ลูกจ้างนัดรวมพล5ก.ย. ทวงสัญญา"300 บาท"
ลูกจ้างค้านนำร่องขึ้นค่าจ้าง 7 จังหวัด จี้รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศ รวมพล 5 ก.ย. ทวงสัญญาจาก "เผดิมชัย"
ด้านนายจ้างวอนรัฐอย่าแทรกแซงบอร์ดค่าจ้าง เอกชนเสนอปรับแบบขั้นบันไดใน 4 ปี ขณะที่ ปตท. ประกาศปรับค่าแรงวันละ 300 บาท ต้นทุนเพิ่ม 500 ล้านบาท
จากกรณีที่ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) มีนโยบายเตรียมที่จะนำร่องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และ ภูเก็ต นั้น
นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวเพราะรัฐบาลได้หาเสียงไว้ว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างตามที่ได้หาเสียงไว้ เนื่องจากขณะนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้มีการปรับขึ้นนำค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้ว ทำให้แรงงานมีค่าครองชีพสูงขึ้น
จากการสำรวจแรงงาน 400 คน ในสถานประกอบการ 20 แห่งที่ จ.สมุทรปราการ พบว่าแรงงานมีรายได้เฉพาะค่าจ้างเดือนละ 5,590 บาท แต่มีรายจ่ายทั้งค่าประกันสังคม ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภครวมกัน 6,859 บาท ซึ่งลูกจ้างจะติดลบ 1,269 บาท ทั้งนี้ หากปรับค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท คำนวณเวลาทำงาน 26 วัน จะมีรายได้เดือนละ 7,800 บาท
“สภาองค์การลูกจ้าง จะร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ในวันที่ 5 ก.ย. ที่โรงแรมบางกอกพาเลซ กทม. โดยมี รมว.แรงงาน มาร่วมด้วย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศโดยอยากให้ปรับในช่วงเดือนต.ค. นี้ พร้อมกับกลุ่มข้าราชการและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ” นายมนัส กล่าว
เรียกร้องรัฐบาลทำตามที่หาเสียงไว้
ด้าน นายนคร สุทธิประวัติ ประธานสภาองค์การลูกจ้าง สภาแรงงานอิสระแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาทตามแนวทางที่ รมว.แรงงาน เสนอ คงไม่เกิดผลประโยชน์อะไรกับลูกจ้างมากนัก เนื่องจากใน 7 จังหวัดที่กล่าวว่าจะปรับเพื่อเป็นการนำร่องเท่านั้น ลูกจ้างก็ได้ค่าจ้างอยู่ที่ราว 300 บาทต่อวัน อยู่แล้ว โดยส่วนตัวอยากให้รัฐบาลทำตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ โดยปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาท พร้อมกันทั้งประเทศ
นายจ้างวอนเลิกแทรกแซงไตรภาคี
ขณะที่ นายอรรถยุทธ ลียะวณิช เลขาธิการสภาองค์การนายจ้าง ผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ความเห็นกรณีขึ้นค่าจ้างนำร่องใน 7 จังหวัด ว่า การพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้นมีกรอบในการพิจารณาอยู่ อยากให้รัฐบาลพิจารณาขึ้นค่าจ้างจากกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ใช่มากดดันให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ค่าจ้างกลางพิจารณาปรับขึ้นตามนโยบายหาเสียง และขอวิงวอนให้รัฐบาลอย่าแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีหน้าที่ในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้าง โดยปล่อยให้ได้ทำงานอย่างมีอิสระ
ปตท.ปรับค่าแรงต้นทุนเพิ่ม500ล้าน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. มีนโยบายที่จะปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจำนวนวันละ 300 บาทในกลุ่มของผู้ใช้แรงงาน (Contract Out) ที่มีสัญญาจ้าง ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. โดยตรง ตามนโยบายของรัฐบาล จะเพิ่มภาระต้นทุนที่สูงขึ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทต่อปีนั้น ปตท. จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้เอง
ทั้งนี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 โดยจะดำเนินการในเมืองหลักก่อน เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ และภูเก็ต และจะทยอยดำเนินการในจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
ส่วนกรณีลูกจ้าง ที่ปฏิบัติงานในสถานีบริการน้ำมัน ของ ปตท. ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ปตท. ก็มีนโยบายที่จะสนับสนุนให้เจ้าของกิจการ ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวในต้นปี 2555 เช่นกัน
เอกชนเสนอปรับแบบขั้นบันไดใน 4 ปี
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่ภาครัฐไม่ปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นทันที 300 บาท ทั่วประเทศคงรู้ว่าส่งผลกระทบกับภาคเอกชนมากจึงใช้วิธีการปรับในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อนเพื่อให้กระทบกับผู้ประกอบการน้อยที่สุด ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้ไปในทิศทางนี้เพราะถ้าปรับขึ้นทันทีทั่วประเทศจะเป็นภาระมากและการปรับค่าจ้างจะต้องให้ทุกคนอยู่ได้ทั้งแรงงานและผู้ประกอบการ โดยภาคเอกชนมีจุดยืนที่จะต้องปรับค่าจ้างแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบขั้นบันไดใน 3-4 ปี ซึ่งในกรุงเทพฯ อาจจะปรับขึ้นก่อนแต่ในต่างจังหวัดต้องทยอยปรับขึ้น
ร้องเร่งช่วยเหลือเอสเอ็มอี
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาคเอกชนได้เสนอการปรับค่าจ้างขั้นแบบขั้นบันได โดยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลใช้เวลาปรับ 3 ปี จากปัจจุบันให้ถึง 300 บาท ส่วนต่างจังหวัดใช้เวลา 4 ปี จะทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัว แต่ถ้ารัฐบาลจะเปลี่ยนแนวทางใหม่นำร่องขึ้นค่าจ้างก่อน 300 บาท กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 7 จังหวัด และขึ้นค่าจ้าง 40% ในต่างจังหวัดก็ถือว่าขึ้นในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในอดีต และขณะนี้ภาคเอกชนมีความสับสนนโยบายนี้มากเพราะแต่ละวันรัฐบาลออกมาชี้แจงไม่เหมือนกัน
นายทวีกิจ กล่าวว่า ในวันที่ 5 ส.ค. 2554 นายสมเกียรติ ฉายะวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงานจะมาประชุมร่วมกับ ส.อ.ท.ก็จะชี้แจงให้ทราบว่าภาคเอกชนเห็นด้วยกับนโยบายรายได้ 300 บาท มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และชี้แจงว่าการปรับค่าจ้างต้องให้ผู้ประกอบการและแรงงานอยู่ได้ และถ้ารัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือก็ควรมีแนวทางที่ใช้ได้ผลมากกว่าการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% มาเป็น 23% เพราะแนวทางนี้ได้ประโยชน์เฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ส่วนเอสเอ็มอีไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้เลย
รัฐออกมาตรการช่วยเอสเอ็มอี
นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนที่จะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในบางจังหวัดให้เป็นวันละ 300 บาท ในวันที่ 1 ม.ค. 2555 โดยส่วนที่ดำเนินการได้ก่อนก็ให้ทำไปเลย เช่น ลูกจ้างของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ แต่สุดท้ายก็ต้องมีการปรับค่าจ้างขึ้นทั้งหมด ซึ่งการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการบางส่วน เช่น เอสเอ็มอี โดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ จะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ปรับตัวรับกับต้นทุนค่าจ้างงานที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการจะออกมาก่อนที่จะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในเดือนม.ค. ปีหน้า โดยในส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเอสเอ็มอีไปศึกษาผลกระทบของการปรับค่าจ้างและแนวทางช่วยเหลือเอสเอ็มอี เช่น สำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งอาจจะเข้าไปช่วยดูเรื่องการลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการพัฒนาแรงงาน
กสร.ขอ200ล้านโปะกองทุนอุ้มเลิกจ้าง
นางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กสร.ได้ปรับแผนการดำเนินงานในเรื่องต่างๆ ให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล และปรับตัวเลขงบประมาณปี พ.ศ. 2555 จากเดิมที่เคยเสนอของบประมาณจากรัฐบาลไป 1,035 ล้านบาท ก็ปรับเพิ่มเป็น 1,835 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นงบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างหรือไม่ได้รับเงินชดเชย จากเดิมที่มีงบอยู่แล้ว 273 ล้านบาท โดยขอเพิ่มอีก 200 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกจ้างที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับเพิ่มรายได้เป็นวันละ 300 บาท
ที่มา
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%97.html