนต่อ GDP อาจจะลดลง เพราะ GDP โตขึ้น แต่ปริมาณหนี้ ไม่ได้ลดลงครับ
มะแอศิษย์บังโม wrote:Gop wrote:
คุณมะแอครับ มันมีความต่างกันอยู่นะครับ ที่คุณเอามาน่ะมันเพิ่มขึ้น แล้วคุณไปกล่าวหาเค้าว่าถ้าบริหารต่อจะเพิ่่มขึ้นอีก ทั้งที่ความจริงมันกำลังลดลง
แล้วคุณมะแอฯ เห็นด้วยกับคุณ Pinkdevil มั้ยครับ ตอนนั้นที่หนี้เพิ่มขึ้นมันจำเป็นต้องกู้นะครับ เศรษฐกิจมันตกต่ำทั่วโลก ตอนนี้หนี้ก็ลดลงแล้ว ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน
ดูตัวเลขหนี้เน็ตๆ ซิครับ
2553 = 4,230,744.74
2554 = 4,248,399.54
สัดส่วนต่อ GDP อาจจะลดลง เพราะ GDP โตขึ้น แต่ปริมาณหนี้ ไม่ได้ลดลงครับ
samepong wrote:
คุณก็ตอบแทนพวกผมแล้วนี้ครับ ว่า gdpโตขึ้น แสดงว่า อัตรส่วนที่คุณยกมา ไม่ได้เอาของจริงมา แต่นั่งเทียนเขียนเอง
แล้วการจัดทำงบประมาณ เกินดุลหรือขาดดุลนะ ไอ จขกท. กลับมาอ่านให้เข้าใจซะ
การจัดทำงบประมาณ จะขาดดุลหรือเกินดุลไม่ได้บ่งบอกว่า รัฐบาลนั้น เก่งหรือไม่เก่ง
งบประมาณนั้นจัดทำตามสภาวะการณ์เศษฐกิจ หากมีการชะลอตัวหรือมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัว เนื่องจากการลงทุนไม่ว่าจะภาคไหนก็ตามแต่ ลดลงจนมีแนวโน้มว่าจะเกิดภาวะเงินฝืด รัฐบาลจำเป้นต้องเป้ฯผู้ลงทุนเอง โดยการหาเหล่งเงินจากที่ต่างๆมาก(ไม่เจาะลึกเกิด3บรรทัดมากเท่าไหร่ สิ่งดีจะเข้าสมองน้อยลงเท่านั้น) เมื่อรัฐเป็นผู้ลงทุนดังนั้น จำเป้นต้องเอาเงินมาใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ซึงถ้ามีเงินพอ ก็ไม่ต้องกู้ ถ้าเงินไม่พอก็ต้องกู้ ง่ายๆ หากมากกว่าเดี๋ยวเอ็งจะงง
ดังนั้นๆๆ งบประมาณขาดดุล ไม่ได้แปลว่าเป้นหนี้ หากเงินมีเยอะมากๆๆๆๆ ก็เอาเงินในคลังมาใช้จ่ายได้เลย แต่ รัฐบาลสมคร+สมชายทิ้งเงินไว้ให้แค่7,000ล้านบาท เท่านั้น จึงจำเป้ฯต้องกู้ แล้ววันนี้มีเงินอยู่ในคลัง180,000ล้าน ดังนั้น ไอที่คิดว่าเกินดุล หรือ ขาดดุล มันไม่เกี่ยวว่า เก่งหรือไม่เก่ง แต่การบริหาร รายได้(รายได้นะครับไม่ใช่รายรับ)จึงเป้นประเด็นสำคัญที่สุดของรัฐบาล
มะแอศิษย์บังโม wrote:samepong wrote:
คุณก็ตอบแทนพวกผมแล้วนี้ครับ ว่า gdpโตขึ้น แสดงว่า อัตรส่วนที่คุณยกมา ไม่ได้เอาของจริงมา แต่นั่งเทียนเขียนเอง
แล้วการจัดทำงบประมาณ เกินดุลหรือขาดดุลนะ ไอ จขกท. กลับมาอ่านให้เข้าใจซะ
การจัดทำงบประมาณ จะขาดดุลหรือเกินดุลไม่ได้บ่งบอกว่า รัฐบาลนั้น เก่งหรือไม่เก่ง
งบประมาณนั้นจัดทำตามสภาวะการณ์เศษฐกิจ หากมีการชะลอตัวหรือมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัว เนื่องจากการลงทุนไม่ว่าจะภาคไหนก็ตามแต่ ลดลงจนมีแนวโน้มว่าจะเกิดภาวะเงินฝืด รัฐบาลจำเป้นต้องเป้ฯผู้ลงทุนเอง โดยการหาเหล่งเงินจากที่ต่างๆมาก(ไม่เจาะลึกเกิด3บรรทัดมากเท่าไหร่ สิ่งดีจะเข้าสมองน้อยลงเท่านั้น) เมื่อรัฐเป็นผู้ลงทุนดังนั้น จำเป้นต้องเอาเงินมาใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ซึงถ้ามีเงินพอ ก็ไม่ต้องกู้ ถ้าเงินไม่พอก็ต้องกู้ ง่ายๆ หากมากกว่าเดี๋ยวเอ็งจะงง
ดังนั้นๆๆ งบประมาณขาดดุล ไม่ได้แปลว่าเป้นหนี้ หากเงินมีเยอะมากๆๆๆๆ ก็เอาเงินในคลังมาใช้จ่ายได้เลย แต่ รัฐบาลสมคร+สมชายทิ้งเงินไว้ให้แค่7,000ล้านบาท เท่านั้น จึงจำเป้ฯต้องกู้ แล้ววันนี้มีเงินอยู่ในคลัง180,000ล้าน ดังนั้น ไอที่คิดว่าเกินดุล หรือ ขาดดุล มันไม่เกี่ยวว่า เก่งหรือไม่เก่ง แต่การบริหาร รายได้(รายได้นะครับไม่ใช่รายรับ)จึงเป้นประเด็นสำคัญที่สุดของรัฐบาล
เรื่องทำงบเกินดุล/ขาดดุล บังก็ไม่ได้เถียง
แค่อยากจะบอกว่าม๊ากนาซีสร้างหนี้กองโตไว้ให้คนมาทีหลังตามแก้ครับ คอยดูนะครับว่าสัดส่วนหนี้/GDP ในอีกสี่ปีข้างหน้านี้ จะลดลงหรือไม่
ส่วนเศรษฐกิจยุคสมัคร/สมชาย ไม่ต้องอ้างอิงเปรียบเทียบหรอกครับ ใครกันที่สนับสนุนให้พาลทะมิดยึดทำเนียบ จนรัฐบาลทำงานไม่ได้ ทำลายบรรยากาศการลงทุนซะป่น*** ปิดสนามบินจนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวแทบพินาศ ใครกันครับ
มะแอศิษย์บังโม wrote:Gop wrote:
คุณมะแอครับ มันมีความต่างกันอยู่นะครับ ที่คุณเอามาน่ะมันเพิ่มขึ้น แล้วคุณไปกล่าวหาเค้าว่าถ้าบริหารต่อจะเพิ่่มขึ้นอีก ทั้งที่ความจริงมันกำลังลดลง
แล้วคุณมะแอฯ เห็นด้วยกับคุณ Pinkdevil มั้ยครับ ตอนนั้นที่หนี้เพิ่มขึ้นมันจำเป็นต้องกู้นะครับ เศรษฐกิจมันตกต่ำทั่วโลก ตอนนี้หนี้ก็ลดลงแล้ว ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน
ดูตัวเลขหนี้เน็ตๆ ซิครับ
2553 = 4,230,744.74
2554 = 4,248,399.54
สัดส่วนต่อ GDP อาจจะลดลง เพราะ GDP โตขึ้น แต่ปริมาณหนี้ ไม่ได้ลดลงครับ