กรณีโบอิ้ง 737 มันก็เหมือนเรื่องพระวิหารนั่นแหละ คือหลอกคนไทยไปวัน ๆ ทำงานเพื่อหวังผลทางการเมืองของตัวรัฐบาลเองเท่านั้น. ประชาชนไม่เคยได้รับรู้ความจริง
กรณีพระวิหาร รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คิดว่าข่าวสารด้านอื่นไม่มีมั้ง จึงโกหกต่อคนไทยไปวัน ๆ
จนถึงขั้น "สร้างเรื่อง" ว่าถอนตัวออกจากสมาชิกมรดกโลก
เป็นการกระทำเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น ปัญหามันจึงไม่ได้รับการคลี่คลายสักที
กรณีโบอิ้ง 737 รัฐบาลก็ให้ข่าวเอาดีใส่ตัวไปวัน ๆ ให้ข่าวอย่างไม่นึกว่าข่าวสารนั้นมันไม่ได้มีจากรัฐบาลด้านเดียว
เป็นรัฐบาลที่ไม่เคยให้ความจริง เป็นรัฐบาลที่พร้อมที่จะชี้นิ้วโบ้ยให้ผิดผู้อื่นเพื่อเอาดีใส่ตัว
ที่สำคัญ เครื่องบินน่ะ มันเป็นของกองทัพอากาศ เป็นของรัฐบาล ยังพยายามโบ้ยสร้างเรื่องให้เป็นอื่น
ให้เป็นอื่นโดยการดึงพระเกียรติยศลงมาเพื่อปกป้องความไม่เอาไหนของรัฐบาลเอง
นี่แหละเขาเรียกว่า เด็กมันโดนให้ท้ายจนเหลิง
ประชาชนคนไทยก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ จะทำไงได้ ผู้ยิ่งใหญ่เขาว่าไม่เป็นไรนี่นา
เฮ้อ....
.......................................
จาก "พระวิหาร" ถึง การอายัดโบอิ้ง 737 ความเงียบยึดครอง
ทั้งๆ เครื่องบินโบอิ้ง 737 สัญชาติไทยถูกเจ้าหน้าที่เยอรมนีอายัดขณะจอดอยู่ในท่าอากาศยานมิวนิก เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม
แต่ "ข่าว" ที่ปรากฏในประเทศไทยกลับเงียบอย่างผิดปกติ
เรียกตามภาษาของไทอีสานก็ต้องว่า "มิดอิมซิม" แม้ว่าข่าวนี้จะปรากฏผ่านสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
แม้ว่า นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ จะออกมายอมรับ
แม้ว่า นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะออกมายืนยันว่าได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
แต่กลับกลายเป็นเหมือนกับ "เรื่องเล็ก" เป็นอย่างมาก
นั่นก็คือ ไม่ปรากฏรายละเอียดจากรัฐบาล ไม่ปรากฏรายละเอียดจากกระทรวงการต่างประเทศว่าเป็นอย่างไร
คนไทยตกอยู่ในความไม่รู้เหมือนๆ กับเรื่อง "มรดกโลก" อย่างนั้นหรือ
ใครก็ตามที่เข้าไปรับฟังการเสวนาหัวข้อเรื่อง "การถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก อนาคตปราสาทพระวิหาร" ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คงมีความรู้สึกร่วม
เป็นความรู้สึก "ร่วม" ของการไม่พูด "ความจริง" ของรัฐบาลไทย
ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาศาลโลกตั้งแต่เมื่อปี 2505 แล้วแต่รัฐบาลไทยก็ทำให้เชื่อว่า
เป็นแต่ตัวปราสาท พื้นดินใต้ปราสาทยังเป็นของไทย
ทั้งๆ ที่ปราสาทพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2551 และมีการรับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทตั้งแต่ปี 2552 แล้ว แต่รัฐบาลไทยก็ทำให้คนไทยเชื่อว่าการขึ้นทะเบียนยังไม่สมบูรณ์
เรื่องปราสาทพระวิหารเป็นเช่นนี้ เรื่องโบอิ้ง 737 ก็กำลังเป็นเช่นนี้
หากศึกษารายละเอียดจากข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก กลายเป็นว่า การอายัดและยึดเครื่องบินสัญชาติไทยครั้งนี้เพื่อกดดันให้ไทยชำระหนี้สินจำนวน 42.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
เป็นหนี้สินที่ไทยติดค้างอยู่กับบริษัทวอเตอร์บาวน์แห่งเยอรมนี
เป็นหนี้สินซึ่งคณะกรรมการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ สหประชาชาติ สั่งให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินให้วอเตอร์บาวน์ ฐานละเมิดกฎบัตรการลงทุนระหว่างเยอรมนีและไทยในการก่อสร้างโครงการยกระดับวิภาวดีรังสิต หรือที่รู้จักกันในชื่อ "โทลล์เวย์"
เห็นไหมละว่าเรื่องนี้มิได้อยู่เพียงในขอบเขตระหว่างเยอรมนีกับไทย หากแต่ขึ้นไปถึงสหประชาชาติ
เป็นการขึ้นไปถึงสหประชาชาติโดยที่คนไทยเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสีย "ค่าโง่"
อาจเป็นเพราะว่าเรื่องเกิดขึ้นในห้วงแห่งการผลัดเปลี่ยนรัฐบาล จึงทำให้ไม่มีการชี้แจงอะไร
ในเมื่อรัฐบาลเก่าของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่แถลงอะไร รัฐบาลใหม่ก็ยังติดกรอบของ กกต.อยู่ และมีสถานะเสมอเป็นเพียง "ว่าที่" รัฐบาล มิใช่รัฐบาลโดยสมบูรณ์
คนไทยจึงต้องอยู่ในภาวะไม่รู้เรื่อง คนไทยจึงต้องอยู่ในภาวะไร้เดียงสาต่อไป กระนั้นฤๅ
http://www.khaosod.co.th/view_news.php? ... B4TlE9PQ== เรื่องนี้ มันก็แค่การเตะถ่วงหน่วงเหนี่ยวของรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น
เพราะกลัวว่า จะมีผลเสียต่อการเลือกตั้งที่ผ่านมา
พระวิหาร และ โบอิ้ง 737 คนไทยจึงได้รับรู้เรื่องราวเพียงด้านเดียว
คือเรื่องราวด้านที่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น แต่ความจริงอยู่ไหนไม่รู้ !!!