ลานีญา เป็นปรากฏการณ์ที่ตรงข้ามกับเอลนีโญ คือ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกกลางและตะวันออกมีค่าต่ำกว่าปกติ ทั้งนี้เนื่องจากลมค้า (trade wind) ตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดอยู่เป็นประจำในแปซิฟิกเขตร้อนทางซีกโลกใต้ (ละติจูด 0.03 องศาใต้) มีกำลังแรงกว่าปกติ จึงพัดพาผิวน้ำทะเลที่อุ่นจากแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออก (บริเวณฝั่งเอกวาดอร์ เปรู และชิลีตอนเหนือ) ไปสะสมอยู่ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตก (บริเวณชายฝั่งอินโดนีเซียและออสเตรเลีย) มากยิ่งขึ้น จึงทำให้ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตกซึ่งแต่เดิมมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกอยู่แล้ว กลับยิ่งมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกมากยิ่งขึ้นไปอีก มีผลทำให้ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันตกมีปริมาณฝนมากขึ้น ขณะที่ทางแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกจะมีความแห้งแล้งรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน ปรากฏการณ์ลานีญาจะเกิดโดยเฉลี่ย 5 - 6 ปี ต่อครั้ง และแต่ละครั้งกินเวลานานประมาณ 1 ปี
เมื่อปี 2553 ประเทศไทยเกิดน้ำท่วมใหญ่ไปแล้ว หากใช้ข้อมูลจากสถิติจะทำให้คาดการณ์ได้ว่าปีนี้น้ำจะน้อยเพราะจะสลับเข้าสู่ช่วงปรากฏการณ์เอลนินโญ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขื่อนส่วนใหญ่ไม่กล้าพร่องน้ำเพราะหากเกิดปรากฏการณ์เอลนินโญขึ้นมาจริง ปีนี้น้ำอาจไม่ขาดแต่ปีหน้าประเทศไทยจะแล้งอย่างสาหัส
ดังนั้นการคาดการณ์เรื่องสภาวะอากาศจึงมีความคลาดเคลื่อนไปจากสถิติที่ใช้มาในอดีต ถือว่าไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่งครับ(เอาแค่คาดการณ์ฝนตกวันเดียวยังผิดพลาดได้ ประสาอะไรกับเดาข้ามปี)
การรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติต่างหากที่รัฐบาลสอบตก ขนาดปีนี้ยังเละเทะ ปีหน้ายังต้องเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกบวกวิกฤติน้ำท่วม(หรือไม่ก็แล้ง
สาหัส) จะมีปัญญารับมือไหวหรือ??
ลืมให้เครดิตครับ
http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/june22/la_nina.htm