ในสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ประเทศไทยประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าต่อเนื่องจากรัฐบาลบรรหาร ไทยถูกโจมตีค่าเงินบาท และทางการไทยเลือกที่จะปกป้องค่าเงินบาท จนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศแทบหมดสิ้น...สุดท้ายรัฐบาลพลเอกชวลิตประกาศ "ลอยตัวค่าเงินบาท" เมื่อวันที่ ๒ ก.ค. ๔๐
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยความวุ่นวายต่างๆ การปิดกิจการของบริษัทเงินทุนต่างๆ การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก จนในที่สุดประเทศไทยต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF (เป็นการกู้ครั้งที่ ๕ นับตั้งแต่ไทยเป็นสมาชิกเมื่อ ๓ พ.ค. ๒๔๙๒) โดย IMF ให้ความช่วยเหลือด้าน "การเงิน" และด้าน "วิชาการ"
หนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent (LOI) ฉบับที่ ๑ ทำขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ ส.ค. ๔๐ เป็นสมัยของรัฐบาลพลเอกชวลิต โดยมี ดร.ทนง พิทยะ เป็นรมว.คลัง ต่อมาพลเอกชวลิตประกาศลาออกเมื่อเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๐
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่ารัฐบาลที่มารับช่วงต่อคือรัฐบาลชวน ภาระต่างๆ ที่ต้องจัดการก็ยังมีอยู่มาก รวมถึงพันธะที่ได้ทำไว้กับ IMF ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นที่แน่นอนว่ารัฐบาลชวน หลีกภัย หรือพรรคประชาธิปัตย์เองไม่ได้เป็นที่มาของ IMF โปรดทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วย
ประเด็นต่อมาก็คือใน LOI ฉบับที่ ๑ ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า "ประเทศไทยมีพันธะจะต้องปฏิบัติตามแนวทางและเงื่อนไขต่างๆ..." ทั้งนี้ก็เพราะในขณะนั้นไทยต้องใช้ความช่วยเหลือด้านการเงิน ที่มาพร้อมกับความช่วยเหลือด้าน "วิชาการ"
เรื่องของ "ด้านวิชาการ" ที่ IMF จะให้ความช่วยเหลือก็เพื่อให้ไทยได้ปรับโครงสร้างต่างๆ เพื่อก้าวให้พ้นวิกฤตเศรษฐกิจ (การช่วยเหลือไทยนี้จะด้วยความจริงใจหรือต้องการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์...ผมมิอาจกล่าวในที่นี้ได้ ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาแล้วกัน) เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะด้านพลังงาน ที่ IMF อ้างข้อดีมากมายว่าจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพ หรือลดภาระภาครัฐในสถานการณ์การคลังย่ำแย่ก็ตาม

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
จุดนี้ใช่หรือไม่ครับที่เป็นที่มาของกฎหมาย ๑๑ ฉบับ หรือกฎหมายขายชาติ ที่ผมเองก็ต่อต้าน แต่จะให้ทำยังไงครับในเมื่อ ณ ขณะนั้น ไทยยังอยู่ในพันธะของ IMF จะให้มีนายกชื่อพลเอกชวลิต, ชวน, บรรหาร หรือแม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องทำตามพันธะนี้

นอกจากนี้พันธะของ IMF (ที่ไม่ได้มาจาก ปชป. อย่างที่หลายคนเข้าใจ) ก็ยังกำหนดให้ "เข้มงวดในการปรับเงินเดือนภาครัฐ..." จุดหมายก็เพื่อไม่ให้กระทบกับฐานะการคลังมากนัก
ฉะนั้นแล้วการบริหารงานของสมัยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, นายชวน หลีกภัย และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงแต่ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น แท้จริงปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าได้แก้ไขไปมากแล้ว อีกทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศก็ได้เอื้ออำนวยกับการบริหารงานของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย
โดย กฤษณกมล