
ที่สำคัญคือการออกหมายจับ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในฐานะผู้จ้างวานฆ่า ซึ่งนายชัยวัฒน์ ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ พร้อมยืนประกันตัวโดยใช้เงินกว่า 1 ล้านบาท
คดีดังกล่าวถือว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญ ทั้งยังเชื่อมโยงถึงปฏิบัติการเผาไล่กะเหรี่ยงแก่งกระจานดั้งเดิมซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อกลุ่มชาติพันธุ์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอ.ป๊อด เองเป็นหัวเรือใหญ่ในการออกมาแฉเรื่องดังกล่าว จนนำไปสู่การเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของสภาทนายความและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สร้างความไม่พอใจให้กับหัวหน้าชัยวัฒน์เป็นอย่างมาก ถึงขั้นใช้อำนาจของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ประกาศห้ามนายทัศน์กมล เข้าพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ซึ่งอาจถือว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2504 ที่ห้ามประชาชนเข้าพื้นที่อุทยานแห่งชาติในลักษณะเช่นนี้ ...ในขณะที่อ.ป๊อดก็เตรียมที่จะยืนฟ้องศาลปกครองฐานที่หัวหน้าชัยวัฒน์ออกคำสั่งโดยมิชอบและใช้คำสั่งเกินอำนาจหน้าที่ พร้อมๆ กันก็เตรียมยืนถวายฏีกาต่อในหลวงและพระราชินีเพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่กะเหรี่ยงแก่งกระจานเหล่านั้น...แต่เขียนไม่ทันแล้วเสร็จก็มาถูกยิงตายจากอิทธิพลมืดเสียก่อน

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลจากการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับกลุ่มกะเหรี่ยงไม่น่าจะเป็นเรื่องรุนแรงที่ถึงขั้นต้องเอาชีวิตกันเช่นนี้ แต่อาจจะยังมีประเด็นอื่นอีกที่อ.ป๊อดเตรียมที่จะเปิดเผย เนื่องจากเขาเป็นคนในพื้นที่และมีสายสัมพันธ์กับหน่วยงานด้านความมั่นคงในระดับหนึ่ง จนทำให้อีกฝ่ายต้องรีบบัญชีก่อนที่อ.ป๊อด จะแฉขึ้นมา
หากไปเปิดคำสัมภาษณ์ของอ.ป๊อดก่อนเสียชีวิต จะพบว่าแกพูดถึงหลายเรื่องทิ้งไว้เป็นปริศนา เช่น ขบวนการลักลอบตัดไม้ในป่าแก่งกระจาน อดีตนักการเมืองท้องถิ่นกับเจ้าหน้าที่ลักลอบปลูกกัญชาในพื้นที่ หรือแม้กระทั่งเงื่อนงำของเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก
ยิ่งเมื่อตำรวจมือดีระดับแนวหน้าของประเทศได้ตรวจสอบจนกระทั่งออกหมายจับ ตรวจค้นบ้านของนายชัยวัฒน์ พร้อมเจอกระสุนปืนเอ็ม 16 นับร้อยนัด ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงสงสัยว่าไม้มีค่าและกระสุนปืนอาวุธสงครามเหล่านั้นมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไร แถมการสืบสวนยังพบอีกว่าใช้อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเป็นที่วางแผนสังหารยิ่งสร้างความกังขามากขึ้นไปอีก
หากว่าไปแล้วเงื่อนงำอันดำมืดเหล่านี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานสร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานรัฐอย่างกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชภายใต้การกำกับดูแลของอธิบดีดำรง พิเดช อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่แทนที่เจ้ากรมจะออกมาช่วยสนับสนุนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ปรากฏโดยเร็ว อย่างน้อยที่สุดก็ควรที่จะย้ายนายชัยวัฒน์ ออกจากพื้นที่เพื่อเปิดทางให้กระบวนการสอบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ดำเนินการไปอย่างราบรื่น เพราะตราบใดที่นายชัยวัฒน์ยังเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติอยู่เช่นนั้นก็หมายถึงเขายังคุมพื้นที่ คุมลูกน้อง แค่เจ้าหน้าที่เดินถือปืนผ่านหน้าบ้าน แกล้งเข้าไปถามสารทุกข์สุขดิบของพยานก็สร้างความหวาดกลัวได้ง่ายดาย...แล้วความจริงจะปรากฏได้อย่างไร ยังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะให้ข้อมูล แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าเพราะกลัวไข้โป้งแบบอ.ป๊อด

อย่างเช่นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 20.30 นาฬิกา มีบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ขับขี่รถจักรยานยนต์มาที่หน้าบ้านของนายกระทง โชควิบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านบางกลอย ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ข่มขู่จะเอาชีวิตหากไม่หยุดให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีหัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน เผาบ้านคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง จนกระทั่งอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ทำหนังสือถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2554 เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนและให้ความคุ้มครองพยานทั้ง 3 คน

ยิ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมกำลังจับตามอง การเร่งทำความจริงให้ปรากฏก็ยิ่งเป็นผลดีต่อกรมอุทยานแห่งชาติฯ และหัวหน้าชัยวัฒน์เท่านั้น ถ้ามัวแต่กางปีกป้อง หากผลการสอบสวนและตรวจสอบออกมาพลิกล๊อคจากฮีโร่กลายเป็นฮีร่วงขึ้นมาเมื่อไร...รอยด่างพร้อยนี้คงฝังลึกลงในกรมอุทยานแห่งชาติฯ และอธิบดีเอี้ยงไปตราบนานเท่านาน
และหากไม่ได้ทำผิดจะกลัวทำไมกับการตรวจสอบความจริง!
[youtube]http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=yj7KW-_WHzw[/youtube]