
รัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นครั้งแรก หลังเข้าบริหารราชการแผ่นดินในวันที่ 23-24 สิงหาคมนี้ ซึ่งนโยบายหลายประการถูกตั้งคำถามและถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่าจะปฏิบัติได้จริงอย่างที่พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหาเสียงไว้หรือไม่
หนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาก็คือการมุ่งสร้างความปรองดองในชาติและจะบริหารประเทศโดยไม่ทำเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จากพฤติกรรมของรัฐบาลปรากฏว่าทั้งๆ ที่ยังไม่ทันจะเข้ามาบริหารประเทศอย่างเต็มตัวกลับสร้างเงื่อนไขจุดชนวนแห่งความแตกแยกในชาติด้วย การมุ่งทำทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนักโทษหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลและเป็น ผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงหลายคดีโดยเฉพาะถูกออกหมายจับในฐานะผู้นำที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มก่อการร้ายที่ เผาบ้านทำลายเมืองช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้นโยบายของรัฐบาลยังมุ่งที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งถูกตั้ง ข้อสังเกตว่ามีเป้าหมายแอบแฝงที่แท้จริงเพื่อมุ่งลบล้าง โทษความผิดทั้งหมดให้กับพ.ต.ท.ทักษิณและเหล่าแกนนำ คนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง ตลอดจนหวังทวงทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาท ที่ถูกยึดตก เป็นของแผ่นดินคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
การมุ่งทำทุกอย่างเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณดังกล่าว ข้างต้นทั้งหมดล้วนเป็นการจุดชนวนสร้างความแตกแยกในชาติทำให้พลังประชาชนจำนวนไม่น้อยพร้อมที่จะลุกฮือ ออกมาชุมนุมต่อต้านโดยเฉพาะความพยายามของรัฐบาล ชุดนี้ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายเพื่อลบล้างโทษความผิด ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและเหล่าผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้าน ทำลายเมืองจนเสี่ยงที่จะนำไปสู่วิกฤติความรุนแรงรอบใหม่
นอกจากนี้นโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียง ไว้ช่วงก่อนการเลือกตั้งและถูกกำหนดไว้เป็นนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา อาทิ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทันทีเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ หรือการปรับเพดานเงินเดือน ขั้นต่ำผู้จบปริญญาตรีทั้งข้าราชการและพนักงานภาคเอกชน เป็นเดือนละ 15,000 บาท กำลังถูกตั้งคำถามเพราะเริ่มมี สัญญาณว่ารัฐบาลกำลังบิดพลิ้วตบตาไม่ปฏิบัติตามนโยบาย ที่จะแถลงต่อรัฐสภาและที่หาเสียงไว้กับประชาชน
โดยในส่วนของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ ล่าสุดรัฐบาลเริ่มอ้างแบบคลุมเครือว่า อาจไม่สามารถทำได้ทันทีทั่วประเทศแต่คงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยเริ่มจากบางจังหวัดก่อน ส่วนเพดานเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีเดือนละ 15,000 บาทนั้นคงเริ่มในข้าราชการบางหน่วยงานที่มีความพร้อมก่อน ส่วนภาค เอกชนคงเป็นเรื่องของการขอความร่วมมือเท่านั้น เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรจะแสดงจิตสำนึกและความรับผิดชอบด้วยการปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อ รัฐสภาและต่อสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนช่วงหาเสียง เลือกตั้งอย่างจริงจัง มิฉะนั้นก็ไม่ต่างอะไรจาก 18 มงกุฎทางการเมืองที่โฆษณาชวนเชื่อโกหกหลอกลวงสาธารณชน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างอันเลวร้ายและสะท้อนว่ารัฐบาลล้มละลายแล้วทางความน่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง