หากจะลดภาษีในสถานการณ์ปัจจุบัน เชื่อว่าจะไม่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการผลิต เพราะเมื่อธุรกิจต้นทุนสูง กำไรก็ไม่เกิด" ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ กล่าว
จากการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของภาคเอกชน ขณะเดียวกัน ก็หวังจะชดเชยรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจที่ต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้น จากนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน แต่นโยบายดังกล่าวภาคเอกชนมีมุมมองเกี่ยวกับนโยบายนี้แตกต่างออกไป
โดย นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ภาคเอกชนได้ติดตามการแถลงนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ซึ่งพบว่าการลดภาษีดังกล่าวไม่น่าจะเกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการทุกราย โดยรายละเอียดของการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ยังไม่ได้กำหนดว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจได้อย่างไร ขณะที่ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และนอกตลาดเสียภาษีอัตราต่างกัน 5% คือ 25% และ 30% แต่รัฐบาลมีนโยบายให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และต้องการให้การลดภาษีเงินได้ครั้งนี้ ชดเชยค่าแรงที่ปรับขึ้น ขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ได้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ลดไม่มาก เมื่อเทียบกับค่าแรงงานที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นทั้งระบบ
รายงานโดย ทินกร เชาว์ชื่น
นอกจากนั้น นักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาลงทุนและได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และเมื่อครบกำหนดยังได้สิทธิยกเว้นต่อได้อีก 7 ปี ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยใช้ส่งเสริมการลงทุนช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ทำให้ภาครัฐไม่ได้ประโยชน์จากนิติบุคคลกลุ่มนี้ ส่วนบริษัทที่ได้รับส่งเสริมก็ไม่สนใจนโยบายลดภาษีของรัฐบาล ดังนั้น การลดอัตราภาษีจึงไม่ช่วยกระตุ้นการลงทุน รวมทั้งในอนาคตประเทศไทยต้องลดอัตราภาษีให้ใกล้เคียงกับประเทศในอาเซียนอยู่แล้ว
"ผู้ที่เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนใหญ่เป็นพวกเอสเอ็มอีที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องเสีย 30% เพราะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ จะเสียภาษีแค่ 25% โดยนโยบายการลดภาษีครั้งนี้ อาจทำให้กลุ่มที่ได้ประโยชน์เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นส่วนใหญ่"
นอกจากนั้น นโยบายที่ไม่ชัดเจน ยังอาจทำให้เกิดปัญหาการตีความในอนาคตว่านิติบุคคลทั้งในและนอกตลาดจะเสียภาษีอัตราเดียวกันคือ 23% แต่บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากกว่า รวมถึงผู้ถือหุ้น ซึ่งนโยบายไม่ได้ระบุว่าเมื่อเสียภาษีอัตราเดียวกันแล้ว จะมีคำถามว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะยอมหรือไม่เมื่อต้องเสียภาษีเท่ากับบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ แต่ต้องถูกตรวจสอบเข้มข้นมากกว่าทั้งจากกฎระเบียบและผู้ถือหุ้น
ขณะเดียวกัน นโยบายเพิ่มรายได้แรงงานเป็นวันละ 300 บาท จะทำให้ต้นทุนค่าแรงงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้น 15% เทียบกับอัตราภาษีที่ลดลง 7% ขณะที่การทำธุรกิจจะมีต้นทุนแฝงมาก ดังนั้น ภาครัฐควรเตรียมการก่อนดำเนินการนโยบายอะไร โดยเฉพาะนโยบายค่าแรงเมื่อดำเนินการไปแล้วผู้ประกอบการจะขาดทุนอย่างน้อย 3 เดือน และอาจทำให้บัญชีปลายปี ไม่มีกำไร ซึ่งก็ไม่ได้ประโยชน์จากภาษีอยู่ดี
"หากจะลดภาษีในสถานการณ์ปัจจุบัน เชื่อว่าจะไม่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการผลิต เพราะเมื่อธุรกิจต้นทุนสูง กำไรก็ไม่เกิด ภาครัฐควรช่วยเอกชนลดต้นทุนแฝงและเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่างๆ เช่น โลจิสติกส์ หากประสิทธิภาพของไทยดีจะจูงใจให้มีการลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะรอสิทธิประโยชน์จากบีโอไอหรือลดภาษี"
นอกจากนี้ นโยบายลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% หรือลดลงจากอัตราเดิม 7% ดูแล้วเหมือนจะทำให้บริษัทลดรายจ่ายภาษี แต่จะไม่กระตุ้นให้เอกชนนำส่วนต่างที่ได้ไปลงทุนในทันที หากการขยายธุรกิจจะทำเมื่อเห็นโอกาส ถึงแม้ไม่มีกำไรก็คงต้องหาทางกู้เงินมาลงทุน แต่อาจจะนำกำไรที่ได้ไปจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมากกว่า
นายไพบูลย์ ย้ำว่า เมื่อการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลทำให้บริษัทใหญ่ได้ประโยชน์ก็ควรลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงจะทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ และทำให้ผู้ที่ไม่ยื่นแบบเสียภาษีจะเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ฐานภาษีกว้างขึ้นและเป็นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนมีกำลังบริโภคมากขึ้น แต่รัฐบาลไม่ได้เอ่ยถึงการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะอาจกระทบรายได้ของรัฐบาลมากกว่า เมื่อเทียบกับลดภาษีนิติบุคคล ที่มีผู้ได้ประโยชน์ไม่มาก รัฐบาลควรจะแยกให้ชัดเจนว่าการเสียภาษีของผู้ประกอบการรายใหญ่ กลางและเล็กมีสัดส่วนอย่างไร เพื่อจะได้กำหนดนโยบายให้ชัดเจนว่า มีเป้าหมายช่วยใคร
ขอบคุณ ข้อมูล จาก http://www.suthichaiyoon.com/detail/14351