เมื่อ ปี 2310 และได้มีการตั้งราชธานีแห่งใหม่ขึ้นที่ เกาะรัตนโกสินทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองสายแรกๆ ที่มีการขุดขึ้นเมื่อปี 2325 นั้น อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศเหนือของเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีสายน้ำล้อมรอบ ราชธานีแห่งใหม่นี้ และล้อมรอบกำแพงเมืองที่ก่อขึ้นจากอิฐจนครบทุกด้าน
-----------------------
แก้ไข
กำแพงเมืองในปี 2325 เป็นเสาไม้ระเนียดจ้า
*
*
*
Posts: 2323
Private message
amplepoor
หนูอ้อย wrote:ในประวัติศาสตร์ หัวเมืองต่างๆ ทุกแห่งและแม้กระทั่งเมืองขนาดเล็กทั่วประเทศไทยต่างมีคูคลองและเนินดินล้อมรอบเมืองด้วยกันทั้งสิ้น บางทีมีการใช้วัสดุอื่นก่อสร้างเช่นอิฐหรือหินศิลาแลง คูคลองเหล่านี้อาจมีความยาวหลายกิโลเมตรอย่างเช่นในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น เหตุผลของการขุดคูคลองรอบเมืองก็เพื่อใช้เป็นปราการป้องกันไม่ให้ช้างและศัตรูเข้ามาในเมืองได้ แหล่งน้ำที่นำมาใช้ในคูคลองเหล่านี้กลายเป็นประเด็นที่เมืองต่างๆ เหล่านี้ต้องขบคิด เนื่องจากว่าเมืองมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเมืองใหญ่
เมื่อปี 2310 และได้มีการตั้งราชธานีแห่งใหม่ขึ้นที่ เกาะรัตนโกสินทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองสายแรกๆ ที่มีการขุดขึ้นเมื่อปี 2325 นั้น อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศเหนือของเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีสายน้ำล้อมรอบราชธานีแห่งใหม่นี้.....โดยกำแพงเมืองในปี 2325 เป็นเสาไม้ระเนียด
แก้ไขโดยท่าน amplepoor ท่านยืนยันว่าไม่ใช่ "ล้อมรอบกำแพงเมืองที่ก่อขึ้นจากอิฐจนครบทุกด้าน"
การขุดคูน้ำล้อมรอบนี้ทำเป็นสองชั้นตั้งแต่ทรงย้ายพระบรมมหาราชวังข้ามมาจากป้อมวิชัยประสิทธิ์ โดยการนี้เป็น "การขุดคูน้ำล้อมรอบ เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน” เพื่อการป้องกันพระนครจากศึกสงคราม
ในปี 2393 ได้มีการขุดคูน้ำรอบที่สามขึ้นเพื่อขยายเมืองไปทางทิศตะวันออก ขณะที่อาวุธยุทโธปกรณ์ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
แต่นับตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 19 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการตัดถนน ซึ่งกลายมาเป็นระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และไม่มีการขุดคลองใหม่นับตั้งแต่หลังปี 2458 เป็นต้นมา ส่วนคลองที่เหลืออยู่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล หรือไม่ก็ถูกถมเพื่อใช้เป็นถนนแทน
เซอร์จอห์น เบาวริ่ง อุปทูตจากประเทศอังกฤษซึ่งเข้ามาประจำการในประเทศไทย (หรือสยามในสมัยนั้น) ในปี 2398 ได้เขียนไว้ว่า “ ทางหลวงของบางกอกไม่ใช่ถนน หรือตรอกซอกซอย แต่เป็นแม่น้ำและคูคลอง” เมื่อช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีรายงานว่า 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดในบางกอก หรือประมาณ 400,000 คนอาศัยอยู่บนแพลอยน้ำหรือในบ้านริมแม่น้ำหรือริมตลิ่งคูคลอง แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสายเล็กสายน้อยที่แตกย่อยออกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยานับว่าเป็นสิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐานของบางกอก และเรือเป็นยานพาหนะหลักที่ใช้ในการขนส่งสินค้าและผู้คน ตลอดจนใช้ในการติดต่อสื่อสารด้วย ปัจจุบันนี้กรุงเทพฯ มีประชากรกว่า 11 ล้านคน และถึงแม้ว่าจะมีบริการรถประจำทางและยานพาหนะต่างๆ มากมาย แต่ก็ยังมีคนนับหมื่นที่ยังใช้บริการเรือยนต์ในการเดินทางเป็นประจำทุกวัน
แง่มุมทางประวัติศาสตร์ของคูคลองต่างๆ ถูกลดความสำคัญลงและไม่ได้รับความสนใจ และแม่น้ำลำคลองกลายเป็นสิ่งที่เสี่ยงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ควรหลีกเลี่ยง ในบางพื้นที่ลำคลองส่งกลิ่นเหม็นจนถึงขนาดทนไม่ได้และเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ ในย่านที่มีความเจริญรุ่งเรืองของกรุงเทพฯ พื้นที่ซึ่งแต่เดิมเป็นลุ่มน้ำ ปัจจุบันนี้ก็เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง กลายเป็นป่าคอนกรีตที่เต็มไปด้วยถนนหนทางแทน ด้วยเหตุนี้ จึงมีพื้นที่ที่จะซึมซับน้ำฝนในช่วงมรสุมลดน้อยลง ซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วม และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือทำให้ระดับความสามารถในการอุ้มน้ำของชั้นหินและดินลดน้อยลง จึงเป็นสาเหตุให้พื้นที่ในตัวเมืองทรุดลงปีละหลายนิ้ว
มีผู้เรียกกรุงเทพฯ ว่า “ เวนิสตะวันออก” (ซึ่งอยุธยาเคยได้ฉายานี้มาก่อน) แต่กรุงเทพฯ ไม่ได้มีรูปแบบหรือลักษณะเหมือนเมืองเวนิสเลย มีแต่ปัญหาเรื่องน้ำ ปัญหาแผ่นดินทรุดตัวลง ปัญหามลพิษเรื้อรัง และระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น กรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่ตระหนักถึงปัญหาในจุดนี้ที่สุด และได้มีการเสนอแผนการต่างๆตลอดมาเป็นสิบปี เพื่อสร้างอุโมงค์ยักษ์และกำแพงขนาดใหญ่ รวมทั้งปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเหมือนอย่างในประเทศฮอลแลนด์ เพื่อรับมือกับปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่เช่นในวันนี้
ต้องลองดูฝีมือผู้ว่าการจากพรรคประชาธิปัตย์ดู ท่านประกาศเอาชีวิตทางการเมืองเป็นเดิมพันแล้ว
ครั้นถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๔๕ เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องแบบทหารเต็มยศ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรม
โอรสาธิราช (รัชกาลที่ ๗) และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จโดยพระที่นั่ง
จากวังสวนดุุสิตถึงสถานีรถไฟสามเสน ประทับรถพระที่นั่งโดยมีรถไฟใช้
ฝีจักรจูงรถพระที่นั่งออกจากสถานีรถไฟสามเสนประมาณโมงเศษ ถึง
สถานีรถไฟคลองรังสิต เวลาเช้า ๒ โมงเศษ ณ ที่นั้นมีพ่อค้า ประชาชน
ทั้งเมืองปทุมธานีและเมืองธัญญบุรีมารับเสด็จกันอย่างมากมาย
พ.ท.พระฤทธิจักรกำจร ผู้ว่าราชการเมืองธัญญบุรี ได้อันเชิญดอกไม้
ธูปเทียนและเครื่องสักการะบูชาทูลเกล้าถวายเชิญเสด็จเข้าสู่เมือง
ธัญญบุรีโดยเรือพระที่นั่งชื่อ "สมจิตรหวัง" โดยมีเรือกลไฟลากจูงเรือพระ
ที่นั่งถึงเมืองธัญญบุรีเวลาประมาณ ๔ โมงเศษ ในระยะทาง ๓๖๘ เส้น
เมื่อเรือพระที่นั่งเทียบท่าหน้าเมืองแล้ว ณ ที่นั้นได้มีข้าราชการในมณฑล
กรุงเทพฯ และหัวเมืองตลอดทั้งพ่อค้าประชาชนมารอรับเสด็จอย่างคับคั่ง
“ในพระราชอาณาเขตสยามนี้ คลองเป็นสิ่งสำคัญ ในหนึ่งปีควรให้ได้มีคลองขึ้นสักหนึ่งสาย จะทำให้บ้านเมืองเจริญ ถึงจะต้องออกพระราชทรัพย์ปีละพันชั่งหรือสองพันชั่งก็ไม่ทรงเสียดาย"
สำหรับชื่ออำเภอธัญญบุรี ที่ใช้ "ญ" ตัวเดียวนั้น ใช้ตามประกาศสำนัก
นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๐ ให้เขียนชื่ออำเภอธัญบุรี มี
"ญ" ตัวเดียว เพื่อให้เป็นไปตามประกาศของราชบัณฑิตยสถาน ในเรื่อง
การเขียนชื่ออำเภอต่างๆ (เดิมอำเภอธัญบุรีมี "ญ" สองตัว)
ชมัยมรุเชฐ แปลว่า พี่ชายผู้เป็นเทพ 2 พระองค์
สะพาน ชมัยมรุเชฐ เป็นสะพานที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2444 โดยพระประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
พระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 เพื่ออุทิศถวายพระเชษฐา 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ สยามมกุฏราชกุมาร
และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ได้เสด็จพระราชดำเนิน
พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ มาทรงเปิดสะพานเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2445
สะพานชมัยมรุเชฐ เป็นสะพานข้ามคลองเปรมประชากร อยู่บนถนนพิษณุโลก เขตดุสิต บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
อ่าน ปวศ.คลองเปรมประชากรแล้ว มาดูสถานการณ์ปัจจุบันของคลองเปรมฯนี้กันบ้าง......
(ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์)
ประตูน้ำคลองเปรมประชากรใต้ ที่อยู่ในพื้นที่ของหลักหก ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายที่น้ำจากคลองรังสิตและคลองเปรมประชากร จะผ่านเข้าไปยังเขตดอนเมืองของ กทม. นั้น....ขณะนี้ประตูระบายน้ำยังมั่นคงแข็งแรงดี และมีการเสริมแผ่นเหล็กขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีน้ำเข้าไปท่วมในเขตดอนเมือง และ กทม.อย่างแน่นอน โดยในขณะนี้ระดับน้ำหน้าประตูระบายน้ำคลองเปรมประชากรใต้สูงกว่าระดับน้ำด้านหลังประตูประมาณ 4 เมตร โดยมีการประสานงานกันระว่างเขตดอนเมือง และเจ้าหน้าที่ของชลประทานอยู่ตลอดเวลา ขอให้ชาวดอนเมืองมั่นใจได้ว่าน้ำจะไม่เข้าไปท่วม กทม.อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เทศกิจเขตดอนเมือง ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยจำนวน 40 นาย และมีทหารจาก ปตอ.พัน 7 จำนวน 60 นาย มาช่วยสมทบในการป้องกันน้ำเข้าท่วมในเขตกรุงเทพฯ
^ ^ และเรื่องราวท้าย เรป.นี้ วันต่อไปข้างหน้าก็จะเป็น ปวศ.ของรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป. . . . .
หน้าที่อันสำคัญเร่งด่วน ณ.วันนี้ของคลองระพีพัฒน์
ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก กำลังเผชิญกับน้ำที่ไหลเข้าท่วมบ้านเรือน หลังจากลำคลองในละแวกนี้มีระดับน้ำสูงขึ้น เนื่องจากถูกใช้เป็นทางระบายน้ำลงสู่ทะเล โดยเฉพาะ "คลองระพีพัฒน์" หนึ่งในช่องทางระบายน้ำสำคัญ ที่จะช่วยผันน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้ไหลออกสู่ทะเลได้เร็วขึ้น
โดยมีการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มาลงยังคลองระพีพัฒน์ ในช่วงจังหวัดปทุมธานี เพื่อผันน้ำให้ไหลลงคลองต่าง ๆ และลงสู่ทะเลที่อ่าวไทยต่อไป ซึ่งก็ช่วยให้การระบายน้ำจากลุ่มภาคกลางตอนล่างเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น แต่การผันน้ำลงคลองระพีพัฒน์นี้ ก็ได้ส่งผลให้บ้านเรือนในจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งชุมชนริมคลองรังสิต และพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมตามมา
สำหรับคลองระพีพัฒน์ (ทำการขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ) ส่วนต้นที่เป็นคลองสายใหญ่...มีความยาว 32 กิโลเมตร เริ่มต้นจากประตูระบายน้ำพระนารายณ์ ที่ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนจะไหลลงมาที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี และแยกออกเป็นสองสาย คือ คลองระพีพัฒน์แยกใต้ ระบายน้ำผ่านทางประตูน้ำพระศรีเสาวภาค ออกไปยังอำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ความยาว 28.7 กิโลเมตร ส่วนอีกสายคือ คลองระพีพัฒน์แยกตะวันตก ระบายน้ำผ่านทางประตูน้ำพระศรีศิลป์ และไปสิ้นสุดที่ประตูน้ำพระอินทร์ราชา จังหวัดปทุมธานี ความยาว 36.6 กิโลเมตร โดยสามารถรองรับน้ำจากที่ไหลมาจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้เต็มที่ 210 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งขณะนี้กำลังใกล้เต็มพื้นที่รับน้ำแล้ว แต่ทว่า...ยังคงมีน้ำเหนือที่จะไหลลงมายังคลองระพีพัฒน์อีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ สถานการณ์ปัจจุบัน การระบายน้ำที่มาจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ทางคลองระพีพัฒน์นั้น ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก แต่ที่น่าห่วงก็คือ มวลน้ำก้อนใหญ่ที่ไหลมาจากนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะทำให้ปริมาณน้ำในคลองระพีพัฒน์สูงขึ้นมาก จนระบายไม่ทัน และส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ตามเส้นทางที่คลองระพีพัฒน์ไหลผ่านได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะพื้นที่ทางการเกษตรในละแวกใกล้เคียงตั้งแต่คลอง 13 และรอบ ๆ บริเวณจังหวัดปทุมธานี
ด้วยเหตุนี้ กรมชลประทานจึงต้องเร่งระบายน้ำจากคลองระพีพัฒน์ฝั่งตะวันตก เข้าสู่คลองรังสิต 1-6 เพื่อให้คลองระพีพัฒน์สามารถรองรับน้ำที่จะไหลบ่ามาเพิ่มเติมได้ แต่นั่นก็จะทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่คลองรังสิต 1-6 ได้รับผลกระทบจากน้ำล้นคลองเช่นกัน โดยกรมชลประทานคาดว่าระดับน้ำอาจสูงกว่าถนนไม่เกิน 1 เมตร ส่วนพื้นที่ตั้งแต่คลอง 7 เป็นต้นไปเป็นทุ่งนาความเดือดร้อนจะไม่มากเท่าช่วงคลองรังสิต 1-6 พร้อมกับยืนยันว่า น้ำจะไม่ไหลทะลักเข้าเขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
เช่นนั้นแล้ว ในช่วงนี้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในช่วงคลองรังสิต 1-6 รวมทั้งเส้นทางที่อยู่ใกล้คลองระพีพัฒน์ จึงต้องเผชิญกับน้ำท่วม และคงต้องอดทนกับสถานการณ์เช่นนี้อีกพักหนึ่ง กว่าที่น้ำก้อนมหาศาลจะไหลลงทะเลที่อ่าวไทยได้ทั้งหมด ดังนั้น ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินระดับน้ำเพิ่มขึ้นสูง จะได้เตรียมการป้องกัน หรือร้ายที่สุดคือ จะได้สามารถอพยพออกมาได้ทัน
amplepoor wrote:เคยอ่านเจอว่า การก่อสร้างพระนครใหม่เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะมีข่าวว่าพม่าเตรียมทัพจะยกเข้ามา จึงสร้างชั่วคราวเป็นกำแพงไม้ระเนียด หลังจากเสร็จศึกพม่า 2328 แล้ว จึงทำพระราชพิธีราชาภิเษกเต็มตามตำรา และก่อสร้างป้อมกำแพงถาวร อิฐที่ใช้ ก็ไปรื้อมาจากกำแพงเมืองอยุธยา
มีเรื่องต่อเนื่องที่เกี่ยวกับคลองก็คือ โปรดให้ขุดคลองขึ้นมาใหม่สายหนึ่งตามอย่างคลองมหานาคที่อยุธยา สำหรับเป็นที่เล่นมหรสพหน้าน้ำ ก็คือคลองที่อยู่หน้าโรงหนังเฉลิมไทย...อ้าว รื้อไปแล้วนี่ เอาเป็นว่าคือคลองที่ตรงสะพานผ่านฟ้า ที่ปัจจุบันเราเรียกกันผิดว่าคลองแสนแสบนั่นแหละ ที่จริงชื่อว่าคลองมหานาค ตัดออกไปทางทิศตะวันออกถึงเวิล์ดเทรด อุ๊บ สมัยนั้นยังไม่มี ......เอาเป็นว่าตัดออกไปนอกเมืองผ่านที่รกร้างว่างเปล่า และอาจจะเชื่อมต่อกับคลองเก่าที่มีอยู่แล้ว
จะว่าไปแล้ว คลองมหานาคก็นับว่าแปลกประหลาด เพราะขุดขึ้นมาเพื่อความบันเทิงของพระนคร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเกษตรหรือคมนาคมอย่างคลองอื่นๆ
ตรงปากคลองที่ทุกวันนี้เป็นพิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นอู่เก็บเรือรบ เพราะจากจุดนี้เองที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาใช้เป็นที่ตั้งต้น ยกทัพออกไปรบญวน ที่ไกล้ๆ กันมีวัดที่ท่านปฎิสังขรณ์เป็นอนุสรณ์ไว้ รัชกาลที่ 3 พระราชทานชื่อให้เป็นเกียรติกับท่านว่า วัดปรินายก เพราะท่านเป็นสมุกนายกนั่นเอง เดิมกินเนื้อที่กว้างขวาง แต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดนเฉือนเป็นจุดเริ่มต้นของถนนราชดำเนินนอก เห็นจะร่วมครึ่งวัดทีเดียว วัดปรินายกอันยิ่งใหญ่ ก็เลยเหลือพื้นที่อย่างที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้
อิอิ ส่งการบ้านคุณครูน้องหนูอ้อยแค่นี้ครับ