วันที่คุ้มคลั่ง-ทรยศแผ่นดิน ปลุกสงครามมวลชน-หนีสภาพ "น.ช.ทัก

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

วันที่คุ้มคลั่ง-ทรยศแผ่นดิน ปลุกสงครามมวลชน-หนีสภาพ "น.ช.ทัก

Postby thai007 » Mon Oct 27, 2008 1:34 pm

วันที่คุ้มคลั่ง-ทรยศแผ่นดิน ปลุกสงครามมวลชน-หนีสภาพ "น.ช.ทักษิณ ชินวัตร"

26 ตุลาคม 2551 กองบรรณาธิการ

เป็นไปตามความคาดหมายที่หลายคนประเมินไว้ก่อนแล้วว่า หากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิพากษาตัดสินให้ "ทักษิณ ชินวัตร"

มีความผิดตามคำฟ้องในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่ "พจมาน ชินวัตร" ภริยา เป็นคู่สัญญากับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ทักษิณจะต้อง "ธาตุไฟแตก-สำแดงธาตุแท้" ไม่ยอมรับผลคำพิพากษาแน่นอน
ปฏิกิริยาที่ทักษิณแสดงออก ผ่านคำให้สัมภาษณ์และคำแถลงการณ์ที่ส่งไปยัง สื่อทั่วโลก ด้วยถ้อยคำ-ความคิดที่ "สวนกลับ" คำพิพากษาแบบไม่เคารพการตัดสินของศาล จึงมิใช่สิ่งที่ประหลาดใจของสังคม
เพียงแต่สิ่งที่ทักษิณแสดงออกมา หลายคนเห็นว่า "มันมากเกินไป" เพราะมิเพียงแต่ไม่เคารพศาล-จาบจ้วงพาดพิงถึงบุคคลอื่น ตัวทักษิณที่เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีมา 5 ปี และใช้ผืนดินแห่งนี้สร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลให้กับตัวเอง-ลูกเมีย จนทำให้เป็นบันไดไปสู่การเป็นนายกรัฐมนตรี กลับ
"ทุรยศต่อแผ่นดิน"
ด้วยการเผาบ้าน-เผาเมือง กุเรื่องเท็จหลอกลวงชาวโลก ทำให้องค์กรสำคัญของชาติอย่างศาลยุติธรรม ถูกลดความน่าเชื่อถือ ซึ่งหากบุคคลที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริง โดยเฉพาะคนต่างประเทศซึ่งไม่ได้มาติดตามเรื่องราวทั้งหมด ก็ย่อมได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อประเทศไทย
เช่นการโจมตีว่า "ศาล" กับประโยค
"ไม่มีทางที่ผมจะถูกเนรเทศ เพราะศาลไทยเป็นศาลการเมือง ผมจะเปิดโปงจุดด่างพร้อยของศาลไทย พวกเขาไม่ได้ใช้หลักกฎหมาย พวกเขาใช้การเมือง พวกเขาพยายามเอาศาลมาจัดการการเมือง ประชาชนอังกฤษและชาวโลกเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่ประชาธิปไตย"
โปรดอ่านประโยคข้างต้นอีกครั้ง แล้วคิดตามว่านี่คือสิ่งที่ออกมาจากปากอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ถือบัตรประชาชน ไทย แต่กลับใส่ความประเทศชาติ เพียงเพื่อต้องการเอาตัวรอดไม่ให้ต้องถูกส่งตัวมาเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
ทั้งที่หากประชาชนได้ศึกษาคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้อย่างละเอียด ทั้งการลำดับเหตุการณ์-การอธิบายเหตุผล และการยกข้อกฎหมายต่างๆ มาพิจารณาประเด็นข้อโต้แย้งและคำต่อสู้คดีของ ทักษิณกับพจมาน รวมถึงการลงมติขององค์คณะตุลาการทั้ง 9 คนที่ลงมติ 9 ครั้ง
จะพบว่าศาลได้ให้ความยุติธรรมกับจำเลยทั้งสองอย่างเที่ยงธรรมแล้ว แต่ทักษิณกับพจมานเสียอีกที่ "หนีความจริง-หนีคดี ถึงกับไม่ยอมมาเบิกความในชั้นศาล" เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
อันแสดงให้เห็นแล้วว่า ทักษิณ-พจมานพยายามทุกวิถีทางเพื่อ "หนีคดี-ล้มคดี" ทุกรูปแบบ ไม่นับรวมกับความพยายามก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การสั่งให้ลูกพรรคพลังประชาชนพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังล้ม คตส.-และคดีความต่างๆ ในชั้นศาลที่จ่อคิวรอต่อจากนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะถูกประชาชนในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรวมตัว ขัดขวาง และเมื่อเห็นว่า
"แทรกแซงศาลไม่ได้"
ก็ไม่พอใจและต้องการแก้แค้น จึงมีการใช้อำนาจการเมืองผ่าน "นิติบัญญัติ" จัดการ "ล้มกฎหมาย" ที่เกี่ยวกับศาล อย่าง
"ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"
ที่พลังประชาชนเป็น ส.ส.เสียงข้างมากในสภาฯ คว่ำกฎหมายดังกล่าวใน "วาระที่ 3" ซึ่งจริงอยู่ว่าไม่ได้ทำให้การพิจารณาคดีต่างๆ ของทักษิณที่อยู่ในชั้นการพิจารณาคดีของศาลฎีกาเวลานี้ได้รับผลกระทบ แต่ก็ทำให้กฎหมายลูกที่ต้องรองรับการใช้อำนาจของศาลฎีกายังไม่มีผลบังคับ ใช้ ไม่นับรวมกับความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมต่อกรณี "ถุงขนม 2 ล้านบาท" ที่ทีมทนายความทักษิณหิ้วขึ้นไปบนศาลฎีกาฯ
ดังนั้น เมื่อความพยายามทั้งหมดไม่สำเร็จ แล้วตัวเองต้องถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา นั่นหมายถึงว่าสถานภาพทักษิณ วันนี้ก็คือการรอที่ต้องเป็น
"น.ช. (นักโทษชาย "ทักษิณ ชินวัตร")
หากเขาถูกจับกุมได้ หรือถูกส่งมาเป็นผู้ร้ายข้ามแดน!
แม้หลายคนเชื่อว่าโอกาสที่จะได้เห็นนั้นยากเต็มกลืน โดยเฉพาะกับในยุคที่รัฐบาลพลังประชาชนกุมอำนาจรัฐ และมี "น้องเขย" อย่างสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงการไม่เชื่อน้ำยาของ "สำนักงานอัยการสูงสุด" ว่าจะมีความจริงจังในการติดตามตัวทักษิณกลับมา ดำเนินคดีในประเทศไทย หลังจากเห็นการทำงานหลายต่อหลายครั้งของอัยการที่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย เช่น การสั่งไม่ฟ้องทักษิณ-พจมาน ในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสทฯ ทั้งที่หลายคนเห็นว่าคดีนี้มีความสมบูรณ์ในการสอบสวนมากที่สุดคดีหนึ่ง โดยเฉพาะหลักฐานการโอนเงิน-โอนหุ้นไปซุกไว้ในต่างประเทศ แต่อัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง โดยคำชี้แจงค้านสายตาสังคมอย่างยิ่ง มันจึงทำให้หลายคนดูจะไม่คาดหวังมากนัก ที่จะได้เห็นอดีตนายกรัฐมนตรีกลับมารับโทษเหมือนคนปกติ ทว่า ทักษิณเองก็ไม่ยอมตกอยู่ในสภาพตั้งรับ และเมื่อเลือดเข้าตาเช่นนี้ก็ต้องสู้แบบ "หลั่งเลือดล้างแผ่นดิน"
แน่นอน ซึ่งหากดูการเคลื่อนไหวตลอดจนช่องทางการสู้ของทักษิณ จะพบว่าได้พยายามดำเนินการอยู่หลายรูปแบบเช่น
-สู้ทางคดี
อุทธรณ์สู้โดยใช้สิทธิตาม รธน.มาตรา 278 แต่ประเมินแล้ว แม้ทั้งทักษิณและทีมทนายความจะหวังเป็นช่องทางการสู้คดี แต่ลึกๆ ก็เชื่อว่าทักษิณเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถพลิกคดีได้ เห็นได้จากที่ทักษิณเปิดศึกแบบซึ่งหน้ากับศาล ประเมินแล้วน่าจะเป็นเพียง การ "ยื้อคดี" ให้เนิ่นนานออกไปเท่านั้น
เช่นเดียวกับการต่อสู้การถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งกระบวนการนี้แม้จะต้องทำหลังจากการอุทธรณ์คดีเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่เรื่องการสู้ไม่ให้ศาลอังกฤษส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน มองแล้วทักษิณน่าจะมั่นใจมากกว่าการอุทธรณ์คดีเสียด้วยซ้ำ
เหตุเพราะทักษิณที่มีคอนเนกชั่นกับทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ ที่มีอิทธิพลในอังกฤษ รวมถึงการพยายามยกประเด็นเรื่องผลของคดีเกิดจากการทำ "ปฏิวัติ" เป็นประเด็นหลัก ในการแสดงความคิดเห็นถึงเหตุผลที่ต้องหนีคดีมาอังกฤษ ก็เพราะทักษิณเชื่อ ว่าอังกฤษที่เป็นแม่แบบของการปกครองแบบประชาธิปไตย จะคิดหนักกับเรื่องนี้ จนทำให้การส่งตัวกลับประเทศไทยย่อมไม่ราบรื่น ทำให้เขาตอกย้ำเรื่อง "ศาล" อย่างหนักเพื่อหวังดิสเครดิตให้มากที่สุด
-สู้ผ่านอำนาจการเมือง
การดิ้นพล่านของทักษิณผ่านกระบวนการนี้ จะทำอย่างแนบเนียนที่สุดเพื่อไม่ให้น้องเขยตัวเองต้องกลายเป็นเป้า เพราะแค่การที่รัฐบาลไม่เทกแอกชั่นอะไร ทั้งเรื่องการศึกษาข้อกฎหมาย เรื่องการยึดคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากทักษิณหลังต้องโทษจำคุก การไม่ยึดคืนพาสปอร์ตแดง รวมถึงแม้กระทั่งการปิดหูปิดตา ที่ทักษิณจะปลุกระดมมวลชนผ่านสื่อของรัฐอย่างเอ็นบีที แค่นี้ก็ทำให้ทักษิณกุมความได้เปรียบในฐานะใช้อำนาจรัฐทางอ้อมได้แล้ว
ไม่นับรวมกับอีกหลายกระบวนการที่ต้องจับตา เช่น การพิจารณาสั่งคดีของดีเอสไอในคดีเอสซี แอสเซทฯ เพราะดีเอสไอก็เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่คนของพลังประชาชนบัญชาการอยู่ ที่หากดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องตามอัยการก็จะทำให้คดีเกิดปัญหาแน่นอน ขณะที่ก็ยังมีอีกหลายกลไก
อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่แม้จะไม่ได้มีผลอะไรกับคดีของทักษิณ หรือคดียุบพรรคพลังประชาชน แต่หากมีการเปิดช่องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ก็อาจมีการรื้อรัฐธรรมนูญบางมาตราที่ทำให้ระบอบทักษิณไม่ถูกทำลาย แต่จะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง รวมถึงการแก้ รธน.เพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้าม เช่น ลดอำนาจองค์กรอิสระ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ-กกต.-ผู้ว่าการ สตง. หรือเปิดช่องให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงฝ่ายตุลาการ
ทั้งหมดมีสัญญาณว่า ให้จับตาการใช้อำนาจผ่านสภาสูงเพื่อทำกิจกรรมการเมืองบางอย่าง ยิ่งเวลานี้เห็นภาพชัดเจนว่า "สภาสูง" ก็มีความแตกแยก และเริ่มปรากฏกลุ่มซึ่งอาจจะอิงกับฝ่ายรัฐบาลในเวลานี้ ในชื่อ
"ส.ว.-กลุ่ม 24 ตุลา 51" เปิดตัวมาแล้วว่าจะยืนฝ่ายตรงข้ามกับ ส.ว.กลุ่ม 40 ที่เป็นฝ่ายตรวจสอบรัฐบาล อันพบว่า ส.ว.กลุ่ม 24 ตุลา 51 ส่วนใหญ่เป็น ส.ว.เลือกตั้ง มีความใกล้ชิดกับเครือข่ายนักการเมืองในซีกรัฐบาล
นำโดยประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี พี่ชายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยที่แนบแน่นกับทักษิณมาหลายสิบปี และมีข่าวมาตลอดว่าถูกทาบทามให้ไปอยู่พรรคเดียวกัน หรือนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ภริยาชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ที่มีน้องชายคือ วารุจ ศิริวัฒน์ ส.ส.อุตรดิตถ์ พลังประชาชน แม้แต่นิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา ลูกพี่ลูกน้องกับสุชาติ ตันเจริญ แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน สายบ้านริมน้ำ ที่กำลังต่อสายทักษิณเพื่อนำทีมกลับไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย
ซึ่งหากระบอบทักษิณกลับมากุมอำนาจทั้งสภาสูง-สภาล่างได้อีก ประสบความสำเร็จในการลดอำนาจองค์กรอิสระ ทำลายอำนาจตุลาการ ผ่านการแก้รัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายบางฉบับ มันก็คือการแสดงให้เห็นว่าคำประกาศของทักษิณก่อนหน้านี้ที่ว่า
"วันนี้ไม่ใช่วันของผม ขอให้อดทนรอ"
กำลังจะมาถึงในไม่ช้า!!!!!!
-สู้ผ่านพลังมวลชน
การสู้ของทักษิณผ่าน "พลังมวลชน" ถือเป็นสิ่งที่หลายคนหวั่นวิตกมากที่สุด เหตุเพราะหากสงครามมวลชนเกิดขึ้นเต็มรูปแบบแล้วนำมาเผชิญหน้ากัน เหตุการณ์ "ไทยฆ่าไทย" อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 กันยายน 2551 ที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ จนมีคนเสียชีวิตหนึ่งคน ก็ย่อมเกิดขึ้นอีกครั้ง
การระดมมวลชนผ่านเครือข่าย ส.ส.พลังประชาชน และหัวคะแนนในชื่อต่างๆ เช่นคนรักเชียงใหม่ 51 -ชมรมคนรักอุดรฯ ให้รวมกลุ่มกันในกรุงเทพฯ วันที่ 1 พ.ย.นี้ ที่เพื่อฟังทักษิณเปิดใจ จึงเหมือนกับพิธีกรรมเพื่อให้
"ทักษิณปลุกเสก"
คาถาสู้เพื่อทักษิณ สู้เพื่อพลังประชาชน ห้ำหั่นพันธมิตรฯ ก็อาจเป็นการเริ่มต้นของสงครามการเมืองเต็มรูปแบบ โดยมีทักษิณบัญชาการอยู่ในต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายอำนาจรัฐในรัฐบาลและพรรคพลังประชาชน ซึ่งยากต่อการคาดการได้ว่า ศึกนี้จะรบแบบเต็มอัตราศึกหรือไม่ ทุกอย่างจึงต้องรอฟังสัญญาณในวันที่ 1 พ.ย.นี้.
แต่เห็นเค้าลางหลังอดีตนายกฯ ผู้นี้ดิ้นหนีสภาพ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว ก็คาดได้ไม่ยากว่า สงคราม-การต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่แพ้ชนะกันแบบถอนรากถอนโคนกันไปข้าง ก็ยากจะเห็นภาคจบบริบูรณ์!!!!!!!
ทีมข่าวการเมือง
thai007
 
Posts: 709
Joined: Mon Oct 27, 2008 1:28 pm

Return to สภากาแฟ



cron