ผมรู้สึกกึ่งเอ็นดู กึ่งสมเพช พวกบอร์ดเสรีไทย ที่พยายาม หาใบบัว มาปิดช้างตาย
คือ พยายามจะปลอบใจตัวเองให้ได้ว่า เรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย นั้น "ตรวจสอบ" ได้ (accountable)
ถึงกับดีอกดีใจ เวลาไปเจอชื่อหน่วยงานประเภท "ตรวจสอบโครงการพระราชดำริ" ฯลฯ ว่า "จับโกหกสมศักดิ์ได้แล้ว นี่ไงๆๆ มีหลักฐาน : สามารถ "ตรวจสอบ" บรรดา"โครงการพระราชดำริ" ได้!!"
อันที่จริง พวกคุณนี่ ไม่มีความสามารถจริงๆ (ในฐานะคนอาชีพครู ผมอดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ว่า พวกคุณนี่เรียนกันที่ไหน ทำไมจึงล้มเหลวในการศึกษาได้เพียงนี้)
เรื่อง "โครงการพระราชดำริ" เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะบทบาทที่แท้จริง ในประวัติศาสตร์ นั้น บอกตรงๆว่า ผมรู้ดีกว่าพวกคุณที่"จงรักภักดี"เยอะ
ในบทความของผม ("ในหลวงทรงทำดี") ทีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิวาทะครั้งนี้ ผมอุตส่าห์ เขียนไว้ชัดเจนดังนี้
หมายเหตุ: ผมตระหนักดีว่า โดยรูปแบบทางการนั้น “โครงการพระราชดำริ” จำนวนหนี่ง สิ่งที่ “รัฐบาล” ดูแลดำเนินการ หรือ ทำในนามรัฐบาลในทางนิตินัย (จำนวนหนี่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีโครงการประเภทที่ไม่ใช่เลยก็มี เช่นที่เรียกว่า “โครงการหลวง”) แต่ในทางปฏิบัติเป็นอีกเรื่องหนีง คือการมีบทบาทสำคัญชี้ขาดของราชสำนัก ที่สำคัญ หากถือเป็นการกระทำหรือผลงานของรัฐบาลจริง ก็ย่อมไม่สามารถนำมา “ประชาสัมพันธ๋” ในลักษณะที่ว่า “ในหลวงทรงทำดี” โดยยกตัวอย่างโครงการเหล่านี้ในลักษณะเป็น “ผลงาน” ของพระองค์ได้ อย่างที่ทำกันอยู่ และเป็นประเด็นที่ยกมาวิจารณ์ในบทความข้างต้น
กรณี "โครงการพระราชดำริ" นั้น
สามารถ "ตรวจสอบ" ได้ ในฐานะเป็นโครงการ"ของ"รัฐบาล (ในความหมายทีเขียนไปในหมายเหตุข้างต้น คือ ในทางนิตินัย)
แต่การ "ตรวจสอบ" นี้ ก็ทำได้จำกัดอย่างยิ่ง (เช่นที่ปรากฏออกมาในบางครั้ง เช่น กรณี"ปากพนัง" ที่ยกตัวอย่าง หรือกรณีการแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชพาณิชย์ในท้องที่บางแห่ง"ตามพระราชดำริ" ที่ประชาไท เคยนำมาลง
ข้อจำกัดที่สำคัญ และคือประเด็นที่ผมเขียนไปในบทความ ที่ถ้าใครอ่านภาษาไทยออก ก็ควรอ่านออก คือ ไม่สามารถ "ตรวจสอบ" ในฐานะ เป็น ผลงานของในหลวง ได้จริงๆ
ไม่สามารถวิพากษ์ในหลวง ในฐานะเป็นผู้ริเริ่มโครงการได้จริงๆ (เหมือนที่เราสามารถวิพากษ์ทักษิณว่า "ริเริ่มโครงการ 30 บาท เพื่อหาเสียง เป็นการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ไม่ได้ผล เป็นการคอร์รัปชั่นทางนโยบาย ฯลฯ ฯลฯ" ดังนี้ เป็นต้น)
(นี่ขนาดยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการ "เอาผิด" ซี่งเป็นส่วนหนี่งของ accountability)
ขอย้ำว่า แม้แต่ในการ "ตรวจสอบ" ในฐานะโครงการ"ของ"รัฐบาล นั้น ก็ไม่สามารถทำในลักษณะเต็มที่ได้ เพราะถึงเวลา ทุกคนล้วนแต่ต้องกลัวว่า จะ"กระทบ" ถึง "องค์ผู้ดำริ ริเริ่มโครงการ" นั่นคือ เสี่ยงต่อการจะถูกกล่าวหาว่า "หมิ่นประมาท..." (ม.112 ประมวลอาญา) และ ไม่ "เคารพสักการะ.." (ม.8 รธน.)
แต่ในทางกลับกัน เวลามี "ผลดี" อะไร (ไม่ว่าจะจริง ไม่จริง ซึ่งตรวจสอบไม่ได้อย่างแท้จริงดังกล่าว)
ก็จะได้รับการประชาสัมพันธ์ชนิด "ฝาชนฝา" (สำนวนฝรั่ง wall-to-wall) ตลอด 24 ชม.
ว่าเป็น "พระมหากรุณาธิคุณ...."
อันที่จริง เรื่องแทบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันฯ หลังสฤษดิ์ เป็นต้นมา ล้วนมีลักษณะทำนองนี้ทั้งสิ้น
เช่นเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุด เกี่ยวกับการ "ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ"
ตามหลักการประชาธิปไตย, ตามหลักการในรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475, และตามการปฏิบัติจนกระทั่งถึงยุคสฤษดิ์, คนที่ "ลงนามรับสนอง" หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของเรื่อง เป็นต้นคิด เป็นคนที่มีอำนาจโดยแท้จริง ในเรื่องที่ประกาศนั้น ไม่ใช่พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประกาศนั้นทำในพระปรมาภิไธย
ดังนั้น ในแง่นี้ ก็ไม่สามารถเอามาอ้างว่า "เป็นพระมหากรุณาธิคุณ" (เช่น เวลามีการตั้งนายกฯ มีการตั้ง ประธาน สตง. ก็เอามาพูดกันว่า "รอโปรดเกล้าฯ" หรือ "ทรงโปรดเกล้า..." (ใครอย่าแตะ!) หรือ คำประเภท "ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เป็นต้น ราวกับว่า ในหลวงมีอำนาจจริงหรือควรมีอำนาจจริง ในการแต่งตั้ง หรือในประกาศเหล่านั้น หรือในการบัญชาข้าราชการเหล่านั้น (ซึ่งขัดกับหลักการ อำนาจต้องคู่กับ accountability ถ้าไม่ต้องการให้ในหลวงมี accountability ก็ต้องไม่มีอำนาจ)
แต่พอเกิดมีประเด็นอะไรที่อาจจะเสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะกลับพูดเป็นอีกอย่างทันทีว่า "ในหลวงทรงอยู่เหนือการเมือง" การกระทำต่างๆ มีผู้ลงนามรับสนอง ซี่งเป็นผู้รับผิดชอบ ... บลา บลา
พูดแบบภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ ถ้าอะไรดี ยกให้พระมหากษัตริย์, อะไรมีความเสี่ยงจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ ยกให้เป็นเรื่องคนรับสนอง
การ "ลงนามรับสนอง" จึงเปลี่ยนจาก การมีอำนาจจริง (และจากนี้จึงต้องรับผิดชอบจริง) กลายเป็น ไมมีอำนาจจริง ในหลายๆกรณี (เข่น เรื่องโครงการพระราชดำริ) แต่ต้องรับผิดชอบจริง ไป
คือกลายเป็นคนออกมารับผิด เพื่อที่จะให้สถาบันฯอยู่ในฐานะที่ มีอำนาจ แต่ไม่ต้องมี accountability ได้ต่อไป